ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 35 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 681 - 700 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 681 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. .... | ศธ. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ
คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ
วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์
วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ
วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.
๒๕๔๖ ในเรื่องคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา การเลือกกรรมการ
และวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 682 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. .... | อก. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรที่ต้องชำระตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา
๑๗ แห่งพระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. ๒๕๑๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘
เป็นระยะเวลา ๑ ปี รวม ๓ รายการ ได้แก่ ค่าจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร
ค่าเครื่องหมายการจดทะเบียนซึ่งเจ้าพนักงานได้ประทับหรือทำไว้ที่เครื่องจักร และค่าคัดสำเนาเอกสารพร้อมด้วยคำรับรองว่าถูกต้อง
โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งแจ้งกระทรวงการคลังจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
และควรพิจารณาหรือกำหนดมาตรการในการช่วยเหลือผู้ประกอบการในการปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจในอนาคต
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตระบบอัตโนมัติหรืออุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ควรส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการเข้ามาใช้ระบบจดทะเบียนเครื่องจักรออนไลน์
(Online Machinery Registration) ให้มากขึ้น
ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 683 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 | นร.14 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓ โดยที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาเรื่องที่หน่วยงานเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเพื่อทราบ ๕ เรื่อง ได้แก่
ผลการประชุมคณะอนุกรรมการภายใต้ กนช. จำนวน ๗ คณะ
ผลการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม
๒๕๖๓ ความก้าวหน้าแผนงานโครงการที่เสนอในคณะรัฐมนตรี และงานนโยบายที่นายกรัฐมนตรี
ตรวจงานในพื้นที่ และการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ความก้าวหน้าการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
และงบประมาณรายจ่ายแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
และรายงานสถานการณ์น้ำที่ผ่านมา สถานการณ์น้ำปัจจุบัน และการคาดการณ์ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๑.๒ เรื่องเพื่อพิจารณา ๔ เรื่อง ได้แก่
โครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ที่วงเงินงบประมาณเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท
ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกำหนดขอบเขต บทบาท ภารกิจ
หน้าที่และอำนาจของหน่วยงานด้านการบริหารทรัพยากรน้ำของประเทศ
การมอบหมายให้คณะกรรมการลุ่มน้ำคณะหนึ่งคณะใด ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการลุ่มน้ำประจำลุ่มน้ำตามมาตรา
๒๗ (มาตรา ๑๐๐ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑)
และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์
ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติและแม่น้ำลำคลอง ภายใต้ กนช. และคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการฯ ๑.๓ เรื่องอื่น ๆ ๒ เรื่อง ได้แก่
การปรับปรุงองค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจ ของคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด
และการแต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานประปาหมู่บ้าน ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และข้อสั่งการของประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพและเพียงพอต่อความต้องการใช้ของประชาชนทั้งประเทศ
และการประชุมในครั้งนี้ เป็นการร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำให้กับประชาชน
ทั้งน้ำอุปโภค-บริโภค น้ำเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว
ทุกหน่วยงานต้องร่วมกันหาวิธีการดำเนินงานอย่างไรให้มีการกระจายน้ำได้อย่างทั่วถึง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 684 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร.02 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบสรุปรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ซี่งมีรายละเอียดครอบคลุม ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑)
งานสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจของประชาชนต่อเรื่องสื่อสารที่สำคัญประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยคณะอนุกรรมการทบทวนนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕
(พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในภาพรวมของประเทศผ่านสื่อต่าง ๆ
ซึ่งประชาชนมีข้อเสนอต่อการพัฒนางานประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานภาครัฐในประเด็นต่าง ๆ
(๒) งานบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐและประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้องค์ความรู้เพื่อบริหารจัดการข่าวลวง
โดยคณะอนุกรรมการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนร่วมกับทุกกระทรวงดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ เช่น ประชาสัมพันธ์เชิงรุก สร้างองค์ความรู้ ต่อต้านข่าวปลอม
และจัดทำระบบตรวจสอบข่าวปลอมที่มีมาตรฐาน เป็นต้น และ (๓) งานพัฒนาบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ
โดยคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศได้ดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ ได้แก่ พัฒนาหลักสูตรเดิมให้เป็นหลักสูตรการสื่อสารในยุคดิจิทัล
และการนำหลักสูตรการสื่อสารในยุคดิจิทัลของสถาบันการประชาสัมพันธ์ไปใช้ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง
ๆ และมอบหมายหน่วยงานภาครัฐรับข้อเสนอของประชาชนไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่ กปช. เสนอ ๒. ให้ กปช. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการติดตามประเมินผลการรับรู้และเข้าใจข่าวสารของประชาชนอย่างต่อเนื่อง
เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 685 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยว | กค. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยว
ประกอบด้วย การปรับปรุงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) สำหรับกลุ่มผู้ประกอบ SMEs ธุรกิจท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่อง
การปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee
Scheme ระยะพิเศษ Soft Loan พลัส
การขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำออมสินช่วยเหลือ SMEs ในภาคการท่องเที่ยว (โครงการ Soft loan ออมสินฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย)
วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท
และการขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวัง
ควรกำหนดเพดานอัตราการให้สินเชื่อตามกลุ่ม/ประเภท
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านกระบวนการสินเชื่อ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
อย่างครอบคลุม เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
นอกจากนี้ ควรศึกษาและวิเคราะห์ถึงปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินมาตรการในช่วงที่ผ่านมา
รวมทั้งการแก้ไขกฎหมาย
กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลือสำหรับการดำเนินมาตรการในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 686 | ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2563 | กษ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑
อนุมัติโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์
วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
เป็นการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางพาราและผลิตภัณฑ์
โดยรัฐบาลสนับสนุนวงเงินชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินร้อยละ ๓
ต่อปี จำนวนไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาท จากวงเงินกู้ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒
อนุมัติขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
เป็นการขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการทั้งสองโครงการเดิมให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖
โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้ออกไปและยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ตามระยะเวลาการขยายระยเวลาชำระคืนเงินกู้พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา
FDR+1
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ รวมทั้งขอรับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการ
(ค่าเช่าโกดัง ค่าประกันภัย และค่าจ้างผลิตยาง) รวมทั้งสิ้น ๘๙๘.๗๖ ล้านบาท ๑.๓
อนุมัติปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง
เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการฯ โดยให้ผู้ประกอบการสามารถขอสินเชื่อได้จากทั้งธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ
(สถาบันการเงินเฉพาะกิจ) และผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้ยางเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการในปีการผลิต
๒๕๖๓ เพื่อลดผลกระทบอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๔ อนุมัติเพิ่มกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยาง
(ยางแห้ง) ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ภายใต้โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการกิจการยาง
(ยางแห้ง) วงเงินสินเชื่อ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการซื้อยางมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของฤดูกาลใหม่เป็นรายเดือน
และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒ ต่อปี ๒.
สำหรับแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ เช่น ค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางพารา
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนยางพารา เป็นต้น และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษามาตรการและแนวทางเพิ่มเติมในการดูดซับอุปทานส่วนเกินของยางพาราในระบบ
และ (๒)
การขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
การยางแห่งประเทศไทยจึงควรหาวิธีชำระคืนเงินกู้โดยเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๓.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย)
เร่งดำเนินการระบายสต็อกยางในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางให้หมดไปโดยเร็ว
โดยให้คำนึงถึงระยะเวลาและระดับราคาจำหน่ายที่เหมาะสม
เพื่อลดภาระงบประมาณและรักษาประโยชน์สูงสุดของรัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 687 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ครั้งที่ 1/2563 | นร15 | 28/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (คณะกรรมการ ป.ย.ป.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่
๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๓
ซึ่งที่ประชุมได้มีมติพิจารณาแนวทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ
ได้แก่ (๑) เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) (๒)
เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกคณะกรรมการ ๕ คณะ และ (๓)
เห็นชอบในหลักการในการปรับปรุงกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะกรรมการ ป.ย.ป.
และประสานสำนักงาน ป.ย.ป. ต่อไป ตามที่สำนักงาน ป.ย.ป. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน
ป.ย.ป.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เช่น
การเชื่อมโยงบูรณาการข้อมูลเรื่องร้องทุกข์จำเป็นต้องมีหน่วยงานหลักเป็นเจ้าภาพกำหนดแพลตฟอร์มกลางที่หน่วยงานจำเป็นต้องใช้ร่วมกันได้
รวมทั้งควรกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์
และควรให้แต่ละหน่วยงานสนับสนุนกลุ่มกำลังคนคุณภาพรุ่นใหม่ เช่น นักเรียนทุนรัฐบาล
ข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูง (HIPPs) และนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่
(นปร.) เข้าร่วมกลุ่มขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดอง เพื่อขับเคลื่อนงานด้านการปฏิรูปประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน
ป.ย.ป. พิจารณาปรับปรุงแบบการรายงานข้อมูลผลการปฏิบัติงานและผลสัมฤทธิ์ของทุกส่วนราชการ
โดยจำแนกตามแต่ละด้านของยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) และให้มีรายละเอียดที่ครบถ้วน
ชัดเจน และเป็นรูปธรรม เช่น เป้าหมาย แนวทาง/วิธีการ สถานที่ งบประมาณ ระยะเวลา
และกลุ่มผู้ได้รับประโยชน์ แล้วแจ้งให้ทุกส่วนราชการรายงานผลการปฏิบัติงานตามรูปแบบดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
และให้สำนักงาน ป.ย.ป. รวบรวมผลการปฏิบัติงานในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๆ
๓ เดือน รวมทั้งให้สำนักงาน ป.ย.ป.
เผยแพร่ข้อมูลผลการปฏิบัติงานดังกล่าวและสร้างการรับรู้แก่สาธารณชนให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาปรับปรุงแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการรับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์จากประชาชนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าใช้งานได้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องสามารถประสานและเชื่อมโยงเพื่อนำข้อมูลการร้องเรียน/ร้องทุกข์ดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็วและเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม
๒๕๖๓ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 688 | ร่างกฎกระทรวงการแก้ไขอาคารที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญ หรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | มท. | 20/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการแก้ไขอาคารที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ
ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญ
หรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์
วิธีการ
และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแก้ไขระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยของอาคารเก่าที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ชีวิต ร่างกาย
หรือทรัพย์สินหรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัยหรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อการใช้สอยอาคารมากยิ่งขึ้นและมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 689 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยจากโรคติดต่อเชื้อโคโรนาไวรัส COVID-19 และข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติตามสถานการณ์ ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา | สว. | 20/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยจากโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส COVID-19 และข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติตามสถานการณ์
ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา สรุปผลการพิจารณาได้ว่า
การพัฒนาภาคเกษตรควรกำหนดแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ ในระยะเฉพาะหน้าเร่งด่วน
โดยการสร้างความตระหนักเรื่องทำการเกษตรอย่างไรให้ปลอดภัยจากโควิด-๑๙
ในฤดูกาลใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันของสินค้าเกษตร
และจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข่าวสารผ่านทางออนไลน์เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติของเกษตรกรและแรงงานในภาคการเกษตรให้ปลอดภัยจากโควิด-๑๙
ด้วยรูปแบบที่สามารถเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย
ดูแลค่าเช่าที่ดินทำการเกษตรให้เป็นธรรมและช่วยเจรจาผ่อนผันการจัดเก็บค่าเช่าซื้อที่ดินตามความจำเป็น
และสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการผลิตในฤดูกาลใหม่อย่างเพียงพอและคิดดอกเบี้ยในอัตราผ่อนปรน
ส่วนแนวทางปฏิบัติในการดำเนินงานในระยะต่อไปที่ทำอย่างต่อเนื่อง คือ จัดทำ
“ฐานข้อมูลทางด้านการเกษตร” สนับสนุนการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่
และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์ของรัฐในการกำหนดและบริหารนโยบายเศรษฐกิจการเกษตร
และจัดทำโครงสร้างระบบการสำรวจ ติดตาม เฝ้าระวังศัตรูพืชและศัตรูสัตว์
ทั้งที่มีอยู่เดิมในประเทศและอุบัติใหม่จากต่างประเทศให้สามารถพยากรณ์และแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
รวมทั้งได้กำหนดแนวทางการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี
ที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตร โดยมีนโยบายจัดทำ Big Data ภาคเกษตรส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรสู่การเป็นเกษตรกรปราดเปรือง
เพื่อให้เกษตรกรทุกคนได้รับการพัฒนาเป็นเกษตรกรที่มีความพร้อมรับกับสถานการณ์ด้านการเกษตรที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาให้มีการผลิต/แปรรูปสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 690 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2563 | กษ. | 20/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบและเห็นชอบตามมติการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง
(กปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีมติรับทราบ จำนวน ๗
เรื่อง เช่น การแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่ตามแนวทางการดำเนินงานของโครงการหลวง
และการจัดประชุมวิชาการนานาชาติ ด้านการพัฒนาเกษตรที่สูงอย่างยั่งยืนตามพระราชปณิธานสืบสาน
รักษา และต่อยอดงานโครงการหลวง เป็นต้น และเรื่องพิจารณา จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่
การปรับแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง พ.ศ. ๒๕๕๐
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งเป็นการปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบของ กปส. เพื่อให้สอดคล้องกับระบบการบริหารงานและการดำเนินงานของมูลนิธิโครงการหลวงในปัจจุบัน
การขอสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง
และกรอบคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ
ที่สนับสนุนงานโครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่ กปส. เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
โดยระเบียบดังกล่าวเป็นการปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบของ กปส. โดยเพิ่ม ๕ ตำแหน่ง และปรับออก ๒ ตำแหน่ง
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓.
สำหรับการขอรับสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับการก่อสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวงจากรัฐบาล
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
ผ่านสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๐๕,๗๐๐,๐๐๐ บาท
เห็นควรให้มูลนิธิโครงการหลวงจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ตามแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน และการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมรายละเอียด
ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามความจำเป็นและความเหมาะสม ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 691 | ขออนุมัติท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 และการปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย | พณ. | 20/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย
ครั้งที่ ๔ และหากในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ดังกล่าว มีผลให้มีการตกลงในเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น
ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่าย
โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นใหม่ ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมสามารถดำเนินการได้และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
รวมทั้งเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย
(Memorandum of Understanding on Extension of Trade and Economic
Cooperation Between the Ministry of Economic Development of the Russian
Federation and the Ministry of Commerce of the Kingdom of Thailand) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดท่าทีของไทยในด้านต่าง ๆ อาทิ
การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน การขยายความร่วมมือในระดับพหุภาคีและภูมิภาค
และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ส่วนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจ
การส่งเสริมกิจกรรมระหว่างภาคธุรกิจ
การพิจารณาแนวทางเพิ่มมูลค่าการค้าและลดอุปสรรคทางการค้า
ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสองประเทศ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรเน้นย้ำการหารือในสี่ประเด็นหลัก
คือ (๑) การเร่งรัดการอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน
โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญของไทยที่มีศักยภาพในตลาดรัสเซีย อาทิ
สินค้าประมงและปศุสัตว์ (๒)
การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้แก่กลุ่ม SMEs
ของทั้งสองฝ่าย เพื่อเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจ
รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกโดยเฉพาะด้านกฎระเบียบ (๓)
การส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวระหว่างกันที่สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ (New
Normal) และ (๔) การเพิ่มโอกาสในการพัฒนาความร่วมมือด้านอื่น ๆ
ที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ อาทิ การพัฒนาพลังงานทดแทน
และการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งอาจขยายไปสู่การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคอุบัติใหม่ร่วมกัน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 692 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 (ครั้งที่ 150) | พน. | 20/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบและเห็นชอบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ (ครั้งที่
๑๕๐) เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๓
ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติในเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้รับรองมติการประชุมเรียบร้อยแล้ว
จำนวน ๑๐ เรื่อง ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ พิจารณา จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑)
ร่างแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ (Alternative
Energy Development Plan 2018 : AEDP2018) (๒)
ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๑ (Power
Development Plan : PDP2018 Rev.1) (๓) ร่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.
๒๕๖๑-๒๕๘๐ (Energy Efficiency Plan : EEP2018) (๔) ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐
(Gas Plan 2018) (๕)
แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๗ ซี่งเป็นแผนระดับ ๓ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ๑.๒ รับทราบ
จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) แนวทางการส่งเสริมพื้นที่ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า
(EV Charging Station Mapping) (๒)
การศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าและการจัดการระบบจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า
(๓) โครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการด้านพลังงาน (ERC
Sandbox) (๔)
การกำหนดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และ (๕)
ขอปรับปรุงหลักการและรายละเอียดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น
ควรให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนแบบบูรณาการให้เป็นแผนพัฒนาด้านพลังงานของประเทศไทย
๑ แผน รวมทั้งกำหนดเป้าหมายในช่วงระยะ
๕ ปี ให้สอดคล้องกับช่วงเวลาของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
และนำผลการพิจารณาทบทวนแผนดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติภายใน
๖ เดือน เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถบูรณาการแผนด้านพลังงานต่าง
ๆ ให้เป็นเอกภาพและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นแผนเดียว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 693 | ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 จำนวน 4 ฉบับ | พณ. | 20/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก
พ.ศ. ๒๕๐๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๒๒ จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน
และเงื่อนไขในการปฏิบัติของผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอรับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า
และเงื่อนไขในการปฏิบัติของผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า พ.ศ. .... (๓)
ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอรับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า
และเงื่อนไขในการปฏิบัติของผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า พ.ศ. .... และ (๔)
ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอรับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอรับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า
เพื่อยกระดับการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ตลอดจนยกเว้นค่าธรรมเนียมคำร้องขอและค่าแบบพิมพ์คำร้องขอเพื่อรองรับระบบอิเล็กทรอนิกส์
รวมทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เช่น ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซี่งสินค้ามาตรฐานและเงื่อนไขในการปฏิบัติของผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน
พ.ศ. .... ข้อ ๓ วรรคท้าย กรณียกเว้นคุณสมบัติของผู้ยื่นจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน
ในข้อ ๓ (๑) (๒) และ (๓) หากยกเว้นให้ผู้ประกอบการ SME เช่นเดียวกับวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคมจะเป็นประโยชน์อย่างมาก
ซึ่งจะมีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และมีขนาดแตกต่างกันตามจำนวนรายได้และจำนวนการจ้างงานตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.
๒๕๔๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อคิดเห็น
ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมบางประการของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 694 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | รง. | 12/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทน
ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนเกี่ยวกับเงินค่าทำศพและเงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย
สำหรับบุคคลซึ่งมิใช่ลูกจ้างแต่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐
แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ของสังคมในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาถึงความคุ้มค่า
ต้นทุน ผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ ควรพิจารณามาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสถานะและเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในอนาคต
และควรเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 695 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 24/2563 | นร.11 | 12/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๔/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
โดยเฉพาะการแก้ไขปรับปรุงข้อมูลของโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)
และเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้โดยเร็ว และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความชัดเจนของโครงการ/รายการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์
อัตรา และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ
ของภาครัฐ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
โดยให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 696 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต รวม 4 ฉบับ | คค. | 12/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต
รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนและกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
ในท้องที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
ตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และในท้องที่เขตจตุจักร
เขตบางเขน เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และอำเภอลำลูกกา
จังหวัดปทุมธานี ตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เพื่อปรับปรุงทางเท้าบริเวณบันไดขึ้น-ลง
สถานีรถไฟฟ้า ลิฟต์ ตอม่อ และทางลาดของคนพิการ บริเวณสถานีต่าง ๆ
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการและผู้ใช้ทางเท้าอื่นในการสัญจรไปมา
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
พ.ศ. .... ๑.๒
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตจตุจักร เขตบางเขน
เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
พ.ศ. .... ๑.๓
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
ในท้องที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
พ.ศ. .... ๑.๔
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
ในท้องที่เขตจตุจักร เขตบางเขน เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร
และอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. ....
๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงคมนาคมควรให้ความสำคัญในการป้องกันปัญหาการกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
และควรกำหนดมาตรฐานในการก่อสร้างรถไฟฟ้าให้ชัดเจนและสอดคล้องกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
การรถไฟแห่งประเทศไทยควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
ควรมอบหมายให้กรุงเทพมหานครรับผิดชอบดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และควรมอบหมายให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยประสานและบูรณาการกับกรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการปรับปรุงทางเท้าบริเวณบันไดขึ้น-ลงลิฟต์
ตอม่อ และทางลาดของคนพิการให้เป็นไปตามความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 697 | การปรับปรุงแนวทางการขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแปลกฎหมายและตรวจสอบรับรอง คำแปลกฎหมาย | นร.09 | 12/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
ดังนี้ ๑.
แนวทางการขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแปลกฎหมายและตรวจสอบรับรองคำแปลกฎหมายที่เสนอปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องจากแนวทางในการจัดทำคำแปลกฎหมายในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
เพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันและสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในปัจจุบัน
และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมทั้งเกิดความชัดเจนและเป็นระบบเดียวกัน อันจะทำให้การจัดทำคำแปลของกฎหมายและการเผยแพร่กฎหมายเพื่อบริการประชาชนมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาสามารถแก้ไขปรับปรุงแนวทางดังกล่าวในส่วนที่เป็นรายละเอียดและไม่กระทบหลักการสำคัญ
และแจ้งเวียนให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 698 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ รวม 4 ฉบับ | คค. | 12/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนและกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการรถไฟฟ้า
สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่
เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร และโครงการรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน
ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางกอกใหญ่
และเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร เพื่อปรับปรุงทางเท้าบริเวณบันไดขึ้น-ลง สถานีรถไฟฟ้า
ลิฟต์ ตอม่อ และทางลาดของคนพิการบริเวณสถานีต่าง ๆ
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการและผู้ใช้ทางเท้าอื่นในการสัญจรไปมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร
เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ.
.... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางกอกใหญ่ และเขตธนบุรี
กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร
เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ.
.... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางกอกใหญ่ และเขตธนบุรี
กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงคมนาคมควรให้ความสำคัญในการป้องกันปัญหาการกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
และควรกำหนดมาตรฐานในการก่อสร้างรถไฟฟ้าให้ชัดเจนและสอดคล้องกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
และการรถไฟแห่งประเทศไทยควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งควรมอบหมายให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยประสานและบูรณาการกับกรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการปรับปรุงทางเท้าบริเวณบันไดขึ้น-ลงลิฟต์
ตอม่อ และทางลาดของคนพิการที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าของโครงการดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 699 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร.12 | 06/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ
พ.ศ. ๒๕๕๑ และนำสาระสำคัญของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๐ พ.ศ. .... มารวมไว้ในร่างพระราชกฤษฎีกาฯ
รวมถึงกำหนดให้ยุบรวมคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ
(ก.น.จ.) ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการฯ
และคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการฯ
มาจัดตั้งเป็นคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (ก.บ.บ.)
และกำหนดให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับผิดชอบงานเลขานุการของ
ก.บ.บ. ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสำนักงบประมาณเห็นว่า (๑) ร่างมาตรา ๗ (๖)
ที่กำหนดให้การบริหารงบประมาณของจังหวัดให้เป็นไปตามวิธีการบริหารงบประมาณจังหวัดแบบบูรณาการ
ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติตามที่ ก.บ.บ. กำหนดตามข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณ นั้น
กรณีตามร่างมาตรา ๗ (๖) อาจเป็นการเพิ่มขั้นตอนและเป็นภาระในการดำเนินงานเกินความจำเป็น
เห็นควรที่จะมีการทบทวนกรณีดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง (๒) ร่างมาตรา ๙ (๔)
ที่กำหนดหน้าที่และอำนาจของ ก.บ.บ. ในการพิจารณา กลั่นกรอง
และให้ความเห็นชอบตามแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาภาค แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด
แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด งบประมาณจังหวัดและงบประมาณกลุ่มจังหวัด
ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ นั้น
การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นกรณีที่กำหนดขึ้นโดยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑ จึงควรตัดข้อความ “ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ” ออก และ (๓)
ร่างมาตรา ๓๕ วรรคสอง
กำหนดว่าในกรณีที่สำนักงบประมาณกำหนดให้จังหวัดจัดทำรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณตามแบบที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกำหนด
เมื่อจังหวัดได้จัดส่งสำเนาให้สำนักงบประมาณตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ถือว่าจังหวัดได้จัดทำรายงานดังกล่าวแล้ว เห็นว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑ จึงเห็นควรตัดข้อความในวรรคสองออก ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง
ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ.
๒๕๖๐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๐
เนื่องจากถูกนำไปรวมไว้เป็นส่วนหนี่งของร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ
พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 700 | รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนเมษายน - มิถุนายน 2563) | นร.11 | 06/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา
๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๓)
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย ความคืบหน้า
ปัญหาอุปสรรค และการดำเนินการในระยะต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ความคืบหน้ากิจกรรมสำคัญตามแผนการปฏิรูปประเทศ ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๓ ประกอบด้วย
(๑)
กิจกรรมสำคัญตามแผนการปฏิรูปประเทศที่มีลักษณะพัฒนาการจากงานเดิมเป็นประโยชน์ในเชิงปฏิรูป
มิใช่งานปกติและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน เช่น ด้านการเมือง
ด้านกระบวนการยุติธรรม และด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น และ (๒)
สถานะกฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓
ไม่มีกฎหมายแล้วเสร็จเพิ่มเติม ๒. ปัญหาอุปสรรค
วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรให้ข้อเสนอแนะว่ากิจกรรมที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เป็นการปฏิรูป
และไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
รวมทั้งอุปสรรคในการติดตามตรวจสอบการดำเนินกิจกรรมบางประการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบตามแผนอาจขาดความชัดเจนในการขับเคลื่อนทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการ
โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ปรับปรุงรูปแบบการรายงานในรอบการรายงานครั้งนี้แล้ว
ประกอบกับที่ประชุมร่วมประธานกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะ ในการประชุมครั้งที่
๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ได้เห็นชอบเค้าโครงการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศให้มีความกระชับและชัดเจนยิ่งขึ้น ๓.
การดำเนินการในระยะต่อไป
คณะกรรมการปฏิรูประเทศอยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ และ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของประเทศที่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงการจัดทำแผนการปฏิรูปประเทศที่ผ่านมา
ตลอดจนบริบทต่าง ๆ และผลกระทบทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ นอกจากนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศอยู่ระหว่างเตรียมการจัดรับฟังความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง
ๆ เช่น ออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ nscr.nesdc.go.th/Line @nscr และจดหมายราชการถึงทุกหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ ในวันที่ ๒-๓
กันยายน ๒๕๖๓ ณ ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แจ้งหน่วยงานของรัฐ เช่น
กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชนทุกหน่วยงานร่วมแสดงความคิดเห็นต่อแผนการปฏิรูปประเทศที่เกี่ยวข้อง
และสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นเสนอคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเพื่อใช้ประกอบการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
