ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 96 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1901 - 1920 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1901 | รายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนกรกฎาคม - กันยายน 2558) | ทส | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นเรื่องที่เป็นหลักการ ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ผลการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ/องค์การมหาชน จากงบประมาณทั้งสิ้น ๓๑,๙๗๕.๕๔๑๕ ล้านบาท เบิกจ่ายได้ ๒๘,๔๘๗.๖๖๖๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๙ ๑.๒ การเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ได้แก่ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๒๖ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย การจัดทำแผนงานความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ การเข้าเป็นภาคีองค์กรความร่วมมือด้านไม้ไผ่และหวายระหว่างประเทศ และการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในสาขาทรัพยากรน้ำระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๓ การจัดทำโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการ ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ อย่างเคร่งครัด การประกาศเชิญชวนผู้ที่สนใจได้ทราบล่วงหน้าในระบบ e-GP และเว็บไซต์ของหน่วยงานให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้องและดำเนินการอย่างโปร่งใส การจัดทำมาตรการป้องกันและลดโอกาสการทุจริตและประพฤติมิชอบ และแจ้งเวียนขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ๑.๔ การเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีการเสนอกฎหมาย รวมจำนวน ๒๐ ฉบับ ประกอบด้วย ร่างพระราชบัญญัติ ๑๘ ฉบับ และร่างพระราชกฤษฎีกา ๒ ฉบับ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการทั้ง ๓ ประการ คือ (๑) ต้องเป็นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่แท้จริงของการบังคับใช้กฎหมาย (๒) พึงระวังการแก้ไขกฎหมายที่เป็นการเพิ่มอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และ (๓) ให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงหลักการและเหตุผลด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ๑.๕ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ได้แจ้งรัฐวิสาหกิจในสังกัดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเคร่งครัด ๒. เรื่อง/โครงการที่สำคัญเร่งด่วน ๒.๑ การปรับโครงสร้างและการบริหารจัดการด้านพลังงาน ได้จัดทำบันทึกความตกลง (MOU) ร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การนำร่องการจัดการขยะมูลฝอยเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ [Refuse Derived Fuel (RDF)] และต่อยอดสู่การผลิตพลังงานทดแทน ๒.๒ การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศ กรมทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ำเพื่อแก้ปัญหาการตื้นเขินและเสื่อมสภาพของแหล่งน้ำพื้นที่ชุ่มน้ำให้คืนสู่ความสมบูรณ์บรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำและปัญหาน้ำท่วม ๒.๓ การแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรในระยะยาวและการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) การดำเนินการกำหนดแนวทางและมาตรการเชิงรุกในการดำเนินการแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรในระยะยาวเป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒.๔ การจัดหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร ได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และกลไกอื่น ๆ เพื่อจัดหาพื้นที่แก่ผู้ไร้ที่ทำกินเข้าใช้ประโยชน์และการพัฒนาคุณภาพชีวิต การดำเนินการตามกฎหมายของหน่วยงานตามประเภทที่ดินของรัฐภายใต้การกำกับของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ การกำหนดพื้นที่เป้าหมายการดำเนินงาน การส่งข้อมูลพื้นที่เป้าหมายที่จะนำไปจัดเป็นที่ดินทำกินให้ชุมชน การจัดทำข้อมูลการสำรวจพื้นที่ ๔ จังหวัด การเตรียมพื้นที่ดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๕๘ และมอบ “หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ” ๒.๕ การจัดการขยะมูลฝอยและน้ำเสีย องค์การจัดการน้ำเสียได้ดำเนินการโครงการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย โดยสามารถบำบัดน้ำได้ตามมาตรฐานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดไว้ก่อนระบายลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และกรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานการดำเนินงานตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๒.๖ การจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม ได้ดำเนินงานร่วมกับศูนย์บริการร่วม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการให้บริการประชาชนเกี่ยวกับการรับแจ้งเรื่องร้องเรียน และประสานส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขตามอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๗ การรวบรวมกฎหมายระเบียบที่ล้าสมัยหรือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วนและจัดลำดับความสำคัญของร่างกฎหมาย ดำเนินการปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย รวมจำนวน ๒๐ ฉบับ ประกอบด้วยร่างพระราชบัญญัติ ๑๘ ฉบับ และร่างพระราชกฤษฎีกา ๒ ฉบับ โดยมีร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประกาศใช้เป็นกฎหมาย จำนวน ๕ ฉบับ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1902 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการบริหารงาน ระบบบริหารงบประมาณ ระบบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น และระบบการจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | มท | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการบริหารงาน ระบบบริหารงบประมาณ ระบบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น และระบบการจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยเรื่องที่ดำเนินการไปแล้ว ได้แก่ การใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การกำกับดูแลและการตรวจสอบการตั้งงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการกำหนดกระบวนการเตรียมบุคคลที่จะเข้ามาสู่การเมืองท้องถิ่นหลังจากได้รับการเลือกตั้งแล้ว เรื่องที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการ ได้แก่ การมีระบบการทำงานร่วมกันระหว่างกรุงเทพมหานครกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดปริมณฑล การส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดบริการสาธารณะในหลายรูปแบบ และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานร่วมกันขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเรื่องที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากต้องรอความชัดเจนของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เช่น ระบบโครงสร้างการบริหารและการกำกับดูแล ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ยกร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การส่งเสริมการถ่ายโอนภารกิจตามกฎหมาย ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ยกร่างพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... เพื่อให้ระบบการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปอย่างเหมาะสม เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 1903 | รายงานผลการพิจารณาตามรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากการบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ | สธ | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาตามรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากการบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดการประชุมหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติกองทุนคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากการบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากการบริการสาธารณสุข พ.ศ. ....) ในขณะที่แพทยสภาไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยเห็นควรให้เยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาลโดยการแก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๑ โดยขยายวงเงินการรักษาพยาบาลให้สูงขึ้น เป็นการช่วยเหลือแบบสิ้นสุดและขยายให้ครอบคลุมทั้งระบบสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคม นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอข้อมูลการขอจัดตั้งกองทุนคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากการบริการสาธารณสุขต่อคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน โดยคณะกรรมการฯ ได้มีมติไม่เห็นชอบให้มีการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเนื่องจากการดำเนินงานของกองทุนมีวัตถุประสงค์และลักษณะงานที่ซ้ำซ้อนกับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกองทุนประกันสังคม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 1904 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางในการปฏิบัติงาน การติดตามและเร่งรัดการดำเนินการ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ | นร | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติเกี่ยวกับ เรื่อง แนวทางในการปฏิบัติงานการติดตามและเร่งรัดการดำเนินการ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ผ่านกลไก “ประชารัฐ” ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ดำเนินการบนหลักการการทำงานเชิงรุก โดยให้ผู้ปฏิบัติทุกระดับในสังกัดเข้าใจปัญหาที่แท้จริงและลงพื้นที่เป็นระยะเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในการดำเนินการของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาและการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งต้องติดตาม ประเมินผล และรายงานความก้าวหน้าในการทำงานเป็นระยะ เช่น การแก้ไขปัญหาโรงงานขยะที่ตำบลทุ่งบัว อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหา ๒. การบูรณาการการทำงานทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ผ่านกลไก “ประชารัฐ” ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ดำเนินการบนหลักการความมีเอกภาพ โดยการดำเนินการหรือการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ จะต้องมีการประสานงานเพื่อหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้มีความชัดเจนเพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน และการบังคับใช้กฎหมายต้องมีการบูรณาการ มิใช่ต่างคนต่างถือกฎหมายของตนเองเป็นหลัก เช่น ๒.๑ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ การตรวจสอบรถที่บรรทุกน้ำหนักเกิน ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม ๒.๒ การตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยของเสียสู่ชุมชนและแหล่งน้ำ และการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ให้กระทรวงอุตสาหกรรมบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๓. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงาน ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปรับปรุงการประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ โดยประเด็นสำคัญที่ควรใช้ประกอบการประเมิน เช่น การมีวิสัยทัศน์ การทำงานเชิงรุก ประสิทธิภาพทั้งงานตามพันธกิจ และการขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน ความพึงพอใจของประชาชน ผลงานที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อส่วนรวมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งความประพฤติตนของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประกอบการประเมินผลในเดือนเมษายน ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||
| 1905 | การให้สิทธิประโยชน์ด้านการค้าบริการแก่กลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ภายใต้ WTO (เอกสารไม่สมบูรณ์) | พณ | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบบัญชีสิทธิประโยชน์ด้านการค้าบริการของไทยสำหรับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Countries : LDCs) ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับ ๖ สาขาย่อย ได้แก่ (๑) บริการสถานที่สำหรับกางเต็นท์พักแรม (๒) บริการด้านสวนสนุกและสถานพักผ่อนหย่อนใจ (๓) บริการโรงเรียนสอนภาษาต่างประเทศ (๔) บริการบ้านพักหรือศูนย์สำหรับวันหยุด (๕) บริการตัวแทนเดินทะเล และ (๖) บริการรับจัดการสินค้าขนส่งทางทะเล ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมสมาชิกที่เป็นประเทศ LDGs ให้มีโอกาสที่จะเข้าสู่ตลาดการค้าบริการได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการให้สิทธิประโยชน์กับเมียนมา กัมพูชา และลาว ซึ่งเป็นสมาชิก WTO ในฐานะ LDCs และสมาชิกอาเซียนด้วย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์หารือกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นที่จะต้องเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ด้วย หรือไม่ ทั้งนี้ กรณีที่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ให้กระทรวงพาณิชย์ยื่นบัญชีสิทธิประโยชน์ดังกล่าวต่อองค์การการค้าโลก (WTO) แต่หากกรณีบัญชีสิทธิประโยชน์ฯ เป็นหนังสือสัญญาที่จะต้องดำเนินการขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ให้เสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป และเมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบบัญชีสิทธิประโยชน์ฯ แล้ว ให้กระทรวงพาณิชย์ยื่นบัญชีสิทธิประโยชน์ดังกล่าวต่อ WTO โดยทั้ง ๒ กรณีให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนจะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันตามพันธกรณีต่อไป และในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในบัญชีสิทธิประโยชน์ดังกล่าว ให้กระทรวงพาณิชย์ใช้ดุลยพินิจในการปรับปรุงแก้ไขได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรีด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 1906 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | สม | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอให้ยกเลิกการใช้บังคับพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ ในทุกพื้นที่ และพิจารณาประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ ใหม่เฉพาะในบางพื้นที่ที่มีความจำเป็นเท่านั้น และให้กระทรวงกลาโหมควรกำหนดหลักเกณฑ์การใช้บทบัญญัติตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ โดยมีเงื่อนไขในการใช้บทบัญญัติในกฎอัยการศึกฯ ต้องเป็นกรณีที่เกิดสงครามหรือจลาจลเท่านั้น รวมทั้งต้องกำหนดระยะเวลาในการประกาศใช้เท่าที่จำเป็นให้ชัดเจนด้วย และมอบหมายให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 1907 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีผู้ต้องหาในคดีความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ขอความช่วยเหลือให้ได้รับสิทธิตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 | สม | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีผู้ต้องหาในคดีความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ขอความช่วยเหลือให้ได้รับสิทธิตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอแนะว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาการนำมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ไปใช้ในเขตพื้นที่อื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากพื้นที่ ๔ อำเภอในจังหวัดสงขลา และ ๑ อำเภอในจังหวัดปัตตานี โดยลดระดับการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงจากพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ มาบังคับใช้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเชื่อใจกับประชาชนที่เห็นต่างในแนวความคิดมาให้ความร่วมมือในการกลับตัวที่จะเป็นประโยชน์ต่อราชการและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และมอบหมายให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 1908 | ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร (ช่วงประสบภัยเดือนมีนาคม 2557 ถึงเดือนมิถุนายน 2558) | กษ | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร (ช่วงภัยเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘) รวม ๑๐ ภัย ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง ภัยฝนแล้ง ภัยฝนทิ้งช่วง วาตภัย ศัตรูพืชระบาด โรคพืชระบาด อัคคีภัย โรคระบาดสัตว์ (โรคเฮโมรายิกเซพติซีเมีย) และภัยอื่น ๆ (ช้างป่าทำลายพืชผลทางการเกษตร) ในพื้นที่ ๒๑ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น เชียงราย นครพนม นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นราธิวาส น่าน บึงกาฬ พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ร้อยเอ็ด ลำปาง ศรีสะเกษ สุโขทัย สุราษฎร์ธานี และอุบลราชธานี เกษตรกรจำนวน ๑๔๖,๙๘๖ ราย วงเงินขอรับการช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น ๑,๑๐๖,๓๔๙,๓๘๗ บาท (ด้านพืช เกษตรกร ๑๔๓,๒๖๖ ราย วงเงิน ๑,๐๔๙,๖๒๔,๗๙๙ บาท ด้านประมง เกษตรกร ๒,๓๐๖ ราย วงเงิน ๕๒,๐๖๗,๑๕๓ บาท และด้านปศุสัตว์ เกษตรกร ๑,๔๑๔ ราย วงเงิน ๔,๖๕๗,๔๓๕ บาท) โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง และกรมปศุสัตว์ ตรวจสอบเอกสารหลักฐานและรวบรวมส่งสำนักงบประมาณ พร้อมทั้งจัดทำคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณในคราวเดียวกัน และให้ถือว่าคำขอดังกล่าวเป็นคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมสำเนาส่ง ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้ความสำคัญมากขึ้นกับการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นและผลการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ในการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติในระดับชุมชน โดยเฉพาะการปรับวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับลักษณะของภัยพิบัติ การเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพภัยพิบัติซ้ำซาก และการพัฒนาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาวิถีชีวิต และการผลักดันให้เกิดการปรับเปลี่ยนในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ การจ่ายเงินให้เกษตรกร การจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกร จะต้องมีการจัดทำทะเบียนอย่างถูกต้อง ไม่รั่วไหล รวมทั้งมีการควบคุมให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตลอดจนประกาศและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมและมีความคล่องตัวในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยดำเนินการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกจากการปลูกข้าวและยางพาราเป็นการปลูกพืชอื่นที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่หรือการเลี้ยงสัตว์แทนการปลูกพืช โดยให้เร่งดำเนินการปรับปรุงพันธุ์พืชและขยายหรือปรับปรุงพันธุ์สัตว์เพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกรสำหรับประกอบอาชีพหลักและอาชีพเสริมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 1909 | สรุปผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การคัดเลือกเข้ารับราชการทหารกองประจำการโดยวิธีสมัครใจ ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 | กห | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การคัดเลือกเข้ารับราชการทหารกองประจำการโดยวิธีสมัครใจ ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป สรุปผลการดำเนินการ ดังนี้
๑. กระทรวงกลาโหมยังคงใช้วิธีเรียกมาตรวจเลือกควบคู่กับการร้องขอเข้ารับราชการ (สมัคร) เพื่อให้ได้ทหารกองประจำการตามจำนวนที่กองทัพต้องการ ซึ่งเป็นหลักประกันในเรื่องความมั่นคงของชาติ สำหรับผู้ที่มีความผิด มโนธรรม และความเชื่อทางศาสนาที่นับถืออย่างแท้จริง ปฏิบัติหน้าที่ที่ใช้อาวุธ กระทรวงกลาโหมบริหารจัดการโดยให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในงานช่วยเหลือประชาชน งานช่วยพัฒนาประเทศ งานบริการ หรืองานซึ่งมิใช่ตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติการรบโดยตรงได้ สำหรับการร้องขอเข้ารับราชการทหารกองประจำการ (สมัคร) กระทรวงกลาโหมกำหนดนโยบายในการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ โดยแบ่งเฉลี่ยและบรรจุทหารกองประจำการให้มีจำนวนที่ใกล้เคียงกันในแต่ละพื้นที่ทั่วทั้งประเทศ และการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการสมัครเข้ารับราชการเพิ่มมากขึ้น กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ก่อนการตรวจเลือกให้ทหารกองเกินรับทราบถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับประโยชน์เกื้อกูลต่างๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้สมัครเข้ารับราชการเพิ่มมากขึ้น ๒. สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เสนอร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งมีเจตนารมณ์ที่จะให้ตำรวจกองประจำการเป็นกำลังพลทดแทน ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับกำลังตำรวจตระเวนชายแดน เมื่อได้เข้ารับราชการในกองประจำการจนครบกำหนดแล้ว จะปลดจากกองประจำการเป็นทหารกองหนุนตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร ซึ่งในโอกาสต่อไปเมื่อมีการรับสมัครบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจ จะพิจารณาผู้ที่ได้รับราชการเป็นตำรวจกองประจำการเป็นลำดับแรก ซึ่งจะส่งเสริมให้มีผู้สมัครเข้ามารับราชการเป็นตำรวจกองประจำการเพิ่มมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
| 1910 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2558/2559 | อก | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ เป็น ๒ ราคา ดังนี้ ๑.๑ กำหนดราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ในเขตคำนวณราคาอ้อยที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๖, ๗ และ ๙ ในอัตรา ๘๐๘ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ ๔๘.๔๘ บาทต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ เท่ากับ ๓๔๖.๒๙ บาทต่อตันอ้อย ๑.๒ กำหนดราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ในเขตคำนวณราคาอ้อยที่ ๕ ในอัตรา ๗๗๓ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๔๖.๓๘ บาทต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ เท่ากับ ๓๓๑.๒๙ บาทต่อตันอ้อย (เขตคำนวณราคาอ้อยที่ ๘ โรงงานหยุดประกอบการชั่วคราว) ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณากำหนดมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานผลิตน้ำตาลทรายในเขตคำนวณราคาอ้อยที่ ๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความเห็น รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการราคาอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องรับภาระจากการช่วยเหลือโรงงานผู้ผลิตน้ำตาลและเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเหมือนที่ผ่านมา และหาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิตอ้อย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาล และเพิ่มรายได้รวมเฉลี่ยให้เกษตรกรและอุตสาหกรรมน้ำตาล รวมทั้งเร่งรัดกำหนดมาตรการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย โดยเฉพาะในเขตที่ ๕ และควรติดตามผลของประกาศราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ เป็น ๒ ราคา เพื่อใช้ประกอบแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานน้ำตาล โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวไร่อ้อย นอกจากนี้ ควรมีการติดตามกระบวนการผลิตน้ำตาลภายในประเทศอย่างใกล้ชิดให้เป็นไปตามที่ได้มีการประมาณรายได้ ราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ตลอดจนเร่งรัดการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกันที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และปรับโครงสร้างต้นทุนราคาอ้อยและน้ำตาลทรายให้ชาวไร่อ้อยได้รับรายได้ที่คุ้มกับต้นทุนการผลิตและเป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วนได้เสีย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการให้มีการนำประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การให้ตั้งโรงงานที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการไปแล้วเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ มาประกาศใช้โดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 1911 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การโอนคดีจากศาลชั้นต้นไปยังศาลแพ่ง การส่งคำคู่ความโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์และการส่งคำคู่ความไปยังต่างประเทศ) | ยธ | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การโอนคดีจากศาลชั้นต้นไปยังศาลแพ่ง การส่งคำคู่ความโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์และการส่งคำคู่ความไปยังต่างประเทศ) โดยสำนักงานศาลยุติธรรมได้มีการออกข้อบังคับและประกาศที่เกี่ยวข้องกับการส่งคำคู่ความทางไปรษณีย์ โทรสาร และจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อกำหนดวิธีการส่งคำคู่ความและเอกสารทางคดีไว้ทั้งการส่งในระหว่างเจ้าหน้าที่ของศาลและต่อคู่ความ และเห็นควรให้มีการปรับปรุงข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยแนวทางการสืบพยานหลักฐานและการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้ครอบคลุมถึงการดำเนินกระบวนการพิจารณาของศาลตามมาตรา ๖/๑ ซึ่งจะช่วยลดภาระให้แก่คู่ความในการเข้าร่วมการพิจารณาคดีของศาลได้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 1912 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านกฎหมาย (ALAWMM) ครั้งที่ 9 และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย (ASLOM) ครั้งที่ 16 ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | ยธ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านกฎหมาย (ALAWMM) ครั้งที่ ๙ ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย (ASLOM) ครั้งที่ ๑๖ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ มีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้นำเสนอพัฒนาการของสนธิสัญญาและข้อตกลงด้านกระบวนการยุติธรรมต่าง ๆ ในกรอบ ASLOM และ ALAWMM เช่น สนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องอาญา สนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน อนุสัญญาอาเซียนด้านการยกเลิกเงื่อนไขการรับรองเอกสารระหว่างประเทศ (ASEAN Mini Apostille Convention) อนุสัญญาว่าด้วยการโอนตัวนักโทษของอาเซียน และข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่งทางทะเลและสภาพแวดล้อมทางทะเล รวมทั้งพัฒนาการของกฎหมายต่าง ๆ เช่น กฎหมายแม่แบบเกี่ยวกับความปลอดภัยทางทะเล และการปรับปรุงกฎหมายการค้า ให้มีความสอดคล้องกัน เป็นต้น ๒. ประเทศสมาชิกรายงานให้ที่ประชุมทราบถึงผลการจัดประชุมต่าง ๆ และนำเสนอโครงการจัดประชุมในอนาคตในกรอบ ASLOM และ ALAWMM รวมถึงรายงานให้ที่ประชุมทราบถึงผลการแลกเปลี่ยนการศึกษาดูงานระหว่างเจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ ในห้วง ๒ ปีที่ผ่านมา ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของไทยได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม ALAWMM ครั้งที่ ๙ เกี่ยวกับการพัฒนาการด้านกฎหมายของประเทศไทยตลอด ๓ ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนากฎหมายหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญา การประกาศใช้ พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ประชาชนเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมายของรัฐ พร้อมทั้งขอให้การกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของที่ประชุมฯ ทั้งในส่วนการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านกฎหมายและการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านกฎหมายควรมีความชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนกับบทบาทขององค์กรอื่นของอาเซียน ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรองปลัดกระทรวงยุติธรรมของไทยได้เข้าร่วมหารือทวิภาคีกับ H.E. Mr. Ket Kiettisack ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สปป.ลาว และ H.E. Mr. Nguyen Khanh Ngoc ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเวียดนาม โดยมีประเด็นข้อหารือเกี่ยวกับบันทึกความตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมระหว่างกระทรวงยุติธรรมไทยและกระทรวงยุติธรรม สปป.ลาว ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำร่วมกัน การสนับสนุนวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านหลักนิติธรรมจากฝ่ายไทยเพื่อเดินทางไปฝึกอบรมให้แก่บุคลากรในกระบวนยุติธรรมของ สปป.ลาว ในห้วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ และโครงการเดินทางมาศึกษาดูงานด้านกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเวียดนาม ในห้วงเดือนธันวาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
| 1913 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะนโยบายการคุ้มครองสิทธิที่จะมีชีวิตอย่างปลอดภัยบนท้องถนน | สม | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะนโยบายการคุ้มครองสิทธิที่จะมีชีวิตอย่างปลอดภัยบนท้องถนน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. การให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในระดับนโยบายอย่างจริงจัง รวมทั้งกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจน และหน่วยงานดังกล่าวควรมีอำนาจหน้าที่และงบประมาณอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ ควรจัดระบบการบริหารจัดการทั้งการเก็บข้อมูลเชิงสถิติที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงสภาพและสาเหตุของปัญหา และการจัดให้มีระบบการสืบสวนอุบัติเหตุทางถนนเชิงลึกเพื่อนำไปสู่การแสวงหาแนวทางแก้ไขได้อย่างตรงจุด รวมถึงการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและมีการติดตามผล รายงานผลให้สาธารณะทราบอย่างสม่ำเสมอ ๒. การดูแลให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเคารพกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวกับการจำกัดความเร็ว การควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถ การสวมหมวกนิรภัย และการคาดเข็มขัดนิรภัย โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจังเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงบนท้องถนนและควบคุมและป้องปรามมิให้มีการฝ่าฝืนกฎหมาย และควรมีมาตรการประกันความปลอดภัยของยานพาหนะโดยการตรวจสอบสภาพรถที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถโดยสารสาธารณะและรถที่มีการดัดแปลงสภาพ ๓. มีมาตรการที่ประกันว่าถนนที่มีอยู่แล้วและถนนที่จะสร้างขึ้นใหม่จะเป็นถนนที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย โดยนำระบบตรวจสอบความปลอดภัยของถนนมาใช้ทั้งกับถนนที่มีอยู่แล้วและถนนที่จะสร้างขึ้นใหม่เพื่อแก้ไขจุดที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และในการจัดสรรงบประมาณเพื่อก่อสร้างถนน ควรให้ความสำคัญกับข้อพิจารณาด้านความปลอดภัยของถนน รวมทั้งควรสนับสนุนงบประมาณแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการซ่อมแซมปรับปรุงถนนให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยอย่างเพียงพอ โดยให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับจุดอันตรายที่มีการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบ่อยครั้ง ๔. ดำเนินการเพื่อประกันสิทธิของประชาชนที่จะมีสุขภาพที่ดีตามพันธกรณีในข้อ ๑๒ ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยดูแลให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนได้รับการรักษาทางการแพทย์อย่างเหมาะสม รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถให้การรักษาพยาบาลในเบื้องต้นแก่ผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทันท่วงทีเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือพิการ และการพัฒนาแนวทางให้การดูแลแก่ผู้ประสบอุบัติเหตุที่ต้องได้รับการรักษาในระยะยาวอย่างเป็นระบบ และให้ความคุมครองสิทธิของผู้เสียหายจากอุบัติเหตุให้ได้รับการชดเชยเยียวยาที่เพียงพอและเป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
| 1914 | งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2556 | สธ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนองบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว และได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนหลักฯ ที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติ (๒๗ มีนาคม ๒๕๕๘) รับทราบงบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายเงินที่อาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ จำนวน ๕๖๐,๓๒๕,๘๙๔.๓๕ บาท และในครั้งนี้มีการรายงานงบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายเงินที่อาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ จำนวน ๒,๕๘๖,๓๑๐,๔๑๙.๐๘ บาท ๒. รับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีที่อาจมีการใช้จ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตามความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรมีการแต่งตั้งคณะทำงานจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาปัญหากฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องและนำข้อความเห็นจากการตีความของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบ และเสนอให้รัฐบาลพิจารณาสนับสนุนงบประมาณในการบริหารจัดการเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและสำนักงานสาธารณสุขอำเภอให้มีอย่างเพียงพอ รวมทั้งควรมีการแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ทราบยอดเงินกองทุนฯ สาขาจังหวัด (เงินบัญชี ๖) คงเหลือที่ถูกต้อง ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบกรณีที่อาจมีการใช้จ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ (ปีงบประมาณ ๒๕๕๕ จำนวน ๕๖๐,๓๒๕,๘๙๔.๓๕ บาท และปีงบประมาณ ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๕๘๖,๓๑๐,๔๑๙.๐๘ บาท) ตามข้อสังเกตของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงประเด็นอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1915 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน) | กษ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การปฏิรูปสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแล้วเห็นควรให้กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ยังคงทำหน้าที่ส่งเสริมและกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน โดยมีการพัฒนาระบบการกำกับดูแลสหกรณ์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามแนวทางของคณะกรรมการทบทวนอำนาจหน้าที่ และภารกิจในการควบคุม กำกับดูแลสหกรณ์ ไปดำเนินการขับเคลื่อนตามแผน และรายงานผลการดำเนินการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการแต่งตั้งและคัดเลือกกรรมการและผู้บริหารของสหกรณ์ หลักเกณฑ์การกู้ยืมเงินระหว่างสหกรณ์ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนขึ้นใหม่ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 1916 | รายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน และรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีขอความช่วยเหลือเรื่องคดีความ และกรณีกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ แถลงข่าวการจับกุมทำให้ได้รับความเสียหายต่อเกียรติยศและชื่อเสียง | สม | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน และรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีขอความช่วยเหลือเรื่องคดีความ และกรณีกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ แถลงข่าวการจับกุมทำให้ได้รับความเสียหายต่อเกียรติยศและชื่อเสียง ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรให้มีการเน้นย้ำและกำชับไปยังหน่วยงานในสังกัดเพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และหนังสือสั่งการของหน่วยงานอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ๒. สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรกำหนดแนวทางในการหาวิธีการทดแทนในการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุ หรือการจัดทำแผนประทุษกรรม เพื่อเป็นประโยชน์ในการแสวงหาพยานหลักฐาน และการดำเนินคดี รวมทั้งเพื่อป้องกันมิให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน
|
||||||||||||||||||||||||
| 1917 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและสถานะบุคคล อันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ กรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปลดสิทธิกลุ่มผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิที่เคยได้รับสิทธิกองทุนหลักประกันสุขภาพ จำนวน 202,139 คน | สม | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและสถานะบุคคล อันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ กรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปลดสิทธิกลุ่มผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิที่เคยได้รับสิทธิกองทุนหลักประกันสุขภาพ จำนวน ๒๐๒,๑๓๙ คน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอแนะว่า กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขควรพิจารณากรณีที่มีการให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ เพิ่มเติม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งยังมีกลุ่มบุคคลที่ตกหล่น คือ กลุ่มคนจีนโพ้นทะเลและคนที่ไม่มีสัญชาติไทยกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้จัดทำทะเบียนราษฎรไว้แล้ว ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ควรพิจารณากำหนดให้กลุ่มคนที่ตกหล่นดังกล่าวได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 1918 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 12 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 30 กันยายน 2558) | นร | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๑๒ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ ซึ่งมีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ โดยศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ ในห้วง ๑ ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการที่ถือว่าเป็นการปฏิรูปงานที่สำคัญ ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปเพื่อการลดความเหลื่อมล้ำ การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการบริหารงานภาครัฐ การปฏิรูประบบงบประมาณ การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และการดำเนินการอื่น ๆ ได้แก่ แต่งตั้ง “Mister ปฏิรูป” ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูป และจัดทำเว็บไซต์ “การปฏิรูปประเทศไทย” ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน การบริหารเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
| 1919 | การปรับปรุงโบนัสของพนักงานและลูกจ้างประจำของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล | กค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติมว่า ขอยืนยันตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การปรับปรุงโบนัสของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่จ่ายเป็นเงินค่าตอบแทนพิเศษจากผลการปฏิบัติงานเป็นเงินที่จ่ายให้แก่พนักงานโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นรางวัลและเพื่อเป็นแรงจูงใจให้แก่พนักงาน มิใช่อยู่ในความหมายและขอบเขตของคำว่า “สภาพการจ้าง” ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งหมายถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทั่วไปเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงาน ๒. เห็นชอบให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลปรับปรุงการจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำ จาก ๓.๗๕ เท่าของเงินเดือนหรือค่าจ้าง เป็น ๔ เท่าของเงินเดือนหรือค่าจ้าง ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับเฉพาะในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการตามแผนปฏิรูประบบสลากกินแบ่งรัฐบาลของคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมทั้งเร่งปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในโอกาสต่อไปสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะต้องมีการดำเนินการตามแผนการปฏิรูประบบสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยการปรับเข้าระบบแรงจูงใจกลุ่มรัฐวิสาหกิจประเภทที่จัดสรรโบนัสให้พนักงานได้เมื่อมีผลกำไร เพื่อให้การจัดสรรโบนัสตามระบบประเมินผลโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1920 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี 2558/59 ตามมาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2 | กษ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๙๗๑,๙๗๙,๙๓๖ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการที่ ๑ การส่งเสริมความรู้และสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน จำนวน ๔ โครงการ ในกรอบวงเงินรวม ๙๗๑,๙๗๙,๙๓๖ บาท ประกอบด้วย ๑.๑.๑ กรมส่งเสริมเกษตรกร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากพืชทดแทนนาปรัง จำนวน ๓๕๖,๙๒๐,๙๐๐ บาท ๑.๑.๒ กรมปศุสัตว์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากปศุสัตว์ในฤดูแล้ง จำนวน ๔๔๒,๗๙๓,๗๓๖ บาท ๑.๑.๓ กรมประมง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากประมงในฤดูแล้ง จำนวน ๑๖๓,๑๒๙,๘๐๐ บาท ๑.๑.๔ กรมพัฒนาที่ดิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน จำนวน ๙,๑๓๕,๕๐๐ บาท ๑.๒ สำหรับมาตรการที่ ๒ ค่าใช้จ่ายโครงการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งของกรมส่งเสริมสหกรณ์ เห็นสมควรที่จะจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร สัญญากู้ระยะสั้น ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ ในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นระยะเวลา ๖ เดือน ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒๐๖,๒๓๓,๐๐๐ บาท โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดทำรายละเอียดมูลหนี้ที่เกิดขึ้นจริง ตามผลการดำเนินงานประจำปี และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ละหน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รายละเอียดค่าใช้จ่าย โดยขอทำความตกลงเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยตรงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในทันต่อฤดูเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ และรายงานจำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรดังกล่าวด้วย ๓. ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐติดตามการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ให้เกิดความโปร่งใสและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
.....
