ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 97 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1921 - 1940 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1921 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เร่งรัดการเจรจาในระดับผู้นำเกี่ยวกับการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของไทยให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว และให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้โดยเร็วต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้เร่งดำเนินการเพิ่มแหล่งการทำประมงในเขตประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเล ซึ่งได้มีการเจรจาความร่วมมือด้านประมงไว้แล้ว เช่น บรูไนดารุสซาลาม กินี ศรีลังกา รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินการทำประมงร่วมกับเวียดนามซึ่งมีความสนใจที่จะจัดทำความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวกับไทยให้เกิดผลโดยเร็วต่อไปด้วย ๑.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการกองทุนและการกำกับติดตามการบริหารจัดการหนี้ ตลอดจนแก้ไขปัญหาการค้างชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงินกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และกำหนดแนวทางการดำเนินการสำหรับผู้กู้ยืมรายใหม่ให้มีความชัดเจน เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนอาจพิจารณาดำเนินการโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๒. ด้านการต่างประเทศ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การสหประชาชาติ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการดำเนินการของไทยในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนว่าเป็นการดำเนินการภายใต้สนธิสัญญา ข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ส่วนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นการดำเนินการที่อยู่บนพื้นฐานของกฎหมายและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนเหตุผลความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐในการใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้เป็นไปอย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการและประเด็นภารกิจสำคัญสำหรับส่งต่อรัฐบาลต่อไปตามกรอบระยะเวลา (Roadmap) การบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศของรัฐบาล โดยให้ส่งข้อมูลดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจัดให้มีหน่วยส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในระดับพื้นที่เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในพื้นที่ต่อไป ๓.๓ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานหลักประสานกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยในประเทศไทย ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยให้รายงานผลการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือนด้วย ๓.๔ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณากำหนดแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างระบบราชการ การบริหารจัดการ หรือการประเมินผลส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพและสามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศในระยะยาวต่อไป โดยหากจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๓.๕ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการศึกษาเปรียบเทียบระบบการศึกษาในระดับต่าง ๆ ที่มีคุณภาพของต่างประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์ในระดับปฐมวัย ประเทศเกาหลีใต้ในระดับอาชีวศึกษา และประเทศฟินแลนด์ในระดับอุดมศึกษา เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการศึกษาของไทย โดยให้เชิญนักวิชาการ/ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศที่มีศักยภาพทางวิทยาการด้านต่าง ๆ มาร่วมหารือ ให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อนำไปประกอบการกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้จัดทำรายงานสรุปเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๓.๖ ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรงโดยด่วน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการลงโทษผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวให้เกิดความเหมาะสมต่อไปด้วย ๓.๗ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด เช่น การจัดพื้นที่ของทางราชการที่ไม่มีการใช้ประโยชน์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประกอบอาชีพหรือเป็นที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว นั้น ให้เพิ่มเติมกระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาพื้นที่สำหรับประกอบอาชีพค้าขายในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือจัดหาพื้นที่เปิดตลาดกลางคืน ถนนคนเดิน ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมดังกล่าวด้วย โดยให้จัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับเงื่อนไขในการใช้พื้นที่ให้เกิดความชัดเจนต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
| 1922 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีกล่าวอ้างว่าพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอ ท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช 2488 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 | คค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีกล่าวอ้างว่าพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช ๒๔๘๘ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงคมนาคมได้เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ฉบับใหม่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำหรับบทบัญญัติว่าด้วยการคืนทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืนภายในกำหนดระยะเวลานั้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าควรรอรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่กำลังยกร่างว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์กำหนดให้ต้องคืนทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ เพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญต่อไป ๒. พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช ๒๔๘๘ ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ซึ่งเป็นกฎหมายกลางในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการเวนคืน ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิผู้ถูกเวนคืนที่จะร้องขอคืนทรัพย์สินที่ถูกเวนคืนจากการรถไฟแห่งประเทศไทยหากไม่ได้ใช้ตามวัตถุประสงค์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น พระราชบัญญัติการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ เพื่อสร้างทางรถไฟดังกล่าว จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
|
|||||||||||||||||||||
| 1923 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ตามรายงานการพิจารณาศึกษา ติดตาม และตรวจสอบการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ | ทช | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ตามรายงานการพิจารณาศึกษา ติดตาม และตรวจสอบการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ได้ดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ อาทิ การปรับปรุงกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเช่นเดียวกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐอื่น การนำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลมในการจ้างที่ปรึกษา การกำหนดหลักเกณฑ์การเดินทางไปต่างประเทศ การปรับลดจำนวนคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน จากเดิม ๑๐๐ กว่าคณะ คงเหลือเพียง ๔๐ กว่าคณะ การตรวจสอบการบริหารงบประมาณการใช้จ่ายเงินของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เน้นความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ตามที่สำนักงาน กสทช. เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1924 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิของ ผู้ต้องขังและสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขจากรัฐ กรณีการเข้าถึงสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขของผู้ต้องขัง) | สม | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิของผู้ต้องขังและสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุข กรณีการเข้าถึงสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขของผู้ต้องขัง ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือให้ผู้ต้องขังได้รับการรักษาอาการป่วยจากภาวะทางจิตและได้รับยาที่เหมาะสม และการให้ผู้ต้องขังในประเทศไทยได้เข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและประสิทธิภาพที่พึ่งจะได้รับอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นสิทธิทางสุขภาพอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ กติการะหว่างประเทศหรือพันธกรณีระหว่างประเทศ ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แพทยสภา และสภาการพยาบาล เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1925 | สรุปผลการประชุมเปิดตัวมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ("ข้อกำหนดแมนเดลา") ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 70 | ยธ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมเปิดตัวมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (“ข้อกำหนดแมนเดลา”) ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๐ ระหว่างวันที่ ๔-๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยมีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ สหประชาชาติได้มีการเปิดตัวข้อกำหนดขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่ได้รับการแก้ไขใหม่ ในนามของ “ข้อกำหนดแมนเดลา” อย่างเป็นทางการ โดยสาระสำคัญของข้อกำหนดแมนเดลาที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ (๑) เป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในแง่สิทธิการเข้าถึงสุขภาวะของผู้ต้องขัง โดยจะต้องได้รับบริการสาธารณสุขตามมาตรฐานเดียวกันกับโลกภายนอก และการดูแลรักษาที่ต่อเนื่อง ซึ่งมีความสำคัญ เนื่องจากอัตราการแพร่เชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อร้ายแรงอื่น ๆ ในเรือนจำนั้นสูงกว่าในประชากรปกติมาก (๒) มีการระบุที่ชัดเจนขึ้นมากเกี่ยวกับการขังเดี่ยว (Solitary Confinement) โดยให้นิยามการขังเดี่ยวว่าเป็นการขังเป็นเวลา ๒๒ ชั่วโมง หรือ ๑ วัน โดยไม่มีการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น ขอบเขตของการนำการขังเดี่ยวมาใช้ และการระบุว่าการยึดระยะเวลาการขังเดี่ยวออกไปนั้นหมายถึงการขยายเวลาเกิน ๑๕ วัน และ (๓) มีการระบุคำแนะนำเรื่องการตรวจค้นที่ล่วงล้ำ (Intrusive Search) เป็นครั้งแรก ทั้งการตรวจค้นแบบเปลือยกาย หรือการตรวจค้นทางช่องทวารของร่างกาย และการกำหนดให้ผู้บัญชาการเรือนจำรายงานการเสียชีวิตระหว่างคุมขังโดยเร็ว การหายสาบสูญหรือการบาดเจ็บร้ายแรง และต้องปฏิบัติสืบสวนในสถานการณ์ และสาเหตุของกรณีนั้น ๆ โดยปราศจากอคติ และมีประสิทธิภาพ ๒. มุมมองในด้านสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติเห็นว่าข้อกำหนดแมนเดลาควรมีการปรับปรุงเพื่อให้รัดกุมยิ่งขึ้นใน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) การห้ามไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากยังมิได้มีการกำหนดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อเพศที่ ๓ ในข้อกำหนดแมนเดลา ในขณะที่สนธิสัญญาอื่น ๆ ด้านสิทธิมนุษยชนส่วนใหญ่มีการระบุในเรื่องนี้แล้ว (๒) การใช้ภาษาหรือศัพท์เฉพาะด้านที่แตกต่างจากที่คณะกรรมการสิทธิผู้พิการ (The Committee on the Rights of Persons with Disabilities) ใช้ และ (๓) การใช้โทษจำคุกกับผู้กระทำความผิดในคดีทางแพ่ง ซึ่งขัดแย้งกับมาตรา ๑๑ ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (the International Covenant on Civil and Political Rights)
|
|||||||||||||||||||||
| 1926 | ร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2558 จำนวน 5 ฉบับ | รง | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๕ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการหรือลูกจ้างที่ไม่อยู่ในบังคับตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกากำหนดลูกจ้างตามมาตรา ๔(๖) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ พ.ศ. ๒๕๔๕ และพระราชกฤษฎีกากำหนดลูกจ้างตามมาตรา ๔(๖) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดคุณสมบัติของบุคคลซึ่งสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน หลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพแก่ผู้ประกันตนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพแก่ผู้ประกันตนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ๕. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมสำหรับบุคคลซึ่งสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราเงินสมทบที่รัฐบาลต้องจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมสำหรับบุคคลซึ่งสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน |
|||||||||||||||||||||
| 1927 | การลงนามในร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมข้อบทด้านพิธีการศุลกากร และการอำนวยความสะดวกทางการค้า การปรับปรุงกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๓ การปรับปรุงความตกลงด้านการลงทุนอาเซียนและจีน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งประเด็นที่จะเจรจาต่อไปในอนาคต และการมีผลบังคับใช้ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมเป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารฯ ๑.๔ ภายหลังการลงนามแล้วให้นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๕ มอบหมายกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้พิธีสารฯ มีผลบังคับใช้ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่ระบุไว้ในร่างพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว ๑.๖ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารของพิธีสารฯ ดังกล่าวให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบันพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการเจรจาในอนาคตซึ่งครอบคลุมการเปิดเสรีสินค้าอ่อนไหวเพิ่มเติม ควรพิจารณาอย่างรอบคอบโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อนโยบายการสร้างและพัฒนาความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งควรมีการหารือในเรื่องคำจำกัดความ Territory ที่ปรากฏในเชิงอรรถของข้อบทกฎถิ่นกำเนิดสินค้าอาเซียน-จีน กับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยสรุปเป็นข้อตกลงร่วมกันของอาเซียนที่เป็นความเห็นเดียวกันก่อน ก่อนเสนอให้ฝ่ายจีนในการพิจารณาต่อไป เพื่อหาข้อสรุปที่สอดคล้องกันภายในอาเซียนและสามารถสรุปผลการเจรจาตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ นอกจากนี้ ควรใช้เวทีการเจรจาดังกล่าวผลักดันให้มีกลไกสำหรับการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษีที่ผู้ส่งออกไทยมักประสบปัญหาในการส่งออกไปจีน เช่น ปัญหาความแตกต่างของแนวทางการปฏิบัติงานและกฎระเบียบข้อบังคับของจีนในแต่ละเมือง/มณฑล รวมทั้งขั้นตอนและวิธีการและกระบวนการนำเข้าที่มีความยุ่งยาก เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงเสรีทางการค้าได้อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำในร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการปรับเปลี่ยนได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1928 | การขออนุมัติจำหน่ายหนี้สูญเงินทุนหมุนเวียนโครงการไทย - เยอรมัน | กค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอการจำหน่ายหนี้สูญเงินทุนหมุนเวียนโครงการไทย-เยอรมัน ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยไม่ขอเงินชดเชยจากรัฐบาล ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๗,๖๒๔,๕๒๔.๖๓ บาท ตามรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ จำหน่ายดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๑๐ แห่ง ลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๑๖๑ ราย เป็นเงิน ๓,๘๔๕,๖๗๓.๒๑ บาท ๑.๒ จำหน่ายเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๖ แห่ง ลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๓๕๙ ราย เป็นเงิน ๓,๗๗๘,๘๕๑.๔๒ บาท (เงินต้น ๑,๖๒๒,๑๒๙.๑๐ บาท และดอกเบี้ย ๒,๑๕๖,๗๒๒.๓๒ บาท) ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรในภาพรวมอย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยในการส่งเสริมอาชีพและสร้างรายได้แก่เกษตรกรเพื่อเพิ่มศักยภาพการชำระหนี้คืนและป้องกันปัญหาหนี้สูญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ในการปรับปรุงมติสภาบริหารคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ เกี่ยวกับเรื่องจำหน่ายหนี้เงินและทรัพย์สินออกจากบัญชี แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1929 | มาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบในภูมิภาค | กค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบในภูมิภาค โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบที่ใช้ในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ และอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติพิธีการนำเข้า รวมทั้งควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ๑.๒ มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการอนุญาตให้นำรถยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๙ สำหรับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบที่ได้รับการรับรองจากกรมสรรพสามิตไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าจากกระทรวงพาณิชย์ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรให้ครอบคลุมไปถึงชิ้นส่วนต้นแบบ การกำกับดูแลที่เหมาะสมในทางปฏิบัติโดยเฉพาะในการบริหารจัดการต้นแบบรถยนต์และรถจักรยานยนต์ภายหลังการดำเนินงานวิจัยพัฒนาสิ้นสุด การเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐและภาคการศึกษาที่มีความสนใจเข้าเยี่ยมชมพื้นที่และใช้เครื่องมืออุปกรณ์วิเคราะห์ทดสอบที่ทันสมัยเพื่อการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ หรือการทำวิจัย ในส่วนที่ไม่เป็นความลับ การให้ความสำคัญแก่ยานยนต์ต้นแบบที่สร้าง/ผลิตขึ้นในประเทศไทย (สภาพใหม่) หรือเคยผลิตขึ้นในประเทศไทย (สภาพใช้แล้ว นำมาทำการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะเพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ สมรรถนะที่ดีขึ้น) การยกร่างกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมการขนส่งทางบก ร่วมพิจารณาด้วย การเสนอข้อมูลและข้อเท็จจริง เช่น ปริมาณยานยนต์ต้นแบบที่นำเข้าเพื่อการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ จำนวนบริษัทที่ประสงค์จะนำเข้ายานยนต์ต้นแบบ จำนวนเงินที่รัฐต้องสูญเสียรายได้จากการให้ยกเว้นภาษี ความเพียงพอของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ เพื่อประกอบการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี การกำหนดแนวทางในการควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบยานยนต์ต้นแบบสำหรับใช้ในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการนำออก ส่งออก หรือทำลายยานยนต์ต้นแบบภายหลังจากการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะแล้ว เพื่อป้องกันการนำยานยนต์ต้นแบบไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการต้องจัดให้มีบุคลากรวิจัยของไทยเข้าร่วมในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบุคลากรวิจัยของไทย ตลอดจนมีระบบการติดตามและประเมินผลการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงรูปแบบของมาตรการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาที่มีความเหมาะสมในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๓. กำหนดหลักการและแนวทางการนำเสนอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปรับลดหรือปรับเปลี่ยนอัตราภาษีอากรหรือปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณอัตราเพื่อเสียภาษีอากรต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๓.๑ การเสนอมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการปรับลดหรือปรับเพิ่มอัตราภาษีอากรหรือปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณอัตราเพื่อเสียภาษีอากรที่อาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่นำมาซึ่งการได้เปรียบในเชิงการค้าก่อนมาตรการมีผลใช้บังคับตามกฎหมาย เช่น การกักตุนสินค้า เป็นต้น ให้กระทรวงการคลังจัดทำข้อวิเคราะห์ผลกระทบในภาพรวมจากการดำเนินการดังกล่าว โดยเฉพาะผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐ และเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาไปในคราวเดียวกัน ๓.๒ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนและกรณีไม่เข้าข่าย ตามข้อ ๓.๑ กระทรวงการคลังอาจเสนอมาตรการเพื่อขอความเห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรีก่อนได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังต้องนำเสนอร่างกฎหมายที่จะออกตามมาตรการภาษีดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ |
|||||||||||||||||||||
| 1930 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ) | นร11 | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ) เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เพื่อติดตามความคืบหน้าผลการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมทั้งการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และรับฟังปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการขับเคลื่อนของรัฐบาลในระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับศักยภาพ ตามความต้องการและมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนและท้องถิ่นอย่างแท้จริง ๒. เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป โดย ๒.๑ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาทบทวนรายละเอียดและกรอบวงเงินคงเหลือตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล วงเงินงบประมาณ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการภัยแล้งและการบริหารจัดการน้ำและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดให้ทุกจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการ กรอ. จังหวัด ตามโครงสร้างใหม่ที่ได้หารือร่วมกับภาคเอกชนเรียบร้อยแล้ว และให้มีการประชุมอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย ๒ เดือน/ครั้ง ๒.๓ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายผลการดำเนินโครงการธนาคารข้าว เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ผลผลิตทางการเกษตร เพื่อให้ประชาชนกู้ไปประกอบอาชีพ และสามารถนำผลผลิตทางการเกษตรอย่างอื่นมาชำระคืนได้ในมูลค่าราคาที่เท่าเทียมกัน อย่างทั่วถึง ๒.๔ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาความเป็นไปได้ในการขยายถนนเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดและภูมิภาคให้เป็นถนน ๔ ช่องทาง และเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเหมาะสม ๒.๕ มอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาความเป็นไปได้ในการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่อยู่ในแนวระบบสายส่ง และดำเนินการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ๒.๖ มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาจัดโซนนิ่งพื้นที่อุตสาหกรรมโดยเน้นการเป็นเมืองอุตสาหกรรมสีเขียว และให้ติดตามผลการขออนุญาตตั้งโรงงานให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ๒.๗ ในกรณีที่กลุ่มจังหวัดฯ จะเสนอโครงการพัฒนา ให้จัดทำข้อเสนอไปยังกระทรวงมหาดไทยโดยให้มีการพิจารณากลั่นกรองร่วมกันกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย และนำเสนอไปยังคณะกรรมการ กรอ. ส่วนกลางต่อไป ๒.๘ ขอความร่วมมือภาคเอกชนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลตามแนวทาง “ประชารัฐ” หรือ การสร้างความเข้มแข็งไปพร้อมกัน (Stronger Together) โดยเฉพาะการจดทะเบียนนิติบุคคลของ SMEs เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐในด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||
| 1931 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการระดมทุนในตลาดทุนเพื่อนำมาสนับสนุนการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ โดยเร่งรัดการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ขนาดใหญ่ เป็นต้น ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) เพื่อให้การบริหารจัดการในส่วนของระบบรถไฟฟ้าและการเดินรถมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้บริการและประเทศเป็นสำคัญ ๑.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งรัดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้จ่ายงบประมาณ การลงทุนภาครัฐ การส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน การนำเข้า-ส่งออก รวมทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยว ๑.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการยกระดับราคาสินค้าเกษตร โดยส่งเสริมการสร้างวงจรการผลิตที่เชื่อมโยงกันและเหมาะสมกับศักยภาพในแต่ละพื้นที่ ทั้งในด้านแหล่งผลิตวัตถุดิบ แหล่งการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และแหล่งจัดจำหน่าย ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นในรูปแบบใหม่และมีความหลากหลายเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในแต่ละกลุ่มจังหวัด และเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ให้ใช้กลไก “ประชารัฐ” ที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรพัฒนาเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ รวมทั้งให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ในเรื่องดังกล่าวด้วย ๒. ด้านการต่างประเทศ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการจัดการประชุมร่วมในระดับคณะรัฐมนตรีกับประเทศกลุ่มเป้าหมายทางเศรษฐกิจ (เช่น สหพันธรัฐรัสเซีย สิงคโปร์) เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้า เพิ่มบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก รวมทั้งพิจารณาการจัดทำข้อตกลงร่วมทางด้านการค้า (เช่น การแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรกรของไทยกับสินค้าของประเทศกลุ่มเป้าหมาย) และความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทยสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคติดต่อต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลที่สำคัญ เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น โดยให้ข่าวสารทั้งในด้านสถานการณ์ภาวะการระบาดของโรคและความรู้เกี่ยวกับการดูแลและป้องกันโรค รวมทั้งเฝ้าระวังและกำจัดพาหะนำโรคด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 1932 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการลงนามหรือรับรองระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กต | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการลงนามหรือรับรองระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ จำนวน ๑๓ ฉบับ ประกอบด้วย (๑) ร่างปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ ค.ศ. ๒๐๑๕ ว่าด้วยการจัดตั้งประชาคมอาเซียน (๒) ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อาเซียน-สหรัฐฯ (๓) ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามความเป็นหุ้นส่วน (ที่เพิ่มพูน/เชิงยุทธศาสตร์) อาเซียน-สหรัฐฯ (ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๐) (๔) ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-จีน เพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง (ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๐) (๕) ร่างแถลงการณ์ร่วมผู้นำอาเซียน-นิวซีแลนด์ในวาระ ๔๐ ปี ความสัมพันธ์คู่เจรจาอาเซียน-นิวซีแลนด์ : หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ สู่ผลประโยชน์และความมั่นคั่งร่วมกัน (๖) ร่างรายงานเพื่อติดตามการดำเนินตามข้อเสนอแนะของกลุ่มวิสัยทัศน์เอเชียตะวันออก (อีเอวีจี ๒) (๗) ร่างแถลงการณ์ร่วมโดยผู้นำอาเซียนบวกสามว่าด้วยการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและเสถียรภาพทางการเงิน (๘) ร่างปฏิญญากัวลาลัมเปอร์เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐ ปี ของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (๙) ร่างแถลงการณ์การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยขบวนการผู้ยึดทางสายกลางระดับโลก (๑๐) ร่างแถลงการณ์การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือทางทะเลในเอเชีย-แปซิฟิก (๑๑) ร่างแถลงการณ์การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยการต่อต้านลัทธิสุดโต่งที่มีความรุนแรง (๑๒) ร่างแถลงการณ์การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยประเด็นไซเบอร์ และ (๑๓) ร่างแถลงการณ์การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๑๐ ว่าด้วยการเพิ่มพูนความร่วมมือระดับภูมิภาคในด้านความมั่นคงทางสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อที่มีศักยภาพในการระบาดเป็นวงกว้างและร้ายแรง ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามหรือรับรองเอกสารในข้อ ๑.๑ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายมีหนังสือแจ้งให้ความเห็นชอบต่อร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามความเป็นหุ้นส่วน (ที่เพิ่มพูน/เชิงยุทธศาสตร์) อาเซียน-สหรัฐฯ (ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๐) ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการปรับปรุงข้อความของร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อาเซียน-สหรัฐฯ รวมถึงการปรับถ้อยคำในรายงานเพื่อติดตามการดำเนินตามข้อเสนอแนะของกลุ่มวิสัยทัศน์เอเชียตะวันออก (อีเอวีจี ๒) ในบางประเด็น ตลอดจนการระบุเกี่ยวกับความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคที่มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนการรวมตัวของภูมิภาคอาเซียนในร่างแถลงการณ์ร่วมผู้นำอาเซียน-นิวซีแลนด์ในวาระ ๔๐ ปี ความสัมพันธ์คู่เจรจาอาเซียน-นิวซีแลนด์ : หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ สู่ผลประโยชน์และความมั่งคั่งร่วมกัน ร่างรายงานเพื่อติดตามการดำเนินตามข้อเสนอแนะของกลุ่มวิสัยทัศน์เอเชียตะวันออก (อีเอวีจี ๒) และร่างปฏิญญากัวลาลัมเปอร์เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐ ปี ของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1933 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลครบรอบ 1 ปี (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 12 กันยายน 2558) | นร | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลครบรอบ ๑ ปี (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๑๒ กันยายน ๒๕๕๘) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงรับไปพิจารณารายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ครบรอบ ๑ ปี (วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๑๒ กันยายน ๒๕๕๘) อีกครั้งหนึ่ง และส่งการปรับปรุงแก้ไขให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการภายในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ครบรอบ ๑ ปี (วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๑๒ กันยายน ๒๕๕๘) เพื่อเผยแพร่และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศแปลบทสรุปผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ ๔. ให้สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์บทสรุปผู้บริหารทั้งฉบับภาษาไทยและฉบับภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และจัดทำรูปแบบการนำเสนอที่ง่ายต่อการสื่อสารและสร้างความเข้าใจเพื่อประกอบการแถลงผลงาน ๕. ให้ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรีจัดทำจดหมายข่าวเพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ครบรอบ ๑ ปี (ฉบับประชาชน)
|
|||||||||||||||||||||
| 1934 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา ครั้งที่ 7 (FEALAC FMM7) ณ สาธารณรัฐคอสตาริกา | กต | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานผลการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา ครั้งที่ ๗ (7th Foreign Ministers Meeting of the Forum for East Asia-Latin America Cooperation : FEALAC FMM7) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ ณ สาธารณรัฐคอสตาริกา ซึ่งที่ประชุมรับทราบรายงานการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส FEALAC ครั้งที่ ๑๖ และผลการประชุมของสถาบันการเงินระหว่างภูมิภาคลาตินอเมริกาและเอเชีย ครั้งที่ ๑ การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม ได้แก่ เอกสาร Declaration of San Jose ซึ่งระบุสาขาความร่วมมือในกรอบ FEALAC เอกสาร “Guideline for FEALAC Working Process” ซึ่งเป็นข้อเสนอของไทยในการปรับปรุงกระบวนการทำงานของ FEALAC ให้มีประสิทธิภาพและมีความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมเพิ่มมากขึ้น และถ้อยแถลงร่วม FEALAC เรื่องเหตุการณ์ระเบิดที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งรับทราบการสิ้นสุดวาระการเป็นประเทศผู้ประสานงาน FEALAC ของประเทศไทยและสาธารณรัฐคอสตาริกา และการส่งต่อหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานวาระปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ให้กับสาธารณรัฐเกาหลีและกัวเตมาลา ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับรายงานผลการประชุมดังกล่าวรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) โครงการของไทยและโครงการของประเทศสมาชิกอื่น ๆ ในกรอบ FEALAC (๒) การยกระดับเวที Business Forum ให้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องของ FEALAC และ (๓) การขับเคลื่อน FEALAC ให้มีพลวัตอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับโครงการที่น่าสนใจของสาธารณรัฐเกาหลีในการจัดสัมมนาด้านการค้าระหว่างภูมิภาคของประเทศสมาชิก FEALAC ในปี ๒๕๕๙ พร้อมทั้งหารือถึงแนวทางในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างภูมิภาคเอเชียตะวันออกและลาตินอเมริกา ซึ่งเห็นควรที่ประเทศไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการดังกล่าว และควรพิจารณาเพิ่มเติมความร่วมมือด้านงานวิจัย พัฒนา การส่งเสริมและใช้ประโยชน์จากพืชพลังงานทดแทน ในหัวข้อโครงการของประเทศสมาชิกอื่น ๆ ในอนาคตของคณะทำงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมและการศึกษากับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา โดยเฉพาะประเทศบราซิลที่มีความก้าวหน้าเรื่องการพัฒนาการผลิตพลังงานชีวภาพและการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1935 | สรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง ศิลปะ วัฒนธรรมเพื่อสร้างคุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และร่างพระราชบัญญัติสมัชชาศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ....) | วธ | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง ศิลปะ วัฒนธรรมเพื่อสร้างคุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และร่างพระราชบัญญัติสมัชชาศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ....) ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงวัฒนธรรมให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมของคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยกระทรวงวัฒนธรรมได้ประชุมร่วมกับผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง มีผลการพิจารณาสรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการด้านศิลปะวัฒนธรรมเพื่อสร้างคุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอยู่แล้วในหลายด้าน เช่น ด้านแฟชั่นเครื่องแต่งกาย ด้านภาพยนตร์ ด้านการท่องเที่ยวในแหล่งโบราณสถาน โดยภารกิจที่กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการ คือ (๑) การนำทุนทางวัฒนธรรมมาส่งเสริมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และให้บริการทางวัฒนธรรม (๒) การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และ (๓) การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ๒. ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม รวมทั้งส่วนราชการอื่นที่เข้าร่วมประชุมเห็นด้วยในหลักการของร่างพระราชบัญญัติสมัชชาศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... แต่มีประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ เช่น อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติตามร่างมาตรา ๑๖ (๑) อาจซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติตามมาตรา ๑๑ (๑) และด้านเครือข่ายกระทรวงวัฒนธรรมมีสภาวัฒนธรรมในระดับต่าง ๆ ซึ่งเป็นภาคประชาสังคมและประชาชนดำเนินการด้านวัฒนธรรมอยู่แล้ว และเห็นว่า การจัดตั้งองค์กรขึ้นมาใหม่ควรพิจารณาองค์กรเดิมที่มีอยู่และหากสามารถปรับปรุงกฎหมายได้ก็ควรดำเนินการปรับปรุง โดยมิต้องมีการจัดตั้งองค์กรให้ซ้ำซ้อนกัน
|
|||||||||||||||||||||
| 1936 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจร้านเกม และอินเทอร์เน็ต | ปช | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจร้านเกมส์และอินเทอร์เน็ต ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ได้แก่ (๑) การบังคับใช้กฎหมาย (๒) การมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ (๓) พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ (๔) การดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ และ (๕) การปรับปรุงกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ทันต่อสถานการณ์ ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมเป็นไปได้ของข้อเสนอแนะดังกล่าว และให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1937 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 11(ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 31สิงหาคม 2558) | นร | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๑๑ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ ซึ่งมีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ โดยศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ ในห้วงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ คณะรัฐมนตรีได้พิจารณารายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป ได้แก่ รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กรณีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ปี ๒๕๕๓ อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาล การนำเสนอพื้นที่อนุรักษ์ในทะเลอันดามันเป็นเขตมรดกโลก การปรับโครงสร้างอำนาจส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติและร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. .... กลไกและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์ สำหรับบ้านและอาคาร) การปฏิรูประบบงบประมาณ ระบบการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และแผนปฏิรูปการเข้าสู่อำนาจ/ระบบพรรคการเมือง ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน การบริหารเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรมสนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||
| 1938 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องที่มีข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิแรงงาน กรณีเรือประมงถูกจับกุมและดำเนินคดีในประเทศอินโดนีเซีย | สม | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องที่มีข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิแรงงาน กรณีเรือประมงถูกจับกุมและดำเนินคดีในประเทศอินโดนีเซีย ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอแนะสรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินนโยบายอันเกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของรัฐ ควรยึดถือแนวทางปฏิบัติว่าด้วยการดำเนินธุรกิจและสิทธิมนุษยชน : การดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบขององค์การสหประชาชาติว่าด้วย “การปกป้อง การเคารพ และการเยียวยา” (Guiding Principles on Business and Human Rights Implementing the United National “Protect, Respect and Remedy” Framework) ของสหประชาชาติ ๒. ประเด็นการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ทิศทางการพัฒนาประเทศควรวางอยู่บนกรอบความคิดเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยอยู่บนความมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการขยายตัวทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ภายใต้สภาพสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม ๓. ประเด็นการคุ้มครองแรงงานภาคอุตสาหกรรมประมง ควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการพัฒนาวิธีการต่าง ๆ ในภูมิภาคโดยพิจารณาถึงเกณฑ์มาตรฐานของอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ ๑๘๕ ว่าด้วยเอกสารประจำตัวของคนประจำเรือ (Seafarers’ Identity Documents Convention) และอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ ๑๘๘ ว่าด้วยการทำงานในภาคประมงทะเล และมาตรฐานแรงงานประมง (Work in Fishing Convention, 2007) รวมถึงการพิจารณาการให้สัตยาบันอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ ๑๘๕ และ ๑๘๘ ดังกล่าว ๔. การบังคับใช้กฎหมายและกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายของรัฐ พึงคำนึงถึงหลักความพอสมควรแก่เหตุที่ได้รับการรับรองโดยมาตรา ๒๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และพึงคำนึงถึงดุลยภาพระหว่างการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และหลักสิทธิมนุษยชนอันเป็นหลักการสากลที่รัฐมีหน้าที่ในการเคารพ (Duty to Respect) ปกป้องคุ้มครอง (Duty to Protect) และทำให้สิทธิต่าง ๆ บรรลุตามพันธะหน้าที่ (Duty to Fulfill) ตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี
|
|||||||||||||||||||||
| 1939 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 37 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กษ | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (ASEAN Ministers on Agriculture and Forestry : AMAF) ครั้งที่ ๓๗ การประชุมที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๐-๑๑ กันยายน ๒๕๕๘ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (AMAF) ครั้งที่ ๓๗ ในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๘ ที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ความก้าวหน้าในการดำเนินการตาม Roadmap for an ASEAN Community (2009-2015) ความก้าวหน้าของความร่วมมือด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างและกลไก (Streamline) ภายใต้ SOM-AMAF/AMAF รวมทั้งรับทราบการที่ไทยให้การสนับสนุน in-kind แก่ ASEAN-WEN Project Coordination Unit (PCU) และเห็นชอบในหลักการให้ไทยดำเนินการตามขั้นตอนภายในประเทศเพื่อให้สถานะทางกฎหมายแก่ ASEAN-WEN PCU สำหรับการประชุม AMAF ครั้งที่ ๓๘ จะจัดขึ้น ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ๒. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีของญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (AMAF Plus Three) ครั้งที่ ๑๕ ในวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๘ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินกิจกรรมภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมืออาเซียนบวกสาม [ASEAN Plus Three Cooperation Strategy (APTCS) Framework] ๓. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน-อินเดียด้านการเกษตรและป่าไม้ (AIMMAF) ครั้งที่ ๔ ในวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๘ ที่ประชุมยกเลิกการประชุมเนื่องจากฝ่ายอินเดียไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมได้
|
|||||||||||||||||||||
| 1940 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 4/2558 | นร11 | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชน เพื่อทบทวนค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่าที่ดินและอัตราค่าเช่าที่ดินที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และกำหนดแนวทางการให้เช่าที่ดินในระยะหลังจาก ๕๐ ปีแรก ๒. คณะอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการ จัดลำดับความสำคัญการจัดหาพื้นที่ของรัฐเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ ๒ และพิจารณาทบทวนการจัดสรรที่ดินราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและเอกชนเช่า ๓. คณะอนุกรรมการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่มีเนื้อหาสั้น เข้าใจง่าย มีแผนภูมิ แผนผัง หรือแผนภาพประกอบ เพื่อใช้ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ๔. กระทรวงการต่างประเทศ เป็นเจ้าภาพหารือกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อหาข้อสรุปสัดส่วนการลงทุนก่อสร้างสะพานข้ามคลองพรมโหด บ้านหนองเอี่ยน และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนเรื่องการยกเว้นวีซ่าทั้งระบบ รวมทั้งการให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในจังหวัดเดียวหรือหลายจังหวัด โดยให้มีมาตรการควบคุมให้เข้าออกได้ตามกติกา และร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเจรจากับฝ่ายเมียนมาเพื่อหารือเรื่องการพัฒนาด่านพรมแดนทั้งสองฝั่งบริเวณพื้นที่ชายแดน จังหวัดกาญจนบุรี ๕. กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบทขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๓๒ ล้านบาท เพื่อปรับปรุงแบบก่อสร้างพร้อมสำรวจอสังหาริมทรัพย์ ถนนสายแยก ทถ.๓๔๘-บ้านป่าไร่ ๖. กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับการก่อสร้างลานตรวจสินค้าด้วยระบบ X-ray วงเงิน ๑๑๕ ล้านบาท การปรับปรุงอาคารที่ทำการด่านพรมแดนบ้านคลองลึก วงเงิน๕๐ ล้านบาท การปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดาเพิ่มเติม วงเงิน ๔๐ ล้านบาท ค่าครุภัณฑ์และค่าวางสาย Fiber Optic ด่านศุลกากรสะเดา วงเงิน ๑๐ ล้านบาท และกรมธนารักษ์ดำเนินการตามระเบียบการให้หน่วยงานของรัฐใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ เพื่อให้กรมทางหลวงใช้ประโยชน์พื้นที่พัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากเพื่อการก่อสร้างถนนและ CIQ ตามโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ ๒ ของกรมทางหลวง ๗. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดแนวทางในการกักเก็บน้ำบริเวณบ้านหนองเอี่ยนให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งประเทศไทยและกัมพูชา ยกระดับศักยภาพสหกรณ์การเกษตรให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นโดยเชื่อมโยงกับวิสาหกิจชุมชน และพิจารณาส่งเสริมการอำนวยความสะดวกการนำเข้าผลผลิตสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจากเกษตรกรรายย่อยเพื่อลดปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตร ๘. กระทรวงมหาดไทย แต่งตั้งคณะทำงานระดับพื้นที่ทำหน้าที่อำนวยการหรือปฏิบัติการหรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และมอบหมายจังหวัดที่มีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสร้างความเข้าใจแก่ภาคส่วนในพื้นที่เรื่องกิจการเป้าหมายและการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอย่างต่อเนื่อง และให้ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้าน ๙. กระทรวงแรงงาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแก้ไขเรื่องผลกระทบจากแรงงานต่างด้าวที่นำครอบครัวเข้ามาในประเทศไทย ๑๐. สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ปรับปรุงร่างแผนบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง โดยให้จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมและพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่ให้ขัดแย้งกัน ๑๑. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพิจารณาออกประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพิ่มเติมกิจการเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และจัดทำข้อมูลส่งเสริมการลงทุนในเรื่องการลงทุนตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนระยะ ๗ ปี (๒๕๕๘-๒๕๖๔) การลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) พร้อมทั้งเผยแพร่ให้นักลงทุนรับทราบอย่างทั่วถึง |
|||||||||||||||||||||
.....
