ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 98 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1941 - 1960 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1941 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - เนเธอร์แลนด์ | คค | 10/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-เนเธอร์แลนด์ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและเนเธอร์แลนด์ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงข้อบทว่าด้วยการแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด การให้อนุญาตและการเพิกถอนใบอนุญาต และข้อบทว่าด้วยสิทธิเกี่ยวกับการควบคุมเชิงกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัยการบิน ใบพิกัดเส้นทางบิน สิทธิความจุความถี่ สิทธิรับขนการจราจร และข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๒. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
||||||||||||||||||
| 1942 | การปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ | กค | 10/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่ของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)ทุกระดับตำแหน่งตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครส.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ๑.๒ เห็นชอบการปรับเงินเดือนเข้าโครงสร้างเงินเดือนใหม่ หากเงินเดือนใหม่ที่ได้รับยังไม่ถึงอัตราขั้นต่ำของกระบอกเงินเดือน ให้ปรับเงินเดือนให้ได้รับในอัตราขั้นต่ำ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินเดือนใหม่ หากเกินร้อยละ ๑๐ ของเงินเดือนใหม่ ให้รอปรับเงินเดือนในปีต่อไปก่อน จึงจะปรับให้ได้รับในอัตราขั้นต่ำ ตามมติ ครส. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ และเนื่องจากการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและการปรับเงินเดือนเข้าโครงสร้างเงินเดือนใหม่ของพนักงาน ธอส. อาจส่งผลกระทบให้ ธอส. มีภาระค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ ธอส. ดำเนินการตามแนวทางการปรับเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรโดยเคร่งครัดเพื่อสร้างรายได้ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อมิให้กระทบต่อฐานะการเงินของ ธอส. ในระยะยาว รวมทั้งต้องมีการประเมินผลงานรายบุคคลให้สอดคล้องกับการประเมินผลงานทั้งองค์กร และรายงานให้กระทรวงการคลังทราบความคืบหน้าของการดำเนินการด้วย ๑.๓ ไม่เห็นชอบให้ ธอส. ปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานทุกตำแหน่งในอัตราร้อยละ ๒ ๑.๔ การกำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงของพนักงานระดับ ๑๖ ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส/รองกรรมการผู้จัดการ เนื่องจากที่ผ่านมา ธอส. ยังไม่ได้กำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงสำหรับพนักงานระดับ ๑๖ ไว้ และในคราวนี้ ธอส. ได้เสนอและกำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงสำหรับตำแหน่งระดับ ๑๖ ไว้แล้ว ดังนั้น จึงเห็นควรกำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงของตำแหน่งระดับ ๑๖ สำหรับรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส/รองกรรมการผู้จัดการที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันให้อยู่ภายใต้โครงสร้างเงินเดือนใหม่ ๑.๕ เห็นชอบในหลักการแนวนโยบายการปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานของ ธอส. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน ภายใต้เงื่อนไขและระยะเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและปรับเพิ่มเงินเดือนให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของหน่วยงาน และพิจารณาการปรับเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรโดยไม่มีผลกระทบต่อประชาชนผู้รับบริการเพื่อสร้างรายได้ให้เพียงพอและครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น การกำหนดแนวนโยบายในการพิจารณาปรับบัญชีโครงสร้างเงินเดือนและปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่อยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงการคลังให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การปรับปรุงตัวชี้วัดของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งระบบให้สะท้อนประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน รวมทั้งมีแผนงานและแนวทางในการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ และในการปรับโครงสร้างเงินเดือนในคราวถัดไปต้องอยู่บนพื้นฐานของการประเมินค่างานที่แสดงให้เห็นถึงภารกิจหรือค่างานที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลและปรับปรุงวิธีการปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเน้นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในกรณีที่พนักงานในตำแหน่งระดับสูงได้รับการปรับเพิ่มเงินเดือนในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับพนักงานระดับล่าง |
||||||||||||||||||
| 1943 | การขยายระยะเวลาการใช้บัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันออกไปอีก 1 ปี [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | กค | 10/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการใช้บัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันออกไปอีก ๑ ปี จากที่สิ้นสุดในปี ๒๕๕๘ เป็นสิ้นสุดในปี ๒๕๕๙ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยเป็นการลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดามีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังสร้างการรับรู้และส่งเสริมให้ประชาชนชำระภาษีให้ถูกต้องตามหน้าที่ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งศึกษาผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษี ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และการยกเว้นหรือลดหย่อนต่าง ๆ ตลอดจนควรเร่งจัดทำมาตรการ และแนวทางในการขยายฐานภาษีให้ผู้มีเงินได้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีเพิ่มมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 1944 | รายงานผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง รายงานการศึกษาพระราชบัญญัติ การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 | พณ | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง รายงานการศึกษาพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เนื่องจากมีหลักการที่สอดคล้องกับแนวทางการปรับปรุงกฎหมายการแข่งขันทางการค้าของกระทรวงพาณิชย์ และมีข้อเสนอให้ใช้คำว่า “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน” แทนคำว่า “ผู้ประกอบธุรกิจโฮลดิ้ง” ให้พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ลดจำนวนคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าจากเดิม ๑๖ คน เป็น ๗ คน จัดตั้งหน่วยงานอิสระปราศจากการแทรกแซงเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ รวมทั้งกำหนดบทลงโทษทางอาญาทั้งโทษจำคุกและโทษปรับโดยให้สอดคล้องกับความร้ายแรงของการกระทำผิด และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 1945 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ พ.ศ. .... | คค | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 1946 | ร่างพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. .... | ยธ | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรากำหนดมิให้ใช้บังคับแก่สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต กำหนดอัตราโทษเพิ่มขึ้นในกรณีผู้กระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับผู้รักษาการตามร่างพระราชบัญญัติฯ การเพิ่มผู้แทนหน่วยงานร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา และการประสานความร่วมมือกับคณะกรรมการต่าง ๆ ที่มีการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับปัญหาหนี้นอกระบบ รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติฯ ในบางมาตรา เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนถูกต้องและมีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสาระสำคัญของพระราชบัญญัติฯ รวมทั้งจัดทำคู่มือฉบับประชาชนโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและครอบคลุมข้อมูลที่สำคัญ เช่น วัตถุประสงค์ของกฎหมาย บทลงโทษ ขั้นตอนและช่องทางการร้องเรียน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 1947 | ร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... | สธ | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญให้มีการควบคุมกำกับดูแลการดำเนินกิจการสปา กิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงาม หรือกิจการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง เพื่อให้การดำเนินกิจการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีมาตรฐานอันเป็นการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนและคุ้มครองผู้บริโภค ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๕) ไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงบทบัญญัติในกฎหมายว่าด้วยสถานบริการเพื่อกำหนดการยกเว้นไม่ใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยสถานบริการกับสถานประกอบการเพื่อสุขภาพตามพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการบังคับใช้กฎหมายต่อไป |
||||||||||||||||||
| 1948 | ร่างพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรี ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อให้สอดคล้องกับความตกลงอาเซียนว่าด้วยบทบัญญัติเครื่องมือแพทย์และแนวปฏิบัติสากล รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้บริโภค อันเป็นการรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการพิจารณาเพิ่มเติมนิยามคำว่า “เครื่องมือแพทย์” อีกประเด็นหนึ่งในมาตรา ๓ ของร่างพระราชบัญญัติฯ การพิจารณาเพิ่มเติมเนื้อหาในมาตรา ๑๐ เพื่อปรับแก้ไขมาตรา ๒๗ (๕) การพิจารณาเพิ่มการอธิบายและจำแนกประเภทของเครื่องมือแพทย์ตามระดับความเสี่ยง และการปรับปรุงข้อกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐาน รวมทั้งการกำหนดให้เงินที่ได้จากค่าป่วยการไม่ต้องนำส่งคลังและไม่ให้ถือเป็นรายรับตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ สามารถกำหนดได้หรือไม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งเสนอความตกลงอาเซียนว่าด้วยบทบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (AMDD : ASEAN Agreement on Medical Device Directive) เพื่อขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไปด้วย ทั้งนี้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเร่งตรวจสอบมาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ให้รวดเร็วขึ้น เพื่อช่วยส่งเสริมการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ |
||||||||||||||||||
| 1949 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในการนำเข้ากากถั่วเหลือง และออกประกาศนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2558 - 2560 | พณ | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐) ให้การนำเข้ากากถั่วเหลืองมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์เท่านั้น ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๐ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๐ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒. ให้ส่งร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ตาม ๑.๒ ให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยยกเลิกความในข้อ ๓ (๒) และข้อ ๕ แทนการปรับปรุงประกาศดังกล่าวทั้งฉบับ และในการยกเลิกข้อกำหนดที่ต้องมีหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางส่วนในการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องรายงานการนำเข้าต่อกรมการค้าต่างประเทศ จึงควรมีการจัดเก็บข้อมูลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการกำกับดูแลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่ให้ส่งผลกระทบกับเกษตรกรในประเทศและสามารถบริหารจัดการการนำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐) ที่มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดมาตรการรองรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และปลาป่นที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ และให้รายงานสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรทั้ง ๓ รายการดังกล่าวทุกเดือน ในช่วงระยะเวลาที่มีการนำเข้าต่อคณะรัฐมนตรี ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการลดพื้นที่ปลูกข้าวโพดในพื้นที่ป่าที่เกษตรกรได้บุกรุกเข้าไปทำการเพาะปลูก เช่นเดียวกับแนวทางการลดพื้นที่ปลูกยางพาราตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ๕. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรของกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์และเพื่อการบริโภค ให้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน |
||||||||||||||||||
| 1950 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (จำนวน 5 คน พลอากาศเอก วิจิตร์ จิตร์ภักดี ฯลฯ) | คค | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย จำนวน ๕ คน ตามนัยมาตรา ๑๕ แห่งพระราชกำหนดการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ พลอากาศเอก วิจิตร์ จิตร์ภักดี ผู้แทนกองทัพอากาศ ๑.๒ นายอภิชาต เพ็ญสุภา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารกิจการการบินพาณิชย์ ๑.๓ นายพงษ์ไชย เกษมทวีศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๑.๔ นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินหรือการคลัง ๑.๕ นายกงกฤช หิรัญกิจ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารจัดการ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ตามนัยมาตรา ๒๓ แห่งพระราชกำหนดการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเร็วเพื่อจะได้เร่งดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานการบินพลเรือนของไทยตามแนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 1951 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 3/2558 และแนวทางดำเนินการตามโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ชาวสวนยาง | กษ | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ในการปรับปรุงองค์ประกอบ กนย. โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางพารา โครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง และเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองประธาน กนย. หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรชาวสวนยาง ทั้งนี้ การปรับปรุงองค์ประกอบ กนย. มอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ดำเนินการคัดเลือกผู้แทนคนกรีดยางอีก ๑ คน และเสนอให้ฝ่ายเลขานุการ กนย. ดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ๒ ๒. เห็นชอบแนวทางดำเนินการตามโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดย กยท. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางผู้มีเอกสารสิทธิ์ ประกอบด้วยเจ้าของสวนยาง และหรือผู้เช่า และคนกรีดยาง ในสัดส่วนร้อยละ ๖๐ : ๔๐ อัตราไร่ละ ๑,๕๐๐ บาท จำนวน ๘๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน และกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ โดยมอบหมายให้ กยท. ร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหาข้อยุติในประเด็นข้อกฎหมาย ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในส่วนของการใช้เงินจากกองทุนพัฒนายางพารา ให้ดำเนินการให้สอดคล้องตามนัยของพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้ กยท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการขึ้นทะเบียนบัญชีเจ้าของสวนยาง/ผู้เช่าสวนยาง และคนกรีดยางให้ชัดเจน และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวางแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อสนับสนุนให้เกิดการดำเนินการที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายตามโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางทั้ง ๓ ด้าน คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในสวนยาง การปรับปรุงคุณภาพผลผลิตยางพารา และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนกรีดยาง รวมทั้งแนวทางการพัฒนายางด้านอื่น ๆ ที่จะสนับสนุนให้การพัฒนายางทั้งระบบของรัฐบาลเกิดความสมบูรณ์และยั่งยืน โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากเงินกองทุนพัฒนายางพาราในการดำเนินการเป็นหลัก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 1952 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) และกรอบการขยายขอบเขตความคุ้มครองการปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียน การปรับปรุงค่าธรรมเนียม] ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||
| 1953 | ร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) และการขยายขอบเขตความคุ้มครอง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียน การปรับปรุงค่าธรรมเนียม) | นร | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) และการขยายขอบเขตความคุ้มครอง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียน การปรับปรุงค่าธรรมเนียม] ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||
| 1954 | การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ | นร04 | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘) ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเสนอมาตรการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจทั้งในส่วนของการลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและการปรับปรุงระบบการดำเนินงาน โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร รวมทั้งสิทธิประโยชน์ของผู้บริหาร พนักงาน และครอบครัวทั้งในอดีตและปัจจุบัน นั้น การให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สมควรให้พิจารณากำหนดเฉพาะสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานเท่าที่จำเป็น เช่น ค่ารักษาพยาบาล ซึ่งควรได้รับสิทธิเมื่อมีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่หรือพนักงานเท่านั้น และให้พิจารณายกเลิกสิทธิประโยชน์พิเศษอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโดยสารเครื่องบิน หรือการใช้บริการของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ เป็นต้น ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอมาตรการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 1955 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเพิ่มแหล่งการทำประมงในเขตประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเล ซึ่งได้มี การเจรจาความร่วมมือด้านประมงไว้แล้ว เช่น บรูไนดารุสซาลาม กินี โดยให้เพิ่มเติมประเทศศรีลังกาซึ่งมีสัตว์ทะเลจำนวนมากด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลประชาชนแต่ละกลุ่มเพื่อนำมากำหนดแนวทางการดูแลความเป็นอยู่และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยพิจารณาให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ และรายงานความคืบหน้าให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านกำกับดูแลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการอย่างใกล้ชิด ในการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลและ Road Map ของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้แก่เจ้าหนาที่ทุกระดับในสังกัด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๒.๑ ให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดทำแนวทางการประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการทุกสังกัด โดยให้ครอบคลุมการประเมินความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล การบังคับบัญชาและการบริหารงาน ผลการปฏิบัติงานและผลสัมฤทธิ์ รวมทั้งความรู้ทั่วไป ทั้งนี้ ให้เสนอนายกรัฐมนตรีภายในปี ๒๕๕๘ และให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาทบทวนบทบาทการปฏิบัติงานของเอกอัครราชทูตและกงสุลประจำประเทศต่าง ๆ ให้มีบทบาทเชิงรุกในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศของรัฐบาลต่อไปด้วย ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวน การประเมินผลปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ เช่น เกษตรอำเภอ พาณิชย์จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประเมินความรู้ ความเข้าใจในวัตถุประสงค์ ขั้นตอนการปฏิบัติในโครงการสำคัญของรัฐบาล เช่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชน (โครงการตำบลละ ๕ ล้านบาท) มาตรการช่วยเหลือปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวมีผลสำเร็จและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ๒.๓ ให้รัฐมนตรีใช้กลไกคณะอนุกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประจำกลุ่มกระทรวงในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลให้เกิดผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพ และโปร่งใส ทั้งนี้ หากคณะอนุกรรมการฯ พบกรณีทุจริต รวมทั้งการใช้จ่ายงบประมาณไม่คุ้มค่าหรือไม่มีประสิทธิภาพ ให้รายงานรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ก่อน จากนั้นจึงจะรายงานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อรายงานนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒.๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ เห็นชอบการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ โดยมีประเด็นเกี่ยวกับการแบ่งช่วงระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศเป็น ๓ ระยะ นั้น ในส่วนของระยะที่ ๒ ซึ่งเป็นการบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศของรัฐบาล ให้แบ่งช่วงระยะเวลาและให้ส่วนราชการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๔.๑ ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลและการขับเคลื่อนการปฏิรูประยะที่ ๑ จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงาน ๒.๔.๒ ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙-๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลและการขับเคลื่อนการปฏิรูประยะที่ ๒ จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อใช้เป็นแนวทางดำเนินการของหน่วยงาน ๒.๔.๓ ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ การดำเนินการเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ให้คนในชาติ จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินการของหน่วยงานพร้อมทั้งจัดทำสรุปผลการดำเนินงาน ที่ผ่านมาเพื่อเตรียมส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไป ๒.๔.๔ ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ การส่งต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามารับช่วงต่อจากรัฐบาลชุดนี้ จัดทำประเด็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องดำเนินการและกำหนดกลไก ในการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ๒.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง และพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในปัจจุบันและเพียงพอกับ ความต้องการใช้น้ำในระยะต่อไปในด้านต่าง ๆ เช่น การอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ การทำการเกษตรกรรม แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีตามกำหนดอย่างเคร่งครัดด้วย ๒.๖ ให้สำนักโฆษก (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) กรมประชาสัมพันธ์ และทุกส่วนราชการร่วมกันสร้าง การรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เช่น การส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะเรื่อง การให้สิทธิประโยชน์ในภาพรวม นโยบายด้านการเงินการคลังของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการเสียภาษี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรการป้องกันการเกิดปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) นโยบายการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ การประมูลคลื่นความถี่ (4G) รวมถึงความจำเป็นซึ่งต้องใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ ในการแก้ไขปัญหาสำคัญเร่งด่วน โดยให้เน้นช่องทางการสื่อสาร ที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย เช่น social media โดยนำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ๒.๗ ให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญในการนำเสนอศิลปวัฒนธรรมไทย เช่น การแสดงโขน อาหารไทย ในรูปแบบที่ดึงดูดและเข้าใจได้ง่ายผ่านช่องทางการสื่อสารที่ประชาชนเข้าถึง ได้ง่าย เช่น social media หรือสื่อโทรทัศน์ ๒.๘ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย และการปรับปรุงมาตรฐานการบินพลเรือนของไทยตามแนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนด และรายงานรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลและนายกรัฐมนตรีต่อไป ๒.๙ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดรูปแบบมาตรฐานในการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ของหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรอิสระ ให้มีความเหมาะสมกับภารกิจที่รับผิดชอบและคุ้มค่ากับงบประมาณในการดำเนินการ ๒.๑๐ ให้กระทรวงสาธารณสุข (องค์การเภสัชกรรม) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาผลกระทบและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาของการคุ้มครองข้อมูลยา การนำเข้ายา จากต่างประเทศ และการลงทุนจากบริษัทยาภายนอก ซึ่งทำให้ประเทศไทยต้องซื้อยาในราคาที่แพงขึ้น เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership : TPP) รวมทั้งความตกลงระหว่างประเทศอื่น ๆ ด้วย โดยให้มีผลการดำเนินการที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๙ ๒.๑๑ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักรวบรวมข้อเสนอและความต้องการของ ทุกส่วนราชการเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการวิจัยและพัฒนาในภาพรวมของประเทศอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้มีผลงานวิจัยที่เป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ โดยคำนึงถึงแหล่งเงินทุน ในการวิจัย ผลตอบแทน นักวิจัย และให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างแท้จริงและเกิดความคุ้มค่าในการดำเนินการต่อไปด้วย ๒.๑๒ ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ตรวจสอบและเตรียมความพร้อมของระบบเทคโนโลยีและเครื่องมือต่าง ๆ ในการให้บริการภายในท่าอากาศยานต่าง ๆ ไม่ให้เกิดข้อขัดข้อง พร้อมทั้งจัดทำแผนการซ่อมและบำรุงรักษาเพื่อให้สามารถตอบสนองการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||
| 1956 | รายงานการพิจารณาศึกษาการผังเมืองและการใช้พื้นที่ | สว | 27/10/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาการผังเมืองและการใช้พื้นที่ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการผังเมืองและการใช้พื้นที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการผังเมืองและการใช้พื้นที่อย่างยั่งยืน และแนวทางในการขับเคลื่อนให้การผังเมืองและการใช้พื้นที่ประสบผลสำเร็จ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับรายงานและข้อเสนอแนะฯ ไปเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 1957 | ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการรวมกันเป็นสมาคมของบุคคล) และ ร่างพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ | นร09 | 27/10/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติรวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการรวมตัวเป็นสมาคมของบุคคล) ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีของสมาคมที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ ควรพิจารณาศึกษารายละเอียดของกฎหมายดังกล่าวว่าเป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลหรือไม่ และตามมาตรา ๖ ในร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ พ.ศ. .... กำหนดให้นายทะเบียนมีหน้าที่แจ้งเป็นหนังสือให้สมาคมการค้าที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ ทราบถึงสิทธิและหน้าที่ตามที่กำหนดในมาตรา ๔ และมาตรา ๗ นั้น ในทางปฏิบัตินายทะเบียนควรระบุเรื่องที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อาทิ แนวทาง ขั้นตอน และเอกสารที่ต้องใช้ในการดำเนินการขอจดทะเบียนพร้อมกันไปด้วย นอกจากนี้ บทบัญญัติตามมาตรา ๘ ในร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ พ.ศ. .... ซึ่งรองรับการอ้างถึงสมาคมการค้าในกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศอื่นใดให้หมายถึงสมาคมที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในระยะต่อไป ควรพิจารณาให้มีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ และพระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๐๓ เพื่อให้เกิดความทันสมัยและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ปรับเปลี่ยน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 1958 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - อิสราเอล | คค | 27/10/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-อิสราเอล และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและอิสราเอล มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงสิทธิการบินต่าง ๆ ได้แก่ ใบพิกัดเส้นทางบิน ความจุความถี่ สิทธิในการทำการบินเชื่อมจุด สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ และข้อบทการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๒. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
||||||||||||||||||
| 1959 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 21 | คค | 27/10/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสาร ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยทางถนน (๒) ร่างปฏิญญาความร่วมมือด้านการขนส่งของอาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ และ (๓) แผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งอาเซียน ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ให้การรับรองเอกสารดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมการพัฒนาระบบขนส่งอัจฉริยะและผลักดันให้เกิดการพัฒนาเชื่อมโยงระบบข้อมูลการจราจรอัจฉริยะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ และประสานขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการเข้าร่วมเป็นภาคีในการรณรงค์สร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจัง การยกระดับคุณภาพอุตสาหกรรมขนส่งทางอากาศทั้งระบบ โดยเร่งปรับปรุงระบบการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการสร้างบุคลากรทางการบินให้มากขึ้น ตลอดจนการปรับปรุงกฎระเบียบและโครงสร้างกิจการด้านการพาณิชยนาวีเพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมความพร้อมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันผู้ประกอบการเดินเรือและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปรับปรุงระบบการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลและการทิ้งของเสียจากเรือขนส่งผู้โดยสารและสินค้า ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 1960 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 ขององค์การขนส่ง มวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 27/10/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๘๒๙.๒๘๖ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๒,๔๖๙.๕๔๒ ล้านบาท ๒. ให้ ขสมก. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ งวดที่ ๒ จำนวน ๑๗๖.๑๕๘ ล้านบาท และ รฟท. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ งวดที่ ๒ จำนวน ๗๗๔.๙๔๖ ล้านบาท ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ ขสมก. ปรับปรุงการให้บริการตามผลการสำรวจความพึงพอใจ เช่น ลดความเร็วในการขับขี่ ปฏิบัติตามกฎจราจรโดยเคร่งครัด และนำผลการศึกษาต้นทุนต่อกิโลเมตรที่ทำการศึกษาโดยศูนย์วิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาประกอบการจัดทำข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ และให้ รฟท. เร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและยกระดับคุณภาพการให้บริการ โดยเฉพาะด้านความสะอาด ความปลอดภัยและความตรงต่อเวลา การเร่งรัดการดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามแผนการลงทุน การจัดทำแนวทางการปรับปรุงผลการดำเนินงานการให้บริการสาธารณะสำหรับตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ค่าเป้าหมาย รวมทั้งการศึกษาต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ในการให้บริการของรถไฟที่มีประสิทธิภาพเพื่อประกอบการพิจารณาข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
.....
