ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 102 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2021 - 2040 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2021 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505) | สม | 08/09/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอเรื่องรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอนะเชิงนโยบายในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนาและปฏิบัติตามศาสนกิจของสตรีที่ได้รับการบรรพชาหรืออุปสมบทเป็นสามเณรีหรือภิกษุณี และมอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว โดยให้ขอความเห็นจากมหาเถรสมาคมเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2022 | การเสนอหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และคู่มือการดำเนินงานตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล | มท | 08/09/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์ ขั้นตอน แนวทาง และคู่มือการดำเนินงานมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล โดยมีหลักเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณ คือ จัดสรรงบประมาณให้ตำบลละ ๕ ล้านบาท สำหรับโครงการที่มีลักษณะ (๑) เป็นโครงการเกี่ยวกับการซ่อมแซมหรือบูรณะทรัพย์สินที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ (๒) เป็นโครงการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง การปรับเปลี่ยนการปลูกพืชใหม่ที่มีตลาด การเปลี่ยนแปลงอาชีพ การสร้างฝาย ปลูกต้นไม้หรือป่าชุมชน เป็นต้น และ (๓) โครงการด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น การเพิ่มศักยภาพในการประกอบอาชีพของคนในหมู่บ้าน/ชุมชน ส่งเสริมการประกอบอาชีพ การปรับปรุงซ่อมแซมศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์บริการผู้สูงอายุ เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินโครงการให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคำนึงถึงความต้องการและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ดำเนินโครงการด้วย ๒. เห็นชอบให้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการไว้เดิมเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย และมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ) วงเงิน ๓๖,๒๗๕ ล้านบาท อีกจำนวน ๑,๖๓๘.๗๗๖๓ ล้านบาท รวมเป็นกรอบวงเงินใหม่ของมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล วงเงิน ๓๗,๙๑๓.๗๗๖๓ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำรายละเอียดข้อมูลวงเงินตามสัดส่วนจำนวนตำบลและหลักเกณฑ์จำแนกเป็นรายจังหวัดและตำบลผ่านรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ และให้กระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการบูรณาการกลั่นกรองโครงการในระดับจังหวัดและคณะกรรมการระดับอำเภอเร่งรัดตรวจสอบกลั่นกรองและจัดทำรายละเอียดโครงการและค่าใช้จ่ายประกอบการพิจารณาให้ครบถ้วน แล้วส่งสำนักจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่ ๑-๑๘ สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนเบิกจ่ายต่อไป รวมทั้งให้ความสำคัญกับการรายงานความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง การติดตามประเมินผล และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. รับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รายงานว่า คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติอยู่ระหว่างดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ในระดับหมู่บ้าน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๘ และในวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๘ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจะจัดงานเปิดโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ในระดับหมู่บ้าน ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและคาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมงานประมาณ ๖,๐๐๐ คน ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประสานรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมงานและร่วมตอบข้อซักถามของประชาชนที่มาร่วมงานดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||
| 2023 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพกรณีผู้ประกอบการการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ) | สม | 08/09/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอ เรื่อง รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ กรณีผู้ประกอบการท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ตไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอเกี่ยวกับการแนวทางการจัดระเบียบการประกอบอาชีพเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยของสังคม โดยรัฐจะต้องดำเนินการให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม และต้องถือปฏิบัติในทุกพื้นที่ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2024 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่อง บริษัท ราชบุรีอาหารสัตว์ จำกัด) | สม | 08/09/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอ เรื่อง รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่อง บริษัท ราชบุรีอาหารสัตว์ จำกัด) ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ด้านกฎหมายและระบบยุติธรรม ได้แก่ การแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมให้ครอบคลุมเรื่องเกษตรพันธสัญญา การปรับปรุงระบบยุติธรรมเพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วเพื่อคุ้มครองเกษตรกรจากการทำเกษตรพันธสัญญาเนื่องจากนายทุนมีอำนาจต่อรองมากกว่า การส่งเสริมผลักดันให้เกิดความยุติธรรมในระบบการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา การแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรให้ครอบคลุมถึงเกษตรพันธสัญญา การจัดตั้งระบบไกล่เกลี่ยและการระงับข้อพิพาทที่เกิดจากความขัดแย้งหรือการไม่ปฏิบัติตามขอสัญญาที่ไม่เป็นธรรมจากระบบเกษตรพันธสัญญา รวมทั้งการตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในกรณีที่เกษตรกรถูกดำเนินคดีจากการทำเกษตรพันธสัญญา ๑.๒ การส่งเสริมเกษตรกร ได้แก่ การเสริมอำนาจต่อรองของเกษตรกรและป้องกันการผูกขาด การดำเนินการเกษตรพันธสัญญาต้องได้รับความยินยอมหรือมีข้อตกลงร่วมกันกับชุมชนหรืองค์กรท้องถิ่นโดยเฉพาะในเรื่องการดำเนินธุรกิจที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมความรู้แก่เกษตรกรในเรื่องเกี่ยวกับเกษตรพันธสัญญา พร้อมทั้งให้ข้อมูลข่าวสารที่แท้จริงและเพียงพอต่อการตัดสินใจเข้าร่วมลงทุนแบบเกษตรพันธสัญญา และควบคุมการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เกินจริงของบริษัท การกำหนดมาตรการจูงใจในการส่งเสริมบทบาทของภาคธุรกิจต่อความรับผิดชอบสังคม (CSR) และการให้ความสำคัญและควบคุมกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อให้กับเกษตรกร ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาและผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2025 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานการศึกษาธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. ....) | สผ | 08/09/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอเรื่อง รายงานการศึกษาธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เกี่ยวกับการปรับปรุงกลไกและรูปแบบการบริหารจัดการที่ดิน เพื่อแก้ปัญหาและให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสมและยั่งยืน ทั้งสนับสนุนการจัดตั้งธนาคารที่ดิน และตราเป็นพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... เพื่อเป็นกลไกให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรมและยั่งยืน สนับสนุนการเข้าถึงที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยสำหรับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร ผู้ยากจน และชุมชนเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินทั้งของภาครัฐและเอกชนอย่างเหมาะสม ๒. มอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะดังกล่าว ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทาง และความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2026 | การประชุมนานาชาติครั้งที่ 5 ว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business : EoDB) : การบังคับตามข้อตกลงของราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา (The 5th International Conference on Enforcing Contracts of Thailand and Sri Lanka) | ยธ | 01/09/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมนานาชาติครั้งที่ ๕ ว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business : EoDB) : การบังคับตามข้อตกลงของราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา (The 5th International Conference on Enforcing Contracts of Thailand and Sri Lanka) ระหว่างวันที่ ๕-๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ว่า จากการประชุมนานาชาติครั้งที่ ๕ ประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการพัฒนาปรับปรุงการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคำแนะนำในการพัฒนาขั้นตอนของกระบวนการศาล ได้แก่ (๑) การปรับปรุงกฎหมายอันเกี่ยวข้องกับคดีมโนสาเร่ให้มีความสะดวกและช่วยลดขั้นตอน (๒) การสนับสนุนการใช้การระงับข้อพิพาทโดยการไกล่เกลี่ยในชั้นศาลให้มากขึ้น (๓) การปรับลดขั้นตอนต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นเพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาคดี (๔) การออกหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อป้องกันคู่ความประวิงคดี (๕) การนำคำพิพากษาของศาลออกเผยแพร่ และ (๖) การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับการทำงานเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และลดขั้นตอนค่าใช้จ่ายสำหรับประชาชน
|
||||||||||||||||||
| 2027 | มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่ | ปช | 01/09/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่ ประกอบด้วย การกำหนดนโยบายบริหารจัดการทรัพยากรแร่ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแร่ และการกำกับติดตาม และการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของมาตรการดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภาพรวมส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2028 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พ.ศ. .... | นร09 | 01/09/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยเปลี่ยนชื่อส่วนราชการจากสำนักเป็นกอง และปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว รวมทั้งเพิ่มเติมศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2029 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2558 ครั้งที่ 3 | กค | 01/09/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๓ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๑๓๒,๓๖๕.๘๗ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๙๗,๕๖๖.๓๐ ล้านบาท เป็น ๑,๔๖๕,๒๐๐.๔๓ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ปรับปรุงครั้งที่ ๓ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ปรับปรุงครั้งที่ ๓ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๓ มีการปรับลดวงเงินลงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากส่วนหนึ่งเกิดจากความล่าช้าของการดำเนินงาน จึงควรมีการติดตามเร่งรัดให้หน่วยงานสามารถกู้เงินให้สอดคล้องเป็นไปตามแผนการดำเนินงานและระยะเวลาที่กำหนด ตลอดจนเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกู้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและส่งผลต่อการขยายตัวโดยรวมของระบบเศรษฐกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 2030 | การลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ (Moderate Class More Knowledge) | ศธ | 01/09/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรายงานว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันลดความจำเป็นในการเรียนพิเศษหรือการกวดวิชาของนักเรียนในทุกระดับ และปรับหลักสูตรให้ครอบคลุมวิชาพื้นฐาน เช่น ประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นต้น รวมทั้งพัฒนาระบบการเรียนการสอนที่สามารถตอบสนองความต้องการของครู นักเรียน และผู้ปกครองไปพร้อมกัน นั้น กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน ส่วนในเรื่องการปรับลดเวลาเรียนใน ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ในระยะแรกจะเริ่มจากระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ๓,๕๐๐ โรงก่อน โดยหลังเลิกเรียนจะจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการพัฒนานักเรียนในด้านอื่น ๆ ให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมจนถึงเวลาเลิกเรียนปกติ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว โรงเรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ จะมีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้อำนวยการโรงเรียนในช่วงวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ และให้เวลาโรงเรียนเตรียมการ ๒๐ วัน เพื่อให้ทันสำหรับการเปิดเรียนภาคการเรียนที่ ๒ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะมีการประเมินผลการดำเนินการทุกเดือน ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วยว่า เวลาเรียนที่ให้ปรับลดลง เป็นเพียงการปรับลดเวลาเรียนในบางวิชาลงเท่านั้น แต่โรงเรียนและครูจะต้องจัดการเรียนการสอนในรูปแบบของกิจกรรมตามความสนใจของนักเรียน เช่น เล่นดนตรี เล่นกีฬา วาดเขียน โครงงานต่าง ๆ เป็นต้น โดยเน้นภาคปฏิบัติ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่โดยมีครูเป็นผู้กำกับดูแล ทั้งนี้ จะต้องมีการพัฒนาครูควบคู่ไปด้วย
|
||||||||||||||||||
| 2031 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิในการได้รับการเยียวยา กรณีกลุ่มบุคคลผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขอความช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบ | สม | 25/08/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิในการได้รับการเยียวยา กรณีกลุ่มบุคคลผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขอความช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีข้อเสนอแนะ ได้แก่ มาตรการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และกระบวนการเข้าถึงเรื่องการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ หลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการเยียวยาในแต่ละกรณีให้ชัดเจน ตรวจสอบข้อมูลและให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ รวมทั้งมาตรการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ การช่วยเหลือดูแลด้านการศึกษาต่อผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพื้นที่ การช่วยเหลือดูแลด้านการพัฒนาอาชีพและการมีงานทำให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ และการกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่หาตัวผู้กระทำผิดในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบมาลงโทษ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ รับข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าวไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อเสนอและนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายฯ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2032 | แผนการดูแลการชุมนุมสาธารณะตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 | ตช | 25/08/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนการดูแลการชุมนุมสาธารณะตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีวัตถุประสงค์เพื่อการบริหารจัดการดูแลการชุมนุมสาธารณะสามารถให้ความคุ้มครองทั้งแก่ประชาชนที่ประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะและประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังสามารถกำหนดแนวทางให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเตรียมความพร้อม แก้ไขสถานการณ์ ตลอดจนฟื้นฟูการชุมนุมสาธารณะได้เป็นอย่างดีต่อไป และเป็นแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของการชุมนุมสาธารณะ ตลอดจนเข้าใจหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมายบัญญัติ และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการดูแลการชุมนุมสาธารณะ โดยกำหนดบทบาทหน้าที่ แนวทางการใช้กำลัง มาตรการ อุปกรณ์หรือเครื่องมือสำหรับเจ้าหน้าที่ในการดูแลและรักษาความสงบการชุมนุมสาธารณะ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรกำหนดให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติตามแผนดังกล่าวจะต้องได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการควบคุมฝูงชนในการชุมนุมสาธารณะโดยเฉพาะ เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลและเป็นที่ยอมรับจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมและพัฒนาเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติตามแผนฯ อย่างเป็นสากล และให้มีการอบรมซักซ้อมแผนการปฏิบัติงานดังกล่าวให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ และในร่างแผนฯ ซึ่งระบุคำว่า “ส่งเสริม” ควรมีความชัดเจนว่าจะส่งเสริมเรื่องใด มีมาตรการหรือแนวทางการส่งเสริม เพื่อให้สะท้อนกับหลักการและเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๘ นอกจากนี้ การยิงกระสุนยาง ควรกำหนดให้กระทำได้โดยเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบหมายเป็นการเฉพาะ รวมถึงการใช้น้ำฉีด ควรมีการเตือนก่อน และควรตัดข้อความว่า “และระมัดระวังอย่าฉีดน้ำไปยังบริเวณอวัยวะที่บอบบาง เช่น ดวงตา เป็นต้น” ออก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแผนฯ ต่อไป ทั้งนี้ ในการปฏิบัติตามแผนฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามมาตรา ๒๑ วรรคสอง ของพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษากฎหมายและวิธีการควบคุมการชุมนุมสาธารณะของต่างประเทศ ซึ่งผู้ชุมนุมให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎหมาย แล้วนำเสนอข้อมูลดังกล่าวพร้อมตัวอย่างวีดิทัศน์การดูแลการชุมนุมของประเทศต่าง ๆ ต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาใช้เป็นแนวทางในการประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาชนได้รับทราบต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2033 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ว่าด้วยการเข้าร่วมการฝึกคอบร้าโกลด์ ของกองทัพสิงคโปร์ในราชอาณาจักรไทย | กห | 25/08/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ว่าด้วยการเข้าร่วมของกองทัพสิงคโปร์ในการฝึกคอบร้าโกลด์ (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Singapore on the Participation of Singapore Armed Forces in Cobra Gold Exercise in the Kingdom of Thailand) เพื่อต่ออายุการเข้าร่วมการฝึกคอบร้าโกลด์ของกองทัพสิงคโปร์ในราชอาณาจักรไทย เป็นระยะเวลา ๕ ปี โดยมีสาระสำคัญในการระบุเงื่อนไข ข้อกำหนด และคำแนะนำในการเข้าร่วมการฝึกคอบร้าโกลด์ของกองทัพสิงคโปร์ตามนโยบายของกองทัพไทย ๑.๒ ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้ลงนาม ๑.๓ หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ๒. หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับปรุงดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ เช่น การกำหนดให้ซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจาก Petroleum Authority of Thailand (ภาคผนวก เอฟ) ซึ่งในปัจจุบันได้ถูกยกเลิกไปแล้ว รวมทั้งคำแปลร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาไทยซึ่งยังไม่สอดคล้องกับฉบับภาษาอังกฤษ จึงขอให้กระทรวงกลาโหมตรวจสอบความถูกต้องในเรื่องดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 2034 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 25/08/2558 | |||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รับไปดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ พิจารณาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำโดยเฉพาะข้าว ยางพารา พร้อมทั้งพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวโดยเฉพาะชาวสวนยาง รวมทั้งเร่งรัดการจัดตั้งเมืองยางพารา (Rubber City) ในพื้นที่เศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ ด้วย ๑.๒ พิจารณาร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อทบทวนและกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน การทำเหมืองแร่ลิกไนต์ การใช้พื้นที่เพื่อการจัดการขยะตามนโยบายรัฐบาล การดำเนินโครงการด้านพลังงาน ซึ่งยังมีกลุ่มผู้คัดค้านการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยอาจจะพิจารณาปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการให้เกิดความเหมาะสมและสามารถดำเนินการต่อไปได้ ๑.๓ กำกับให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีที่ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคภายในประเทศมีราคาสูงในขณะที่ราคาน้ำมันลดลงแล้ว พร้อมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดราคากลางของสินค้าอุปโภคและบริโภคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะระดับราคาน้ำมัน เพื่อป้องกันมิให้ผู้ประกอบการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ๑.๔ กำกับให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการต่าง ๆ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ เช่น การให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน เร่งดำเนินการตามแผนงานโครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารติดตามผลการพิจารณาคดีพิพาทที่หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดี เช่น คดีพิพาทระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กับบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) คดีพิพาทระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และคดีพิพาทระหว่างผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล กับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยให้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) เร่งรัดการปรับปรุงด่านตรวจคนเข้าเมืองให้มีอุปกรณ์ที่พร้อมใช้งานและมีความทันสมัย โดยสามารถเชื่อมโยงกับด่านตรวจคนเข้าเมืองของต่างประเทศได้ รวมทั้งมีแผนการซ่อมและบำรุงรักษาอุปกรณ์อย่างต่อเนื่องด้วย ๓.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ สิงหาคม ๒๕๕๘) ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบมาตรการและโครงการสำคัญต่าง ๆ เร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งรวมถึงเรื่องการจัดตั้ง single gateway ที่ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ นั้น ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเร่งรัดการดำเนินการเรื่องดังกล่าวและรายงานความคืบหน้าให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ต่อไปด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงแรงงานสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างของสิทธิประโยชน์และจำนวนเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้ผู้ประกันตนทราบและเข้าใจอย่างถูกต้อง ๓.๔ สืบเนื่องจากผลสำเร็จของการจัดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๓ พรรษา เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ นั้น ให้หน่วยงานร่วมกันรณรงค์การปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพ รวมทั้งพิจารณาจัดกิจกรรมปั่นจักรยานในทุกโอกาสต่าง ๆ ตามความเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2035 | ผลการดำเนินงานของกรมการบินพลเรือนในปีงบประมาณ 2558 | คค | 25/08/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานว่า ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ กรมการบินพลเรือนได้ดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยโดยเร่งดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบ ได้แก่ ท่าอากาศยานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๙ แห่ง เช่น ปรับปรุงท่าอากาศยานอุดรธานีในส่วนของอาคารที่พักผู้โดยสารให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และแผนพัฒนาการก่อสร้างต่อเติมลานจอดเครื่องบินเพื่อให้สามารถรองรับเครื่องบินขนาด Boeing 737 ได้เพิ่มขึ้น ท่าอากาศยานในภาคใต้ ๙ แห่ง และอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างใหม่อีก ๑ แห่ง คือ ท่าอากาศยานเบตง เพื่อแก้ปัญหาเส้นทางการคมนาคมทางบกไปยังอำเภอเบตง และท่าอากาศยานในภาคเหนือ ๑๐ แห่ง มีการดำเนินการปรับปรุงขยายท่าอากาศยาน จำนวน ๓ แห่ง คือ ท่าอากาศยานลำปาง ท่าอากาศยานน่านนคร และท่าอากาศยานแม่สอด ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และกระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ กำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินการเรื่องดังต่อไปนี้ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ได้แก่ (๑) การแก้ไขปัญหามาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) (๒) การแก้ไขปัญหาการขาดทุนของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ (๓) การดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ ๒.๒ จัดทำแผนการพัฒนาปรับปรุงท่าอากาศยานจังหวัดต่าง ๆ ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ โดยร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณจัดทำรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ระยะเวลาการดำเนินการ จำนวนและแหล่งที่มาของงบประมาณ ให้มีความชัดเจนครบถ้วน โดยให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนเข้าร่วมทุน (PPP) ด้วย รวมทั้งเร่งรัดการขยายอาคารผู้โดยสาร อาคาร ๒ และอาคารจอดรถของท่าอากาศยานดอนเมือง ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๓ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา ให้กระทรวงคมนาคม (กรมการบินพลเรือน) คำนึงถึงมิติด้านความมั่นคงเป็นสำคัญ รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมในการขยายทางวิ่งขึ้นลงอากาศยาน (Runway) ของท่าอากาศยานนราธิวาสให้มีระยะทางยาวขึ้นเพื่อรองรับการขึ้นลงของอากาศยานขนาดใหญ่ ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องมีการส่งความช่วยเหลือหรือขนย้ายประชาชนหรือสิ่งของด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ติดตามการดำเนินการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมทางรถไฟไปยังท่าอากาศยานอู่ตะเภาเพื่อรองรับการเปิดให้บริการเป็นท่าอากาศยานพาณิชย์ต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2036 | เส้นทางการปฏิรูป | นร | 25/08/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานเกี่ยวกับเส้นทางการปฏิรูป สรุปได้ว่า ๑.๑ เส้นทางการปฏิรูป มี ๓ องค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่มีหน้าที่ปฏิรูป คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และสภาปฏิรูปแห่งชาติ ๑.๒ แนวทางการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญฯ ๑.๒.๑ เป็นหน้าที่ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และประชาชนต้องรับรู้และเข้าใจเข้าถึงและพัฒนา ๑.๒.๒ ปฏิรูป ๑๑ ด้าน ตามที่รัฐธรรมนูญฯ บัญญัติไว้ ๑.๒.๓ แบ่งระยะเวลาออกเป็น ๓ ระยะ คือ (๑) เรื่องที่ทำทันที (๒) เรื่องที่ทำระยะต่อไป (๓) เรื่องที่ทำเพื่อความยั่งยืน ทั้งนี้ เพื่อส่งต่อให้รัฐบาลถัดไปดำเนินการต่อไป ๑.๓ ความหมายของคำว่า “ปฏิรูป” คือ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากแบบเดิมเป็นแบบใหม่ โดยอาจเป็นการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ โครงสร้าง วิธีทำงาน หรือระบบบุคลากร ๑.๔ กรอบในการปฏิรูปประเทศปัจจุบัน ได้แก่ ๑.๔.๑ กรอบปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญฯ ๑๑ ด้าน (Area Base) ๑.๔.๒ กรอบนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑๑ ด้าน (Problem Base) ๑.๔.๓ กรอบนโยบายคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๑๑ ข้อ (Agenda Base) ๑.๔.๔ กรอบวาระการปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ๓๗ เรื่อง ๑.๕ แผนแม่บทการปฏิรูป ๓๗ เรื่อง ที่นายกรัฐมนตรีได้รับมอบจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีอาจพิจารณาส่งเรื่องดังกล่าวให้ ๑.๕.๑ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๑.๕.๒ คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) และคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) หรือ ๑.๕.๓ คณะทำงานกลั่นกรองที่จะแต่งตั้งต่อไปในอนาคต ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาและกำหนดแนวทางการปฏิรูปในระยะที่ ๒ ต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2037 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร พ.ศ. .... | กค | 18/08/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 2038 | ผลการประชุมหารือระดับรัฐมนตรีด้านการคมนาคมไทย - ลาว | คค | 18/08/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่งของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนลาว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางถนนระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม ทั้งสองฝ่ายรับทราบความพร้อมของเวียดนามในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหารือสามฝ่ายเพื่อจัดทำความตกลงว่าด้วยการเดินรถโดยสารประจำทางไทย-ลาว-เวียดนาม ช่วงปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ และฝ่ายไทยได้เสนอขอให้ฝ่ายลาวพิจารณาทบทวนการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามพรมแดน ณ จุดผ่านแดนเชียงของ-ห้วยทราย และบ่อเต็น-โมฮาน ที่ไทย ลาว และจีนได้เคยเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกันเมื่อปี ๒๕๕๓ เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว รวมทั้งเสนอให้ฝ่ายลาวสนับสนุนการเพิ่มเส้นทาง R12 ให้รวมอยู่ในพิธีสาร ๑ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS CBTA) ซึ่งฝ่ายลาวเห็นด้วยกับข้อเสนอของฝ่ายไทย แต่ยังไม่มีความพร้อม ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงเสนอให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ให้การสนับสนุนในการดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดโครงการเส้นทาง R12 (ท่าแขก-ยมมะราด-ลังคัง-น้ำพาว) เพื่อปรับปรุงเส้นทางให้ได้มาตรฐานทางหลวงอาเซียน ๑.๒ การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟไทย-ลาว ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ทบทวนการพิจารณากำหนดจุดที่เหมาะสมสำหรับก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด ฝ่ายไทยยินดีพิจารณาข้อเสนอของฝ่ายลาวกรณีขอเปลี่ยนแปลงการใช้เงินกู้จากสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) กระทรวงการคลัง วงเงิน ๑,๖๕๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการซ่อมบำรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ และทำรั้วสำหรับเขตสงวนรอบสถานีขนส่งผู้โดยสารและสินค้าท่านาแล้ง และฝ่ายลาวเสนอให้มีการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟในเส้นทางอุบลราชธานี-ช่องเม็ก ซึ่งฝ่ายไทยจะดำเนินการของบประมาณปี ๒๕๕๙ เพื่อจ้างที่ปรึกษาสำรวจและศึกษาความเป็นไปได้ในเส้นทางดังกล่าว ๑.๓ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฝ่ายไทยแจ้งความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๕ บึงกาฬ-ปากซัน และพร้อมที่จะดำเนินการตามขั้นตอนในการขอรับการสนับสนุนของฝ่ายลาวสำหรับการสำรวจและออกแบบสะพานมิตรภาพ แห่งที่ ๖ (อุบลราชธานี-แขวงสาละวัน) รวมทั้งยินดีพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงบริเวณบ้านเชียงแมนข้ามมายังตัวเมืองหลวงพระบาง นอกจากนี้ ฝ่ายไทยแจ้งเรื่องที่สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ยินดีให้ความช่วยเหลือสำหรับโครงการปรับปรุงท่าอากาศยานปากเซและสะหวันนะเขต ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณาดำเนินการต่าง ๆ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยคำนึงถึงผลประโยชน์โดยรวมและแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อให้ความร่วมมือด้านการพัฒนาระบบคมนาคมไทย-ลาว เป็นไปอย่างเป็นรูปธรรม และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเส้นทางรถไฟระหว่างสถานีหนองคาย-สถานีท่านาแล้ง โดยเฉพาะในกรณีที่มีการพัฒนาโครงการรถไฟลาว-จีน (บ่อเต็น-เวียงจันทน์) แล้ว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการหารือแนวทางการใช้ประโยชน์เส้นทางรถไฟระหว่างสถานีหนองคาย-สถานีท่านาแล้ง ซึ่งจะช่วยให้การลงทุนดังกล่าวเกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 2039 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2025 (ASEAN Economic Community 2025 Blueprint) | พณ | 18/08/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒๐๒๕ (ASEAN Economic Community 2025 Blueprint) ซึ่งเป็นเอกสารที่กำหนดทิศทางการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนในระยะ ๑๐ ปีข้างหน้า (๒๐๑๖-๒๐๒๕) โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการการรวมกลุ่มเศรษฐกิจในปัจจุบัน และแนวทางการรับมือต่อประเด็นความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาเซียนอาจต้องเผชิญในอนาคต อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งครอบคลุมการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายใน ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) เศรษฐกิจที่มีการรวมตัวและเชื่อมโยงในระดับสูง (๒) มีความสามารถในการแข่งขัน มีนวัตกรรม และมีพลวัต (๓) ส่งเสริมการเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจและการรวมตัวรายสาขา (๔) ความสามารถในการปรับตัว ครอบคลุมทุกภาคส่วน และมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และ (๕) การเป็นส่วนสำคัญของประชาคมโลก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรใช้เวทีอาเซียนในการผลักดันให้อาเซียนกำหนดเป้าหมายและมาตรการเชิงยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในแต่ละเรื่องที่ชัดเจนมากขึ้น และควรมีการเตรียมการภายในประเทศเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในทิศทางการดำเนินงานของอาเซียน หลังปี ๒๕๕๘ รวมทั้งส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีของร่างแผนงานฯ ที่เพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนประสานการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในประเทศอย่างใกล้ชิดในเรื่องเป้าหมายและประเด็นการพัฒนาความร่วมมือใหม่ ๆ และจัดทำแผนติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายภายหลังร่างแผนงานฯ ได้รับความเห็นชอบแล้ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๔๗ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๘ เข้าร่วมรับรอง (endorse) ร่างแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒๐๒๕ ๔. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแผนงานฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับปรุงดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
||||||||||||||||||
| 2040 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแผนงานเพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมอาเซียน - แคนาดา ด้านการค้า และการลงทุน ปี 2016 - 2020 (2016 - 2020 Work Plan to Implement the ASEAN-Canada Joint Declaration on Trade and Investment) | พณ | 18/08/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างแผนงานเพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมอาเซียน-แคนาดา ด้านการค้าและการลงทุน ปี ๒๐๑๖-๒๐๒๐ (2016-2020 Work Plan to Implement the ASEAN-Canada Joint Declaration on Trade and Investment) ซึ่งมีขอบเขตการดำเนินกิจกรรมที่สานต่อจากแผนงานปี ๒๐๑๒-๒๐๑๕ ประกอบด้วย ๓ กิจกรรมหลัก ได้แก่ (๑) การยกระดับการหารือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับแคนาดา (๒) การกระตุ้นการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับแคนาดา และ (๓) การสนับสนุนกิจกรรมของภาคเอกชนเพื่อขยายการค้าและการลงทุน ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมความร่วมมือในการส่งเสริมพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนและแคนาดา เพื่อสร้างความหลากหลายและเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ SMEs และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้โอกาสจากการดำเนินกิจกรรมตามแผนงานดังกล่าวเพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการและการสร้างเครือข่ายร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการอาเซียนและแคนาดา รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลแผนการดำเนินงานที่ผ่านมาในปี ๒๐๑๒-๒๐๑๕ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงแผนงานในปี ๒๐๑๖-๒๐๒๐ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-แคนาดา ครั้งที่ ๔ วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๘ เข้าร่วมรับรอง (endorse) ร่างแผนงานเพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมอาเซียน-แคนาดา ด้านการค้าและการลงทุนปี ๒๐๑๖-๒๐๒๐ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแผนงานฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับปรุงดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
||||||||||||||||||
.....
