ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 99 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1961 - 1980 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1961 | ผลการประชุมร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับภาคเอกชน วันที่ 7 ตุลาคม 2558 | นร11 | 27/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับภาคเอกชน เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อหารือเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการติดตามความคืบหน้าของมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ รวมทั้งมาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ในระยะเร่งด่วน ๒. เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒.๑ มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงานและโครงการเพื่อรณรงค์ให้ผู้ประกอบการ SMEs จัดทำระบบบัญชีเดียวและเข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการมีองค์ความรู้และตระหนักถึงประโยชน์โดยให้มีการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้านบัญชีได้โดยง่าย พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ดำเนินการอย่างถูกต้องให้สามารถเข้าถึงมาตรการและสิทธิประโยชน์จากความช่วยเหลือของภาครัฐและการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงานและโครงการเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงประโยชน์และส่งเสริมการจัดทำบัญชีครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ทางด้านการใช้จ่ายเงินอย่างพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเองตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒.๓ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านคณะทำงานขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ ๒.๔ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.) จังหวัดและกลุ่มจังหวัดอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาล ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแนวทางการปรับปรุงโครงสร้าง กรอ. จังหวัด โดยเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการซึ่งเป็นภาคการศึกษา ภาคประชาสังคม นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นและชุมชน และให้ กรอ. จังหวัด ร่วมกับเครือข่ายภาคีการพัฒนาจังหวัด และสถาบันการศึกษาเสนอแผนพัฒนาพื้นที่ให้เศรษฐกิจและสังคมในระดับท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็ง อาทิ การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น วิสาหกิจชุมชน การพัฒนาสินค้า OTOP การท่องเที่ยว การสร้างตลาดกลางชุมชน การพัฒนาสถานศึกษา สาธารณสุข คนพิการและคนสูงอายุ เป็นต้น และเสนอต่อกระทรวงมหาดไทย และ กรอ. ส่วนกลาง เพื่อรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒.๕ ขอความร่วมมือภาคเอกชนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลตามแนวทาง “ประชารัฐ” หรือ การสร้างความเข้มแข็งไปพร้อมกัน (Stronger Together) รวมทั้งช่วยสนับสนุนการจัดทำระบบบัญชีเดียวของ SMEs และการจัดทำบัญชีครัวเรือนของประชาชน โดยมุ่งไปยังกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการ เกษตรกร และประชาชนไปยังสมาชิกและเครือข่ายทั่วประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1962 | การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ | คค | 27/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเสนอมาตรการปฏิรูปบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งในส่วนของมาตรการลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและการปรับปรุงระบบการดำเนินงาน โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร รวมทั้งสิทธิประโยชน์ของผู้บริหารและพนักงานระดับสูง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดทุนสะสมของบริษัทฯ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทฯ ต่อไป โดยให้กระทรวงคมนาคมเสนอมาตรการดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายได้และมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ ให้เสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาดำเนินการตามอำนาจต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้แนวปฏิบัติตามข้อ ๑ เพื่อดำเนินการเสนอมาตรการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 1963 | ร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [ในส่วนที่เกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol)] และร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการขยายขอบเขตความคุ้มครอง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียนการปรับปรุงค่าธรรมเนียม) รวม 2 ฉบับ | พณ | 20/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) และการขยายขอบเขตความคุ้มครอง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียน การปรับปรุงค่าธรรมเนียม] ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 1964 | การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ | กค | 20/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters : IHQ) โดยยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับรายรับจากการบริหารเงินทั้งหมดของ IHQ โดยปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้ง IHQ ในส่วนการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่ IHQ ตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๘๖) พ.ศ. ๒๕๕๘ จากการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับรายรับของ IHQ จากการให้กู้ยืมแก่วิสาหกิจในเครือที่เป็นการบริหารเงิน เป็นการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับรายรับของ IHQ จากการบริหารเงินโดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังปรับปรุงประมวลรัษฎากรให้สามารถใช้ฐานเงินดอลลาร์สหรัฐในการคิดภาษีของ IHQ เพื่อจูงใจให้บรรษัทข้ามชาติมีการจัดตั้ง IHQ รวมถึงมีการทำธุรกรรมทางการเงินในไทยโดยรวมมากขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 1965 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 3/2558 | กค | 20/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ และมาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานของรัฐจัดทำโครงการที่อยู่ในกิจการที่สมควรให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-out) ให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนเท่านั้น และสำหรับโครงการที่อยู่ในกิจการที่รัฐส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-in) ตามแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนเป็นลำดับแรก ๓. ในการให้เอกชนร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ กำหนดให้เอกชนลงทุนในโครงการในสัดส่วนที่มากขึ้น และหากโครงการมีผลตอบแทนทางการเงินต่ำและไม่จูงใจให้เอกชนเข้ามารับผิดชอบการลงทุนของโครงการทั้งหมด ให้พิจารณาขยายระยะเวลาของสัญญาเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้แก่เอกชน รวมทั้งให้หน่วยงานของรัฐศึกษาและเสนอรูปแบบการสนับสนุนทางการเงินที่เหมาะสมให้แก่เอกชน ทั้งนี้ การสนับสนุนเงินลงทุนควรพิจารณาให้มีความเสี่ยงและภาระผูกพันในระยะยาวของรัฐอยู่ในระดับต่ำสุด ๔. กรณีโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ จะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อประกอบการพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดลักษณะของรายงานดังกล่าวเป็นแบบเบื้องต้นที่สามารถเปิดโอกาสให้เอกชนมีส่วนร่วมในการออกแบบได้ รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการพิจารณาให้กระชับและชัดเจนมากขึ้น ๕. มอบหมายให้กระทรวงการคลังปรับปรุงกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๕ และที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินโครงการร่วมลงทุนตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ต้องใช้ที่ราชพัสดุ สำหรับโครงการที่เป็นกิจการภายใต้แผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ และสอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน โดยไม่ต้องส่งคืนที่ราชพัสดุให้แก่กรมธนารักษ์ และสามารถทำความตกลงร่วมกับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการนำส่งรายได้จากโครงการเป็นรายได้แผ่นดิน ๖. มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบในการติดตามและรายงานความคืบหน้าของมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ ได้แก่ มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับหมู่บ้านของประชาชนผู้มีรายได้น้อย มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล และมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ ๗. มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบในการติดตามและรายงานความคืบหน้าของมาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน ได้แก่ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ PGS-5 มาตรการสนับสนุน SMEs ผ่านการร่วมลงทุน มาตรการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ (New Start-up)
|
||||||||||||||||||||||||
| 1966 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 20/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย และแก้ไขเพิ่มเติมให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้เพิ่มผู้แทนประกอบกิจการฮัจย์ จำนวน ๔ คน เป็นกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และตัดผู้แทนบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ออกจากการเป็นกรรมการ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรกำหนดให้กรมการศาสนาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำการดำเนินงาน และเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้กำหนดให้โอนบรรดาข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ อัตรากำลัง และบรรดาอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่งหรือมติคณะรัฐมนตรีของกองส่งเสริมกิจการฮัจย์ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรมมาด้วย จึงเห็นควรให้ในชั้นการตรวจพิจารณา ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับประเด็นดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาด้วย นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่อยู่ในแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๗-ตุลาคม ๒๕๕๘) ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และไม่อยู่ในการจัดลำดับความสำคัญร่างกฎหมายที่มีความสำคัญเร่งด่วน จำนวน ๓๗ ฉบับ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเสนอแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน) ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 1967 | ร่างพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร08 | 20/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับบริบทของสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สามารถรักษาผลประโยชน์ของชาติและแจ้งเตือนภัยคุกคามรูปแบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และกำหนดทิศทางหรือแนวโน้มภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นในระยะต่อไปเพื่อเป็นหลักในการกำหนดแผนงาน โครงการ ของหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ โดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติควรเป็นผู้รวบรวมวิเคราะห์ความเหมาะสมและนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
| 1968 | การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 15 ที่เมืองปาดัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | กต | 20/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการ ๑.๑.๑ ร่างปฏิญญาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยความร่วมมือทางทะเล (IORA Maritime Cooperation Declaration) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพของความร่วมมือและเสริมสร้างความร่วมมือทางทะเลในมหาสมุทรอินเดีย โดยส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งและเกาะขนาดเล็กอย่างยั่งยืนและมีความสามารถในการฟื้นตัว ส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทะเลที่มีความยั่งยืน ส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเลอย่างยั่งยืนและส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหาร สนับสนุนการกระชับความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อรับมือต่อความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับทางทะเลต่าง ๆ รวมทั้งส่งเสริมขีดความสามารถของภูมิภาคเพื่อการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติและเพื่อปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตลอดจนส่งเสริมการสร้างปฏิสัมพันธ์ให้มากขึ้นกับสถาบันวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางทะเล ๑.๑.๒ ร่างแถลงการณ์ปาดัง (Padang Communique) มีสาระสำคัญกล่าวถึงผลสำเร็จที่ผ่านมาของสมาคมแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association : IORA) และความมุ่งมั่นในการดำเนินงานในอนาคตของ IORA รวมถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียที่ไร้รอยต่อและเชื่อมโยงกันและรวมตัวกันอย่างครอบคลุม รวมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการจัดการประชุมรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการของ IORA ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ ๑๕ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ และเป็นผู้ร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ และร่างแถลงการณ์ฯ ดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาฯ และร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับปรุงแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1969 | หนังสือแลกเปลี่ยนรับรองการเปลี่ยนแปลงพิกัดศุลกากรของตารางภาษีศุลกากรความตกลงการค้าเสรี ไทย - ชิลี | พณ | 20/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหนังสือแลกเปลี่ยนรับรองการเปลี่ยนแปลงพิกัดศุลกากรของตารางภาษีศุลกากรความตกลงการค้าเสรี ไทย-ชิลี (Thailand-Chile Free Trade Agreement : TCFTA) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดการปรับเปลี่ยนพิกัดศุลกากรของตารางศุลกากรจากระบบฮาร์โมไนซ์ (Harmonized System : HS) รอบปี ๒๐๐๗ เป็น ๒๐๑๒ ๒. อนุมัติการลงนามหนังสือแลกเปลี่ยนฯ โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย รวมทั้งไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบ HS ดังกล่าวให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการของภาคอุตสาหกรรมไทยทราบและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง นอกจากนี้ ควรสร้างความรู้ความเข้าใจที่ตรงกันในการเปลี่ยนแปลงพิกัดศุลกากรต่อผู้ผลิต ผู้ประกอบการ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องที่มีการปรับปรุงพิกัดศุลกากรตามองค์การศุลกากรโลก ๕ ปี ซึ่งจะช่วยลดปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในทางปฏิบัติได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1970 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 20/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติทั้ง ๔ ข้อ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยในส่วนของข้อ ๒ ให้ถือเป็นการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ข้อ ๑.๓ และข้อ ๑.๖ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมต่ำกว่า ๕๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑,๔๖๘ รายการ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๕๐๐ ล้านบาทขึ้นไปแต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๕๘ รายการ และที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๔๒ รายการ โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๔๔,๑๖๗.๓ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน ๒๓๖,๙๑๑.๔ ล้านบาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๔๒ รายการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเจ้าของเรื่องพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป ๒. อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณข้อ ๑.๓ และข้อ ๑.๖ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอได้ ๓. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ หากเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณสามารถพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๔. เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลบังคับใช้แล้ว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 1971 | การย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งใหม่และการบริการผู้โดยสารของ บริษัท ขนส่ง จำกัด | อื่นๆ | 20/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานโครงการย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) และปรับปรุงห้องสุขาให้ถูกสุขลักษณะ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) เนื่องจากมีการก่อสร้างศูนย์คมนาคมพหลโยธิน และนโยบายการขยายระบบการขนส่งทางรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทำให้บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำเป็นต้องย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต ๒ ออกจากสถานที่เดิมซึ่งเช่าพื้นที่จาก รฟท. ไปสถานที่แห่งใหม่ให้เป็นไปตามแผนในกรอบระยะเวลาของการก่อสร้างรถไฟสายสีแดง โดย บขส. ได้ดำเนินการจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว แผนการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งทั้งการเดินรถสายสั้นและสายยาว รวมถึงการให้บริการบางส่วนในพื้นที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต ๒ เดิม นอกจากนี้ บขส. เสนอแผนการใช้พื้นที่ของ รฟท. ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ การจัดสร้างสถานีขนส่งผู้โดยสารย่อย (พหลโยธิน) สำหรับรถตู้โดยสารประจำทาง โดยใช้พื้นที่ของ รฟท. ประมาณ ๑๗ ไร่ ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีทำการศึกษาและออกแบบโครงการ และการย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต ๒ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคตข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ ๒๘ ล้านคนต่อปี โดยใช้พื้นที่ประมาณ ๘๐ ไร่ โดยจากการวิเคราะห์พบว่า พื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการจัดตั้สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ แห่งใหม่ ได้แก่ พื้นที่บริเวณติดถนนพหลโยธินด้านเหนือ เริ่มจากแยกถนนรังสิต-ปทุมธานี ฝั่งขาออกจนถึงมาหวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) ซึ่งมีความเหมาะสมสูงสุด ๑.๒ การปรับปรุงห้องสุขาให้ถูกสุขลักษณะ เนื่องจากรัฐบาลได้มีนโยบายยกเลิกการเก็บค่าใช้บริการห้องสุขาภายในสถานีขนส่งฯ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ บขส. ทั่วประเทศ จึงได้มีการปรับปรุงรูปลักษณ์และมาตรฐานของการให้บริการห้องสุขาภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) เป็นการนำร่องของการให้บริการห้องสุขามาตรฐานใหม่เป็นที่แรก และได้ยกเลิกเก็บค่าใช้บริการตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมทั้งได้ปรับปรุงพัฒนาไปยังอีก ๖ สถานี ได้แก่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (เอกมัย) สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (สายใต้) ถนนบรมราชชนนี สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุพรรณบุรี และสถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพให้บริการรถโดยสาร และลดต้นทุน ของ บขส. ใน ๒ ประเด็น ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับสายการบินต้นทุนต่ำ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน และการจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1972 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ การเชื่อมโยงการใช้ยางพาราในประเทศ และการจัดตั้งเมืองยางพารา (Rubber City) ในพื้นที่เศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเกี่ยวกับรถประจำทางขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า โดยระยะแรกอาจพิจารณาดำเนินการในพื้นที่ชานเมืองเพื่อสนับสนุนนโยบายประหยัดพลังงานและอำนวยความสะดวกประชาชนในการเดินทางระหว่างพื้นที่ชานเมืองกับจุดเชื่อมต่อสำคัญต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ให้นำเสนอผลการศึกษาต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือน ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการจัดจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดต้นทุนการผลิตให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๙ ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดูแลและให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ แก่ผู้พิการให้ได้รับความสะดวกในการดำเนินชีวิต โดยจัดให้มีการขึ้นทะเบียนผู้พิการที่มีศักยภาพ เช่น นักร้อง นักดนตรีที่เป็นผู้พิการทางสายตา จัดสถานที่สำหรับทำการแสดงดนตรี และจัดหาแว่นตาให้ เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีแก่ผู้พบเห็น รวมทั้งดูแลช่วยเหลือคนเร่ร่อนและคนขอทานด้วย ๓. ด้านการต่างประเทศ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ทุกส่วนราชการที่จะมีการประชุมเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศมีหลักการตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ การลดความหวาดระแวง และการได้รับผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ใช้หลักการต่างตอบแทนในการเจรจาโดยยื่นข้อเสนอความร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ภายหลังการเจรจาหรือจัดทำความตกลงเสร็จสิ้นให้นำผลการเจรจาข้อเสนอต่างตอบแทนดังกล่าวมาพิจารณาดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไปด้วย ๓.๒ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาส่งเสริมความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) กลุ่มประเทศภายใต้สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) และประเทศหมู่เกาะต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในสหภาพยุโรป (EU) ประเทศตุรกี ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และสาธารณรัฐฟิจิ โดยให้ประเทศเหล่านี้เป็นศูนย์กระจายสินค้าเพื่อขยายตลาดส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีศักยภาพต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐอิตาลีและสาธารณรัฐเช็กด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการนำ ๓๗ วาระการปฏิรูป ๖ วาระการพัฒนาของสภาปฏิรูปแห่งชาติมาจัดทำแผนปฏิบัติการโดยจัดกลุ่มให้อยู่ภายใต้ประเด็นการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ จำนวน ๑๑ ด้าน และแบ่งเป็น ๓ ระยะ ซึ่งในระยะที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ให้จัดทำเป็นข้อมูลผลการดำเนินการที่ผ่านมา นั้น ในการจัดทำข้อมูลดังกล่าวให้ทุกส่วนราชการจัดทำในลักษณะการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานก่อนและหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ทั้งนี้ ให้ส่งข้อมูลให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๔.๒ ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาการดำเนินการหรือวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ (Irregular Migration) ของสหภาพยุโรปและกลุ่มประเทศอาเซียน รวมทั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และกระทรวงยุติธรรม พิจารณากฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองในปัจจุบันว่ามีบทบัญญัติครอบคลุมถึงการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติหรือไม่ ประการใด ตลอดจนแนวทางการดำเนินการในเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศต่อไปด้วย ๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรักษาความสงบเรียบร้อยในแต่ละพื้นที่ให้มีความปลอดภัยและความสงบสุข โดยดำเนินการมิให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายหรือมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งปราบปรามผู้มีอิทธิพลด้วย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้มีผลสัมฤทธิ์ภายใน ๖ เดือน ๔.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศไทย เช่น เกาะล้าน เกาะสีชัง โดยศึกษารูปแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ จากต่างประเทศ เช่น เกาะมาเก๊าที่มีการจัดพื้นที่เป็น Entertainment Complex ขนาดใหญ่ มีกิจกรรมหลากหลายประเภทสำหรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มเป้าหมาย เช่น สวนน้ำ หอชมวิว การแสดงต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทยมากขึ้น ๔.๕ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้เร่งรัดการปรับปรุงและขยายพื้นที่สวนเบญจกิติและศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ รวมทั้งเร่งรัดพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณมักกะสัน (ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเดิม) ให้มีความชัดเจน โดยแบ่งสัดส่วนการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ตามประเภทการใช้งาน เช่น อาคารพาณิชย์ สวนสาธารณะ โดยในส่วนที่เป็นสวนสาธารณะให้คำนึงถึงการจัดสวนในลักษณะสวนป่าตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1973 | ร่างปฏิญญาแทจ็อนว่าด้วยนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยุคสากลและดิจิทัล | วท | 13/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาแทจ็อนว่าด้วยนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยุคสากลและดิจิทัล มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจการพัฒนาอย่างยั่งยืน การสร้างงาน และสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยประเทศสมาชิกจำเป็นต้องมีนโยบายที่ส่งเสริมการวิจัยและความเชื่อมโยงที่เข้มแข็งระหว่างภาคการศึกษา อุตสาหกรรม และสังคม เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาฯ ๓. หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับปรุงแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
||||||||||||||||||||||||
| 1974 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 13/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติและหนังสือสัญญา จำนวน ๓ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พ.ศ. .... ๒. อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมัน ค.ศ. ๑๙๙๒ ๓. ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศและการดำเนินการตาม FATCA
|
||||||||||||||||||||||||
| 1975 | ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศและการดำเนินการตาม FATCA | นร05 | 13/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศและการดำเนินการตาม FATCA ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
| 1976 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง เสรีภาพในการถือศาสนา เสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติและ การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีการห้ามสตรีที่นับถือศาสนาอิสลามสวมฮิญาบ | สม | 13/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอ เรื่อง รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง เสรีภาพในการถือศาสนา เสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ และการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีการห้ามสตรีที่นับถือศาสนาอิสลามสวมฮิญาบ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสภาการพยาบาล เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอ ดังนี้
๑. ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่ง ที่อาจเป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา รวมถึงการแต่งกาย ที่ไม่อยู่ในข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมือง และเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งกำชับหน่วยงานในความรับผิดชอบและเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบที่รองรับเสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา รวมถึงการแต่งกายอย่างจริงจัง ๒. กำหนดแนวทางในการแต่งกายของพยาบาล นักเรียนและนักศึกษาพยาบาลที่นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อให้พยาบาล นักเรียนและนักศึกษาพยาบาลที่สังกัดในหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือเอกชนสามารถสวมผ้าคุลมศรีษะตามหลักศาสนาได้ในลักษณะเดียวกัน เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติต่อไป ๓. สร้างความเข้าใจและสร้างความตระหนักในการเคารพสิทธิมนุษยชนให้แก่องค์กรธุรกิจในอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ โดยอาจมีมาตรการในการดำเนินการต่าง ๆ ทางนโยบายและทางกฎหมายเพื่อป้องกัน ส่งเสริม และเยียวยาความเสียหายที่เกิดจากผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการสวมผ้าคลุมศรีษะ (ฮิญาบ) ตามหลักศาสนา ๔. พิจารณาความเหมาะสมในการที่จะมีกฎหมายกลางที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมด้วยเหตุต่าง ๆ ตามที่รับรองในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายไทย กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม ความคิดเห็นทางการเมือง ความคิดเห็นอื่นใด เผ่าพันธุ์แห่งชาติหรือสังคม ทรัพย์สิน หรือสถานะอื่นๆ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1977 | ความคืบหน้าและการดำเนินการเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 27 มกราคม 2558 | กค | 13/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ การดำเนินการของคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน และการปรับเงินนำส่งรวมคงเหลือ จำนวน ๒๘,๐๘๑.๑๕ ล้านบาท ๑.๑.๑ การปรับปรุง พัฒนาทุนหมุนเวียนที่ผลประเมินการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนได้พิจารณาเห็นชอบ “แผนทบทวนและฟื้นฟูประสิทธิภาพการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ระยะเวลา ๑ ปี” แล้ว สำหรับทุนหมุนเวียนที่อยู่ในข่าย “ปรับปรุง/พัฒนา” ระยะเวลา ๓ ปี อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฯ ดังกล่าว ๑.๑.๒ การนำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการนำเงินของทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็นส่งเป็นรายได้แผ่นดินรวม ๒๘,๑๕๖.๘๕ ล้านบาท ณ วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๘ หน่วยงานของรัฐเจ้าของทุนหมุนเวียนนำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการฯ แล้ว ๒๖ ทุน เป็นเงินจำนวน ๑๗,๑๗๗.๑๐ ล้านบาท และมีทุนหมุนเวียนที่ยังไม่ได้นำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการฯ ๓ ทุน เป็นเงินจำนวน ๑๐,๙๐๔.๐๕ ล้านบาท โดยกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ อยู่ระหว่างการหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาความชัดเจนในการใช้อำนาจตามกฎหมายของกระทรวงการคลัง ขณะที่เงินทุนหมุนเวียนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่กำหนดให้นำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการฯ จำนวน ๑๑๕.๗๐ ล้านบาท มีความคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับภาระผูกพันในขั้นตอนจัดทำแผนปฏิบัติการฯ จึงปรับลดการนำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการฯ คงเหลือ ๔๐ ล้านบาท ทำให้ยอดรวมเงินนำส่งรวมตามแผนปฏิบัติการฯ เท่ากับ ๒๘,๐๘๑.๑๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการปฏิรูปทุนหมุนเวียนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ ในการควบรวม ยุบเลิกและคงสถานะทุนหมุนเวียน โดยให้หน่วยงานเจ้าของทุนหมุนเวียนที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขกฎหมายเพื่อควบรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียนนั้น ๆ พร้อมทั้งนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ อนุมัติให้รวมทุนหมุนเวียน จำนวน ๒ ทุน และยุบเลิกทุนหมุนเวียน จำนวน ๒ ทุน ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. ให้กระทรวงการคลังรายงานผลการพิจารณาทุนหมุนเวียนตามข้อเสนอของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในส่วนที่เหลือให้ครบถ้วน และให้เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ และ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๘) ที่ให้กระทรวงการคลังเสนอวิธีการนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่อง ส่วนที่เกินความจำเป็นไปใช้ประโยชน์ในการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในช่วง ๑ ปี ต่อคณะรัฐมนตรี และเร่งรัดการนำเงินทุนหมุนเวียนส่วนเกินในส่วนที่เหลือส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินให้ครบถ้วนโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 1978 | การจัดทำความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น | ทส | 13/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำ โดยทั้งสองฝ่ายร่วมกันจัดตั้งกลไก JCM เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในประเทศไทยและดำเนินงานกลไกให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบในประเทศที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามความร่วมมือฝ่ายไทย ๑.๒ ร่างองค์ประกอบคณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ฝ่ายไทย ๑.๓ ให้จัดตั้งสำนักเลขาธิการกลไก JCM (Thailand JCM Secretariat) เพื่อดำเนินงานดังกล่าวต่อไป โดยมอบหมายให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ทำหน้าที่สำนักเลขาธิการกลไก JCM ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนเงินลงทุนแก่โครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นโครงการ JCM การถ่ายทอดองค์ความรู้และการพัฒนาความสามารถ/โครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในโครงการ JCM ภายใต้ร่างความร่วมมือ การกำหนดกลไกในการศึกษา รวบรวมข้อมูล และการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อนการพิจารณาดำเนินโครงการ ภายใต้กลไก JCM การเพิ่มผู้แทนและระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานหลักในการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมฝ่ายไทย ให้ครอบคลุมการทำงานของแต่ละกิจกรรม และการปรับปรุงเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการร่วมดังกล่าวในอนาคต เพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับประเภทของโครงการที่จะเข้าร่วมภายใต้ความร่วมมือ โดยเฉพาะโครงการที่ประเทศไทยมีความพร้อมและความเหมาะสม ได้แก่ โครงการในภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม และภาคการจัดการของเสีย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1979 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478 (แก้ไขเพิ่มเติม เครื่องแบบพิเศษของข้าราชการกรมราชทัณฑ์) | ยธ | 13/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ (แก้ไขเพิ่มเติมเครื่องแบบพิเศษของข้าราชการกรมราชทัณฑ์) มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเครื่องแบบพิเศษข้าราชการกรมราชทัณฑ์ ลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับภารกิจและสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรปรับปรุงแก้ไขร่างในส่วนของการกำหนดอินทรธนูและส่วนประกอบบนอินทรธนูตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการกำหนดเครื่องแบบพิเศษของส่วนราชการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 1980 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ (เพิ่มเติม) | นร07 | 13/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๘๒ ล้านบาท ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอาชีวะบริการซ่อมสร้างเพื่อชุมชน ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาให้นักเรียน นักศึกษา มีจิตอาสา มีทักษะในวิชาชีพที่เข้มข้นจากการปฏิบัติงานจริง และเป็นการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยให้บริการปรับปรุง ซ่อมแซมเครื่องมือ เครื่องจักรและอุปกรณ์การเกษตร เครื่องมือประกอบอาชีพและเครื่องใช้ในครัวเรือนให้กับเกษตรกรและประชาชนทั่วไป ส่งผลให้ลดรายจ่ายและยืดอายุการใช้งานของเครื่องมือเครื่องจักรในการประกอบอาชีพ ดำเนินการโดยสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ๓๖๘ แห่ง ซึ่งมีศูนย์อาชีวะบริการ จำนวน ๒,๐๐๐ ศูนย์ กระจายอยู่ในพื้นที่ ๗๗ จังหวัด ค่าใช้จ่ายศูนย์ละ ๑๙๑,๐๐๐ บาท ๒. การอนุมัติงบประมาณ ตามข้อ ๑ เป็นการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะวิชาชีพให้กับนักเรียน นักศึกษา โดยการไปปฏิบัติงานในพื้นที่ เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมเครื่องจักรกลทางการเกษตร และเครื่องมือเครื่องใช้ รวมทั้งสิ่งก่อสร้าง สาธารณะประโยชน์อื่น ๆ ในชุมชน ในลักษณะโครงการเป็นการลงทุนเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการดำเนินรายการดังกล่าวเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพการผลิตของชุมชน ส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเกิดประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||
.....
