ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 94 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1861 - 1880 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1861 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 13 (13th ASEAN Ministerial Meeting on the Environment : 13th AMME) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ทส | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๑๓ (13th ASEAN Ministerial Meeting on the Environment : 13th AMME) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมประเทศภาคีต่อข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ ๑๑ (11th Meeting of the Conference of the Parties to Haze Agreement : 11th COP HAZE) และการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๑๔ (14th ASEAN Plus Three Environment Ministers Meeting : 14th EMM+3) ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม และร่วมกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม 13th AMME โดยเห็นว่า วิสัยทัศน์อาเซียนภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ นั้น สนับสนุนการยกระดับความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพและมีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และเรียกร้องให้อาเซียนสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน อีกทั้งยืนยันความมุ่งมั่นของประเทศไทยว่าพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศสมาชิกอาเซียน ดำเนินการต่อประเด็นท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษหมอกควันข้ามแดนที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการทำลายระบบนิเวศ ๒. การแก้ไขปฏิญญาอาเซียนภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ว่าด้วยวาระความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยุทธศาสตร์อาเซียน-จีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ฉบับสมบูรณ์ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความเห็นชอบในการประชุม 13th AMME ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันปรับแก้ไขในระหว่างการประชุม 13th AMME และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดยการแก้ไขดังกล่าวเป็นการปรับปรุงแก้ไขในรูปประโยคและขยายความเพื่อเพิ่มความเข้าใจของประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกันซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
|
|||||||||||||||||||||
| 1862 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลสัตว์ และลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาลสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลสัตว์ และลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาลสัตว์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลสัตว์ เครื่องมือ เครื่องใช้ ยา และเวชภัณฑ์ที่จำเป็นประจำสถานพยาบาลสัตว์ และลักษณะป้ายชื่อของสถานพยาบาลสัตว์และผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อให้ครอบคลุมลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาลสัตว์ ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลสัตว์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 1863 | รายงานผลการดำเนินการตามรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง สิทธิในการจัดการที่ดินและป่า กรณีประชาชนร้องเรียนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 64/2557 และฉบับที่ 66/2557 ก่อให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน) | ทส | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง สิทธิในการจัดการที่ดินและป่า กรณีประชาชนร้องเรียนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๖๔/๒๕๕๗ และฉบับที่ ๖๖/๒๕๕๗ ก่อให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยการจัดที่ดินทำกินให้ราษฎรได้ปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย ให้สิทธิทำกินแต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ การทวงคืนผืนป่าโดยยึดถือการปฏิบัติตามแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การวางแผนร่วมกับชุมชนเพื่อติดตามผู้มีอิทธิพลกับราษฎรในพื้นที่ การจัดให้มีกระบวนการตรวจสอบพิสูจน์สิทธิ รวมทั้งการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1864 | สรุปความต้องการใช้ยางพาราในการดำเนินโครงการของส่วนราชการ | นร | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการยางพารา ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการบริหารจัดการยางพาราเพื่อให้เกิดกลไกการรับซื้อในราคาสูง โดยสร้างทางเลือกให้แก่เกษตรกร เพิ่มขีดความสามารถ ความเข้มแข็ง นวัตกรรม การวิจัยและพัฒนาให้ภาคเอกชน แบ่งออกเป็นมาตรการ ๓ ระยะ ๑.๑.๑ มาตรการระยะที่ ๑ การลงทุนเรื่องการวิจัยและพัฒนาการแปรรูปยางพารา โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา และให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่นำผลวิจัยไปผลิตผลิตภัณฑ์ แปรรูปยางพารา ทั้งผู้ประกอบการรายใหม่ (Start Up) และผู้ประกอบการรายเดิมที่มีการปรับปรุงหรือขยายกิจการ และให้ส่วนราชการจัดซื้อหรือจัดจ้าง วัสดุ ครุภัณฑ์ และสิ่งก่อสร้างที่มีส่วนผสมของยางพาราดังกล่าว ๑.๑.๒ มาตรการระยะที่ ๒ การขยายตลาดภายในประเทศ โดยให้มีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ยางพาราในผลิตภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ โดยขยายจากภาคราชการไปสู่ภาคเอกชน ๑.๑.๓ มาตรการระยะที่ ๓ การสร้างนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางพาราอย่างต่อเนื่อง และให้สามารถนำไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศได้ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น มาตรการทางภาษี เป็นต้น ๑.๒ ในระยะ ๓ เดือนก่อนการปิดกรีดจะมีปริมาณยางพาราออกสู่ตลาด ๘ แสนตัน-๑ ล้านตัน ดังนั้น เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคายาง ขอให้กระทรวงพาณิชย์ (องค์การคลังสินค้า) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การยางแห่งประเทศไทย รวมทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติกำหนดกลไกรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรโดยตรง เพื่อนำมาเข้าสู่กระบวนการแปรรูปก่อนจำหน่ายให้แก่ส่วนราชการ (อาจจำหน่ายในลักษณะน้ำยางดิบในกรณีที่นำไปผสมทำถนน) โดยให้ส่วนราชการใช้งบประมาณที่มีอยู่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง วัสดุ ครุภัณฑ์ และสิ่งก่อสร้างที่มีส่วนผสมของยางพาราในสัดส่วนที่สูงขึ้น ๒. เนื่องจากข้อมูลสรุปความต้องการใช้ยางพาราในการดำเนินโครงการของส่วนราชการที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมมานั้น ยังไม่สอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการยางพาราของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการปรับเพิ่มสัดส่วนการใช้ยางพาราในวัสดุ ครุภัณฑ์ และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จึงให้ทุกส่วนราชการที่มีความต้องการใช้ยางพาราพิจารณาทบทวนการดำเนินงานตามแนวทางข้างต้นแล้วเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ (ด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ) พิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป ๓. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยเร่งรัดการเปิดโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราใหม่ ๗๙ โรง ซึ่งคาดว่าหากโรงงานอุตสาหกรรมดังกล่าวเปิดดำเนินการครบทุกแห่งจะมีการใช้ยางพาราประมาณ ๘.๗ แสนตัน และได้เร่งรัดให้โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราเพิ่มปริมาณการเก็บสต็อกยางพาราเป็นวัตถุดิบ รวมทั้งให้เตรียมการรองรับการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ยางพาราจากส่วนราชการต่าง ๆ โดยในขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมได้มีการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางพาราเพิ่มมากขึ้น เช่น หมอนสุขภาพ ถุงมือ รองเท้า แผ่นยางปูพื้น กาวน้ำยาง เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีโครงการในการสนับสนุนผู้ประกอบการยางพารา เช่น โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาง โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย) และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) เร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราในโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ และแนวทางดำเนินการตามโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง) |
|||||||||||||||||||||
| 1865 | การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ครบ 70 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน 2559 และเนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินินาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2559 | นร | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่ในปี ๒๕๕๙ นี้ มี ๒ โอกาสอันเป็นมหามงคล คือ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ ๗๐ ปี เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ และวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ เป็นวันที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา จึงเห็นควรให้มีการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสดังกล่าว ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้คนในชาติได้แสดงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่พระเกียรติคุณของทั้งสองพระองค์ไปยังนานาประเทศด้วย เช่น การร่วมมือกับภาคเอกชนจัดกิจกรรมการแสดงต่าง ๆ นอกจากนี้ เห็นควรดำเนินโครงการ/กิจกรรมอื่น ๆ เช่น การจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า การปรับปรุงสวนเบญจกิติในลักษณะสวนป่าตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ การปรับปรุงศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ด้วย ๒. มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดกิจกรรมดังกล่าวให้เหมาะสมต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 1866 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ในพื้นที่ จังหวัดน่าน เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเหมืองและโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาลิกไนต์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) | สม | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ในพื้นที่จังหวัดน่าน เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเหมืองและโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาลิกไนต์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพิจารณาทบทวนแผนการพัฒนาพลังงานของชาติ การดำเนินการตามแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกร้อยละ ๒๕ ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๔) และแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๗๓) การให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานหมุนเวียนที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม การริเริ่มหรือพัฒนาโครงการใด ๆ ในระดับชาติ ต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ สิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชน และผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่โครงการ รวมทั้งการจัดตั้งกลไกหรือกำหนดภารกิจการกำกับดูแลการลงทุนในต่างประเทศของผู้ลงทุนสัญชาติไทยให้เคารพต่อหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน ๒. มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพาณิชย์เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1867 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วย งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบแสดงฐานะการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ๑.๑ รัฐบาลมีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน ๒,๒๗๓,๑๘๓.๓๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๘๘,๒๓๔.๑๗ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๐๔ ส่วนใหญ่เป็นรายได้แผ่นดินที่หน่วยงานภาครัฐนำส่ง ซึ่งเป็นรายได้จากภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ รวมทั้งรายได้จากการนำส่งกำไรและเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจ รายได้ที่ไม่เป็นตัวเงิน ประกอบด้วย กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และส่วนเกินมูลค่าพันธบัตรตัดจำหน่ายซึ่งเป็นรายการปรับปรุงบัญชีเพื่อรับรู้รายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด และรายได้อื่น ๑.๒ รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้นจำนวน ๒,๔๖๔,๒๓๖.๓๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๐๘.๔๑ ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๑๑๓,๓๖๔.๘๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๘๒ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายจากเงินงบประมาณ (ปีปัจจุบันและปีก่อน) ดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมเงินกู้ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ๑.๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รัฐบาลมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย จำนวน ๑๙๑,๐๕๓.๐๓ ล้านบาท ๒. งบแสดงฐานะการเงิน ๒.๑ รัฐบาลมีสินทรัพย์ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖,๖๗๓,๔๕๙.๒๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๔๓๔,๔๓๖.๙๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๙๖ ประกอบด้วย สินทรัพย์หมุนเวียน จำนวน ๖๙๕,๓๒๖.๓๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๐.๔๒ ของสินทรัพย์รวม และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน จำนวน ๕,๙๗๘,๑๓๒.๙๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๙.๕๘ ของสินทรัพย์รวม ๒.๒ รัฐบาลมีหนี้สินและภาระผูกพัน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๔,๑๐๖,๘๑๒.๐๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๑.๕๔ ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๒๗๐,๗๑๘.๕๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๐๖ ประกอบด้วย หนี้สินหมุนเวียน จำนวน ๘๐๑,๔๒๖.๔๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๒.๐๐ ของสินทรัพย์รวม และหนี้สินไม่หมุนเวียน จำนวน ๓,๓๐๕,๓๘๕.๖๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๙.๕๓ ของสินทรัพย์รวม ๒.๓ รัฐบาลมีสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๕๖๖,๖๔๗.๒๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๘.๔๖ ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๑๖๓,๗๑๘.๔๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๘๑
|
|||||||||||||||||||||
| 1868 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการประชุมและการปฏิบัติงานของคณะรัฐมนตรี และการปรับปรุงงานประชาสัมพันธ์ของทางราชการ | นร05 | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่านายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงงานประชาสัมพันธ์ของทางราชการ ประกอบด้วย (๑) มาตรการแก้ไข ซึ่งให้ใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป และ (๒) มาตรการเสริม [ตามหนังสือสำนักงานรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ที่ สพล (ลร ๖) ๑๘๐/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘] และตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่านายกรัฐมนตรีได้กำหนดแนวทางการประชุม การแถลงข่าว และการปฏิบัติงานของคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมสตรีได้แจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติตามข้อสั่งการของนายกรัฐมตรีเรียบร้อยแล้ว (ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/ว(ล) ๒๑ ลงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๙) ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี โฆษกกระทรวง โฆษกหน่วยงาน โฆษกกลุ่มงาน และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ๒.๑ ในการดำเนินการด้านการประชาสัมพันธ์ในปี ๒๕๕๙ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีชี้แจงความก้าวหน้าการดำเนินการทุกสัปดาห์ โดยมุ่งเน้นเรื่อง (๑) งานบริหารราชการปกติที่มุ่งเน้นการบูรณาการและการนำไปสู่การปฏิบัติ (๒) งานตามนโยบายเร่งด่วนและที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เช่น การดูแลช่วยเหลือเกษตรกร การบริหารจัดการน้ำ การทำการประมง การจัดการทรัพยากรป่าไม้ การค้าและอุตสาหกรรม ประชาคมอาเซียน เทคโนโลยีสารสนเทศ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (๓) งานที่เป็นผลสำเร็จที่ดำเนินการร่วมกับประชาชน เช่น ตลาดชุมชน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืช การใช้กลไกประชารัฐ ทั้งนี้ ในการชี้แจงดังกล่าวให้จัดทำเป็นเอกสารเผยแพร่ให้สื่อมวลชนด้วย ๒.๒ ในการดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกหน่วยงาน โฆษกกลุ่มงาน และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ ให้โฆษกคำนึงถึงการลดความขัดแย้งในเรื่องที่ไม่จำเป็น และให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย ๓. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) แจ้งแนวทางการทำงานของรัฐบาลดังกล่าวให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 1869 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร04 | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีให้ข้อคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานการดำเนินงานด้านความมั่นคงโดยเน้นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเพื่อระวังป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย โดยมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง (กระทรวงมหาดไทย) ในการลงพื้นที่ร่วมกัน และการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย และการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องต่าง ๆ เช่น การขาดแคลนน้ำในหลายพื้นที่ รวมทั้งการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในช่วงเทศกาลปีใหม่ ด้านการท่องเที่ยว จะดำเนินการเพื่อมุ่งสู่การท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพมากขึ้น และส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่น รวมทั้งให้กรุงเทพมหานครกลับมาเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับที่ ๑ ของโลก และด้านการกีฬา มีการแบ่งกิจกรรมกีฬาเป็นคลัสเตอร์ (Cluster) ต่าง ๆ และมีแผนการตั้งมหาวิทยาลัยกีฬา ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) รายงานการขับเคลื่อนและบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบันควรเร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเตรียมทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพในอนาคต รวมทั้งการส่งเสริมด้านอาชีวศึกษาเพื่อผลักดันในการสร้างทรัพยากรบุคคลที่ทำงานได้ตรงตามสายงานและความต้องการของประเทศ ๑.๔ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานการดำเนินงานด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ งานในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงาน งานในความรับผิดชอบของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และงานในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ๑.๕ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานภารกิจของฝ่ายเศรษฐกิจ ได้แก่ การรักษาอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ ๑.๖ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รายงานเกี่ยวกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ปี ๒๕๕๙ ได้แก่ การสร้างวินัยในการขับขี่ การบังคับใช้กฎหมาย และสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ปี ๒๕๕๙ ๑.๗ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่าจะเดินทางไปนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในช่วงวันที่ ๑๒-๑๓ มกราคม ๒๕๕๙ ในฐานะตัวแทนนายกรัฐมนตรี เพื่อไปรับมอบตำแหน่งประธานกลุ่ม ๗๗ (G-77) และได้รับแจ้งจากผู้จัดการประชุมเศรษฐกิจประจำปี หรือ World Economic Forum ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ มกราคม ๒๕๕๙ ว่า ขอเชิญให้นายกรัฐมนตรีไปกล่าวปาฐกถาพิเศษ (Special address) ในเวทีการประชุมฯ จากเดิมที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาร่วมกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย รวมทั้งได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากทางการสหรัฐอเมริกาว่า ขอเลื่อนกำหนดการส่งรายงานประจำปีเรื่องสถานการณ์การค้ามนุษย์ของแต่ละประเทศให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อประกอบการจัดทำรายงาน Trafficking in Persons (TIP) ของสหรัฐอเมริกา ในปี ๒๕๕๙ เร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา) ๑.๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศในปี ๒๕๕๙ จะต่อยอดแนวคิด ๑๒ เมืองต้องห้าม ... พลาด สู่โครงการ ๑๒ เมืองต้องห้าม ... พลาด PLUS โดยเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในท้องถิ่น รวมไปถึงชุมชนและภาคการเกษตร ๑.๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รายงานการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ได้แก่ การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) การปราบปรามยาเสพติด และการแก้ไขปัญหาทุจริต ๒. มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยให้มีการสร้างการรับรู้และดำเนินกิจกรรมที่มีความเชื่อมโยงกันทั้งด้านการป้องกัน ปราบปรามยาเสพติด และฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับวินัยในการขับขี่ปลอดภัยให้แก่เยาวชน และสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 1870 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) เพื่อมิให้อำนาจหน้าที่ของ กนศ. ซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (พกค.) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และท่าทีในการเจรจาด้านเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านของ กนศ. ให้สอดคล้องกับการดำเนินการของคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) และควรจัดให้มีการประชุม กนศ. อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศมียุทธศาสตร์และทิศทางที่ชัดเจน นอกจากนี้ ควรมีการเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลและการดำเนินการระหว่าง กนศ. และ พกค. รวมทั้งคณะกรรมการอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพิจารณากำหนดนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. อนุมัติให้ยกเลิกคณะทำงานยุทธศาสตร์การเจรจาการค้าของประเทศตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ |
|||||||||||||||||||||
| 1871 | รายงานแผนงานและงบประมาณในการดำเนินแผนงานสำคัญของรัฐบาล | นร | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณรายงานแผนงานและงบประมาณในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งรายละเอียดแนวทางการจัดทำงบประมาณแบบบูรณาการ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ แผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙ (Action Plan) เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งตามแนวตะวันออก-ตะวันตก (E-W Corridor)] มีวงเงินทั้งสิ้น ๑.๗๙ ล้านล้านบาท ปรับลดลงจาก ๒ ล้านล้านบาท ในแผนงานเดิม โดยในรายละเอียดแผนงานมีการปรับปรุงโครงการต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม โดยเฉพาะในประเด็นความพร้อมในการดำเนินงาน และความจำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ เช่น เพิ่มการพัฒนารถไฟความเร็วปานกลาง จำนวน ๑ สายทาง เพื่อรองรับการขนส่งสินค้า จากเดิมที่เน้นการพัฒนาเฉพาะการขนส่งผู้โดยสาร เป็นต้น ซึ่งการปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานตามแผนงานใหม่ส่งผลให้การก่อหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่เหมาะสมตามกรอบความยั่งยืนด้านการคลังจากการใช้แหล่งเงินทุนหลายรูปแบบแทนการใช้เงินกู้เพียงอย่างเดียว ๑.๒ แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙) เป็นการปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการน้ำ จากเดิมที่เน้นเฉพาะการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงปัญหาอุทกภัย ภัยแล้ง และคุณภาพน้ำในพื้นที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งส่งผลให้พื้นที่รับประโยชน์ตามเป้าหมายต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น เช่น พื้นที่ฟื้นฟูป่าปรับเพิ่มขึ้นจาก ๒๖๐,๐๐๐ ไร่ เป็น ๔,๗๗๐,๐๐๐ ไร่ เป็นต้น นอกจากนี้ แผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้ยังครอบคลุมภารกิจงานสำคัญเพิ่มเติมจากเดิม เช่น การสร้างระบบประปาหมู่บ้าน การเพิ่มพื้นที่ชลประทาน และการฟื้นฟูแหล่งน้ำ เป็นต้น ๑.๓ แนวทางการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ การจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ จะพิจารณาแผนงาน/โครงการในลักษณะบูรณาการ ๓ มิติ ได้แก่ มิติยุทธศาสตร์ (Agenda Base) มิติหน่วยงาน (Function base) และมิติพื้นที่ (Area base) เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเป็นไปด้วยความเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ สำนักงบประมาณจะดำเนินการจัดประชุมชี้แจงรายละเอียดแนวทางการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการดังกล่าวให้ทุกส่วนราชการทราบและดำเนินการต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณและกระทรวงคมนาคมรับไปประชาสัมพันธ์และชี้แจงรายละเอียดของแผนงานและงบประมาณตามแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ๓. ให้สำนักงบประมาณและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปประชาสัมพันธ์และชี้แจงรายละเอียดตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙)
|
|||||||||||||||||||||
| 1872 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 4/2558 | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ซึ่งที่ประชุมฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย มาตรการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย และมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน และมาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงตารางการรายงานความคืบหน้าของโครงการภายใต้การขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานให้มีความชัดเจน อาทิ ประเภทของแหล่งเงินในการดำเนินโครงการ ระยะเวลาการดำเนินโครงการ แผนการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งรายปีและรายไตรมาส อัตราการเบิกจ่ายจริงเทียบกับประมาณการอัตราการเบิกจ่ายตามแผน รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในกรณีที่อัตราการเบิกจ่ายจริงต่ำกว่าเป้าหมาย และเสนอแนะแนวทางหรือมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาและเร่งรัดการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมาย และนำเสนอที่ประชุมในโอกาสต่อไป ๓. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานกับธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อแจ้งผลการให้สินเชื่อกับประชาชนผู้มีรายได้น้อยแก่ผู้ว่าราชการและนายอำเภอได้รับทราบ เพื่อให้การดำเนินมาตรการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งให้มีการพิจารณาเรื่องการประเมินผลเพื่อยกระดับกองทุนที่มีศักยภาพจากระดับ C เป็นระดับ B ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการภายใต้มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบลและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ๕. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานธนาคารออมสินสอบถามความเห็นของธนาคารพาณิชย์ว่ามาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ตรงกับความต้องการของตลาดมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการปรับปรุงนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ๖. มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบการติดตามและรายงานความคืบหน้าของมาตรการการเงินการคลังเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ (๑) มาตรการเพื่อส่งเสริมการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลางของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (๒) มาตรการการลดค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ (๓) มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ (สำหรับอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดมูลค่าไม่เกิน ๓ ล้านบาท) ๗. ให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว ได้แก่ มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน และมาตรการการเงินการคลังเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ถือเป็นมาตรการที่อยู่ภายใต้การขับเคลื่อนของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ให้มีการติดตามความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรค เพื่อรายงานต่อที่ประชุมทุกเดือน
|
|||||||||||||||||||||
| 1873 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในวงเงินรวม ๓๑๓.๓๗ ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติแหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว อย่างไรก็ดี กรณีที่ สพพ. สามารถจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินการดังกล่าวในอัตราที่เหมาะสมตามหลักการประหยัดต้นทุนทางการเงินได้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๒ กรณีการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้ สพพ. นั้น ให้ใช้เงินสะสมเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอก็ขอให้ สพพ. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า สพพ. ควรมีข้อมูลวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงื่อนไขผ่อนปรน (Soft Loan) จากองค์กรระหว่างประเทศอื่น เช่น ธนาคารโลก (World Bank) หรือธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เพื่อใช้อ้างอิงประกอบการพิจารณาในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1874 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีคัดค้านโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ | สม | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิมนุษยชน กรณีคัดค้าน โครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. รัฐควรส่งเสริมให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเป็นโครงการที่ลงทุนและดำเนินการโดยชุมชน เพื่อประโยชน์อันเกิดจากโครงการ เช่น กระแสไฟฟ้า การจ้างงาน แหล่งท่องเที่ยว และเห็นควรปรับปรุงแก้ไขกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เอื้อและสอดคล้องต่อการริเริ่มพัฒนาโครงการโดยชุมชน เช่น ระเบียบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายไฟฟ้าและสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้เอื้อต่อการเสนอขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนขนาดเล็ก ๒. คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานลม โดยกำหนดให้ผู้ขออนุญาตจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเพื่อนำมาพิจารณาประกอบการอนุญาต ๓. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานควรพิจารณาปรับเปลี่ยนและเสนอนโยบายการพัฒนาพลังงานทดแทนโดยให้มีการสนับสนุนและพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากโรงฟ้าขนาดเล็กโดยชุมชน ๔. สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมควรเสนอต่อคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อพิจารณายกเลิกมติที่กำหนดให้โครงการโรงไฟฟ้ากังหันลมเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของเกษตรกร
|
|||||||||||||||||||||
| 1875 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 ครั้งที่ 5 | กษ | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๕ และครั้งที่ ๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๕ ๑.๑.๑ สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๔๐,๕๙๑ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๘ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๗,๐๘๘ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๖ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๑.๑.๒ การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน-๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๗๒๕ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๗ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๕๙๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๐ ของแผนการจัดสรรน้ำ ๑.๑.๓ การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ช่วงวันที่ ๘-๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อน จำนวน ๖ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนนเรศวร และเขื่อนเจ้าพระยา ๑.๑.๔ สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๖.๔๐ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๕.๖๙ ล้านไร่ เสียหาย จำนวน ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๐.๖๙ ล้านไร่ ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๐.๓๕ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๑.๔๐ ล้านไร่ และปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ จำนวน ๑.๒๙ ล้านไร่ ๑.๒ สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๖ ๑.๒.๑ สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๔๐,๗๒๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๗ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๖,๘๒๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๖ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๑.๒.๒ การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ อ่างเก็บน้ำใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๘๖๙ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๘ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๗๐๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๔ ของแผนการจัดสรรน้ำ ๑.๒.๓ การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ช่วงวันที่ ๑๔-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อน จำนวน ๖ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนนเรศวร และเขื่อนเจ้าพระยา ๑.๒.๔ สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๖.๔๐ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๕.๙๔ ล้านไร่ เสียหาย จำนวน ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๐.๔๔ ล้านไร่ ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๐.๖๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๑.๑๓ ล้านไร่ และปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ จำนวน ๑.๔๙ ล้านไร่ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกันในการบริหารจัดการน้ำของประเทศทั้งระบบเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการใช้น้ำในระยะต่อไป โดยเฉพาะในกรณีที่พื้นที่เก็บน้ำไม่ตรงกับพื้นที่ที่ต้องการใช้น้ำ ให้พัฒนาในเรื่องระบบท่อส่งน้ำและระบบการกระจายน้ำ ตลอดจนการปรับปรุงแหล่งกักเก็บน้ำที่มีอยู่เดิมให้สามารถใช้งานได้ ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและให้สร้างการรับรู้เรื่องวินัยการใช้น้ำให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 1876 | ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 15 ที่เมืองปาดัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | กต | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association : IORA) ครั้งที่ ๑๕ เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ เมืองปาดัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยที่ประชุมได้ร่วมรับรองและลงนามเอกสาร ๓ ฉบับ (ร่างปฏิญญาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยความร่วมมือทางทะเล ร่างแถลงการณ์ปาดัง และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกกรอบสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยการประสานงานและร่วมมือเพื่อการค้นหาและช่วยเหลือในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย) และมอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นความปลอดภัยและความมั่นคงทางทะเล ได้แก่ การแต่งตั้งผู้ประสานงานหลักระดับชาติในเรื่องความปลอดภัยและความมั่นคงทางทะเล การให้ข้อมูลแก่สำนักเลขาธิการ IORA (หน่วยงานด้านความปลอดภัยและความมั่นคงทางทะเลของไทย พร้อมทั้งขีดความสามารถและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าว เป็นต้น) การลงนามและเป็นภาคีในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการประสานงานและร่วมมือเพื่อการค้นหาและช่วยเหลือในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ๑.๒ ประเด็นเศรษฐกิจภาคทะเล ได้แก่ การให้ความเห็นชอบต่อข้อเสนอโครงการซึ่งเป็นผลจากการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจทางทะเล ครั้งที่ ๑ ที่มอริเชียส เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๘ ประกอบด้วย โครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และ/หรือ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งขนาดเล็กในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย โครงการฝึกอบรมด้านการจัดการการประมงระหว่างจับ การแปรรูปหลังการจับ และการเก็บรักษาสินค้าประมงและสินค้าจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โครงการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนจากมหาสมุทร และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย โครงการฝึกอบรมเรื่องการสำรวจทรัพยากรใต้ทะเลอย่างยั่งยืน โครงการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการปรับปรุงการค้าบริเวณมหาสมุทรอินเดียด้วยการส่งเสริมความเชื่อมโยงของท่าเรือ และโครงการจัดตั้งระบบตรวจการณ์ทางทะเลในบริเวณมหาสมุทรอินเดีย ๑.๓ ประเด็นการค้าและการลงทุน ได้แก่ การให้ประเทศสมาชิกแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียพิจารณาเข้าร่วมการประชุมด้านเศรษฐกิจและธุรกิจ ครั้งที่ ๒ (Economic and Business Conference : EBC-II) ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ เมษายน ๒๕๕๙ ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจภาคทะเล (Blue Economy) โครงการที่ ๑ โครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และ/หรือ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งขนาดเล็กในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียนั้น เห็นควรให้ความสำคัญกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งมากกว่าการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เพราะจะมีส่วนสำคัญที่แสดงความตั้งใจและนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมของการแก้ไขปัญหา IUU ของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบต่อข้อมติเรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาเอกสาร The Indian Ocean Rim Association (IORA) Concord และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศรับรองเอกสารดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
|||||||||||||||||||||
| 1877 | ของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน | นร10 | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ของสำนักงาน ก.พ.ร. จำนวน ๒ โครงการ คือ โครงการเผยแพร่หลักธรรมาภิบาลให้แก่ประชาชน และโครงการปรับปรุงงานบริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน (Fast Service)
|
|||||||||||||||||||||
| 1878 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 ครั้งที่ 6 | กษ | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๕ และครั้งที่ ๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๕ ๑.๑.๑ สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาณน้ำรวม ๔๐,๕๙๑ ล้านลูกบากศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๘ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๗,๐๘๘ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๖ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๑.๑.๒ การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน-๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ อ่างเก็บน้ำใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๗๒๕ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๗ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๕๙๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๐ ของแผนการจัดสรรน้ำ ๑.๑.๓ การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ช่วงวันที่ ๘-๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อน จำนวน ๖ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนนเรศวร และเขื่อนเจ้าพระยา ๑.๑.๔ สถานการณ์เพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๖.๔๐ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๕.๖๙ ล้านไร่ เสียหาย จำนวน ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๐.๖๙ ล้านไร่ ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๐.๓๕ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๑.๔๐ ล้านไร่ และปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ จำนวน ๑.๒๙ ล้านไร่ ๑.๒ สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๖ ๑.๒.๑ สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาณน้ำรวม ๔๐,๗๒๖ ล้านลูกบากศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๗ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๖,๘๒๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๖ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๑.๒.๒ การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ อ่างเก็บน้ำใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๘๖๙ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๘ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๘๐๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๔ ของแผนการจัดสรรน้ำ ๑.๒.๓ การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ช่วงวันที่ ๑๔-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อน จำนวน ๖ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนนเรศวร และเขื่อนเจ้าพระยา ๑.๒.๔ สถานการณ์เพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๖.๔๐ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๕.๙๔ ล้านไร่ เสียหาย จำนวน ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๐.๔๔ ล้านไร่ ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๐.๖๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๑.๑๓ ล้านไร่ และปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ จำนวน ๑.๔๙ ล้านไร่ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกันในการบริหารจัดการน้ำของประเทศทั้งระบบเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการใช้น้ำในระยะต่อไป โดยเฉพาะในกรณีที่พื้นที่เก็บน้ำไม่ตรงกับพื้นที่ที่ต้องการใช้น้ำ ให้พัฒนาในเรื่องระบบท่อส่งน้ำและระบบการกระจายน้ำ ตลอดจนการปรับปรุงแหล่งกักเก็บน้ำที่มีอยู่เดิมให้สามารถใช้งานได้ ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและให้สร้างการรับรู้เรื่องวินัยการใช้น้ำให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 1879 | หลักเกณฑ์การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ | ยธ | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอหลักเกณฑ์การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ ซึ่งคณะกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ๑๓ ข้อ เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องใช้และยึดถือปฏิบัติ รวมทั้งจะเป็นการแก้ไขปัญหาเขตที่ดินทับซ้อนให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น และเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการใช้พื้นที่ของรัฐอย่างสูงสุด
|
|||||||||||||||||||||
| 1880 | โครงการศึกษาพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ | คค | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานโครงการศึกษาการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้รับมอบหมายให้พิจารณาจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางสำหรับคนพิการและคนทั่วไป ซึ่งสอดคล้องตามแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ โดยผลลัพธ์ของโครงการประกอบด้วย ๓ ส่วน ดังนี้
๑. แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ๑.๑ ด้านนโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกและการให้บริการคนพิการและผู้สูงอายุ ซึ่งมีการเสนอให้ทบทวนและปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ๑.๒ ด้านการปรับปรุงโครงสร้างทางกายภาพ สิ่งอำนวยความสะดวก และยานพาหนะสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ โดยเสนอให้มีการกำหนดช่วงระยะเวลาการดำเนินการปรับปรุงหรือพัฒนาอาคารสถานที่ที่ให้บริการภาคขนส่งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่นให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและหลักการออกแบบเพื่อคนทุกคน (Universal Design) และ Service Design ๑.๓ ด้านการฝึกอบรมบุคลากรเกี่ยวกับการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกและการให้บริการคนพิการและผู้สูงอายุความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคนพิการแต่ละประเภทและผู้สูงอายุ ๑.๔ ด้านการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้อำนวยความสะดวกแก่คนพิการและผู้สูงอายุ ๒. ต้นแบบการปรับปรุงและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุในสถานที่ให้บริการภาคขนส่ง ๕ แห่ง ได้แก่ ป้ายหยุดรถโดยสารประจำทางบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (ถนนบรมราชชนนี) ท่าเรือพระนั่งเกล้า สถานีรถไฟความเร็วสูงนครปฐม และท่าอากาศยานดอนเมือง ๓. คู่มือการให้ความช่วยเหลือคนพิการแต่ละประเภทและผู้สูงอายุ และคู่มือแปลภาษา หรือป้ายสัญลักษณ์ภาษาสำหรับหน่วยงานที่ให้บริการภาคขนส่ง
|
|||||||||||||||||||||
.....
