ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 91 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1801 - 1820 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1801 | การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | กค | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการธนาคารออมสินให้เป็นผู้กำหนดวงเงินจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการธนาคารออมสิน ประกาศงบดุลซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้รับรองแล้วและประกาศฐานะการเงินโดยย่อของธนาคารออมสินประจำไตรมาสภายในหกเดือนต้นของปีถัดไป ประกาศรายงานประจำปีว่าด้วยธุรกิจซึ่งธนาคารออมสินได้จัดทำในระหว่างปี จำนวนผู้ฝาก จำนวนเงินฝาก จำนวนเงินดอกเบี้ยที่จ่ายผลประโยชน์ที่ได้มาจากเงินทุนและอื่น ๆ และให้ธนาคารออมสินสามารถได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือจากแหล่งอื่นได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเกี่ยวกับประเด็นการเพิ่มทุนของธนาคารออมสินอาจได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือจากแหล่งอื่น การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการธนาคารออมสินเพื่อให้สอดคล้องกับร่างมาตรา ๒๕ และร่างมาตรา ๒๖ ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม การเพิ่มข้อความ "ให้คณะกรรมการ ผู้อำนวยการ และรองผู้อำนวยการ เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา" ในมาตรา ๑๙ (ข) และกำหนดกรณีที่ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และเพื่อไม่เป็นการเปิดช่องให้ธนาคารสามารถดำเนินการบางอย่าง เช่น กู้เงินจากแหล่งเงินอื่นได้เอง จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มข้อความ "มาตรา ๒๐/๑ ในกรณีที่ธนาคารออมสินมีเหตุจะต้องเพิ่มกองทุนเพื่อให้เพียงพอต่อการดำเนินกิจการ ธนาคารออมสินอาจได้รับจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือจากแหล่งอื่นได้" ส่วนในมาตรา ๒๖ เห็นควรคงข้อความ "จำนวนเงินฝาก" ตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติเดิม เนื่องจากเห็นว่า "จำนวนเงินฝาก" เป็นภาระหนี้ของธนาคาร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับสาธารณชนจำนวนมาก ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1802 | การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) | นร | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๕/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เรื่อง ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เสนอ ดังนี้
๑. ปรับปรุงข้อความในองค์ประกอบของคณะกรรมการ ลำดับที่ ๑.๑-๑.๔ ของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๓๖/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) จาก “ที่ปรึกษาคณะกรรมการ” เป็น “ที่ปรึกษา/กรรมการ” ตั้งแต่วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ๒. เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการ ลำดับที่ ๑.๔ ตามข้อ ๑ จาก “รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ คนที่สอง (นางสาววลัยรัตน์ ศรีอรุณ)” เป็น “นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ที่ปรึกษา/กรรมการ” ๓. เพิ่มเติม คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการในส่วนของสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศที่ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศมอบหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1803 | หลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน และยกร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ .. ) พ.ศ .... (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) | ตช | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหาร มีสาระสำคัญเป็นการบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารผู้รับเงินเดือน ป.๑, ป.๒, น.๔, น.๕, น.๖ และ น.๗ ในระหว่างการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๑๑/๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารกับข้าราชการประเภทอื่น ประกอบกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการเยียวยาให้ข้าราชการในหน่วยงานตนได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม และเห็นชอบให้ถอนร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนออกจากชั้นการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจ มีสาระสำคัญเป็นการบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจผู้รับเงินเดือนระดับ ส.๔, ส.๕, ส.๖ และ ส.๗ ในระหว่างการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๖๘/๑ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจกับข้าราชการประเภทอื่น ประกอบกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการเยียวยาให้ข้าราชการในหน่วยงานตนได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดยเป็นการกำหนดอัตราและวิธีการเยียวยาเช่นเดียวกับหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหาร ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาทบทวนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. คณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เกี่ยวกับการเยียวยาความเหลื่อมล้ำสามารถดำเนินการได้โดยหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และควรพิจารณาทบทวนร่างหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน (กรณีหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาฯ) จะมีผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐในการคำนวณเงินบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ค่าตอบแทนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐประเภทต่าง ๆ ) รวมทั้งการปรับปรุงบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจนั้น ควรพิจารณาพร้อมกับการปรับปรุงค่าตอบแทนของข้าราชการทั้งระบบ เพื่อมิให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำของค่าตอบแทนของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ที่มีอัตราค่าตอบแทนยึดโยงกัน |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1804 | รายงานผลการประชุมผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงของประเทศกลุ่ม 77 ว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือเอเซีย ครั้งที่ 14 | กต | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานเกี่ยวกับผลการประชุมผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงของประเทศกลุ่ม ๗๗ ว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือเอเซีย ครั้งที่ ๑๔ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุมผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงของประเทศกลุ่ม ๗๗ ว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา ๑.๑ เมื่อวันที่ ๙-๑๐ มีนาคม ๒๕๕๙ ประเทศไทยในฐานะประธานกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ๗๗ ประเทศ (Group of 77 : G77) ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงประเทศกลุ่ม G77 เพื่อหารือแนวทางการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (ความร่วมมือใต้-ใต้) ให้เป็นรูปธรรมและยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ ร่วมกัน และได้จัดให้มีการศึกษาดูงาน ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับตัวอย่างความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากนี้ ประเทศไทยร่วมกับประธานกองทุน Perez-Guerrero Trust Fund for South-South Cooperation (PTGF) มีแผนที่จะจัดสรรเงินส่วนหนึ่งที่ประเทศไทยบริจาคเข้ากองทุนความร่วมมือใต้-ใต้ ให้แก่โครงการของประเทศกำลังพัฒนาที่สนใจนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ด้วย ๑.๒ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๙ กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการประชุมประจำปี ครั้งที่ ๔๗ ระหว่างประธานและผู้ประสานงานของกลุ่ม G77 เพื่อหารือแนวทางที่จะให้กลไกสำคัญของกลุ่ม G77 มีเอกภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถขับเคลื่อนให้กลุ่ม G77 บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยกระทรวงการต่างประเทศได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตไทยประจำเมืองที่เป็นจุดประสานงานร่วมทำงานเชิงรุกกับจุดประสานของกลุ่ม G77 และผลักดันการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ผ่านการทำงานของกลุ่ม ๗๗ ในจุดประสานงานต่าง ๆ ด้วย ๒. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) เมื่อวันที่ ๙-๑๐ มีนาคม ๒๕๕๙ กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACD ครั้งที่ ๑๔ ภายใต้หัวข้อ “ACD-The Way Forward” ผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ที่ประชุมพิจารณารับสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลเข้าเป็นสมาชิกใหม่ลำดับที่ ๓๔ อย่างเป็นทางการ และเห็นชอบการจัดทำวิสัยทัศน์ความร่วมมือเอเชีย ค.ศ. ๒๐๓๐ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการต่อยอดการศึกษาแผนพัฒนาความเชื่อมโยงในภูมิภาค ACD บนพื้นฐานของความร่วมมือในกรอบภูมิภาคต่าง ๆ ที่มีอยู่ ๒.๒ ที่ประชุมสนับสนุนข้อริเริ่มของไทยเกี่ยวกับการปรับปรุงสาขาความร่วมมือของ ACD จากเดิม ๒๐ สาขา เป็น ๖ สาขา ได้แก่ (๑) ความเชื่อมโยง (๒) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนวัตกรรม (๓) การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๔) ความเชื่อมโยงระหว่างความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน และน้ำ (๕) การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม และ (๖) วิถีทางเลือกสู่การพัฒนาอย่างทั่วถึงและยั่งยืน โดยอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจของประเทศสมาชิกที่จะเสนอตัวเป็นผู้ขับเคลื่อนในแต่ละสาขา รวมทั้งสนับสนุนข้อเสนอของไทยในการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงภาคธุรกิจของ ACD หรือ “ACD Connect” โดยคำนึงถึงจุดแข็งและเป้าหมายร่วมของเอเชียภายใต้ ๖ คลัสเตอร์ (อาหาร พลังงาน นวัตกรรม การพัฒนาความเชื่อมโยง การท่องเที่ยว และการส่งเสริมแนวทางสู่การพัฒนาอย่างทั่วถึงและยั่งยืน) โดยไทยเสนอให้มีการหารือร่วมกันของตัวแทนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของ ACD และนำเสนอข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนความร่วมมือ ACD กับผู้นำในช่วงการประชุม ACD Summit ครั้งที่ ๒ ด้วย ๒.๓ ที่ประชุมเห็นพ้องให้มีการจัดตั้งคณะศึกษาระดับสูงเพื่อพิจารณายกระดับสำนักงานเลขาธิการ ACD ชั่วคราวซึ่งตั้งอยู่ ณ คูเวต เป็นสำนักเลขาธิการถาวร
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1805 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 15 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 31 ธันวาคม 2558) | นร | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๑๕ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น และโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ๒. การปฏิรูปประเทศ การดำเนินการเชิงนโยบาย คณะกรรมการปฏิรูปและขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อเป็นกลไกทำหน้าที่ในการปฏิรูปและขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน จำนวน ๖ คณะ ได้แก่ คณะที่ ๑ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา คณะที่ ๒ ด้านเศรษฐกิจการเงิน การคลัง การลงทุน ภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐาน คณะที่ ๓ ด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและสร้างความปรองดองสมานฉันท์ คณะที่ ๔ ด้านสาธารณสุข คณะที่ ๕ ด้านความมั่งคงลดความเหลื่อมล้ำการเกษตรทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ และคณะที่ ๖ ด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการกีฬา ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน การบริหารเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1806 | สรุปผลการพิจารณาตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองกรณีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ปี 2553 อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาล | นร01 | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองกรณีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองปี ๒๕๕๓ อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาล ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๙ พิจารณาแล้วมีมติเห็นควรมีกฎหมายกลางในระดับพระราชบัญญัติ เพื่อรองรับกระบวนการชดเชยและเยียวยาผู้เสียหายจากการชุมนุมทางการเมืองตามข้อเสนอของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมได้มีการศึกษาหรือปรับปรุงพัฒนากฎหมายต่อไป และในระหว่างที่กระทรวงยุติธรรมศึกษาหรือปรับปรุงพัฒนากฎหมาย เห็นควรให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรียกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ ไปพลางก่อน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการเยียวยาฯ เสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1807 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กรณีกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐสลายการชุมนุมเกษตรกรสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | สม | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กรณีกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐสลายการชุมนุมเกษตรกรสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยข้อเสนอดังกล่าวเป็นแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอแนะขององค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1808 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505) | พศ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมการมหาเถรสมาคมมีความเห็นว่า ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้มีข้อเสนอแนะให้มีการออกหนังสือรับรองสถานะความเป็นนักบวชทางพุทธศาสนาประเภทหนึ่งให้แก่สตรีที่ได้ผ่านพิธีกรรมการบรรพชาหรืออุปสมบทเป็นสามเณรหรือภิกษุณีแล้ว และกำหนดให้อารามหรือสถานที่อื่นใดซึ่งภิกษุณีอาศัยและปฏิบัติศาสนากิจเป็นนิติบุคคลต่างหาก นั้น เนื่องจากภิกษุณีได้ขาดสูญ หมดผู้สืบต่อเชื้อสายมานานแล้ว จึงถือว่าภิกษุณีเป็นบุคคลที่คณะสงฆ์ไทยไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้น การปรับปรุง การให้การยอมรับ การให้สิทธิตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ได้เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและกฎ จึงไม่อาจดำเนินการให้เป็นไปได้ ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1809 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2555) | มท | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ในที่ดินประเภทชุมชน ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม และที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม รวมทั้งยกเลิกบัญชีท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นว่า ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงที่การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน ๑๓ ประเภท ๑๑๗ โรงงาน คิดเป็นร้อยละ ๔.๔๕ ของโรงงานทั้งหมดในพื้นที่วางผัง ไม่ได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ จึงเห็นควรให้เพิ่มประเภทโรงงานในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ และพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งในการกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้ว ควรจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1810 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับโทษปรับ การรอการกำหนดโทษและรอการลงโทษ และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษของผู้ใช้และผู้ถูกใช้) | สว | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับโทษปรับ การรอการกำหนดโทษและรอการลงโทษ และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษของผู้ใช้และผู้ถูกใช้) ว่า เนื่องจากมีการแก้ไขมาตรา ๓๐/๑ โดยยกเลิกอัตราค่าปรับที่อาจขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับได้ จึงควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการปรับปรุงอนุบัญญัติต่าง ๆ ที่ออกตามความในมาตราดังกล่าวให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่ และควรประชาสัมพันธ์ให้จำเลยและบุคคลที่เกี่ยวข้องทราบถึงสิทธิที่จะขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับตามบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่ รวมทั้งควรมีการพิจารณาทบทวนอัตราการกักขังแทนค่าปรับทุก ๆ ห้าปี ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1811 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครอง สิทธิมนุษยชน ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 25 เรื่อง การดำเนินการเกี่ยวกับการยุติธรรมทางอาญา | ยธ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๒๕ เรื่อง การดำเนินการเกี่ยวกับการยุติธรรมทางอาญา ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นว่า กฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบันมีการดำเนินการเกี่ยวกับการพิมพ์ลายนิ้วมือและการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ครอบคลุมแล้ว ทั้งในส่วนของการกำหนดหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหาในการพิมพ์ลายนิ้วมือ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานให้สามารถออกคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญาพิมพ์ลายนิ้วมือได้ รวมถึงกำหนดโทษทางอาญาในกรณีที่ฝ่าฝืน การขัดคำสั่ง ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับที่ ๒๕ สามารถนำมาบังคับใช้ได้ โดยไม่มีความขัดแย้งกัน ทั้งนี้ การปรับปรุงกฎหมายตามข้อเสนอเพื่อให้เจ้าพนักงานมีอำนาจบังคับผู้ต้องหา จะทำให้กฎหมายมีสภาพบังคับมากเกินไป ซึ่งเป็นกรณีที่กระทบต่อสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของบุคคล จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎหมายในขณะนี้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1812 | แนวทางการดำเนินการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ | มท | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการตามแนวทางการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ รวมทั้งปรับปรุงระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้รองรับการดำเนินการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลในการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยในระยะแรกของการดำเนินการให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดรูปแบบและควบคุมการเข้าถึงข้อมูลให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) การป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ ความมั่นคงและปลอดภัยในการใช้งานระบบสารสนเทศ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนราษฎรตามแนวทางดังกล่าวจะต้องไม่เป็นการนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ความสำคัญในการวางแผนเพื่อรองรับการดำเนินการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศและภัยคุกคามด้านไซเบอร์ การจดแจ้งรายได้และอาชีพของประชาชนดำเนินการภายใต้โครงการ e-Payment ของภาครัฐ การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการดำเนินการในส่วนที่รับผิดชอบและเกี่ยวข้อง การจัดทำฐานข้อมูลประชาชนโดยใช้เลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก เป็นดัชนีจัดเก็บข้อมูลและการปรับปรุงบริการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้รองรับการใช้บัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) จำเป็นต้องมีโปรแกรมใช้ในการอ่านข้อมูลจากบัตร และจะต้องพัฒนาระบบเพื่อรองรับการใช้บัตรประชาชนฯ อย่างเพียงพอ รวมถึงควรมีหน่วยงานอื่น ๆ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเจ้าภาพร่วมดำเนินการในการกำหนดให้มีหน่วยงานกลางเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนของส่วนราชการและทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการข้อมูล การพิจารณาถึงแนวทางการดำเนินการของหน่วยงานที่มีการจัดเก็บฐานข้อมูลประชาชนที่ไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก เช่น แรงงานต่างด้าว และเด็กแรกเกิด และการมีหน่วยงานกลางเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ Service Platform ในการจัดทำระบบให้บริการตรวจสอบข้อมูล การจัดให้มีระบบในการเชื่องโยงฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐกับฐานด้านความมั่นคง รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินงานในแต่ละด้านให้ชัดเจนและรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1813 | ร่างพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่า ขอเปลี่ยนเอกสารคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายการสาธารณสุข โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการสาธารณสุขจังหวัด ปรับปรุงอำนาจผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานระดับพื้นที่ในการระงับเหตุที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน เพิ่มเติมอำนาจของเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการประกาศกำหนดพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ เพิ่มเติมอำนาจของรัฐมนตรีในการกำหนดประเภทหรือขนาดของกิจการที่ต้องศึกษาหรือประเมินผลประกอบการอนุญาต และกำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการเปรียบเทียบคดี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาพร้อมกับคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมาย ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการนำกลไกประชารัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ มาใช้ในการขับเคลื่อนการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ในการป้องกันและระงับเหตุรำคาญในพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ ควรประสานและหารือการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุมหรือกำกับดูแลกิจการหรือการกระทำที่ก่อให้เกิดเหตุรำคาญ เพื่อให้การกำหนดแนวทางการดำเนินงานสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติมาตรา ๑๘ วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ยกเว้นให้การจัดการของเสียตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน รวมทั้งควรเพิ่มกรรมการให้ครอบคลุมผู้มีส่วนได้เสียจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคประชาชนที่จะเป็นผู้ได้รับการคุ้มครองด้านการสาธารณสุขและการอนามัยสิ่งแวดล้อมตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1814 | ร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... | นร07 | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดสัดส่วนงบประมาณรายการต่าง ๆ เช่น งบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งงบประมาณของโครงการตามนโยบายของรัฐบาลนอกเหนือจากภารกิจตามปกติไว้ในร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... นั้น เนื่องจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวในกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดประเด็นดังกล่าวไว้ในร่างกฎหมายฉบับนี้ และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ควรมีการปรับปรุงรูปแบบการทำงานของสำนักงบประมาณเพื่อให้เป็นไปในลักษณะของคณะกรรมการที่มีความรู้ความชำนาญ และมีองค์ประกอบจากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบครอบคลุมภารกิจที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาศึกษาและทบทวนขอบเขตความรับผิดชอบและแนวการทำงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับแนวทางการกระจายอำนาจที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพและประสิทธิภาพให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น สำหรับร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลัง พ.ศ. .... ควรกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ในการกำกับ ติดตามการดำเนินการและการบริหารงานของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และจากผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติฯ ควรนำไปสู่การจัดทำบัญชีสาธารณะ (Consolidated Public Account) โดยรวม ที่มีความครอบคลุมสมบูรณ์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านการคลังในระยะยาว และผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการปรับตัว เพิ่มสมรรถนะในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการเกี่ยวกับการบูรณาการในการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน (หน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1815 | ร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... | กค | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดสัดส่วนงบประมาณรายการต่าง ๆ เช่น งบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งงบประมาณของโครงการตามนโยบายของรัฐบาลนอกเหนือจากภารกิจตามปกติไว้ในร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... นั้น เนื่องจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวในกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดประเด็นดังกล่าวไว้ในร่างกฎหมายฉบับนี้ และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ควรมีการปรับปรุงรูปแบบการทำงานของสำนักงบประมาณเพื่อให้เป็นไปในลักษณะของคณะกรรมการที่มีความรู้ความชำนาญ และมีองค์ประกอบจากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบครอบคลุมภารกิจที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาศึกษาและทบทวนขอบเขตความรับผิดชอบและแนวการทำงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับแนวทางการกระจายอำนาจที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพและประสิทธิภาพให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น สำหรับร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลัง พ.ศ. .... ควรกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ในการกำกับ ติดตามการดำเนินการและการบริหารงานของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และจากผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติฯ ควรนำไปสู่การจัดทำบัญชีสาธารณะ (Consolidated Public Account) โดยรวม ที่มีความครอบคลุมสมบูรณ์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านการคลังในระยะยาว และผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการปรับตัว เพิ่มสมรรถนะในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการเกี่ยวกับการบูรณาการในการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน (หน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1816 | ขอเพิ่มองค์ประกอบในคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ [ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | พณ | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (พกค.) เพื่อให้การขับเคลื่อนของ พกค. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1817 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (เรื่อง รายงานผลการศึกษากฎหมายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) | ทก | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานผลการศึกษากฎหมายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวม ประกอบด้วยโครงสร้าง สถานะและบทบาทอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน หน่วยงานหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวไม่มีความชัดเจน รวมทั้งสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเป็นปัญหาการดำเนินงานที่ขาดหลักธรรมาภิบาล ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้คณะกรรมการประสานงานรวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 1818 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีมาตรา 84 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 กระทบสิทธิมนุษยชนไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 | ทก | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีมาตรา ๘๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ กระทบสิทธิมนุษยชนไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป โดยข้อเสนอแนะ มีดังนี้
๑. ควรแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับวิธีการนำส่งรายได้จากสัญญาสัมปทานคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการโทรคมนาคมอันเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นรายได้ของรัฐ ๒. ควรหาแนวทางในการปรับโครงสร้างธุรกิจ การหารายได้ และพิจารณางบประมาณด้านการลงทุนของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในอนาคตเพื่อรองรับการดำเนินงานภายหลังสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลงและกรณีขาดรายได้จากการสัมปทาน ๓. การพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายที่บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) สามารถหักได้ก่อนนำส่งรายได้ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อให้ กสทช. นำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ๔. ควรคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม คุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพของบุคคลในการสื่อสารถึงกันทางโทรคมนาคม และส่งเสริมสิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของประชาชนในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์คลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคม |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1819 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศ) | อก | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศ ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศแห่งชาติ แต่ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรใหม่ เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีการดำเนินการตามภารกิจเพื่อให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศอยู่แล้ว นอกจากนี้ เห็นชอบกับข้อเสนอการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายที่มีอยู่ให้เอื้อต่อการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยต้องมีการรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรเพิ่มความชัดเจนในดัชนีชี้วัดความสำเร็จเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในมิติทางด้านเศรษฐกิจ การนำแนวทางประชารัฐและวิสาหกิจเพื่อสังคมมาปรับใช้ในการจัดทำแผนขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กรอบแนวคิดและความหมายของเมืองนิเวศเชิงอุตสาหกรรม รวมทั้งการกำหนดมาตรการสนับสนุนและผลักดันในเรื่อง (๑) การสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจจากผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้แก่ชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม (๒) การกำหนดที่ตั้งและการดูแลพื้นที่กันชนอุตสาหกรรม (Industrial buffer Zone) (๓) การป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งขึ้นใหม่ (๔) การดำเนินการด้านบรรษัทภิบาลหรือความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และควรมีแผนการบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจน เช่น การไม่ทิ้งน้ำเสียออกนอกเขตอุตสาหกรรม (Zero Discharge) การจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบบทบาทและหน้าที่ขององค์กรนิเวศอุตสาหกรรมกับหน่วยงานที่มีอยู่ภายในกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานภายนอกที่มีลักษณะการทำงานใกล้เคียงกับประเภทขององค์กร การพิจารณาให้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าการประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment : LCA) เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การพิจารณาในตัวชี้วัดการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนในทุกมิติ การบูรณาการกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การปรับปรุงและพัฒนากลไกการบริหารจัดการความร่วมมือและการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ การบูรณาการและกำหนดแผนการทำงานที่ชัดเจนร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วม ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาดังกล่าวของกระทรวงอุตสาหกรรมให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 1820 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2559 ครั้งที่ 1 | กค | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๒๗,๘๕๗.๔๔ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๙๑,๖๖๔.๖๓ ล้านบาท เป็น ๑,๖๑๙,๕๒๒.๐๗ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ที่มีวงเงินปรับลดลงสุทธิ ๑๔,๖๐๕.๔๐ ล้านบาท จากเดิม ๑๓๖,๕๐๕.๕๘ ล้านบาท เป็น ๑๒๑,๙๐๐.๑๘ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำกับติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องตามแผนด้วย เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๓.๑ เร่งรัดดำเนินโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะและโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟทางคู่ และให้หน่วยงานพิจารณารูปแบบการลงทุนและวงเงินลงทุนที่เหมาะสม เพื่อเป็นการลดภาระหนี้สาธารณะและภาระงบประมาณด้วย ๓.๒ ให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างและฟื้นฟูองค์กรให้มีประสิทธิภาพตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้วในคราวประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เพื่อลดภาระหนี้สินขององค์กรในภาพรวมและลดภาระการอุดหนุนจากภาครัฐต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
