ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 36 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 701 - 720 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง  | 
									วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 701 | อนุมัติในหลักการให้ขยายระยะเวลาการเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยขอเพิ่มวงเงิน | อส. | 29/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑. อนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดขยายระยะเวลาการเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยบริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ-คลองตัน
(ริมถนนรัชดาภิเษก แปลงที่ ๔, ๕, ๖) ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดิม ในเนื้อที่เท่าเดิม
เพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๕
เปลี่ยนมาเป็นอนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดขยายระยะเวลาเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย
เป็นปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๘ เป็นรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
และขอปรับวงเงินเพิ่ม จากเดิมอัตราค่าเช่าตารางเมตรละ ๙๐๒.๓๕ บาทต่อปี
เป็นค่าเช่าปีแรก ๔,๒๐๓,๕๙๘ บาท (ไม่รวมค่าภาษี) และมีอัตราปรับเพิ่ม ๕% ทุกปี
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๙๐,๗๐๗,๑๐๔ บาท เพิ่มเป็นอัตราตารางเมตรละ ๑,๑๖๐.๑๖ บาทต่อปี
เป็นค่าเช่าปีแรก ๕,๔๐๔,๖๐๖ บาท (ไม่รวมค่าภาษี) และมีอัตราปรับเพิ่ม ๕% ทุกปี
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๖,๖๘๓,๒๗๒ บาท และเป็นรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
มีกำหนดระยะเวลา ๑๕ ปี นับถัดจากวันลงนามในสัญญา ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ           ๒. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรขอความร่วมมือจากการรถไฟแห่งประเทศไทยในการปรับปรุงค่าเช่ากรณีดังกล่าว
จากเดิมที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕ ต่อปี เป็นไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี
เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดินที่จะเกิดขึ้นปีแรกและภาระงบประมาณในปีต่อไป
เห็นควรให้สำนักงานอัยการสูงสุดใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ไปพลางก่อน หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกาศใช้บังคับ แล้วแต่กรณี ส่วนภาระงบประมาณในปีต่อไป
ให้สำนักงานอัยการสูงสุดจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีให้ครบถ้วนตามวงเงินในสัญญาเช่าที่ดินต่อไป
และให้สำนักงานอัยการสูงสุดเร่งรัดจัดซื้อจัดจ้างและดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 702 | ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงานทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) | ศธ. | 29/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑. อนุมัติในหลักการการปรับแผนการดำเนินงานทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(พสวท.) พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ในประเด็นต่าง ๆ
ซึ่งเป็นการปรับปรุงรายละเอียดจากแผนการดำเนินงานทุน พสวท. พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) อนุมัติในหลักการไว้แล้ว เช่น
ปรับการสรรหานักเรียนที่มีความสามารถพิเศษเข้ารับทุน พสวท.
โดยให้นักเรียนที่สอบคัดเลือกได้สามารถเลือกศึกษาในโรงเรียนที่เป็นศูนย์ พสวท.
หรือในโรงเรียนอื่นที่มีศักยภาพสูงเทียบเท่ามาตรฐานโรงเรียนที่เป็นศูนย์ พสวท.
ก็ได้ ปรับจำนวนทุนการศึกษาต่อปี
โดยลดจำนวนทุนการศึกษาในประเทศและเพิ่มจำนวนทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ
ปรับเพิ่มทุนการศึกษาส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวเนื่องจากปัจจุบันค่าครองชีพต่าง
ๆ สูงขึ้น เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยในส่วนของทุนการศึกษา
(ส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว) และหลักเกณฑ์การดูแลจัดการศึกษาที่เกี่ยวข้อง
ให้กระทรวงศึกษาธิการ [สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)] หารือร่วมกับสำนักงาน ก.พ. ในรายละเอียด ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.
สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานทุน พสวท. ให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดย สสวท. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น
ควรให้ความสำคัญในกลไกการติดตามและประเมินผลอย่างใกล้ชิด
ควรมีกลไกในการสนับสนุนให้ผู้สำเร็จการศึกษาทุน พสวท. สร้างสรรค์ผลงาน องค์ความรู้
เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลผู้สำเร็จการศึกษาด้วยทุน
พสวท. ในสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐได้รับทราบและแจ้งความต้องการกำลังคนคุณภาพดังกล่าว
และควรบูรณาการการให้ทุนระดับอุดมศึกษากับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย           ๒. ในระยะต่อไป
หากกระทรวงศึกษาธิการ โดย สสวท.
มีความจำเป็นต้องปรับปรุงรูปแบบและเงื่อนไขของแผนการดำเนินงานทุน พสวท.
ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สสวท. หารือร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติก่อนนำเสนอคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณา
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป           ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดย สสวท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการทุนด้านวิทยาศาสตร์พิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหานักเรียนทุนสละสิทธิ์การขอรับทุนก่อนสำเร็จการศึกษา
รวมทั้งแนวทางในการจูงใจให้บุคลากรที่สำเร็จการศึกษาแล้วปฏิบัติงานด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมทั้งในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อดำเนินการต่อไปด้วย  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 703 | มาตรการขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ (เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม สุขภาพ และสังคม) | พม. | 29/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน
๔ มิติ (เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม สุขภาพ และสังคม)
เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืนในอนาคต
โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการขับเคลื่อนงานทุกมิติ
และเพื่อให้มีกลไกขับเคลื่อนงานรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืนอย่างต่อเนื่อง
โดยมาตรการดังกล่าวประกอบด้วยประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการ เช่น
การบูรณาการระบบบำนาญ และระบบการออมเพื่อยามสูงอายุ
การปรับปรุงกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ/ผู้สูงอายุให้มีผลใช้บังคับให้สอดคล้อง
ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพในการบังคับใช้มากขึ้น การยกระดับผู้บริบาลมืออาชีพ
และเพิ่มบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการบูรณาการและขับเคลื่อนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงาน ก.พ.
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น (๑)
ควรบูรณาการและประสานการทำงานระหว่างส่วนราชการทั้งส่วนกลางและระดับพื้นที่
โดยเฉพาะกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๒) ไม่ควรออกมาตรการให้มีการปรับปรุงกฎกระทรวงให้ใช้บังคับย้อนหลังกับอาคารเก่าที่สร้างก่อนออกกฎกระทรวง
(ที่เสนอให้ปรับปรุงใหม่) ควรใช้มาตรการอื่นและควรจัดสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินการดังกล่าวด้วย
(๓)
ควรกำหนดขอบเขตการดำเนินการระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับกรมกิจการผู้สูงอายุ
และ (๔)
ควรพิจารณาเพิ่มมาตรการสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน
๔ มิติ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน
ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป           ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงินและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 704 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินและขอความเห็นชอบร่างข้อตกลงการจ้างและสัญญาจ้างสัญญางาน ระบบรางระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (THE TRACKWORK,ELECTRICAL AND MECHANICAL (E&M) SYSTEM ,EMU, AND TRAINING CONTRACT) (สัญญา 2.3) ฉบับสมบูรณ์ โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค. | 29/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑. เห็นชอบการปรับกรอบวงเงินและร่างสัญญางานระบบราง
ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร [The
Trackwork, Electrical and Mechanical (E&M) System, EMU, and Training
Contract] (สัญญา ๒.๓)
ของโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย
(ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) จากเดิมวงเงิน ๓๘,๕๕๘.๓๘ ล้านบาท
เป็นวงเงิน ๕๐,๖๓๓.๕๐ ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗ (เพิ่มขึ้นจากวงเงินเดิม
จำนวน ๑๒,๐๗๕.๑๒ ล้านบาท) เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานจริง เนื่องจากมีการปรับขอบเขตงาน
การเปลี่ยนรุ่นขบวนรถ การปรับเปลี่ยนรูปแบบ ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
โดยได้ปรับเกลี่ยวงเงินค่าใช้จ่ายภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้
ภายในกรอบวงเงินจำนวน ๑๗๙,๔๑๒.๒๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑)
การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดภายในกรอบวงเงินเดิม เป็นสาระสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินโครงการฯ
จึงจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน
ก่อน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป และ (๒) ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ความละเอียดรอบคอบในระดับที่สูงที่สุดในการดำเนินการในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย           ๒. สำหรับแนวทางการรับภาระค่าจ้างสัญญา
๒.๓ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๕๐,๖๓๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท และแนวทางในการปรับปรุงรายละเอียดด้านงบประมาณของโครงการฯ
เห็นควรให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดไปก่อน
เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งองค์กรพิเศษเพื่อกำกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ           ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยกำกับดูแลและควบคุมการบริหารจัดการต้นทุนโครงการฯ
ไม่ให้เกินกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้
โดยบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการฯ ในมิติต่าง ๆ
อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดในประเด็นที่ร่างสัญญาดังกล่าวยังไม่ได้มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนและกำหนดวันที่ใช้เป็นฐานในการคิดคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่มีการปรับราคาสัญญาก่อนการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
และให้เร่งสรุปผลการดำเนินการประกวดราคางานโยธาในสัญญาที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
รวมถึงวงเงินคงเหลือจากการดำเนินการมาบริหารจัดการโครงการฯ
ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด           ๔. ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๑
กรกฎาคม ๒๕๖๐) เรื่อง
ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)
ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่เป็นอิสระจากการกำกับกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และการเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ในช่วงที่เหลือ
(ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย)  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 705 | ร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. .... | รง. | 29/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.
๒๕๔๓ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์
และเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาศึกษาเทียบเคียงการใช้สิทธิปิดงานหรือนัดหยุดงานที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น
ควรแก้ไขบทนิยามของคำว่า “รัฐวิสาหกิจ” ให้สอดคล้องกับบริบททางกฎหมาย เศรษฐกิจ
และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ควรพิจารณากำหนดกิจการที่เป็นบริการสาธารณะที่ต้องจัดให้มีบริการขั้นต่ำเท่าที่จำเป็นกรณีที่มีการนัดหยุดงานตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เพิ่มเติม
ควรทบทวนความเหมาะสมของการกำหนดโครงสร้างคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
และควรทบทวนความเหมาะสมของการกำหนดให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการวินิจฉัยการกระทำอันไม่เป็นธรรมและข้อพิพาทแรงงาน
รวมทั้งอาจเพิ่มเติมให้มีกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเข้าร่วมเป็นองค์ประกอบในคณะกรรมการด้วย
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป           ๒.
รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 706 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 (การเพิ่มโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคต้องห้ามตามมาตรา 12 (4) และมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522) | มท. | 22/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง
ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง
พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยเพิ่มเติมให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคที่ต้องห้าม ตามมาตรา ๑๒ (๔) และมาตรา ๔๔
(๒) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
เพื่อป้องกันมิให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นโรคดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับชื่อร่างกฎกระทรวงฯ
ว่า โดยที่ในกรณีนี้เป็นการยกเลิกกฎกระทรวงเดิมและกำหนดกฎกระทรวงขึ้นใหม่
ซึ่งการใช้ชื่อกฎกระทรวงว่า “ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒” นั้น
จะไม่อาจทราบได้เลยจากชื่อของกฎกระทรวงว่ากฎกระทรวงนี้มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเรื่องใดจนกว่าจะพิจารณาเนื้อหา
รวมทั้งหากจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไปอีกหลายครั้ง กฎกระทรวงก็จะกระจัดกระจายอยู่หลายแห่งตามฉบับการออกกฎกระทรวง
ซึ่งจะมีตัวเลขเรียงลำดับต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าฉบับใดแก้ไขฉบับใด
จึงเห็นควรแก้ไขชื่อร่างกฎกระทรวงโดยใช้ชื่อให้ตรงกับเนื้อหาสาระที่กำหนดในร่างกฎกระทรวง
และถ้าต่อไปจะมีการแก้ไขเพิ่มเติม ก็กำหนดเป็นฉบับที่ ๒ เรียงตามลำดับต่อไป
แล้วดำเนินการต่อไปได้ 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 707 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดระยอง) | มท. | 22/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน
๑๕๘,๑๓๓,๓๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภท เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ
และใช้เงินรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดระยองสมทบ จำนวน ๑๗,๕๗๐,๓๐๐ บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๗๕,๗๐๓,๖๐๐ บาท เพื่อดำเนินการ ๒ โครงการ ได้แก่ (๑)
โครงการป่าชายเลนในเมือง จังหวัดระยอง ป่าชายเลน พระเจดีย์กลางน้ำ อัญมณีหนึ่งเดียวในระยอง
(ระยะที่ ๓) และ (๒)
โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริจังหวัดระยอง
ระยะที่ ๓ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามประเมินผลภายหลังการดำเนินโครงการฯ
ให้มีการใช้จ่ายเงินไปอย่างคุ้มค่าและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนด
รวมทั้งการดำเนินโครงการฯ ควรสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของพื้นที่
และคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 708 | ขออนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ในระบบบำบัดน้ำเสียพื้นที่พัทยานาเกลือและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพสถานีสูบป้องกันน้ำท่วม รวม 2 โครงการ) | มท. | 22/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับ ๒ โครงการ
งบประมาณ จำนวน ๒๒๗,๕๑๒,๘๐๐ บาท ได้แก่ (๑)
โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ในระบบบำบัดน้ำเสียพื้นที่พัทยานาเกลือ
อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี และ (๒)
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพสถานีสูบป้องกันน้ำท่วม ถนนสุขุมวิท และถนนเลียบทางรถไฟ
อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
และเร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 709 | การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2564 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย | พน. | 22/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑.
เห็นชอบงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี ๒๕๖๔ ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย จำนวน
๔,๖๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงร้อยละ ๔ หรือ ๑๙๑,๗๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในปี
๒๕๖๓ โดยมีรายละเอียดค่าใช้จ่าย ได้แก่ (๑) ค่าใช้จ่ายที่ลดลง ได้แก่
เงินเดือนเจ้าหน้าที่ ค่าฝึกอบรม และค่าเดินทางของคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ และ (๒)
ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ค่าจ้างที่ปรึกษาด้านต่าง ๆ การจัดซื้อรถยนต์เพื่อทดแทนคันเดิมที่ใช้งานมากกว่า
๕ ปี จำนวน ๓ คัน และการปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับ Video
conference ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล การดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย           ๒.
การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปีขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ในปีต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ. ๒๕๓๓
อย่างเคร่งครัด 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 710 | การปรับแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร.12 | 15/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยจะไม่มีการประเมินส่วนราชการ แต่ให้ส่วนราชการรายงานผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดเดิมเพื่อใช้ในการติดตาม
(monitoring) และให้ถอดบทเรียนในการบริหารจัดการผลกระทบและการแก้ไขปัญหาในกรณีที่ส่วนราชการเสนอตัวชี้วัดใหม่
ตามมติ ก.พ.ร. ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓
โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และสำนักงบประมาณ เช่น ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
รายงานผลการสรุปบทเรียนการบริหารจัดการผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19
ในภาพรวมของส่วนราชการต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
COVID-19 ในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 711 | การประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร.12 | 15/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ           ๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน
ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้               ๑.๑
แนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยจะไม่มีการประเมินส่วนราชการ
แต่ให้ส่วนราชการรายงานผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดเดิมเพื่อใช้ในการติดตาม (monitoring)
และให้ถอดบทเรียนในการบริหารจัดการผลกระทบและการแก้ไขปัญหาในกรณีที่ส่วนราชการเสนอตัวชี้วัดใหม่
และให้สำนักงาน ก.พ.ร.
สรุปบทเรียนในภาพรวมของส่วนราชการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเกิดสภาวะวิกฤติในอนาคต               ๑.๒ กรอบและแนวทางการประเมินส่วนราชการฯ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมี ๒ องค์ประกอบในการประเมิน ได้แก่ (๑)
การประเมินประสิทธิผลการดำเนินงาน (Performance Base) และ (๒) การประเมินศักยภาพในการดำเนินงาน (Potential Base)            ๒. ให้สำนักงาน
ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงาน ก.พ. รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
รายงานผลการสรุปบทเรียนการบริหารจัดการผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19
ในภาพรวมของส่วนราชการต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
COVID-19 ในอนาคตด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 712 | ขออนุมัติแผนหลักการพัฒนาหนองหาร จังหวัดสกลนคร | นร14 | 15/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้           ๑. เห็นชอบแผนหลักการพัฒนาหนองหาร
จังหวัดสกลนคร ประกอบด้วยแผนหลัก ๕ ด้าน ได้แก่ (๑)
แผนด้านการจัดการน้ำอุปโภคบริโภค (๒) แผนด้านการสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต
(๓) แผนด้านการจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย (๔)
แผนด้านการจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และ (๕) แผนด้านการบริหารจัดการ ระยะเวลาดำเนินการ
๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๒) จำนวน ๖๒ โครงการ วงเงินงบประมาณ ๗,๔๔๕.๒๒ ล้านบาท ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนแผนหลักดังกล่าว
เห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
ความจำเป็นเร่งด่วน ความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความคุ้มค่า
ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมในทุกมิติ และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานที่รับผิดชอบควรจะมีการควบคุมดูแล ตรวจสอบ ติดตาม
และรายงานผลการดำเนินการหรือความคืบหน้าของแผนงาน/โครงการเป็นระยะ ๆ
ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ เรื่อง
ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และระดับชาติของประเทศไทย
และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ)           ๒.
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง การแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำธรรมชาติและแม่น้ำลำคลอง (แม่น้ำเจ้าพระยา
บึงบอระเพ็ด และบึงสีไฟ)] ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานและเร่งรัดการพัฒนาและฟื้นฟูสภาพของบึงบอระเพ็ด
จังหวัดนครสวรรค์ และบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร นั้น ขอให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทางแก้ปัญหาต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำดังกล่าวข้างต้น
รวมถึงแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่อื่นของประเทศให้ครบถ้วนด้วยเช่น กว๊านพะเยา
จังหวัดพะเยา ทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง
เพื่อให้การปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำดังกล่าวบรรลุผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืนต่อไป
เช่น การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของประชาชน
การช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงพัฒนาพื้นที่
แนวทางใช้ประโยชน์หรือจัดเก็บมวลดินที่ขุดลอกออกจากแหล่งน้ำ ทั้งนี้
ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 713 | ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... | ตช. | 15/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑.
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยตำรวจแห่งชาติ
เพื่อให้การแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจและการพิจารณาบำเหน็จความชอบมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตัดร่างมาตรา ๑๕๒
วรรคสอง ออก ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัตินี้
เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้
ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ไปเพื่อคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนเพื่อการสืบสวน สอบสวน
การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา ตามนัยมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้ว           ๒.
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดจัดทำรายละเอียดการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อการสืบสวนสอบสวน
การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา
เสนอคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเพื่อพิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป           ๓.
รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 714 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ตช. | 15/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑.
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติจราจรทางบก
พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงในการใช้รถใช้ถนน
และให้การป้องกันการกระทำความผิดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องการใช้ช่องเดินรถลักษณะความผิดในการขับรถ
การตรวจสอบหรือทดสอบผู้ขับขี่ หน้าที่การใช้เข็มขัดนิรภัย การป้องกันการแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต
และการควบคุมการใช้รถที่มีสภาพไม่ถูกต้อง
รวมทั้งปรับปรุงบทกำหนดโทษให้มีความเหมาะสม ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป           ๒.
รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่วา
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 715 | ขอความเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค ปรับเพิ่มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล 2 กรณี | มท. | 08/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ           ๑.
เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาคปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน (ปรับเพิ่มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล
๒ กรณี) เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ปฏิบัติงานหรือบุคคลในครอบครัวมีภาวะสุขภาพที่ดีและมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสุขภาพของประชาชน
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ กันยายน
๒๕๖๓) เป็นต้นไป ดังนี้               ๑.๑ ค่าธรรมเนียมแพทย์หรือค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้ปฏิบัติงานกรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในคลินิกพิเศษหรือคลินิกนอกเวลาของสถานพยาบาลของทางราชการมีสิทธิเบิกได้เท่าที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกินครั้งละ ๓๐๐ บาท รวมแล้วไม่เกินปีงบประมาณละ ๓,๖๐๐ บาท               ๑.๒
ค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ปฏิบัติงานหรือบุคคลในครอบครัวกรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกในสถานพยาบาลของเอกชนหรือคลินิกเวชกรรมมีสิทธิเบิกได้เท่าที่จ่ายจริงรวมแล้วไม่เกินปีงบประมาณละ
๓,๖๐๐ บาทต่อครอบครัว           ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณากำหนดมาตรการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงสวัสดิการในครั้งนี้
และข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุขในเรื่องเหตุผลความจำเป็นที่นำมาสู่การเสนอขอปรับเพิ่มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล
ประเด็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการทางการแพทย์ในคลินิกพิเศษหรือคลินิกนอกเวลาในอัตราที่สูง
ทำให้พนักงานเลือกใช้สิทธิวันลาเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลกับคลินิกในเวลามากกว่านอกเวลาราชการ
ซึ่งอาจจะส่งผลให้เวลาการปฏิบัติงานให้การประปาส่วนภูมิภาค
และประสิทธิภาพในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานลดลงนั้น
ประเด็นดังกล่าวหากมีข้อมูลผลการศึกษาวิจัย
หรือผลการวิเคราะห์เพื่อเป็นหลักฐานเชิงวิชาการประกอบการพิจารณาตามที่เสนอด้วย
จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งและจะสามารถใช้ดำเนินงานป้องกันความเสี่ยงขององค์กรในส่วนของประสิทธิภาพผู้ปฏิบัติงานได้ตรงสภาพปัญหาที่แท้จริงอีกปัจจัยหนึ่ง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 716 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... | ลต. | 08/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้           ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และเพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติและควบคุมดูแลการออกเสียงประชามติเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของศาลจังหวัด หรือศาลแพ่ง
หรือศาลที่มีอำนาจวินิจฉัยในกรณีที่จะให้เพิ่มชื่อในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงตามที่ได้รับคำร้องตามพระราชบัญญัตินี้
องค์คณะผู้พิพากษา ตลอดจนบุคคลซึ่งองค์คณะผู้พิพากษามอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ ควรมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทน
แล้วแต่กรณี ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมตามกฎหมาย
ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมกำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของศาลฎีกา
ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป และให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัตินี้ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด
๑๖ การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย           ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ           ๓.
ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า
การยกร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นการตรากฎหมายที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
จึงต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ ตามนัยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้น หากร่างพระราชบัญญัตินี้ประกาศบังคับใช้
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามภารกิจเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 717 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... | นร.09 | 08/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑. รับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป
อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจเป็นไปอย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม
และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป           ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์แก่
๑๒ อุตสาหกรรมเป้าหมายว่า
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์แต่ละอุตสาหกรรมเป้าหมาย
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เกี่ยวกับ Digital Economy ให้เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น
เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในไทยมากขึ้น
รวมทั้งเพื่อส่งเสริมให้นักลงทุนไทยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและมีส่วนร่วมในการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวมากยิ่งขึ้นด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 718 | ร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑.
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยปรับปรุงกระบวนการการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นได้สะดวกและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
และร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงวิธีการในการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้สอดคล้องกับมาตรา
๒๕๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป           ๒.
รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 719 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รายการโครงการปรับปรุงระบบห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าสู่ระบบมาตรฐานสากลเพื่อรองรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ | ตช. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑. อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
แผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาบริการประชาชนและพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐ
โครงการปฏิรูประบบงานตำรวจ กิจกรรมการปฏิรูประบบงานสอบสวนและการบังคับใช้กฎหมาย
งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จากเดิม
“โครงการปรับปรุงระบบห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าสู่มาตรฐานสากล
เพื่อรองรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ แขวงปทุมวัน
เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ๑ โครงการ” เป็น
“โครงการปรับปรุงระบบห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าสู่มาตรฐานสากล
เพื่อรองรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ
แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร ๑ โครงการ” ในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑๘.๒๖
ล้านบาท ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๑๘ ล้านบาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้ว ส่วนที่เหลืออีก
จำนวน ๑๐๐.๒๖ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
แต่เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ไม่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้
จึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ตามหลักเกณฑ์การบริหารวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณให้ครบวงเงินค่างานตามสัญญาต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 
           ๒.
การจัดทำแผนงาน/โครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในครั้งต่อ ๆ ไป
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบความพร้อมของการดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ
ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐
(เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ)
อย่างเคร่งครัดด้วย 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 720 | ขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการผู้แทนรัฐบาลเพื่อพิจารณาทำความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศกับรัฐบาลต่างประเทศเป็นประจำ | คค. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการผู้แทนรัฐบาลเพื่อพิจารณาทำความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศกับรัฐบาลต่างประเทศเป็นประจำ
โดยตัด “ผู้แทน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา”
ออกจากคณะกรรมการดังกล่าว ทั้งนี้ ให้องค์ประกอบอื่นและอำนาจหน้าที่คงเดิม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ กันยายน ๒๕๖๓) เป็นต้นไป 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
