ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 33 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 641 - 660 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 641 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. .... | ทส. | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์
และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยเพิ่มพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ จากเดิม ๓ บริเวณ เป็น ๔
บริเวณ โดยเพิ่มบริเวณที่ ๔ ได้แก่ พื้นที่ต่อเนื่องบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก
แก้ไขชื่อหน่วยงานและหัวหน้าหน่วยงานในคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์
และเมืองเก่า ให้เป็นปัจจุบัน ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๔ เห็นควรใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร หรือใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ การบูรณาการของหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป และเห็นควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการใช้กรอบแนวทางการบริหารจัดการการอนุรักษ์และพัฒนาร่วมกับแนวทางการพัฒนาเมือง รวมทั้งภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 642 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2563 และครั้งที่ 6/2563 | ทส. | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ และครั้งที่ ๖/๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ รวม ๗ เรื่อง ได้แก่ (๑)
รายงานประจำปี ๒๕๖๒ กองทุนสิ่งแวดล้อม (๒)
ร่างแนวทางปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน (๓)
การเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด
และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบินจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นพื้นที่เครือข่ายนกอพยพ
ภายใต้โครงการความร่วมมือพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นกและใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลีย
(East
Asian-Australasian Flyway Partnership : EAAFP) (๔) กรอบและแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมธรรมชาติบึงโขงหลง
อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ (๕)
แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕ (๖)
โครงการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในไร่นาเพื่อสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางอาหาร
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จังหวัดสุพรรณบุรี
ของมูลนิธิข้าวขวัญ และ (๗)
รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม
(EIA) โครงการก่อสร้างท่าอากาศยานบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
(โครงการปรับปรุงกายภาพและก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่)
ของกรมท่าอากาศยาน ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๖/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (๒) รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (ช่วงชุมทางบ้านภาชี-นครราชสีมา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และ (๓) โครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย จังหวัดเพชรบุรี (โพไร่หวาน) ของการเคหะแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 643 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 26 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) | นร.11 | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๖ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT)
ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ และเห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๖ แผนงาน IMT-GT และผลการประชุมอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๖ แผนงาน IMT-GT ได้มีการพิจารณารายงานของที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส
ครั้งที่ ๒๖ รายงานของที่ประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๗
และรายงานของธนาคารพัฒนาเอเชีย
รวมทั้งเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๖
โดยมีการปรับปรุงเพิ่มเติมให้มีเนื้อหาที่มีความถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น
แต่ยังคงไว้ซึ่งเนื้อหาและสาระสำคัญตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ เช่น
การให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
และสอดคล้องกับกรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียน (ASEAN Comprehensive
Recovery Framework) และแผนการดำเนินการตามกรอบการฟื้นฟู (Implementation
Plan) เพื่อให้การดำเนินการรับมือโควิด-๑๙ ของภูมิภาคเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
รวมทั้งให้ปรับปรุงตารางมอบหมายภารกิจหน่วยงานดำเนินงานตามผลการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๖ แผนงาน IMT-GT ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ก่อนดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 644 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานเครื่องมือหรืออุปกรณ์และมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนเรือ พ.ศ. .... | คค. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานเครื่องมือหรืออุปกรณ์และมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนเรือ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานเครื่องมือหรืออุปกรณ์และมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนเรือ
พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
เพื่อให้เจ้าของเรือจัดทำมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนเรือ
ให้สอดคล้องและเป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานการฝึกอบรม การออกประกาศนียบัตรและการเข้ายามสำหรับคนประจำเรือ
ค.ศ. ๑๙๗๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (International Convention on
Standards of Training, Certification and Watchkeeping for Seafarers ๑๙๗๘, STCW as amended) รวมถึงอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเล
ค.ศ. ๒๐๐๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (Maritime Labour Convention ๒๐๐๖, MLC as amended) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาในประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดให้อธิบดีกรมเจ้าท่ามีอำนาจในการออกประกาศเพื่อกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานบนเรืออีกทอดหนึ่ง
จึงเป็นการมอบอำนาจช่วง ซึ่งไม่อาจกระทำได้
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงแรงงานที่เห็นว่า ร่างข้อ ๔
ที่ให้อำนาจอธิบดีกรมเจ้าท่าประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดชั่วโมงการพักผ่อนอาจจะเป็นการซ้ำซ้อนกับมาตรา
๖๒ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘
ที่ได้บัญญัติเกี่ยวกับชั่วโมงการพักผ่อนของคนประจำเรือไว้แล้ว
ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนดโดยองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International
Maritime Organization : IMO) และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ
(International Labour Organization : ILO) และเห็นควรให้แก้ไขถ้อยคำในร่างข้อ ๔ จาก อัตราย เป็น “อันตราย”
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 645 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | พณ. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย
(องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ
(องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเปลี่ยนชื่อองค์กรจาก
“ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน)” เป็น
“สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน”
ปรับปรุงวัตถุประสงค์หน้าที่และอำนาจของสถาบัน
องค์ประกอบของคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย ตลอดจนบทบัญญัติต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของสถาบัน
และเพื่อให้สถาบันเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลส่งเสริมและสนับสนุนศิลปหัตถกรรมไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะกำกับดูแลศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ
(องค์การมหาชน) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง เช่น (๑)
การดำเนินงานของสถาบันควรได้รับการพิจารณาสนับสนุนด้านงบประมาณจากรัฐบาลผ่านกระบวนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี
และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มอำนาจให้สถาบันสามารถกู้ยืมเงินเองได้
จึงเห็นควรตัดความในร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรา ๑๐ (๕)
เรื่องอำนาจในการกู้ยืมเงินของสถาบันออก (๒) แก้ไขถ้อยคำตามร่างมาตรา ๑๒
ที่กำหนดให้บรรดารายได้ของสถาบันไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง
และกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เป็น “มาตรา ๑๒ บรรดารายได้ของสถาบันไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ”
และ (๓) ตัดความในร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรา ๒๑ (๓) (จ)
ในส่วนที่เกี่ยวกับการพัสดุออก เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.
เกี่ยวกับค่าตอบแทนการเลิกจ้างแก่เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ประสงค์จะทำงานต่อไป
หรือไม่ได้รับการคัดเลือกและบรรจุ เห็นควรให้ใช้จ่ายเงินสะสมของสถาบันที่ได้รับโอนตามนัยมาตรา
๔๖ ของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ
โดยการเบิกจ่ายจากแหล่งเงินดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และไม่มีความซ้ำซ้อน
รวมทั้งการคัดเลือกเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ
(องค์การมหาชน) เพื่อบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสถาบัน ตามร่างมาตรา ๔๙
ควรดำเนินการตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรม
เพื่อให้ได้ทรัพยากรที่มีศักยภาพสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และภารกิจขององค์กร
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 646 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ | กค. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๑๘๖ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและของสถาบันการเงิน
โดยเป็นการเพิ่มวงเงินสำหรับการใช้บังคับหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญ
ปรับปรุงหลักเกณฑ์และขั้นตอนการติดตามทวงถามหนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
และเป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ ๙ เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน
โดยให้มีผลใช้บังคับสำหรับการจำหน่ายหนี้สูญในระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่
๑ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรม
และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควร (๑)
สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ (๒)
การกำหนดให้หลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้สามารถกระทำได้โดยง่ายนั้น
อาจทำให้เกิดการตกแต่งงบการเงินได้ง่ายยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้นั้น
ถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท จึงเห็นควรบังคับใช้เพียงเท่าที่จำเป็น และ (๓)
ขอให้ดำเนินการให้ทันต่อกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการและการชำระภาษีสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี
๒๕๖๓ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 647 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด พ.ศ. .... | พศ. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๑)
ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
เกี่ยวกับการให้เช่าที่ดินของวัดเพื่อแก้ไขปัญหาการแสวงหาประโยชน์ในที่ดินของวัด
และการเก็บรักษาเงินของวัดให้มีความสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน
ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 648 | มาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | กค. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVIC-๑๙) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.
มาตรการเสริมสภาพคล่อง (สินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อ)
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
COVID-๑๙
ให้มีสภาพคล่องสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจ
กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ดำเนินมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการและประชาชน ๒.
มาตรการบรรเทาภาระหนี้สิน (พักชำระหนี้)
สถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งได้มีการจัดกลุ่มลูกหนี้ แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่
(๑) กลุ่มสีเขียว คือกลุ่มที่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ปกติ (๒) กลุ่มสีเหลือง
คือกลุ่มที่กลับมาชำระหนี้ได้บางส่วนไม่เต็มจำนวนที่ต้องจ่าย และ (๓) กลุ่มสีแดง
คือกลุ่มที่มีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะมีการพิจารณามาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้แต่ละรายเพิ่มเติมเป็นการเฉพาะ
ไม่ว่าจะเป็นการขยายระยะเวลาชำระหนี้ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้
และการให้สินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง รวมถึงมีการติดต่อลูกค้าเพื่อช่วยเหลือในเชิงรุก
สำหรับลูกค้าที่อยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (ศบค.)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 649 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) | กค. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) ได้แก่
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ เรื่อง มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ
ปี ๒๕๖๓ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๓ เรื่อง มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม
ระยะที่ ๒ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและเสนอมาตรการช่วยเหลือ
SMEs เพิ่มเติม
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑.๑
การปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) และขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อเพิ่มเสริมพลังฐานราก
โดยจัดสรรวงเงินที่เหลือประมาณ ๒,๙๘๗ ล้านบาท
จากการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) ให้ธนาคารออมสินดำเนินโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก
พร้อมทั้งขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก
จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ ๑.๒
ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงินสินเชื่อรวม
๔๐,๐๐๐ ล้านบาท แบ่งเป็น ธนาคารออมสิน วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
ให้แก่ประชาชนที่มีอาชีพอิสระไม่มีรายได้ประจำหรือเกษตรกรรายย่อย
คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ไม่เกินร้อยละ ๐.๑๐
ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน ๒ ปี ๖ เดือน (ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ๖
เดือน) สิ้นสุดรับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว
รวมจำนวน ๒๕,๖๓๕ ล้านบาท (ธนาคารออมสิน ๑๗,๐๑๐ ล้านบาท และ ธ.ก.ส. ๘,๖๒๕ ล้านบาท)
ยังมีวงเงินคงเหลือภายใต้โครงการดังกล่าวอีก จำนวน ๑๔,๓๖๕ ล้านบาท ดังนั้น
เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการช่วยเหลือประชาชน
จึงขอขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปเป็นวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ ๑.๓
ขยายระยะเวลามาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
(ธสน.) ภายใต้มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี ๒๕๖๓
วงเงินรวม ๕,๐๐๐ ล้านบาท สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
รวมถึงผู้นำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อพัฒนาประเทศ โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่
๑-๒ ร้อยละ ๒ ต่อปี ในปีที่ ๓-๕ คิดอัตรา Prime Rate-ร้อยละ
๒ ต่อปี และปีที่ ๖-๗ คิดอัตรา Prime Rate ต่อปี
(ปัจจุบันอัตรา Prime Rate ของ ธสน. อยู่ที่ร้อยละ ๖) ณ
วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ ธสน. อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว จำนวน ๒,๘๕๘ ล้านบาท
ยังคงมีวงเงินคงเหลืออีก จำนวน ๒,๑๔๒ ล้านบาท
จึงขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการดังกล่าว
จากเดิมสิ้นสุดการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓
ออกไปเป็นสิ้นสุดการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อไม่เกินวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔
๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 650 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาปัญหา
หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๖๐ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์
และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ
แล้ว สรุปความเห็นในภาพรวม เช่น
การกำหนดหลักการเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยได้มีการคำนึงถึงสิทธิต่าง
ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่แล้ว โดยในมาตรา ๒๕
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
ได้กำหนดหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยไว้ในรัฐธรรมนูญ
และหากไม่มีการห้ามหรือจำกัดโดยรัฐธรรมนูญหรือโดยกฎหมาย
บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะกระทำได้ทุกเรื่องแลได้รับการคุ้มครอง
การจะจำกัดสิทธิและเสรีภาพในเรื่องใดย่อมจะต้องพิจารณาโดยรอบคอบและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวม
ในส่วนของบทบัญญัติในมาตรา ๕๐ เป็นพื้นฐานอันเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทย
และไม่จำเป็นต้องแยกว่ากรณีใดเป็นสิทธิหรือหน้าที่ อย่างไรก็ตาม
หากมีการศึกษาในภายหน้าแล้วเห็นว่าควรมีการปรับปรุงในการกำหนดให้กรณีใดควรเป็นสิทธิหรือหน้าที่ก็สามารถจะกระทำได้
สำหรับการบัญญัติหน้าที่ของรัฐตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ
เป็นการให้หลักประกันการทำหน้าที่ของรัฐซึ่งรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้รัฐมีหน้าที่ต้องดำเนินการ
แต่ในการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว หน่วยงานของรัฐจะเป็นกลไกสำคัญในการดำเนินการซี่งควรมีกฎหมายเฉพาะที่กำหนดรายละเอียดของหน้าที่และอำนาจในการดำเนินการด้วย
แต่หากกลไกการดำเนินการตามกฎหมายเฉพาะยังไม่เพียงพอก็สามารถพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายนั้นให้ชัดเจนได้
เช่น การฟ้องคดีศาล
ก็สมควรเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าวเพื่อกำหนดกรอบให้ชัดเจนในการให้อำนาจแก่ประชาชน
และในการกำหนดให้นโยบายการบริหารราชการแผ่นดินต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
ไม่เป็นข้อจำกัดของคณะรัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดิน
เพราะคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ยุทธศาสตร์ชาติเป็นแผนระดับที่ ๑
ซึ่งเป็นกรอบการพัฒนาที่มีความยืดหยุ่นตามบริบทการเปลี่ยนแปลงทั้งของโลกและประเทศที่ครอบคลุมทุกมิติซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฯ
การพัฒนาประเทศ รวมทั้งเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 651 | ผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล | กษ. | 05/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค
เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม
๒๕๖๓ ซี่งประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพการประชุม และมีผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยรัฐมนตรี/ผู้แทนจากเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคทั้ง
๒๑ เขต (ยกเว้นปาปัวนิวกินี)
โดยที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์รัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เรื่อง
การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙ (ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม
๒๕๖๓) โดยไม่มีการปรับปรุงแก้ไขแถลงการณ์ฯ
ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหรือนัยสำคัญที่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
รวมทั้งไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมายและสมาชิกสามารถพิจารณาให้ความร่วมมือตามความสมัครใจ
โดยแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญ เช่น (๑)
มีการกล่าวถึงผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โรคโควิด ๑๙) ที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่
ความมั่นคงอาหาร การเกษตร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและประมง ห่วงโซ่อาหารในภูมิภาค
รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมทั่วโลก (๒)
เน้นย้ำการเสริมสร้างความร่วมมือที่ต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าระบบอาหารทั่วโลกยังคงเปิดกว้าง
มีนวัตกรรม เชื่อถือได้ มีความยืดหยุ่น เข้าถึงได้ และยั่งยืน (๓)
การให้ความสำคัญของการทำงานร่วมกับองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ (๔)
สนับสนุนให้มีการแบ่งปันข้อมูลและความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคและคณะทำงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้มั่นใจว่าอาหารเพียงพอ
ปลอดภัย ราคาไม่แพง และมีคุณค่าทางโภชนาการ
ยังคงมีอยู่และเข้าถึงได้สำหรับประชาชนทุกคน และ (๕)
เพิ่มบทบาทภาคเอกชนและมุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือและการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 652 | การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับองค์การยูเนสโก | ศธ. | 05/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบการเสียชีวิตของศาสตราจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์
กรรมการฝ่ายสังคมศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์
และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๒.
เห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์
และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และคณะกรรมการชุดต่าง ๆ
ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับองค์การยูเนสโก จำนวน ๖ คณะ ได้แก่ (๑)
คณะกรรมการฝ่ายการศึกษาของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์
และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) (๒)
คณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรมของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์
และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) (๓)
คณะกรรมการฝ่ายสังคมศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) (๔) คณะกรรมการฝ่ายสื่อสารมวลชนของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) (๕)
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และ (๖)
คณะกรรมการโครงการมนุษย์และชีวมณฑลของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)
โดยมีอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคงเดิม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๕ มกราคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ๓.
ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการดำเนินงานในสาขาสื่อสารมวลชนขององค์การยูเนสโก
ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการฝ่ายสื่อสารมวลชนของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)
อาจมีประเด็นเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพและความปลอดภัยของสื่อ
ซึ่งเป็นประเด็นที่อยู่ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
(International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) จึงอาจพิจารณาเชิญผู้แทนกระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมในองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวด้วย
และอาจพิจารณาเชิญบุคคลรุ่นใหม่ซึ่งมีอิทธิพลด้านสังคมและวัฒนธรรมบนสื่อสังคมออนไลน์ต่าง
ๆ เพื่อให้ได้มุมมองใหม่ ๆ
อันจะเป็นประโยชน์ในการเชื่อมโยงเยาวชนกับงานของยูเนสโกและคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 653 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 1 ปี ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ
๑ ปี ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งสรุปได้ ๕ ประเด็น ดังนี้ ๑.
การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของเกษตรกร เช่น การช่วยเหลือแก้ปัญหาหนี้สินให้แก่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร
การแก้ไขปัญหาข้าว แก้ไขปัญหายางพารา การจัดทำมาตรการช่วยเหลือราคาสินค้าเกษตร การปรับปรุงระบบที่ดินทำกินเกษตรกร
การจัดพื้นที่การเกษตรตาม Agri-Map และการช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงโควิด
เป็นต้น ๒.
การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัยและส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ
เช่น การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย
และการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เป็นต้น ๓.
การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันด้านเกษตร เช่น
การส่งเสริมการทำปศุสัตว์ ส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์น้ำ
การส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การพัฒนาถ่ายทอดเทคโนโลยี
และการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ เป็นต้น ๔.
การจัดทำข้อมูลสารสนเทศด้านการเกษตร เช่น การพัฒนาระบบฐานข้อมูลการเกษตร
และการปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืช ผู้เลี้ยงสัตว์ ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
เป็นต้น ๕.
การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม ในสถานศึกษา ๗๗ จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 654 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 31/2563 (ผลการดำเนินงานของจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรี) และครั้งที่ 32/2563 | นร.11 | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๓๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ และครั้งที่ ๓๒/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดโครงการ
รวมทั้งพิจารณาผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงต้นสังกัด
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 655 | การขยายระยะเวลาการลดค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. ....) | พณ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเพื่อขยายระยะเวลาและลดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน
การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสาร พร้อมคำรับรอง
และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. ๒๕๖๓ ลงกึ่งหนึ่ง
สำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในห้องที่จังหวัดนราธิวาส
จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา เฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา
อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล เป็นระยะเวลา ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑
มกราคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงการจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและลดภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ
และสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งแจ้งกระทรวงการคลังจัดทำประมาณการรายได้ เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนรายงานและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ
เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.
๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๓.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 656 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน-บางพลี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข
๙ สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน-บางพลี (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มวิธีการชำระค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับการใช้ยานยนตร์ผ่านทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
(ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน-บางพลี
เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกในการชำระค่าธรรมเนียมแก่ประชาชนผู้ใช้ยานยนตร์ที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง
รวมถึงประโยชน์ในการเชื่อมต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และการได้มาซึ่งค่าธรรมเนียมผ่านทางภายหลังการใช้บริการควรจะทันต่อเวลาหรือกำหนดเวลาอย่างชัดเจน
รวมทั้งควรติดตามและประเมินผลการนำระบบเทคโนโลยีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางสมัยใหม่มาใช้
ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางด้วยระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ดังกล่าวให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ ควรประสานและบูรณาการร่วมกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในการปรับปรุงพัฒนาระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางพิเศษและทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองด้วยระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้ครอบคลุมทุกโครงข่ายการบริการ
เพื่อมุ่งสู่การเดินทางแบบไร้รอยต่อ (Seamless) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 657 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ผลการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารสาธารณะ ของคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา | สว. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ผลการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารสาธารณะ
ของคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา
ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
แล้ว สรุปได้ว่า ร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว
ได้แก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการโดยเพิ่มบทนิยามคำว่า
“ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ”
และแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารสาธารณะให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันของข้อมูลข่าวสารสาธารณะ
การกำหนดเพิ่มเติมในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาธารณะทางระบบดิจิทัลเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้
และการให้บุคคลอาจยื่นคำขอข้อมูลข่าวสารอื่นต่อหน่วยงานของรัฐได้ โดยหน่วยงานของรัฐต้องจัดหาข้อมูลข่าวสารให้แก่ผู้ขอภายใน
๓๐ วัน นับแต่วันที่รับคำขอ นอกจากนี้ ได้แก้ไขและกำหนดเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่หน่วยงานของรัฐจะเปิดเผยไม่ได้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันซี่งครอบคลุมข้อมูลข่าวสารที่คณะกรรมาธิการฯ
มีข้อสังเกตแล้ว
สำหรับประเด็นการพิจารณาความสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
นั้น
ได้มีกลไกในการใช้บังคับกฎหมายให้เชื่อมโยงสอดคล้องกันโดยโอนอำนาจหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมาเป็นของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการและคณะกรรมาธิการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
และในส่วนของการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย หากพบว่ากฎหมายมีปัญหาในการบังคับใช้ก็สามารถเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขได้
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 658 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนพฤศจิกายน 2563 | นร.11 | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ
ณ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น
ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน
๒๕๖๓ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) แผนบทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-๑๙
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ (ฉบับสมบูรณ์) แนวทางการจัดทำแผนระดับที่ ๓
ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน ... (ร่าง) แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ทั้ง ๑๓
ด้าน และการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
และแผนการปฏิรูปประเทศ ผ่านการปรับปรุงและพัฒนาระบบ eMENSCR
รวมทั้งได้เสนอแนะประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ
คือ การก้าวสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล เป็นต้น
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 659 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และเป้าหมายการดำเนินการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้าน เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี | มท. | 15/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย (เมืองพัทยา) เปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และเป้าหมายการดำเนินการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้าน
เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จาก “ท่าเทียบเรือคอนกรีตเสริมเหล็ก
พร้อมทางขึ้น-ลงเรือ บริเวณท่าเทียบเรือหน้าบ้าน เกาะล้าน” เป็น
“การติดตั้งท่าเทียบเรือลอยน้ำสำเร็จรูป จำนวน ๓ แห่ง บนพื้นที่เกาะล้าน
เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ได้แก่ (๑)
ก่อสร้างท่าเทียบเรือโดยสารปรับระดับบริเวณท่าเทียบเรือหน้าบ้าน (๒)
ปรับปรุงสะพานศูนย์แพทย์ชุมชนบ้านเกาะล้าน และ (๓) ปรับปรุงท่าเทียบเรือปรับระดับหาดแสม
ในภายวงเงิน ๑๒๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาแล้ว
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย (เมืองพัทยา)
รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และเป้าหมายการดำเนินการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้านควรพิจารณาดำเนินการเฉพาะในส่วนที่มีความจำเป็นเร่งด่วน
เพื่อรองรับความต้องการเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย
และคำนึงถึงความคุ้มค่าของงบประมาณและภาระงบประมาณในระยะยาวเป็นสำคัญ และควรพิจารณาเร่งรัดจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของการปรับปรุงท่าเทียบเรือหน้าบ้านเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการก่อนเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
การดำเนินแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของเมืองพัทยาในคราวต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลเมืองพัทยาให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ
และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) ที่ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการพิจารณาความจำเป็น
เหมาะสม คุ้มค่า ตลอดจนตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามโครงการนั้น ๆ
อย่างละเอียดรอบคอบ ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน อย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 660 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจชั่งตวงวัดและการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | พณ. | 15/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง
รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.
ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจชั่งตวงวัดและการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการชั่งตวงวัด
และหลักเกณฑ์และวิธีการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว ๒. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาต
และการขอรับใบแทนใบอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาตให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
