ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 104 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2061 - 2080 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2061 | มาตรการสร้างความเข้มแข็งของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม | วท | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการสร้างความเข้มแข็งของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) โดยนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเทคโนโลยีให้แก่ SMEs อย่างครบวงจร โดยจัดหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้คำปรึกษา รวมถึงการวิจัย พัฒนานวัตกรรมที่เหมาะสม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการของ SMEs เฉพาะราย และให้การสนับสนุนในส่วนที่จำเป็นต่อการพัฒนาเทคโนโลยีของ SMEs แต่ละราย วงเงินงบประมาณในการดำเนินการ จำนวน ๕,๘๓๖.๑ ล้านบาท ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โดยงบประมาณในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จำนวน ๑๖๕ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้ใช้จ่ายจากที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อเป็นโครงการนำร่องในปีแรกก่อน ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดกลุ่ม SMEs เป้าหมายของโครงการและวงเงินสนับสนุนที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและศักยภาพของ SMEs ในแต่ละกลุ่ม รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการขยายบริการให้คำปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึกให้กับ SMEs โดยเฉพาะการสรรหาบุคลากรทั้งที่ปรึกษาเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางให้มีจำนวนเพียงพอสอดคล้องกับเป้าหมายการดำเนินงาน และจัดให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการฯ อย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแผนการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ ควรประสานการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อต่อยอดและเชื่อมโยงการทำงานในการให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่ชัดเจนและเป็นระบบ เพื่อลดความทับซ้อนกับภารกิจ/แผนงาน/โครงการที่หน่วยงานอื่นดำเนินการอยู่แล้ว ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับหน่วยงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการดังกล่าว และจัดทำแผนปฏิบัติการ ซึ่งบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในช่วงระยะการดำเนินการของการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนี้ (ปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙) และช่วงการส่งต่อไปสู่การปฏิรูปและให้รัฐบาลต่อไป (ตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ เป็นต้นไป) โดยกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน สามารถติดตาม และประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวเมื่อดำเนินโครงการนำร่องครบ ๑ ปี เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2062 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. .... | ศธ | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับเปลี่ยนสถานภาพของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ไปเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการแต่อยู่ในกำกับของรัฐ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่ให้วิทยาเขตมีฐานะเป็นนิติบุคคล และให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับร่างมาตรา ๕ ที่กำหนดให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และวิทยาเขตเป็นนิติบุคคลและเป็นหน่วยงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และกรณีการกู้ยืมเงิน ตามร่างมาตรา ๑๕ (๔) รวมทั้งกรณีการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป ตามร่างมาตรา ๑๖ วรรคสอง ตลอดจนการปรับปรุงร่างในหมวด ๔ การบัญชีและการตรวจสอบ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๒ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปกำกับดูแลมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐให้มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อมิให้เป็นภาระกับรัฐบาลในการให้การอุดหนุนด้านงบประมาณเพิ่มเติมอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดให้มีระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีสั่งจ่ายเงินรายได้ และระบบการตรวจสอบ ติดตามผล เพื่อให้การจัดเก็บรักษาและการใช้จ่ายเงินรายได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน สำหรับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐทุกแห่ง และให้ความสำคัญในการพัฒนาและวางระบบการบริหารการเงินการคลังที่เอื้อประโยชน์สูงสุดต่อการวางแผนการพัฒนาการศึกษาในระดับอุดมศึกษา รวมทั้งการศึกษาและติดตามประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อหาจุดที่คุ้มทุนของการจัดการศึกษาในแต่ละสาขาวิชา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2063 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. .... | ศธ | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับเปลี่ยนสถานภาพจากมหาวิทยาลัยของรัฐที่เป็นส่วนราชการ ไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และมีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกรณีการกู้ยืมเงิน ตามร่างมาตรา ๑๔ (๕) และกรณีการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป ตามร่างมาตรา ๑๕ วรรคสอง รวมทั้งการปรับปรุงร่างในหมวด ๔ การบัญชีและการตรวจสอบ มาตรา ๔๗ และมาตรา ๔๘ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปกำกับดูแลมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐที่ให้มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อมิให้เป็นภาระกับรัฐบาลในการให้การอุดหนุนด้านงบประมาณเพิ่มเติมอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดให้มีระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีสั่งจ่ายเงินรายได้ และระบบการตรวจสอบ ติดตามผล เพื่อให้การจัดเก็บรักษาและการใช้จ่ายเงินรายได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน สำหรับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐทุกแห่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2064 | การขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับขึ้นเงินเดือนร้อยละ 4 ให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างโดยเงินงบประมาณแผ่นดิน | ศธ | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้สถาบันอุดมศึกษาที่เป็นส่วนราชการและมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างโดยใช้เงินงบประมาณแผ่นดินในแนวทางเดียวกับการปรับปรุงค่าตอบแทนภาคราชการ ด้วยการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รายการค่าใช้จ่ายการปรับบัญชีเงินเดือน ค่าจ้างและค่าตอบแทนรายเดือนของบุคลากรภาครัฐ เพิ่มในอัตราร้อยละ ๔ (ระหว่างวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ รวมเป็นจำนวน ๑๐ เดือน) เป็นจำนวนเงิน ๘๐๙,๖๒๔,๔๓๕ บาท ให้กับพนักงานมหาวิทยาลัย จำนวน ๖๘,๗๐๗ คน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
| 2065 | ขออนุมัติผ่อนผันการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง รายการก่อสร้างอาคารเรียนรวมและปฏิบัติการคณะวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น | ศธ | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการผ่อนผันการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ สำหรับรายการก่อสร้างอาคารเรียนรวมและปฏิบัติการ คณะวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ส่วนวงเงินค่าก่อสร้างอาคารดังกล่าวให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไว้เดิม จำนวน ๔๘๙,๙๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงินค่าก่อสร้างใหม่ จำนวน ๔๙๕,๖๖๑,๖๐๐ บาท โดยให้ใช้จากเงินงบประมาณ จำนวน ๒๔๗,๘๓๐,๘๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๓๔,๙๙๑,๖๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๓๔,๙๙๑,๘๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๑๗๗,๘๔๗,๔๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๔๗,๘๓๐,๘๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่ให้เสนอขอความเห็นชอบความเหมาะสมของราคาต่อสำนักงบประมาณก่อนลงนามในสัญญาตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และให้มีการกำกับ ติดตามการก่อสร้างอาคารให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงบประมาณรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในการซักซ้อมความเข้าใจกับส่วนราชการต่าง ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2066 | ขออนุมัติดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 และวันที่ 31 มีนาคม 2556 | สธ | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข ของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ และวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข และหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย โดยครอบคลุมตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระต่อสภาวะการคลังระดับประเทศจนเกินไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขวางแผนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่อไม่ให้มีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนย้อนหลังอีก ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการศึกษา วิเคราะห์ ข้อดี ข้อเสีย ของการจ่ายค่าตอบแทน และจัดทำระบบและอัตราค่าตอบแทนที่เหมาะสม เป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของบุคลากรสาธารณสุขทุกวิชาชีพ การกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในพื้นที่และหลักการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (P4P) โดยการปรับอัตราการจ่ายค่าตอบแทนบางวิชาชีพให้เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม และหาข้อสรุปที่ชัดเจน ข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบของการดำเนินการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (P4P) โดยนำหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนมาใช้ การศึกษารูปแบบที่เหมาะสมในการจ่ายค่าตอบแทนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านสาธารณสุขให้สามารถทำงานในพื้นที่ห่างไกลได้อย่างแท้จริง การเร่งรัดดำเนินการหาข้อสรุปผลการศึกษาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในพื้นที่และค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานที่เหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับภาระงาน และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการพิจารณาภาระรายจ่ายในภาพรวมเปรียบเทียบกับภาระรายจ่ายเดิมเพื่อนำไปสู่การกำหนดแหล่งเงินที่เหมาะสมและคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างวิชาชีพ พื้นที่ อายุงาน ตลอดจนการประเมินในประเด็นที่สำคัญ เช่น ผลลัพธ์ด้านคุณภาพการให้บริการ การกำหนดประเภทกิจกรรมและแนวทางบริหารค่าตอบแทนที่สะท้อนประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน หลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนที่สัมพันธ์กับการแก้ปัญหาความขาดแคลนบุคลากร เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2067 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง และ การอนุวัติกฎหมายภายใน | สม | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ ๙๘ ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง และการอนุวัติกฎหมายภายใน ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ควรมีนโยบายและแผนการที่ชัดเจนในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ และฉบับที่ ๙๘ โดยไม่ต้องรอให้มีการแก้ไขกฎหมายภายใน ๑.๒ ควรร่วมกันบัญญัติกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายเพื่อรองรับให้คนทำงานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นแรงงานในระบบ แรงงานนอกระบบ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นต้น มีสิทธิและเสรีภาพในการรวมตัว การนัดหยุดงาน และการเจรจาต่อรอง ๑.๓ ควรร่วมกันจัดทำระบบการจัดเก็บข้อมูลของแรงงานข้ามชาติทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยในระบบทะเบียนราษฎร รวมทั้งควรมีระบบอำนวยความสะดวกให้แรงงานข้ามชาติเข้าเมืองผิดกฎหมายที่มีคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดเป็นแรงงานข้ามชาติเข้าเมืองถูกกฎหมาย ๑.๔ ควรร่วมกันบัญญัติกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ กำหนดเงื่อนไขในการใช้สิทธิในการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติตามหลักความจำเป็นและหลักการได้สัดส่วน ๑.๕ ควรเผยแพร่หรือส่งเสริม สนับสนุนให้องค์กรด้านแรงงานเผยแพร่และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอนุสัญญาทั้ง ๒ ฉบับอย่างต่อเนื่อง ทั้งต่อภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ๑.๖ ควรปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่มีอยู่เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาทั้ง ๒ ฉบับ และร่วมกันศึกษาและจัดทำกฎหมายที่มีลักษณะเป็นกฎหมายกลางของคนทำงานเกี่ยวกับสิทธิในการรวมตัว การนัดหยุดงาน และการร่วมเจรจาต่อรองที่สอดคล้องกับหลักการตามอนุสัญญาทั้ง ๒ ฉบับ ๑.๗ ควรทบทวนแก้ไขร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. .... เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาทั้ง ๒ ฉบับ อาทิ นิยามคำว่าลูกจ้าง หลักเกณฑ์การละเว้นการแทรกแซงจากเจ้าหน้าที่รัฐ สิทธิการรวมตัวเป็นสหพันธ์ สมาพันธ์ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับสิทธินัดหยุดงาน และการเจรจาโดยสมัครใจ และการคุ้มครองผู้จัดตั้งสหภาพแรงงานและการรวมตัวต่อรอง ๒. ให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รับข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าวไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายฯ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2068 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและ การบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. .... | สม | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ควรสนับสนุนรองรับระบบการเข้าเยี่ยมสถานที่ซึ่งทำให้บุคคลเสื่อมเสียอิสรภาพ ๑.๒ ควรพิจารณาบัญญัติคำนิยาม อำนาจหน้าที่ หลักเกณฑ์ รวมถึงกฎ ระเบียบ ข้อบังคับภายใต้ความรับผิดชอบเพื่อรองรับการทำหน้าที่ในการสอบสวนคดีทรมานและคดีบังคับบุคคลให้สูญหายของอัยการสูงสุด รวมทั้งควรจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ๑.๓ ควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายเกี่ยวกับการลงโทษ ข้อห้ามไม่ให้หน่วยงานของรัฐส่งตัวบุคคลออกนอกราชอาณาจักร องค์ประกอบคณะกรรมการ การสืบสวนคดีทรมานและคดีบังคับบุคคลให้สูญหาย และสถานะทางกฎหมายของผู้บังคับให้สูญหาย รวมถึงพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายฯ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าวไปพิจารณาว่า สมควรจะดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) เป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2069 | ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในงานบริการภาครัฐเพื่อป้องกันการทุจริต | ปช | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในงานบริการภาครัฐเพื่อป้องกันการทุจริต ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการเร่งด่วน ส่งเสริมโครงการบูรณาการงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพของสำนักงาน ก.พ.ร. และสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้โครงการดังกล่าวบรรลุผล โดยนำร่องในโครงการเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออก [โดยเฉพาะในสินค้าส่งออกที่ส่งผลกระทบต่อยอดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ประกอบด้วย ยางพารา ข้าวทั่วไป ข้าวหอมมะลิ อาหารทะเลแช่แข็ง ชิ้นส่วนรถยนต์ และเครื่องทำความเย็นและตู้แช่แข็ง] เพื่อให้ทันต่อการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ โดยอาจบรรจุโครงการดังกล่าวเป็นมาตรการเสริมในยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ยุทธศาสตร์ที่ ๒ เรื่องบูรณาการการทำงานในการต่อต้านการทุจริตและพัฒนาเครือข่ายในประเทศ ๑.๒ มาตรการระยะยาว ส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณในการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการปรับปรุงงานบริการภาครัฐโดยเฉพาะในระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และเพิ่มความสะดวกให้แก่ประชาชนที่รับบริการ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางในการติดตามตรวจสอบให้สามารถทำได้ง่ายขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการเกิดทุจริต ๒. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. และกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อมาตรการในการป้องกันการทุจริตและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และกระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2070 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2558 และครั้งที่ 2/2558 | กษ | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติ กนย. ในการประชุมดังกล่าว ตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ โดยมีมติรับทราบเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการผ่านมาแล้ว และเห็นชอบในหลักการให้มีการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการด้านยางพาราภายใต้กรอบนโยบายเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว โดยมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคและจุดอ่อนของโครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการแล้ว ในปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ให้สอดคล้องกับข้อเสนอของภาคเกษตรกร ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนให้มีประสิทธิภาพในปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ รวมทั้งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้แต่ละหน่วยงานเร่งดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายโดยเร็ว และให้สามารถเชื่อมโยงไปสู่การดำเนินการของการยางแห่งประเทศไทยซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการจัดตั้งต่อไป รวมทั้งให้การยางแห่งประเทศไทยที่จะจัดตั้งขึ้นตามร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีบทบาทหลักในการบูรณาการองค์ความรู้ และข้อคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ยางพาราฉบับใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ภาครัฐ เอกชน และเกษตรกรนำไปขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรม และเกิดความยั่งยืนของการพัฒนา สำหรับโครงการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ยางใช้ภายใน ประเทศ ให้หน่วยงานภาครัฐในทุกกระทรวงและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องสามารถอ้างอิงคุณสมบัติที่ระบุไว้ในตาม มอก. ๒๖๘๒-๒๕๕๘ เม็ดยางใช้ทำพื้นสังเคราะห์ และ มอก. ๒๖๘๓-๒๕๕๘ พื้นสังเคราะห์ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2071 | ขออนุมัติร่างบันทึกการประชุม (Agreed Minutes) เอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย - เมียนมาร์ ครั้งที่ 8 | กต | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกการประชุม (Agreed Minutes) เอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๘ มีสาระสำคัญเป็นการสรุปความร่วมมือทวิภาคีที่ผ่านมา และแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในการกระชับ ส่งเสริม และขยายผลความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ทั้งการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งความร่วมมือทางวิชาการ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกการประชุม ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าวในส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินความสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการปรับปรุงดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||
| 2072 | การแก้ไขความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหภาพเมียนมาร์ว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างสองประเทศ | กต | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นการจัดทำความตกลงฉบับใหม่เพื่อใช้บังคับแทนความตกลงเดิม มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตและการอำนวยความสะดวกในการข้ามแดนระหว่างสองประเทศ กำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักสำหรับการเดินทางข้ามแดนตามประเภทของบัตรข้ามแดน และกำหนดเจ้าหน้าที่ของสองฝ่ายที่ได้รับมอบอำนาจให้ออกบัตรผ่านแดนและบัตรผ่านแดนชั่วคราว รวมทั้งกำหนดเกี่ยวกับการข้ามแดนเพื่อการทำงานแบบไป-กลับ หรือตามฤดูกาล และการข้ามแดนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินความสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับปรุงดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
|||||||||||||||||||||
| 2073 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ว่าด้วยยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา | มท | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of the Union of Myanmar on Visa Exemption for Holders of Ordinary Passports) โดยสาระสำคัญร่างความตกลงฯ ได้มีการปรับแก้รายละเอียดบางส่วนของร่างความตกลงฉบับเดิม อาทิ การอนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของแต่ละฝ่ายที่เดินทางเข้าประเทศผ่านทางท่าอากาศยานนานาชาติได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและพำนักในประเทศผู้รับได้เป็นเวลาไม่เกิน ๑๔ วัน รวมทั้งการปฏิเสธการเข้าเมือง การลดระยะเวลา และการบอกเลิกการอนุญาตพำนัก สามารถทำได้โดยจะแจ้งเหตุผลหรือไม่ก็ได้ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการพิจารณาประเด็นอ่อนไหวด้านความมั่นคงและการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างรอบคอบโดยมีการกำหนดมาตรการรองรับประเด็นอ่อนไหวดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับปรุงดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
|||||||||||||||||||||
| 2074 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กระทรวงการคลัง และกระทรวงแรงงานร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารเงินกองทุนประกันสังคมเพื่อนำมาลงทุนในกองทุนตามนโยบายรัฐบาลที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูง เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนอื่น ๆ ที่จะจัดตั้งในอนาคต เช่น กองทุนด้านสาธารณสุข กองทุนด้านการศึกษา (โรงเรียนนานาชาติ) เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายพัฒนาที่สำคัญของรัฐบาล และขณะเดียวกันกองทุนประกันสังคมก็จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงด้วย ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามความตกลงที่ได้จัดทำไว้กับประเทศต่าง ๆ โดยเร็ว โดยเฉพาะแผนการส่งเสริมการค้าข้าวและยางพารากับสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหพันธรัฐรัสเซีย ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) และกระทรวงพลังงานทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ ๒๑ โดยให้เชิญคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน สภาปฏิรูปแห่งชาติ และกลุ่มผู้มีความเห็นต่าง ร่วมรับฟังความคิดเห็นและสร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับร่างกฎหมายทั้งสองฉบับ ตลอดจนให้ศึกษาประเด็นข้อร้องเรียนของเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทยด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารจากต่างประเทศผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ตามมติคณะรัฐมนตรี (๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘) โดยด่วนต่อไป ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘) เกี่ยวกับการปรับปรุงพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มพื้นที่จอดรถสาธารณะในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของสวนสาธารณะต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครให้เหมาะสมต่อการใช้เป็นสถานที่พักผ่อนและทำกิจกรรมสันทนาการของประชาชน โดยหารือร่วมกับส่วนราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กรุงเทพมหานคร พิจารณาจัดทำเป็นสวนพฤกษศาสตร์ประเภทต่าง ๆ เช่น สวนกล้วยไม้ สวนสมุนไพร โดยให้คำนึงถึงการออกแบบการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ให้เหมาะสมและคุ้มค่าด้วย ๔.๓ ตามที่ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และมีการเปิดตัวคู่มือสำหรับประชาชนและเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (www.info.go.th) ในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเผยแพร่คู่มือดังกล่าวให้ทุกส่วนราชการ ศูนย์ดำรงธรรม และสถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ และให้ทุกส่วนราชการกำชับให้เจ้าหน้าที่ศึกษาและดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติและคู่มือดังกล่าวด้วย ๔.๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ ซึ่งต้องมีการจัดสรรที่ดินเพื่อจัดแปลงอพยพให้แก่ราษฎรที่ต้องย้ายออกจากเขตน้ำท่วมหรือจ่ายเงินค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพ นั้น เนื่องจากในขณะนี้มีหลายโครงการที่ยังไม่สามารถจ่ายเงินค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบได้ครบถ้วน เช่น โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการจ่ายเงินค่าชดเชยดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย ๔.๕ ให้กระทรวงแรงงานจัดทำแนวทางการให้ความช่วยเหลือแรงงานทั้งในและนอกระบบโดยคำนึงถึงความเหมาะสมของแรงงานแต่ละกลุ่ม ได้แก่ แรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศ แรงงานไทยที่ทำงานในประเทศ แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย และครอบครัวของแรงงานต่างด้าว นอกจากนี้ ให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการนำแรงงานจากต่างประเทศในสาขาที่ไทยขาดแคลนมาทำงานในประเทศ เช่น แรงงานประมงจากประเทศเวียดนามและกัมพูชา ๔.๖ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำผลงานนวัตกรรมฝีมือคนไทยที่ได้รับการจดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะการผลิตเครื่องจักรทางการเกษตร เช่น รถไถนา รถเก็บเกี่ยว มาจัดแสดง ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ได้เลือกซื้อเครื่องจักรที่เป็นนวัตกรรมของไทยที่ตรงกับความต้องการและได้เลือกนวัตกรรมที่มีความพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ SMEs ที่สนใจอีกด้วย ๔.๗ ให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทยร่วมกันจัดกิจกรรมให้แก่กลุ่มอาสาสมัคร เช่น ลูกเสือชาวบ้าน อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ในทุกจังหวัดเพื่อส่งเสริมบทบาทของกลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้ในการพัฒนาสังคมและสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการดูแลและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 2075 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานผลการพิจารณาศึกษาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา) | พศ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑. ผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานผลการพิจารณาศึกษาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมีประเด็นปฏิรูป ๔ ประเด็น ได้แก่ เรื่องทรัพย์สินของวัดหรือของพระภิกษุ เรื่องปัญหาของพระสงฆ์ที่ไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธา เรื่องการทำให้พระวินัยให้วิปริตและการประพฤติการปฏิบัติวิปริตจากพระธรรมวินัย และเรื่องของฝ่ายอาณาจักรที่จะต้องเข้าไปสนับสนุน ปกป้องคุ้มครองกิจการของฝ่ายศาสนจักร ๒. การดำเนินการของคณะสงฆ์ตามภารกิจทั้ง ๖ ด้าน คือ ด้านการปกครอง ด้านศาสนศึกษา ด้านการเผยแผ่ ด้านสาธารณูปการ ด้านการศึกษาสงเคราะห์ และด้านการสาธารณสงเคราะห์ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ข้อเสนอของพุทธศาสนิกชน องค์กรทางพระพุทธศาสนา และนักวิชาการ โดยกำหนดแนวทางการดำเนินการ ๓ ระยะ ดังนี้ ๒.๑ ระยะที่ ๑ (มิถุนายน ๒๕๕๘ ถึงธันวาคม ๒๕๕๘) ดำเนินการปรับปรุงพัฒนาในส่วนที่ทำได้ทันที และระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในแนวทางปฏิรูปกิจพระพุทธศาสนา ๒.๒ ระยะที่ ๒ (มกราคม ๒๕๕๙ ถึงธันวาคม ๒๕๕๙) ดำเนินการตามกรอบแนวทางส่งเสริมการดำเนินงานตามภารกิจของคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้านที่ได้จากการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และขับเคลื่อนสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จสิ้นและแนวทางที่เกิดใหม่ระหว่างดำเนินการในระยะที่ ๑ ๒.๓ ระยะที่ ๓ (มกราคม ๒๕๖๐ ถึงธันวาคม ๒๕๖๓) สรุปและประเมินผลการดำเนินการตามระยะที่ ๒ พัฒนาปรับปรุงรูปแบบแนวทางในส่วนที่ยังไม่เสร็จตามแผนและเพิ่มเติมในส่วนอื่นที่มีความจำเป็นที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง
|
|||||||||||||||||||||
| 2076 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 4/2558 และครั้งที่ 5/2558 | กค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ และครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ ตามที่ คนร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง และมอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการกำกับและติดตามการดำเนินการตามมติ คนร. ที่เห็นชอบในหลักการให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท) ให้ความสำคัญเร่งด่วนในการใช้ประโยชน์จากเสาโทรคมนาคม โดยการเจรจายุติข้อพิพาทกับคู่สัญญาเอกชนต้องอยู่บนพื้นฐานตามที่ คนร. เห็นชอบ และให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว รวมทั้งให้ชะลอการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินธุรกิจของ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ออกไปก่อน เพื่อปรับปรุงขอบเขตการศึกษาให้สอดคล้องกับมติ คนร. ๑.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการพิจารณาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการรถไฟทางคู่ให้แล้วเสร็จตามกำหนด และให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดทำแนวทางการให้เอกชนเข้าร่วมการเดินรถในรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail link : ARL) โดยให้เอกชนดำเนินการร่วมกับบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ด้วย ซึ่งรวมถึงดำเนินการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิส่วนต่อขยายไปถึงท่าอากาศยานดอนเมืองและอู่ตะเภา ๑.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการศึกษา (๑) การกำหนดเส้นทางเดินรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ทั้งเส้นทางหลักและเส้นทางรอง โดยให้ ขสมก. เดินรถในเส้นทางหลักและกำหนดแนวทางการออกใบอนุญาต และดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๖ ที่ให้ ขสมก. เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายใน ๖๐ วัน (๒) จัดทำรายละเอียดการดำเนินงานที่จำเป็นในการให้กรมการขนส่งทางบกเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการทั้งหมดโดยตรงและกำหนดระยะเวลาการดำเนินการที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติโดยเร็ว และ (๓) กำกับดูแลให้ ขสมก. ดำเนินการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติ (NGV) ให้เป็นไปตามแผน รวมถึงให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินการของรถโดยสาร NGV งวดที่ ๑ เพื่อทบทวนแผนการจัดซื้อรถโดยสาร NGV งวดที่ ๒ รวมทั้งเห็นชอบให้กรมการขนส่งทางบกศึกษาการปฏิรูปเส้นทางเดินรถให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับจากเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ๑.๑.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (ด้านเศรษฐกิจ) เป็นประธานเพื่อหารือร่วมกับคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง และผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการ Bad Bank และสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยในอนาคต โดยให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๑.๒ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาและมติเกี่ยวกับโครงการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดำเนินการตามผลการพิจารณาและมติ คนร. ๑.๓ รับทราบและเห็นชอบผลการดำเนินงานของ คนร. และมอบหมาย ๑.๓.๑ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจพิจารณาแนวทางการปรับปรุงกฎหมายจัดตั้งในส่วนกรรมการโดยตำแหน่งที่ขัดหลักธรรมาภิบาลที่ดี [กรรมการรัฐวิสาหกิจต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และไม่เป็นผู้กำกับดูแลรายสาขา (Regulator)] ๑.๓.๒ ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินพิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับสัดส่วนการจำหน่ายหุ้นและการถือหุ้นในบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐมากขึ้น รวมถึงการลงทุนขนาดใหญ่ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมด้วย การจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเพื่อกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัด การปรับปรุงกระบวนการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2077 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำ จากคำว่า “เลื่อนขั้นเงินเดือน” เป็นคำว่า “เลื่อนเงินเดือน” และคำว่า “ลดขั้นเงินเดือน” เป็น “ลดเงินเดือน” เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงระบบการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญจากระบบขั้นเป็นร้อยละของฐานในการคำนวณตามช่วงเงินเดือน รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมให้มีคณะอนุกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่แทนคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ในเรื่องที่เกี่ยวกับการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาศึกษาอัตราเงินเดือนของข้าราชการครูและอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับความเหมาะสมของอัตราเงินเดือน ตลอดจนให้กระทรวงศึกษาธิการชี้แจงและสร้างความเข้าใจให้ประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อมูลดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||
| 2078 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า และโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคเหนือตอนบน เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า | พน | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าของ กฟผ. วงเงินลงทุนรวม ๙๔,๐๔๐ ล้านบาท และขออนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๘ สำหรับโครงการดังกล่าว จำนวน ๕.๓ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟผ. ดำเนินโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคเหนือตอนบน เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าของ กฟผ. วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๒๔๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เกี่ยวกับการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) การพิจารณากำหนดและปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ควรคำนึงถึงสภาพพื้นที่จริงในปัจจุบันประกอบด้วย และในการดำเนินโครงการอื่น ๆ ในอนาคตควรพิจารณาหลีกเลี่ยงดำเนินการในพื้นที่ที่จะเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่า C พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือพื้นที่ที่มีความสำคัญทางทรัพยากรธรรมชาติ และควรศึกษาทางเลือกอื่นเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดต่อสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศ และทรัพยากรธรรมชาติที่อาจไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมหรือทดแทนได้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของชุมชนและประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นสำคัญ รวมทั้งควรบริหารและควบคุมการดำเนินงานให้มีต้นทุนที่ประหยัดมากที่สุด โดยคำนึงถึงการรักษาคุณภาพและมาตรฐานของอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ควรดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่แนวสายส่งพาดผ่านตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ และควรบริหารจัดการการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายและบริหารต้นทุนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อมิให้กระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บจากประชาชนมากเกินความจำเป็น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 2079 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 | กค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ในส่วนของวงเงินค้ำประกันในส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยกำหนดให้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการคิดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการในอัตราไม่เกิน MLR+๒ และกำหนดให้จ่ายค่าประกันชดเชยกรณีที่เป็นภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) ทั้งโครงการรวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของวงเงินค้ำประกัน และจ่ายค่าประกันชดเชยตามภาระค้ำประกัน SMEs แต่ละราย (Coverage Ratio per SMEs) เป็นสัดส่วนร้อยละ ๗๐ ของภาระประกัน (สถาบันที่เข้าร่วมโครงการรับภาระในส่วนร้อยละ ๓๐ ที่เหลือ) ๑.๒ งบประมาณเพื่อดำเนินการตามโครงการ PGS ระยะที่ ๕ เพิ่มเติมอีกจำนวน ๓,๘๐๕ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เบิกจ่ายตามภาระที่เกิดขึ้นจริงโดยทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อที่ขอปรับปรุงใหม่ควบคู่กับ Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเดิมไปก่อนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการที่มีข้อผูกพันตามกรอบวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเงื่อนไขเดิม สำหรับภาระงบประมาณเมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการที่ปรับปรุงแล้วจะมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ บสย. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามช่วงระยะเวลา ซึ่งหากไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ให้ยุติการดำเนินการโครงการดังกล่าวทันที และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่สมควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพให้มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน และเห็นควรให้มีหลักการดำเนินการทั้งแบบเดิมและแบบใหม่ควบคู่กันไป โดยการกำหนดวงเงินให้ชัดเจนและให้มีการประเมินผลการดำเนินการ หากหลักการใหม่ใช้ได้ดี ก็สามารถยกเลิกหลักการเดิมได้ รวมทั้งให้มีการรายงานผลการดำเนินการเมื่อครบ ๓ เดือนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 2080 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการซึ่งกระทรวงการคลังแต่งตั้งให้เป็นผู้พิจารณา และเสนอความเห็นเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับการแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
