ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 93 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1841 - 1860 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1841 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อให้การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดกลุ่มกิจกรรมเพื่อรองรับการดำเนินงานของอาเซียน จำแนกตาม ๖ กลุ่มงาน (Cluster) ที่รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบ โดยให้เริ่มจากกิจกรรมที่สามารถดำเนินการได้ก่อน เช่น ความร่วมมือด้านความมั่นคง การต่อต้านการก่อการร้าย การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และให้ทุกกระทรวงที่มีความพร้อมเริ่มดำเนินการ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ทั้งนี้ การดำเนินกิจกรรมจะต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ และกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาแนวทางการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเขตทางรถไฟและย่านสถานีให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยให้พิจารณาทั้งรูปแบบการพัฒนา (การพัฒนาพื้นที่แนวราบและแนวสูง) และรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทยและลดภาระงบประมาณการลงทุนของภาครัฐ ๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งหาข้อยุติเกี่ยวกับแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะโครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงรูปแบบการบริหารงานและการลงทุนที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน ความคล่องตัวในการบริหารงาน และสามารถลดภาระงบประมาณการลงทุนของภาครัฐได้ ๓.๓ ให้กระทรวงคมนาคมสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนาระบบรางที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันและที่จะดำเนินการในอนาคต โดยให้ระบุช่วงเวลาในการดำเนินการ ระบบราง และความเร็วที่จะนำมาใช้แต่ละเส้นทาง [รางขนาด ๑ เมตร (Meter Gauge) หรือรางขนาด ๑.๔๓๕ เมตร (Standard Gauge)] รวมทั้งผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ และความเชื่อมโยงกับกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปีด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อให้มีการแยกหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) และหน่วยงานให้บริการ (Operator) ออกจากกัน ตามแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้อนุมัติไว้ ๓.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยผ่านสื่อโฆษณา โดยร้อยเรียงเป็นเรื่องราว (Story) รายกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวในภูมิภาค การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รวมทั้งพิจารณาจัดทำรูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวภายในกลุ่มประชาคมอาเซียนในลักษณะเป็นแพคเกจ (Package) โดยให้เร่งดำเนินการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านที่ได้หารือไว้แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) และจัดทำเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ด้วย ๓.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ในการพิจารณาให้มีพื้นที่จอดรถสาธารณะในแหล่งชุมชนในกรุงเทพมหานครเพื่อเป็นการลดปัญหาการจราจร โดยอาจจะพิจารณาดำเนินการตามแนวทาง “จอดแล้วเดิน” และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) กระทรวงการคลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินโดยเฉพาะในบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่ท่องเที่ยว ๓.๗ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ในการปรับปรุง “ชุดความรู้ประชารัฐ” ให้เกิดความสมบูรณ์ และเหมาะสม เช่น เพิ่มเติมกลไกสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย โดย ๑๒ คณะภาคธุรกิจ เพื่อให้ส่วนราชการนำไปใช้ในการแปลงนโยบายการขับเคลื่อนกลไกประชารัฐไปสู่การปฏิบัติโดยเฉพาะในระดับพื้นที่ รวมทั้งสร้างการรับรู้แก่ประชาชนโดยทั่วไปด้วย ๓.๘ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สำนักโฆษก) ปรับปรุงรูปแบบของวารสารไทยคู่ฟ้า โดยให้จัดแบ่งพื้นที่สำหรับการนำเสนอผลงานของรัฐบาล โดยจำแนกเป็น ๖ กลุ่มงาน (Cluster) ที่รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบเพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ฉบับเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1842 | แนวทางการปฏิรูปการจัดทำงบประมาณ | นร | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอแนวทางการปฏิรูปการจัดทำงบประมาณ โดยจะดำเนินการใน ๒ ส่วนหลัก ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายวิธีการงบประมาณ โดยเพิ่มเติม/ปรับปรุงในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การให้จังหวัด กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยรับงบประมาณ หลักการความรับผิดชอบทางการคลัง การจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่สำหรับการจัดทำแผนในระดับพื้นที่ของจังหวัด กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การโอนงบประมาณระหว่างหน่วยงานภายใต้แผนบูรณาการและแผนงานบุคลากรภาครัฐเดียวกัน การเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงบประมาณ การปรับปรุงระบบการติดตามและประเมินผล เป็นต้น ๑.๒ ปรับปรุงแนวทางการจัดทำงบประมาณ ๑.๒.๑ ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีจะยึดยุทธศาสตร์ชาติ ๖ ด้าน ระยะ ๒๐ ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล แผนปฏิรูปภาครัฐ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ และแผนหลักอื่น ๆ โดยจัดทำกรอบงบประมาณรายรับและรายจ่ายล่วงหน้าระยะ ๒๐ ปี และยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้หน่วยงานใช้ในการจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๑.๒.๒ งบประมาณรายจ่ายประจำปี ประกอบด้วย ๕ กลุ่ม คือ (๑) Function (ภารกิจพื้นฐาน) (๒) Agenda (ภารกิจยุทธศาสตร์ นโยบายเร่งด่วน แนวทางปฏิรูปภาครัฐ งบประมาณบูรณาการ) (๓) Area (ภารกิจพื้นที่ ท้องถิ่น ภูมิภาค จังหวัด กลุ่มจังหวัด) (๔) งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น หรืองบภัยพิบัติ หรือเร่งด่วน และ (๕) รายจ่ายชดใช้เงินกู้และดอกเบี้ย ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ออกเป็น ๕ กลุ่ม ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอ ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวต่อไป ๓. ในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ โดยเฉพาะภารกิจยุทธศาสตร์ Agenda ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาหารือร่วมกัน โดยผ่านกลไกของคณะกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๖ คณะ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ เพื่อกำกับการจัดทำงบประมาณในลักษณะเดียวกัน ๔. ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีในมิติรายจ่ายภารกิจพื้นฐาน (Function) มิติรายจ่ายภารกิจยุทธศาสตร์ (Agenda) และมิติรายจ่ายภารกิจพื้นที่ (Area) ให้เกิดความเชื่อมโยงและสอดรับกัน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาหากลไกในการเชื่อมโยงงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กับยุทธศาสตร์ชาติ ๖ ด้าน ระยะ ๒๐ ปี และงบประมาณของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ๕. ให้สำนักงบประมาณชี้แจงทำความเข้าใจกับส่วนราชการเกี่ยวกับแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีในรูปแบบใหม่ ๖. ให้กระทรวงการคลังจัดทำยุทธศาสตร์ด้านรายรับให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๖ ด้าน ระยะ ๒๐ ปี กรอบงบประมาณรายรับและรายจ่ายล่วงหน้าระยะ ๒๐ ปี และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1843 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจร้านเกมและอินเทอร์เน็ต | วธ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจร้านเกมและอินเทอร์เน็ตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย การมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ การดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ การปรับปรุง ระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ทันต่อสถานการณ์ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1844 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยภาษีเงินได้] | กค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เพื่อกำหนดสิทธิประโยชน์ภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยให้กับผู้นำเข้า/ผู้ขายที่เป็นบุคคลธรรมดา ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้ามาเพื่อขายหรือการขายเพชร พลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก ไข่มุก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกันเฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่ ให้แก่ผู้นำเข้าหรือผู้ขายซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้จากการขายเพชร พลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก ไข่มุก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่และได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแล้ว ๒.๓ ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ โดยแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๔๔ (พ.ศ. ๒๕๒๒) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินเฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการซื้ออัญมณี บางกรณี ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรพิจารณามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ได้แก่ การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าและการขายพลอยก้อนที่ยังไม่ได้เจียระไนในแบบถาวร การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าเพชรและการขายพลอยก้อนที่เจียระไนแล้วเพื่อใช้ในการผลิตแบบถาวร และการยกเว้นอากรขาเข้าสร้อยขดม้วนเพื่อใช้ในการผลิตและอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยพิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเข้าหรือการขายอัญมณีที่ยังไม่ได้ประกอบเป็นตัวเรือนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs การเร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ระยะที่ ๒ โดยเร็ว และจัดทำแนวทางเพื่อพัฒนาและยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ไทยในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยทั้งระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลังประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการภาษีเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลก ซึ่งได้สิ้นสุดเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการลักลอบการนำเข้าอัญมณีที่ผิดกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1845 | มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่ (ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.) | อก | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการและความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การกำหนดนโยบายบริหารจัดการทรัพยากรแร่ โดยกำหนดให้การคุ้มครองป้องกันทรัพยากรแร่เป็นวาระแห่งชาติ และกำหนดยุทธศาสตร์ชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรแร่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล รวมทั้งการเข้มงวด กวดขัน กำกับ ติดตามการประกอบการอย่างใกล้ชิดและดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่อย่างจริงจัง ตลอดจนเร่งกำหนดนโยบายการบริหารจัดการแร่ของกลางให้ชัดเจน โดยต้องไม่ให้เกิดวงจรของการลักลอบทำแร่อีกต่อไป ๒. การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแร่ โดยเร่งแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ และระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งอาจเป็นช่องว่างให้เกิดการทุจริต ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับแร่ ๓. การกำกับติดตาม และการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่บริหารจัดการระบบสัมปทาน ให้มีการบูรณาการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ถูกต้อง รวดเร็ว มีระยะเวลากำหนดที่ชัดเจน และควรพิจารณาแนวทางการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) หรือเสร็จสิ้นในหน่วยงานรับผิดชอบหลักหน่วยงานเดียว เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการออกใบอนุญาต การเพิ่มมาตรการป้องกันและปราบปราม การลักลอบทำแร่ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทุกกระบวนการในการทำเหมือง รวมทั้งให้มีระบบการติดตามประเมินผลของมาตรการเกี่ยวกับการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับคดีการลักลอบทำแร่ที่ผู้กระทำผิด มีอิทธิพล เครือข่ายซับซ้อน และของกลางที่ยึดไว้มีมูลค่าสูงเป็นคดีพิเศษ การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินกับเจ้าหน้าที่รัฐและบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายทรัพยากรแร่อย่างจริงจัง เคร่งครัด ตลอดจนการประสานและบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อรณรงค์สร้างแนวร่วมเครือข่ายในการพิทักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1846 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ กรณีผู้ประกอบการการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ) | มท | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ กรณีผู้ประกอบการการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเห็นว่า ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดระเบียบชายหาด เป็นแนวนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในที่สาธารณประโยชน์บริเวณชายหาด ในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและประชาชน ซึ่งในการจัดระเบียบชายหาดตามนโยบายดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีพื้นที่ชายหาดดำเนินการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการจัดระเบียบชายหาดให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ ให้จัดระเบียบพื้นที่และขอบเขตของผู้ประกอบการให้ชัดเจน โดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่นักท่องเที่ยวและประชาชนผู้ใช้พื้นที่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1847 | ร่างพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. .... | สธ | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับองค์ประกอบของคณะกรรมการวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับวัตถุออกฤทธิ์ หน้าที่ของผู้รับอนุญาต หน้าที่ของเภสัชกร การโฆษณาและอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับด่านตรวจสอบวัตถุออกฤทธิ์และการให้โอกาสแก่ผู้เสพ เสพและมีไว้ครอบครอง เสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย หรือเสพและขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ ได้สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษาในสถานพยาบาล ตลอดจนปรับปรุงบทกำหนดโทษและอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1848 | ร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... | พณ | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า ในการดูแลให้มีการแข่งขันทางการค้าที่มีความเป็นอิสระ และปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการดูแล และส่งเสริมการประกอบธุรกิจให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม เสมอภาคเท่าเทียมกัน ครอบคลุมในทุกประเภทธุรกิจตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยกระทรวงพาณิชย์ใช้กลไกปกติของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าดำเนินการไปก่อน และทบทวนความเหมาะสมของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้มีความสอดคล้องกันด้วย ส่วนการจัดตั้งสำนักงานฯ เป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระ มีฐานะเป็นนิติบุคคล ให้พิจารณาในระยะต่อไปตามความจำเป็น และให้รับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นควรมีกติกาเพื่อกำหนดให้มีการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมและคุ้มครองผู้บริโภคในการบริโภคสินค้าและบริการ รวมทั้งลดการแทรกแซงของรัฐบาล ดังนั้น องค์กรที่กำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าที่ทำหน้าที่เป็นองค์กรผู้ตรวจสอบจึงควรมีอิสระในการดำเนินงาน ไม่อยู่ใต้อำนาจฝ่ายบริหาร การกำหนดบทนิยาม “รัฐวิสาหกิจ” ตามมาตรา ๕ ของพระราชบัญญัติฯ ให้มีความชัดเจน และกำหนดกรอบระยะเวลาเพื่อรองรับการเตรียมการของรัฐวิสาหกิจให้เพียงพอต่อการปฏิบัติตามกฎหมายการกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายต่อคณะกรรมการฯ ให้ชัดเจนเพื่อรองรับเฉพาะคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การกำหนดให้นำกฎหมายว่าด้วยวิธีการปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลมให้ครอบคลุมหน้าที่ของคณะกรรมการในกรณีอื่น ๆ ด้วย อาทิ การออกระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ สำหรับกรณีบทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติฯ ว่าสามารถนำข้อบัญญัติในพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการไปทำการซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้ หากประสงค์จะให้คงบทบัญญัติทั้งสองข้อไว้ ก็ควรกำหนดเวลาเฉพาะในช่วงแรกของการจัดตั้งสำนักงานเพื่อมิให้เกิดบทเฉพาะกาลแบบถาวร รวมทั้งการตัดโอนภารกิจด้านการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าและสำนักส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าซึ่งเป็นส่วนราชการเทียบเท่ากองไปกำหนดไว้ในสำนักงานฯ เพื่อมิให้โครงการการแบ่งส่วนราชการซ้ำซ้อนกัน และเห็นว่าคณะกรรมการฯ เป็นผู้มีอำนาจทางบริหารไม่ควรมีอำนาจในการพิจารณาลดหย่อนโทษปรับ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประสานคณะทำงานร่วม รัฐ-เอกชน-ประชาชน (ประชารัฐ) ฝ่ายกฎหมาย เพื่อรวบรวมความเห็นขององค์กรภาคเอกชนเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเชิญหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมชี้แจงในการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. อาทิ การมีกติกาเพื่อกำหนดให้มีการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมและคุ้มครองผู้บริโภคในการบริโภคสินค้าและบริการ รวมทั้งลดการแทรกแซงของรัฐบาล ดังนั้น องค์กรที่กำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าที่ทำหน้าที่เป็นองค์กรผู้ตรวจสอบจึงควรมีอิสระในการดำเนินงาน ไม่อยู่ใต้อำนาจฝ่ายบริหาร การให้ความสำคัญกับการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อเป็นกลไกในการช่วยตรวจสอบความโปร่งใสและกำกับดูแลการแข่งขันที่เป็นธรรม การสนับสนุนการสร้างและพัฒนาบุคลากรขององค์กรในด้านทักษะและความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและประเด็นการแข่งขันทางการค้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีบทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติฯ ว่าสามารถนำข้อบัญญัติในพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการทำการซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ พ.ศ.๒๕๕๐ ได้ อย่างไรก็ตาม หากประสงค์จะให้คงบทบัญญัติทั้งสองข้อไว้ ก็ควรกำหนดเวลาเฉพาะในช่วงแรกของการจัดตั้งสำนักงานเพื่อมิให้เกิดบทเฉพาะกาลแบบถาวร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1849 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ 2559 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพิ่มเติม จำนวน ๑๐,๔๔๒.๔๐๐ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการเร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินของ ขสมก. ในระยะยาว เพื่อให้ ขสมก. สามารถดำเนินกิจการที่เป็นการให้บริการสาธารณะประโยชน์แก่ประชาชนตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งองค์กรต่อไปได้ การกำกับดูแลให้ ขสมก. ดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้ให้ความเห็นชอบให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้และเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการดำเนินการที่สามารถช่วยสร้างรายได้และลดภาระค่าใช้จ่ายองค์กร ได้แก่ การจัดรถโดยสารทดแทน การจำหน่ายทรัพย์สินที่ไม่มีความจำเป็น และการบริหารจัดการลูกหนี้ของ ขสมก. เป็นต้น การดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาระยะสั้น (Quick Win) ในการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายที่สามารถดำเนินการได้เองทันทีที่มีกำหนดเวลาแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ การเร่งปรับปรุงการบริหารจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาของ ขสมก. ในระยะยาวอย่างยั่งยืน และไม่ให้เป็นภาระงบประมาณภาครัฐต่อไป รวมทั้งการบรรจุแผนการกู้เงินจำนวนดังกล่าวไว้ในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามนัยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการเร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินของ ขสมก. ในระยะยาวต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1850 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2558 (ครั้งที่ 5) | พน | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบนโยบายการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน และมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยไปลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกับผู้ลงทุน เมื่อผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดแล้ว และเห็นชอบในหลักการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสามารถปรับปรุงเงื่อนไขในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในชั้นการจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ จะต้องไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า ๓. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการเพื่อขายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านผ่านการเชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้า ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเสนอ ๔. เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการขยายระยะเวลากำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) การประกาศรับข้อเสนอขอขายไฟฟ้า FiT แบบ Competitive Bidding การทบทวนปริมาณรับซื้อไฟฟ้ารายพื้นที่ใหม่ รวมทั้งการปรับปรุงการจัดลำดับความสำคัญการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ตามความเหมาะสม ยกเว้นเฉพาะเรื่องอัตรารับซื้อไฟฟ้า FiT ที่หากจะมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ๕. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๙ (ครั้งที่ ๑๐๖) เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๙ และเห็นชอบตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเสนอเกี่ยวกับการปรับปรุงการมอบอำนาจในการดำเนินคดีทางปกครอง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1851 | การขอปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการแห่งชาติในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย (รวม 28 คน) | คค | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการแห่งชาติในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย ให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และเป็นปัจจุบัน โดยมีองค์ประกอบ รวม ๒๘ คน สำหรับอำนาจหน้าที่คงเดิม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีรายละเอียดการแก้ไของค์ประกอบ ดังนี้
๑. เปลี่ยน รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง) ประธานกรรมการ เป็น รองปลัดกระทรวงคมนาคม (ด้านอำนวยการ) ประธานกรรมการ ๒. เปลี่ยน อธิบดีกรมการบินพลเรือน รองประธานกรรมการ เป็น อธิบดีกรมท่าอากาศยาน รองประธานกรรมการ ๓. เพิ่ม ผู้แทนบริษัท ทีไอที จำกัด (มหาชน) เป็น กรรมการ ๔. เพิ่ม ผู้แทนสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เป็น กรรมการ ๕. เปลี่ยน ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการบิน กรมการบินพลเรือน กรรมการและเลขานุการ เป็น หัวหน้ากลุ่มงานค้นหาและช่วยเหลืออากาศยาน สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กรรมการและเลขานุการ ๖. เปลี่ยน ผู้แทนสำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ เป็น ผู้แทนสำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กรรมการ ๗. ยกเลิก นักวิชาการขนส่งชำนาญการพิเศษ กลุ่มค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือประสบภัย กรมการบินพลเรือน กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1852 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 5/2559 เรื่อง มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ | สลธ.คสช. | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕/๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการว่าให้นำคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวใช้ประกอบการปรับย้าย และแต่งตั้งของทุกส่วนราชการในเดือนเมษายน ๒๕๕๙ สำหรับข้าราชการทหารและข้าราชการตำรวจให้กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามกฎหมายของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนการดำเนินการของสำนักพระราชวังให้ดำเนินการตามธรรมเนียมปฏิบัติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1853 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ และกำหนดให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ รวมถึงมีหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำนโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการให้เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติในการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ ตลอดจนแผนแม่บทการพัฒนาบุคลากรด้านวัคซีนของประเทศไทย รวมทั้งการเบิกจ่ายอัตราเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนอื่น ๆ ของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และผู้เข้าร่วมประชุมฯ ควรกำหนดให้ชัดเจนด้วยว่าให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1854 | สรุปผลการพิจารณาข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง เสรีภาพในการถือศาสนา เสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ และการเลือก ปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีการห้ามสตรีที่นับถือศาสนาอิสลามสวมฮิญาบ | วธ | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง เสรีภาพในการถือศาสนา เสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ และการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีการห้ามสตรีที่นับถือศาสนาอิสลามสวมฮิญาบ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป โดยผลการพิจารณาสรุปได้ ดังนี้
๑. ในปัจจุบันไม่มีกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศและคำสั่งใดที่เป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา รวมทั้งการแต่งกาย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากหน่วยงานระดับปฏิบัติการในบางพื้นที่ ที่ยังไม่ทราบแนวทางปฏิบัติในเรื่องดังกล่าว จึงให้ทุกหน่วยงานได้แจ้งกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศและคำสั่งให้หน่วยงานในความรับผิดชอบและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ออกมาอย่างเคร่งครัด ๒. กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๓ ฉบับ เพื่อกำหนดแนวทางการแต่งกายของพยาบาล นักเรียนและนักศึกษาพยาบาลที่นับถือศาสนาอิสลามให้เป็นลักษณะเดียวกัน ๓. ทุกหน่วยงานยินดีให้ความร่วมมือในการสร้างความเข้าใจและความตระหนักในการเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา รวมถึงการแต่งกาย แต่ไม่สามารถกำหนดมาตรการหรือบทลงโทษใด ๆ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการได้ ๔. ทุกหน่วยงานได้มีการปรับปรุง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับสิทธิในการแต่งกายตามหลักศาสนาของสตรีผู้นับถือศาสนาอิสลามไว้แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตรากฎหมายกลาง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1855 | โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท | กษ | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมมีความเห็นว่า โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางพารา กรอบวงเงิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขออนุมัติให้ดำเนินการตามแนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ) มีประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ คือ เงื่อนไขที่กำหนดให้เป็นการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการเพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิต หรือการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิตเท่านั้น ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะต้องซื้อที่ดินและก่อสร้างโรงงาน ดังนั้น จึงควรขยายขอบเขตและเงื่อนไขการให้สินเชื่อดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการรายใหม่ รวมถึงการใช้จ่ายในส่วนของค่าที่ดินและค่าก่อสร้างอาคารด้วย ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีความเห็นว่า เงื่อนไขของโครงการฯ ที่ระบุว่า ผู้ประกอบการจะได้รับสินเชื่อสำหรับขยายกำลังการผลิตหรือปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเท่านั้น อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากการขยายการผลิตอาจจำเป็นต้องก่อสร้างโรงงานหรือซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม ดังนั้น จึงควรพิจารณาปรับเงื่อนไขโครงการให้ครอบคลุมกรณีนี้ด้วย ๑.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า โครงการฯ ในครั้งนี้มีกรอบวงเงินให้สินเชื่อจำนวนไม่มาก ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายใหม่ ๒. รับทราบแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการใหม่ของโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และอนุมัติเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการดำเนินการโครงการฯ จากตั้งแต่ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๗ เป็นตั้งแต่ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. อนุมัติในหลักการโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับการชดเชยภาระดอกเบี้ยและการขอรับจัดสรรงบประมาณ ภาครัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ซึ่งรัฐตั้งชดเชยภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริงผ่านธนาคารออมสิน/กระทรวงการคลัง โดยให้ธนาคารออมสิน/กระทรวงการคลังขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้สินเชื่อให้ครอบคลุมอุปกรณ์และสิ่งปลูกสร้างอันเนื่องมาจากการขยายกำลังการผลิต โดยคำนึงถึงการบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เป็นสำคัญ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการตรวจสอบแผนการลงทุนของผู้ประกอบการยางพาราที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความสอดคล้องและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ โดยเคร่งครัด และต้องวางกลไกและระบบการติดตามและรายงานผลที่มีความคล่องตัว โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ตลอดจนสามารถสะท้อนปัญหาอุปสรรคเพื่อนำมาสู่การแก้ไขปรับปรุงหรือขยายผลการดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ในระยะต่อไป หากจะมีการขยายขอบเขตการดำเนินโครงการฯ ให้ครอบคลุมผู้ประกอบการรายใหม่ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1856 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการเกี่ยวกับด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อจัดตั้งเครือข่ายในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามกลไกประชารัฐ เช่น อาสาสมัครของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) พัฒนากร ครูอาจารย์ ปราชญ์ชาวบ้านซึ่งเป็นบุคคลที่ทำงานใกล้ชิดกับประชาชนและได้รับการยอมรับนับถือจากคนในชุมชน เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ซึ่งจะเป็นตัวอย่างในการร่วมขับเคลื่อนกลไกประชารัฐในพื้นที่และช่วยสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนอื่นในพื้นที่ด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ จัดทำแผนงานเพื่อสร้างกลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นผู้นำในการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป โดยในการคัดเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถพิเศษ (ช้างเผือก) ในสาขาต่าง ๆ เช่น นักเรียนรุ่นใหม่ เกษตรกรรุ่นใหม่ ให้คัดเลือกจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ๓. ให้ทุกส่วนราชการจัดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาคนรุ่นใหม่ในลักษณะที่เป็นความร่วมมือระหว่างส่วนราชการเพื่อให้เกิดการบูรณาการ เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดกิจกรรมการเดินป่า กิจกรรมการแข่งขันไตรกีฬา กิจกรรมประกวดภาพถ่ายทัศนียภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งนี้ ในการจัดกิจกรรมดังกล่าวให้คำนึงถึงความสอดคล้องเชื่อมโยงกันระหว่างกิจกรรม และความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งให้นำกลไกประชารัฐมาใช้ในการดำเนินการด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ และทุกส่วนราชการที่จะจัดทำโครงการในลักษณะที่เป็นการให้ทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา (ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก) ทั้งในและต่างประเทศร่วมกันบูรณาการการจัดสรรทุนการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลน เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ครู นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เป็นต้น โดยให้จัดสัดส่วนทุนให้เหมาะสมระหว่างทุนการศึกษาปกติและทุนการศึกษาพิเศษที่กำหนดให้ผู้ได้รับทุนเมื่อจบการศึกษาแล้วต้องเข้ารับราชการกลับไปทำงานในภูมิลำเนา หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรือนักวิจัย ๕. ให้กระทรงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทวงศึกษาธิการ จัดทำแผนงานเพื่อพัฒนาผู้ด้อยโอกาสทั่วประเทศ เช่น ผู้ที่มีฐานะยากจน เด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง ทั้งด้านชีวิตและความเป็นอยู่และการศึกษา รวมทั้งให้เด็กด้อยโอกาสเหล่านี้ได้พัฒนาให้เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ และคัดเลือกให้เป็นแบบอย่างและสร้างแรงจูงใจให้แก่เด็กด้อยโอกาสอื่น ๆ ต่อไป ๖. ให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงกฎหมายงบประมาณเพื่อให้มีลักษณะเป็นการบูรณาการงบประมาณระหว่างหน่วยงานที่สอดคล้องกับภารกิจหลักของหน่วยงานและภารกิจที่เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณไม่ซ้ำซ้อน มีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด ๗. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ : สวทช.) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคิดค้นเครื่องมือที่สนับสนุนการดำเนินงานของส่วนราชการ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการติดตามตัวผู้ที่อยู่ระหว่างการคุมประพฤติ (Electronic Monitoring : EM) และอุปกรณ์/ครุภัณฑ์ด้านการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เช่น เครื่องรีดยางพาราแผ่นเพื่อลดต้นทุนการผลิตและการนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1857 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในกระบวนการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. | นร10 | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ. รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในกระบวนการบริหารงานบุคคลของภาครัฐของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยสำนักงาน ก.พ. อยู่ระหว่างการปรับปรุงรายละเอียดของร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการย้าย การโอน หรือการเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. .... ที่จะออกตามความในมาตรา ๖๓ ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการย้าย การโอน หรือการเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญในหรือต่างกระทรวง หรือกรม โดยเฉพาะการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (ปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า) ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อพิจารณากลั่นกรองบุคคลที่เหมาะสม ทั้งนี้ หากร่างกฎกระทรวงดังกล่าว รวมทั้งหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับ สำนักงาน ก.พ. จะเป็นเจ้าหน้าที่ในการเสนอแนะ และให้คำปรึกษาแก่กระทรวง กรม เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางในการย้าย การโอน หรือการเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญ รวมทั้งเป็นกรรมการในฐานะผู้แทน ก.พ. ในคณะกรรมการคัดเลือกที่ อ.ก.พ. กระทรวงแต่งตั้ง จึงอาจไม่จำเป็นต้องมีการจัดตั้งศูนย์/หน่วยงานประเมินและวิเคราะห์ข้าราชการขึ้นใหม่
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1858 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณโครงการมหกรรมสินค้าเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบอุทกภัยด้วยการมอบคูปองส่วนลดซื้อสินค้าประหยัดพลังงาน มูลค่า 2,000 บาท | พน | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ โครงการมหกรรมสินค้าเบอร์ ๕ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัยด้วยการมอบคูปองส่วนลดซื้อสินค้าประหยัดพลังงาน มูลค่า ๒,๐๐๐ บาท ซึ่งกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนกระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการรับเงิน การเก็บรักษาเงิน การเบิกจ่ายเงิน และการบัญชีเงินกองทุน พ.ศ. .... เพื่อให้มีความเหมาะสมและเป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอจัดตั้ง การดำเนินงาน และการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1859 | รายงานประจำปี 2556 และ 2557 ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ | วท | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกอบด้วย การดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคเกษตรกรรม รวมถึงการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้น และรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน สวทช. สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ และวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1860 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 13 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 31 ตุลาคม 2558) | นร | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๑๓ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ๒. การปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลได้เร่งรัดให้ส่วนราชการนำ ๓๗ วาระการปฏิรูป ๖ วาระการพัฒนาของสภาปฏิรูปแห่งชาติมาจัดทำแผนปฏิบัติการโดยจัดกลุ่มให้อยู่ภายใต้ประเด็นการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ จำนวน ๑๑ ด้าน แบ่งเป็น ระยะที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ระยะที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘-เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ และระยะที่ ๓ เดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน การบริหารเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
