ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 108 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2141 - 2160 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2141 | โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) | ทก | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการให้บริการภาพถ่ายและข้อมูลภูมิสารสนเทศต่าง ๆ แก่ผู้ใช้งาน โดยมีองค์ประกอบของโครงการฯ ๕ ส่วน ได้แก่ (๑) การจัดดาวเทียมสำรวจและการปรับปรุงระบบสถานีรับสัญญาณและผลิตภาพถ่ายจากดาวเทียมของประเทศ (๒) การพัฒนาระบบผลิตและบริการภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายดาวเทียม (๓) การพัฒนาระบบประยุกต์ใช้ประโยชน์ภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายดาวเทียมของหน่วยปฏิบัติตามภารกิจต่าง ๆ (๔) การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการใช้งานภูมิสารสนเทศ และ (๕) การพัฒนาขีดความสามารถของประเทศด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและบริการด้านอวกาศและภูมิสารสนเทศจากการสำรวจจากระยะไกล มีระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓) วงเงินโดยรวมประมาณ ๗,๘๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ ที่มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเจรจา เพื่อทำหน้าที่ศึกษาในรายละเอียดและดำเนินการเจรจากับประเทศที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติให้ความเห็นชอบ ในประเด็นทางเทคนิคของเทคโนโลยีดาวเทียม การพัฒนาระบบประยุกต์ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ และให้คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณากรอบและแนวทางการเจรจา วิธีการจัดหาดาวเทียม ระยะเวลา ประโยชน์ที่จะได้รับ รวมถึงหน่วยงานที่จะเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) ทั้งนี้ ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนการลงทุนโครงการจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยที่เห็นว่า ดาวเทียมเป็นระบบหนึ่งที่ประกอบไปด้วยระบบย่อยหลากหลายระบบและมีข้อจำกัดพิเศษที่แตกต่างจากระบบอื่น ๆ คือเมื่อส่งขึ้นสู่วงโคจรไปแล้วจะไม่สามารถนำกลับมาซ่อมแซมหรือแก้ไขใหม่ได้อีก (nonrepairable system) ดังนั้น ในการพัฒนาดาวเทียมระบบนั้นจะต้องเป็นระบบที่ robust และ zero-defect มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อระบบทุกระบบทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ แนวทางการพัฒนาพื้นฐานความรู้ในการออกแบบและสร้างดาวเทียม ควรมีแผนการพัฒนาสร้างขนาดดาวเทียมโดยเริ่มจากขนาดเล็ก ตั้งแต่ระดับ 1kg 10kg จนถึง 100kg ส่งเข้าสู่วงโคจรจริงและต้องทำการออกแบบและพัฒนาสร้างด้วยตัวเองภายในประเทศ ๑๐๐% ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2142 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อทำสัญญาเช่าพื้นที่อาคาร และขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณค่าสิ่งก่อสร้างที่ได้รับอนุมัติ ให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ [สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)] | นร | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ทำสัญญาเช่าพื้นที่บริเวณอาคารไปรษณีย์กลาง กับบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด และก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๑ รายการค่าเช่าพื้นที่เพื่อจัดตั้งอาคารศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ ในวงเงิน ๕๖๖,๘๔๑,๔๔๒.๒๒ บาท ระยะเวลาการเช่า ๑๒ ปี ๑๐ เดือน โดยทำการต่อสัญญาเช่าทุก ๆ ๓ ปี สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ นั้น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ประกาศใช้บังคับแล้ว ๒. อนุมัติในหลักการให้เปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ จากรายการค่าก่อสร้างศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบของประเทศ เป็นรายการค่าปรับปรุงตกแต่งและก่อสร้างศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบของประเทศ ภายในวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๖๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไปอีก จำนวน ๓๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนลงนามในสัญญาก่อหนี้ผูกพัน ตามนัยของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๓. ให้สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ดำเนินการติดตามผลการปฏิบัติงานและประเมินผลความคุ้มค่าของการลงทุนในการปรับปรุงศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบของประเทศ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาเช่าในแต่ละครั้งเพื่อประกอบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2143 | การปรับปรุงและแก้ไขสถานการณ์ด้านการบินของประเทศไทยตามผลการตรวจสอบตามโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล (Universal Safety Oversight Audit Programme - USAOP) จากคณะผู้ตรวจสอบขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization - ICAO) | นร04 | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการกำหนดกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการและอัตราค่าตอบแทนพนักงานราชการในกลุ่มงานเชี่ยวชาญพิเศษ กลุ่มงานวิชาชีพเฉพาะ และกลุ่มงานเทคนิคพิเศษ เพิ่มขึ้นกรณีพิเศษ จำนวน ๔๘ อัตรา ของกรมการบินพลเรือน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. สนับสนุนในส่วนที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคคลตามความจำเป็นและสอดคล้องกับกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ รองรับการจ้างพนักงานราชการตามจำนวนกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเพิ่มเติมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 2144 | แนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี | สลธ.คสช. | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แจ้งต่อที่ประชุม ดังนี้ ๑.๑ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีแจ้งต่อที่ประชุมว่า งานซึ่งเป็นเป้าหมายในการดำเนินการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีแบ่งเป็น ๔ กลุ่ม คือ (๑) การรักษาความมั่นคงและการบังคับใช้กฎหมาย (๒) การขับเคลื่อนงานตามอำนาจหน้าที่ให้มีความเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ในส่วนที่มีการใช้อำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ นั้น จะใช้ในกรณีที่มีความจำเป็นและในเชิงสร้างสรรค์เท่านั้น (๓) การวางแผนสำหรับการปฏิรูปประเทศในระยะต่อไป และ (๔) การดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ทั้งกฎหมายที่ล้าสมัย กฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมหรือทำให้สังคมดีขึ้น กฎหมายเกี่ยวกับการค้า การลงทุน หรืออนุวัติการตามหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ และกฎหมายที่วางแนวทางการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ ทั้งนี้ การดำเนินการตามเป้าหมายทั้ง ๔ ด้าน ในระยะแรกเน้นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง การผลักดันให้เกิดการพัฒนางานในเรื่องสำคัญและเร่งด่วน เช่น การพัฒนาด้านการเกษตร อุตสาหกรรม เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ การจัดการที่ดิน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น โดยการดำเนินการตามแผนงานต้องกำหนดเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจนในแต่ละช่วงระยะเวลาทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานให้เกิดผลงานที่เป็นรูปธรรมตามกำหนดเวลา ๑.๒ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในช่วงนี้ควรมุ่งเน้นการพัฒนาภาคการเกษตรซึ่งมีประชากรในกลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ในการกำหนดเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษควรกำหนดพื้นที่พัฒนาเป็นกลุ่ม (Cluster) ในแต่ละภูมิภาคให้มีความชัดเจนเหมาะสม เช่น เขตท่องเที่ยว เขตธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เขตอุตสาหกรรม เกษตรแปรรูป และในแต่ละกลุ่มให้มีการส่งเสริมการลงทุนให้ตรงตามประเภทธุรกิจในพื้นที่นั้น ๆ และรัฐบาลควรปรับปรุงแนวทางการส่งเสริมการลงทุนให้มีการเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของแรงงานที่ในอนาคตจะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น โดยอาจดูตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ รวมทั้งควรเร่งตกลงทำสัญญาในโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นและเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อไป ๒. มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) พิจารณาทบทวนประเด็นปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุนของประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนของต่างชาติในประเทศไทย และเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว เช่น การปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน เป็นต้น ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยสรุปมาตรการการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้ว พร้อมทั้งผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม เสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||
| 2145 | ยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยได้น้อมนำแนวคิดของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อใช้เป็นหลักหรือแนวทางในการปฏิรูปและพัฒนาประเทศให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีวิสัยทัศน์ คือ ประเทศชาติมั่นคง สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ตลอดจนประชาชนมีความมั่นคั่งอย่างยั่งยืน และประเด็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ๙ ข้อ ได้แก่ (๑) การสร้างความเป็นธรรมในสังคม (๒) การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน (๓) การสร้างความเข้มแข็งภาคการเกษตร ความมั่นคงของอาหาร และพลังงาน (๔) การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน (๕) การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม (๖) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (๗) การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในการใช้บริการอย่างแท้จริง (๘) การปรับปรุงระบบโทรคมนาคม เทคโนโลยีของชาติให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต ให้ทัดเทียมอาเซียนและประชาคมโลก และ (๙) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างยั่งยืน ตามที่เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติรายงาน ๒. ที่ประชุมเห็นว่าความมั่นคงเป็นบ่อเกิดของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และต่างประเทศ การบริหารงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงเน้นการสร้างความมั่นคงทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ เพื่อให้เกิดเสถียรภาพในทุกด้านอันจะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศตาม Road Map ในระยะต่อไปได้ ดังนั้น ทุกหน่วยงานจะต้องตระหนักว่าการปฏิบัติงานจะต้องสอดคล้องกับแนวทางตาม Road Map ซึ่งปัจจุบันเป็นการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลซึ่งอยู่ในระยะที่ ๒ และจะเข้าสู่ระยะที่ ๓ คือ การปฏิรูปประเทศต่อไป จึงให้ทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมเข้าสู่การปฏิรูปประเทศโดยจัดทำแผนปฏิรูปของหน่วยงานในกรอบระยะเวลา ๕ ปี โดยวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในอนาคตประเทศไทยควรจะเป็นอย่างไร และหน่วยงานจะมีส่วนในการผลักดันและขับเคลื่อนไปสู่จุดนั้นอย่างไร ทั้งนี้ กรอบเวลาของแผนดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 2146 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2542 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2550 เพื่อขอบัญญัติ การจัดตั้งสำนักงานกองทุนยุติธรรมไว้ในพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. .... | ยธ | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรมยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง ข้อสังเกตของ ก.พ. เกี่ยวกับการกำหนดตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการไว้ในกฎหมาย) ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) เพื่อขอให้มีการบัญญัติการจัดตั้งสำนักงานกองทุนยุติธรรม ปรากฏไว้ในร่างพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. .... เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ เป็นการเฉพาะราย ๒. กรณีมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงโครงสร้างภายในกระทรวงยุติธรรม ให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้วเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงยุติธรรมขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
| 2147 | ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารประกอบงบประมาณ โดยมีการปรับปรุงถ้อยคำและวรรคตอนในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้มีความถูกต้องและเหมาะสมตามแบบร่างกฎหมาย พร้อมกับแก้ไขเพิ่มเติมชื่อแผนงานในมาตรา ๓๐ รัฐวิสาหกิจ ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จากเดิม แผนงานส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิต การสร้างมูลค่าภาคการเกษตร และการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรอย่างเป็นระบบ เป็น แผนงานดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิต การสร้างมูลค่าภาคการเกษตร และการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรอย่างเป็นระบบ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 2148 | กระบวนการแก้ไขปัญหาการขอทานครบวงจร | พม | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาการขอทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการด้านการคุ้มครองช่วยเหลือขอทานภายหลังการจัดระเบียบการแก้ไขปัญหาการขอทานครบวงจรแบบยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการภายใต้แนวทางการดำเนินงาน ๓ ด้าน (3P) ประกอบด้วย ด้านนโยบาย (Policy) ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ (Protection) และด้านการป้องกัน (Prevention) เช่น การผลักดันพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน การประชาสัมพันธ์และรณรงค์ในเรื่องต่าง ๆ การส่งเสริมเครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวัง เป็นต้น ๑.๒ การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการขอทานเพื่อเป็นหน่วยรับแจ้งเหตุและประสานงานเพื่อจัดระเบียบขอทานตลอด ๒๔ ชั่วโมง สำรวจ คัดกรอง และช่วยเหลือ รวมทั้งรวบรวมข้อมูลสถิติ นโยบาย มาตรการ และแนวทางการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการขอทานและคนไร้ที่พึ่ง โดยจากสถิติการจัดระเบียบขอทานช่วง ๖ เดือนที่ผ่านมาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่า จำนวนขอทานลดลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มขอทานต่างด้าว ๑.๓ การจัดตั้งทีมปฏิบัติการในพื้นที่กรุงเทพมหานครเพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบ คัดกรอง โดยกรณีที่เข้าข่ายเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์จะประสานส่งต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์หรือตำรวจ ส่วนกรณีที่ไม่เข้าข่ายเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์จะประสานส่งต่อสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งเพื่อวิเคราะห์ปัญหารายบุคคลโดยทีมสหวิชาชีพ จัดทำแผนฟื้นฟูรายบุคคล และเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูในรูปแบบต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติให้ตระหนักในคุณค่าของตนเองและพัฒนาทักษะอาชีพตามความสมัครใจ ๑.๔ การดำเนินการแก้ไขปัญหานำร่องในพื้นที่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรีโมเดล) ประกอบด้วย การปรับปรุงพื้นที่บางส่วนเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านอาชีพ การเตรียมความพร้อมบุคลากร และประเมินคัดกรองผู้เข้าร่วมโครงการเพื่อฟื้นฟูพัฒนา และฝึกอาชีพ การจัดตั้ง “กองทุนเพื่อพัฒนาคนไร้ที่พึ่ง คนขอทาน” สนับสนุนการพัฒนาฟื้นฟูและเป็นทุนประกอบอาชีพ และการบริหารจัดการสินค้า ผลิตภัณฑ์ รายรับ รายจ่าย และเงินทุนหมุนเวียน โดยจะขยายผลสู่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑๑ แห่ง ทั่วประเทศ รวมทั้งมีกองทุนเพื่อพัฒนาคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานสำหรับเป็นทุนสนับสนุนให้กับผู้เข้าร่วมโครงการนำไปประกอบอาชีพ ตลอดจนสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งทุกภาคส่วนในสังคมสามารถเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการได้ทั้งในรูปแบบการบริจาคเงิน ทรัพย์สิน สิ่งของ รวมทั้งการรับซื้อผลผลิต การจ้างงาน การอบรมให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ และในระยะต่อไปจะดำเนินการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในสังคมได้รับรู้และตระหนักถึงปัญหาการขอทาน พร้อมทั้งสร้างค่านิยมตามแนวคิดการให้ทานอย่างถูกวิธีและลดวิถีการขอทาน ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งดำเนินการจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อรองรับบุคคลไร้ที่พึ่ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประชาสัมพันธ์และชี้แจงทำความเข้าใจกับสาธารณชนให้ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาการขอทานว่าเป็นการเชื่อมโยงถึงการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้วย ซึ่งจะส่งผลที่ดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยต่อไป ๓. ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘) ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดการกำหนดมาตรการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและการสร้างที่อยู่อาศัยรุกล้ำแนวลำคลองและทางระบายน้ำ และจัดหาที่อยู่อาศัยใหม่ให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน นั้น ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณานำแนวทางการจัดที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนตามโครงการบ้านมั่นคง ณ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี มาเป็นแนวทางในการดำเนินการในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 2149 | การจัดตั้งศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) | นร | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการจัดตั้งศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. พื้นที่ที่ทำการในปัจจุบันของศูนย์บริการร่วมในศูนย์การค้า หรือ G-point ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ล มีจำกัด พื้นที่ไม่อยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นและเหมาะสมเพียงพอในการติดต่อและภาพลักษณ์ด้านการลงทุน สกท. จึงเห็นควรใช้พื้นที่ ณ ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (One START One Stop Investment Center : OSOS) ที่มีอยู่เดิม ที่ชั้น ๑๘ อาคารจัตุรัสจามจุรี ถนนพญาไท เขตปทุมวัน ในการให้บริการแก่ผู้ประกอบการและนักลงทุน ๒. ศูนย์ OSOS จะให้บริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร โดยแบ่งเป็น ๓ ลักษณะ คือ (๑) การบริการให้คำปรึกษา คำแนะนำ ข้อมูลและข่าวสาร (๒) การบริการอนุมัติ/อนุญาต/รับรองเอกสาร ผ่านระบบออนไลน์ และ (๓) การบริการรับเรื่อง ส่งต่อ และติดตามผล ทั้งนี้ การให้บริการของศูนย์ OSOS เมื่อขยายขอบเขตการให้บริการแล้ว จะสามารถให้ข้อมูลด้านการลงทุน ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวม ๓๘ หน่วยงาน/องค์กร โดยเป็นภาครัฐ จาก ๑๔ กระทรวง ๒๙ หน่วยงาน และภาคเอกชน จาก ๙ องค์กร สามารถให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ นอกจากนี้ ศูนย์ OSOS อยู่ระหว่างการดำเนินการปรับปรุงบริการของศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เพื่อเป้าหมาย SMART THAILAND : ที่เดียว ทันใด ทั่วไทย (ทั่วโลก) ทุกเวลา ๓. สกท. มีเป้าหมายในการเปิดตัวการบริการใหม่ของศูนย์ OSOS ประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ โดยจะต้องเตรียมการประชาสัมพันธ์ศูนย์ OSOS ที่ขยายขอบข่ายการให้บริการเพิ่มเติม และพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ ส่วนการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะจัดทำรายชื่อผู้รับผิดชอบในการรับ-ส่งเอกสาร และจัดเจ้าหน้าที่มาประจำการเพิ่มเติม เฉพาะสำนักงานประกันสังคม (อาจจะกำหนดเฉพาะบางวันทำการ) และจัดส่งวิทยากรมาทำการฝึกอบรม รวมทั้งให้ความร่วมมือในการพัฒนาระบบสารสนเทศ เช่น ระบบ Single Window เรื่อง การอนุญาตเกี่ยวกับวีซ่าและใบอนุญาตทำงานสำหรับผู้ชำนาญการจากต่างประเทศ |
||||||||||||||||||||||||
| 2150 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด พ.ศ. .... | ยธ | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด พ.ศ. ๒๕๕๔ กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕ และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๗
ปรับปรุงกระบวนการขยายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี การปรับปรุงข้อความในประกาศขายทอดตลาดให้ชัดเจน ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเริ่มต้นในการขายทอดตลาด และหลักเกณฑ์การวางหลักประกันก่อนเข้าเสนอราคา และเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าเสนอราคาในการขายทอดตลาดมากยิ่งขึ้น ปรับปรุงคณะกรรมการกำหนดราคาทรัพย์ให้มีความเหมาะสมแก่การปฏิบัติงาน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
| 2151 | ร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | พน | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ โดยเพิ่มทางเลือกอีกทางหนึ่งให้รัฐสามารถบริหารจัดการปิโตรเลียมได้ทั้งระบบสัมปทานหรือระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต และการปรับปรุงเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเพื่อใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งได้ทำสัญญาแบ่งปันผลผลิต ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ กระทรวงพลังงานควรหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจากผู้ที่ได้รับสัมปทานอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งการนำบทบัญญัติซึ่งใช้บังคับแก่บริษัทที่ได้ทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับองค์กรร่วมไทย-มาเลเซียมาใช้บังคับแก่บริษัทที่ได้ทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับกระทรวงพลังงานโดยอนุโลม และการกำหนดอัตราภาษีเงินได้ปิโตรเลียมสำหรับบริษัทที่ได้ทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับกระทรวงพลังงาน มีรายละเอียดที่ต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากการกำหนดอัตราการจัดเก็บผลประโยชน์ของรัฐจากการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนการลงทุนที่เอกชนจะได้รับ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการดึงดูดให้เอกชนเข้ามาลงทุนในกิจการปิโตรเลียม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับภาคประชาสังคมทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กระบวนการยื่นคำขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจบนบก และในทะเลอ่าวไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2152 | ผลการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามที่เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติรายงาน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การช่วยเหลือกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเนปาล มีภารกิจที่สำคัญคือ การช่วยเหลือคนไทยที่ตกค้างอยู่ที่ประเทศเนปาลกลับถึงประเทศไทย จำนวน ๗๓ คน การช่วยเหลือประชาชนและรัฐบาลเนปาลโดยการบริจาคเงินกว่า ๔๘ ล้านบาท การบริการทางการแพทย์ และการจัดอากาศยานสนับสนุนการเคลื่อนย้ายสิ่งของบรรเทาทุกข์รวม ๗ เที่ยวบิน ๑.๒ การรักษาความสงบเรียบร้อย มีภารกิจที่สำคัญคือ การเชิญผู้นำและตัวแทนกลุ่มบุคคลร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ และการอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ในการจับกุมผู้ต้องสงสัยพร้อมอาวุธปืนและยาเสพติดที่จังหวัดเชียงราย และผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ๑.๓ การแก้ปัญหาด้านการประมง ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๐/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๘ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม โดยจัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และให้ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้บัญชาการศูนย์ ๑.๔ โครงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลที่กองทัพบกร่วมดำเนินการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงและพัฒนาแหล่งน้ำประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) ในพื้นที่ ๘ จังหวัด และโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะเร่งด่วนปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) ที่กองทัพบกรับผิดชอบดำเนินการในพื้นที่ ๓๔ จังหวัด ๑๖๙ รายการ งบประมาณ ๑,๒๓๕ ล้านบาท ๑.๕ การเตรียมการสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในช่วงต่อไป ได้แก่ การกำกับดูแลและอำนวยความสะดวกการส่งออกน้ำมันจากไทยไปเมียนมาและแนวชายแดนกลุ่มประเทศ CLMV การดำเนินการต่อการผลิตเหล้าเถื่อน การบังคับใช้กฎหมายต่อพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกปลูกยางพารา ๒. มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับการรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเนปาลว่า ขณะนี้สถานการณ์ในประเทศเนปาลเริ่มเข้าสู่ช่วงบูรณะฟื้นฟูประเทศแล้ว หากต้องการส่งความช่วยเหลือควรบริจาคเป็นเงินหรือสิ่งของจำเป็นสำหรับให้ผู้ประสบภัยใช้ดำรงชีพในช่วงการฟื้นฟูและบูรณะที่อยู่อาศัย เช่น ข้าวสาร เต็นท์ ผ้าพลาสติก ไม้ สังกะสี วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการขนส่งสิ่งของบริจาคไปยังประเทศเนปาล เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถส่งสิ่งของบริจาคไปยังประเทศเนปาลได้อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ โดยในชั้นนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานองค์กรหรือมูลนิธิระหว่างประเทศ เช่น UNICEF เพื่อจัดส่งสิ่งของบริจาคที่มีอยู่ในขณะนี้ตามความเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 2153 | รายงานผลการดำเนินการในรอบ 6 เดือน ของกระทรวงคมนาคม | คค | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการในรอบ ๖ เดือน ของกระทรวงคมนาคม ดังนี้
๑. การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกระทรวงคมนาคมได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผ่านการจัดกิจกรรมในโอกาสต่าง ๆ ๒. การนำยุทธศาสตร์จากกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ สู่แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ ๘ ปี เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ๓. กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานแรกที่นำข้อตกลงคุณธรรมมาใช้ในการประกวดราคาใช้ระบบ Construction Sector Transparency Initiative (CoST) ในโครงการส่วนต่อขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ เพื่อการดำเนินงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ๔. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ กระทรวงคมนาคมได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน ๑๔๔,๔๐๖ ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ ๓๖,๐๙๖.๕๑ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน ๑๐๘,๕๐๙.๔๙ ล้านบาท โดยผลการเบิกจ่ายภาพรวม ณ เดือนมีนาคม ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายไปแล้ว ๕๘,๓๐๘.๔๔ ล้านบาท และก่อหนี้ผูกพัน ๖๓,๑๘๗ ล้านบาท ๕. การให้บริการยกระดับจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ รถแท็กซี่มิเตอร์ และรถจักรยานสาธารณะเพื่อความสะดวกปลอดภัยของผู้ใช้บริการ รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมในการควบคุมการให้บริการของรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Check in และปรับปรุงเส้นทางเดินรถโดยสารประจำทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้มีการปรับปรุงห้องน้ำในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศ และสถานีรถไฟหัวลำโพงให้ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ และการส่งเสริมความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำ โดยจัดให้มีโครงการเสื้อชูชีพเก่าแลกใหม่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ๖. ในการขับเคลื่อนกฎหมาย ได้สนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเรือประมงที่ทำผิดกฎหมายทำให้เกิดการค้ามนุษย์ Illegal Unreported and Unregulated Fishing (IUU Fishing) และเร่งรัดการดำเนินงานด้านกฎหมาย ซึ่งมีกฎหมายที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วจำนวน ๑๐ ฉบับ ๗. เชื่อมโยงโครงข่ายสู่สากลพัฒนาโครงข่ายถนนและการคมนาคมขนส่งให้ได้มาตรฐานรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๕ แห่ง ปรับปรุงเส้นทางรถไฟช่วงชุมทางแก่งคอย-คลองสิบเก้า-สุดสะพานคลองลึก ระยะทาง ๑๗๔ กิโลเมตร ๘. ได้มีการลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย-จีน พัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ ๔ สายทาง ลงนามบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ลงนามความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีน ๙. ก่อตั้งท่าอากาศยานเพิ่มเติม ๑ แห่ง ที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และพัฒนาท่าอากาศยานแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อเพิ่มศักยภาพการรองรับปริมาณผู้โดยสารจากปีละ ๘๐,๐๐๐ คน เป็นปีละ ๓๖๐,๐๐๐ คน ๑๐. เปิดทางลอดดาราสมุทร จังหวัดภูเก็ต บริเวณจุดตัดทางหลวงหมายเลข ๔๐๒ กับทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๐ เพื่อบรรเทาปัญหาจราจร รองรับปริมาณรถยนต์ในช่วงเทศกาล และเปิดถนนเลี่ยงเมืองสันป่าตอง-หางดง ตอนที่ ๒ อำเภอสันป่าตอง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทางจักรยาน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การเดินทางในท้องถิ่น รวมทั้งเร่งดำเนินการแก้ปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพบริเวณจุดวิกฤติ เช่น ถนนวิภาวดีรังสิต และเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางด้วยการปรับปรุงท่าเทียบเรือโดยสารในบริเวณฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ๑๗ ท่า ซึ่งจะเริ่มดำเนินการทันทีในปีนี้ ๓ ท่า ๑๑. ขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางอีก ๖ เดือน ๑๒. ลงนามร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการป้องกันและลดความเสี่ยงอันตรายต่อการบินและอากาศยานจากการปล่อยโคมลอย โคมควัน และการจัดงานบั้งไฟ ๑๓. การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้มีการพัฒนาเส้นทางจักรยานที่ได้มาตรฐานทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาค การใช้ยางพาราเป็นส่วนประกอบในการทำถนนของหน่วยงานในสังกัด ปรับปรุงการให้บริการ Visa on Arrival ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เดินหน้าพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะแรก ๒ เส้นทาง คือ กรุงเทพ-หัวหิน และกรุงเทพ-พัทยา-ระยอง ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเลโดยพัฒนาศูนย์กลาง Marina ของอาเซียน และเร่งรัดการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยในทุก ๆ ด้าน ด้วยความโปร่งใส ว่องไว ใส่ใจพัฒนา และจะยังคงมุ่งมั่นทำต่อไปเพื่อนำความสุขมาสู่ประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||
| 2154 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ ครั้งที่ 10 | ทก | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ ครั้งที่ ๑๐ (10th APEC Telecommunications and Information Ministerial Meeting : APEC TELMIN 10) ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของคณะทำงานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ รวมทั้งการนำเสนอวิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีเอเปคที่เข้าร่วมการประชุม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้นำเสนอแนวนโยบายที่สำคัญของประเทศไทย คือ นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีเป้าหมายในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ปรับปรุงระบบธรรมาภิบาล และลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวยังสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศของเอเปค ปี ๒๕๕๙ ถึง ๒๕๖๓ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์เรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งประเทศไทยสนับสนุนความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจเอเปคในการแลกเปลี่ยนข้อมูลนโยบาย การกำกับดูแล และการพัฒนาด้านต่าง ๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์ฯ และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต ๒. ที่ประชุมได้รับรอง “แผนยุทธศาสตร์ด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศของเอเปค ปี ๒๕๕๙ ถึง ๒๕๖๓” (APEC Telecommunications and Information Working group Strategic Action Plan 2016-2020) โดยวัตถุประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์ฯ คือ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีอย่างครอบคลุมและการใช้ไอซีทีอย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยง และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม มีความเข้มแข็ง มั่นคง ปลอดภัยและยั่งยืน และมีการกำหนดวิสัยทัศน์ของแผนไว้ว่า ภายในปี ๒๕๖๓ เอเปคจะสร้างระบบนิเวศทางไอซีทีที่มีโครงสร้างพื้นฐานและโปรแกรมประยุกต์ด้านนวัตกรรมไอซีทีที่มีความปลอดภัย เชื่อถือได้ การให้บริการนวัตกรรมไอซีทีไร้พรมแดน การใช้ไอซีทีอย่างแพร่หลายในทุกสาขา การพัฒนาทักษะไอซีทีและความรู้ทางดิจิทัล ซึ่งจะสนับสนุนการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้หารือทวิภาคีกับ Mr. Yasuo Sakamoto รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่น เกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านไอซีทีระหว่างสองหน่วยงาน และความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ เนื้อหาสาระทางดิจิทัล (Digital Content) การพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านไอซีที การใช้ไอซีทีกับภาคการศึกษาและด้านสาธารณสุข เป็นต้น รวมทั้งได้หารือทวิภาคีกับ Mr. Choi Jae-You รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ไอซีที และการวางแผนในอนาคตของสาธารณรัฐเกาหลี เกี่ยวกับการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อหารือและสนับสนุนการจัดทำนโยบาย/แผนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย พร้อมทั้งได้เชิญชวนสาธารณรัฐเกาหลีเข้าร่วมงาน Bangkok ICT International EXPO 2015
|
||||||||||||||||||||||||
| 2155 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการป้องกันการกำหนดราคาโอนระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน (Transfer Pricing)] | กค | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการป้องกันการกำหนดราคาโอนระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ (Transfer Pricing)] ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาราคาโอนระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน โดยให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจในการปรับปรุงรายได้และรายจ่าย รวมทั้งกำหนดอายุความในการขอคืน และกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันยื่นเอกสารแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกันต่อเจ้าพนักงานประเมิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมสรรพากรเร่งออกกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ รวมทั้งหลักการ วิธีการและเงื่อนไขในการคำนวณราคาตามวิธีการคำนวณราคาโอนขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ที่กำหนดไว้ใน Transfer Pricing Guidelines for Multinational Enterprises and Tax Administrations เพื่อให้การใช้ดุลยพินิจของเจ้าพนักงานมีหลักเกณฑ์สากลรองรับอำนาจหน้าที่ที่เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2156 | ร่างแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ปี พ.ศ. 2558 - 2569) | สลธ.คสช. | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ ประธานกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙) เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศต่อไป ซึ่งประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ (๑) ยุทธศาสตร์การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค (๒) ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต (เกษตรและอุตสาหกรรม) (๓) ยุทธศาสตร์การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย (๔) ยุทธศาสตร์การจัดการคุณภาพน้ำ (๕) ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน และ (๖) ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ รวมทั้งแนวทางการดำเนินงานในระยะเร่งด่วน/สั้น (ปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙) ระยะกลาง (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และระยะยาว (ปี ๒๕๖๕ ขึ้นไป) ๑.๒ มอบหมายให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) นำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปปฏิบัติ ตลอดจนเร่งรัดดำเนินการตามข้อเสนอแผนการปรับปรุงองค์กร เพื่อให้มีบทบาทเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในประเทศ (National Water Board) ที่สามารถบริหารจัดการและสั่งการหน่วยงานด้านทรัพยากรน้ำของประเทศได้อย่างมีเอกภาพ และปรับปรุงให้คณะกรรมการลุ่มน้ำเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการสะท้อนความต้องการของภาคีการพัฒนาในพื้นที่ และสามารถเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและเอกภาพในการบริหารจัดการน้ำภายในลุ่มน้ำของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) ที่มีรายละเอียดของแผนงาน/โครงการและวงเงินลงทุนที่ชัดเจน และเห็นควรปรับปรุงอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบของคณะกรรมการลุ่มน้ำและคณะกรรมการลุ่มน้ำสาขา ให้เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการสะท้อนความต้องการของภาคีการพัฒนาในพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสามารถเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและเอกภาพในการบริหารจัดการน้ำภายในลุ่มน้ำของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพิจารณาจัดตั้งกองทุนเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำสำหรับใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการบริหารจัดการของคณะกรรมการลุ่มน้ำและคณะกรรมการลุ่มน้ำสาขา เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานความก้าวหน้าของโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยระบุผลสัมฤทธิ์เทียบกับเป้าหมายตามด้านต่าง ๆ ในแผนยุทธศาสตร์ฯ เช่น การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค การสร้างความมั่นคงน้ำภาคการผลิต (เกษตรและอุตสาหกรรม) การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย การจัดการคุณภาพน้ำ รวมทั้งรายงานกิจกรรมที่จะต้องดำเนินการในระยะต่อไปในแต่ละไตรมาส เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เช่น การจัดหาแหล่งน้ำให้กับพื้นที่เกษตร เป็นต้น รวมทั้งแผนการดำเนินงานในอนาคตด้วย ๔. เมื่อมีการปรับปรุงโครงสร้าง กนช. เพื่อทำหน้าที่ผลักดันและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ซึ่งมีพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นประธานกรรมการ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ติดตามการขับเคลื่อนโครงการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของ กนช. ตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบเป็นระยะต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 2157 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2558 | ทก | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้รับทราบในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย ผลการประชุมกลุ่มเตรียมการครั้งที่ ๔ สำหรับการประชุมใหญ่ระดับโลกว่าด้วยวิทยุคมนาคม ค.ศ. ๒๐๑๕ (APG 15-4) ขององค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียแปซิฟิก (APT) และความคืบหน้าการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ได้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ๒. ที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์การอนุญาตการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมต่างประเทศ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการประสานสำนักกฎหมายในการนำเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และมอบหมายให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานดำเนินการและกำกับดูแลภายใต้หลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อไป ๒.๒ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการรับข้อสังเกตจากที่ประชุมเกี่ยวกับการกำหนดสิทธิ์ในการใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศและหลักเกณฑ์การจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการให้สิทธิ์การใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศ และวิเคราะห์หาข้อมูลการจัดเก็บค่าธรรมเนียมของต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อเปรียบเทียบและนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๓ เห็นชอบให้ รศ.ดร.สุเจตน์ จันทรังษ์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการอวกาศ และอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2158 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (รายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน เรื่อง การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาปฏิรูป แห่งชาติ) | สผ | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน เรื่อง การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ พิจารณากำหนดนโยบายสนับสนุนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในอาเซียน (ASEAN BEV HUB) ๑.๒ กำหนดมาตรการส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี และแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าระยะยาว (PDP 2558-2579) ให้เกิดมาตรการส่งเสริมการใช้งานของยานยนต์ไฟฟ้า และเกิดการสร้างสถานีประจุไฟฟ้าให้เพียงพอต่อจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และกำหนดมาตรการปรับปรุงแก้ไขกฎ ระเบียบ เพื่อให้มีมาตรฐานที่ปลอดภัยและการใช้งานอย่างเหมาะสมกับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าบนถนนทั่วไปและบนถนนในท้องถิ่น ตลอดจนเตรียมความพร้อมของระบบสายส่ง สายจำหน่ายไฟฟ้า นอกจากนี้ ในช่วงเริ่มต้นควรกำหนดพื้นที่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้ชัดเจน เพื่อวัตถุประสงค์ในการบรรเทาปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อม ๑.๓ กำหนดมาตรการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานบนถนนทั่วไปและบนถนนในท้องถิ่น โดยส่งเสริมให้มีการลงทุนในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อการใช้งานในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ รวมทั้งจัดทำมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้าและสถานีประจุไฟฟ้า จัดทำมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของยานยนต์ที่ใช้งานบนถนนทั่วไปและบนถนนในท้องถิ่น ตลอดจนออกมาตรการในการจัดการแบตเตอรี่ซึ่งหมดอายุจากการใช้งานหรือไม่สามารถใช้งานได้ ๑.๔ กำหนดมาตรการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะมอเตอร์ แบตเตอรี่ และสถานีประจุไฟฟ้าอย่างครบวงจรในสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัยร่วมกับผู้ประกอบการของไทย เพื่อให้สามารถนำมาใช้และผลิตจริงขึ้นในประเทศ ๑.๕ กำหนดมาตรการส่งเสริมด้านภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต ภาษีเงินได้และภาษีอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้สามารถดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงการพัฒนาและต่อยอดอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใช้งานบนถนนทั่วไปและบนถนนในท้องถิ่นที่มีอยู่ในประเทศ ๒. มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับรายงานของคณะกรรมการปฏิรูปพลังงาน เรื่อง การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชุมหารือกำหนดวิธีการและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการปฏิรูปพลังงานอันจะเป็นการช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้าจากต่างประเทศ เพิ่มทางเลือกการใช้พลังงานของประเทศและยังเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และให้กระทรวงพลังงานจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 2159 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะขององค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือ องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | นร05 | 28/04/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการของส่วนราชการตามข้อเสนอแนะขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ (คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งส่วนราชการที่ไดรับมอบหมายจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทงปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอแนะขององค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการองสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา) แต่ปรากฏว่า ยังมีเรื่องคงค้างการดำเนินการอยู่ ซึ่งในส่วนของกระทรวงกลาโหมยังมีเรื่องคงค้าง จำนวน ๑ เรื่อง คือ เรื่อง แจ้งผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียน (ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย หรือข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีขอความเป็นธรรมและขอให้ฟ้องคดีแทนผู้เสียหายจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมและควบคุมตัวผู้ชุมนุมที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 2160 | มาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต | ปช | 28/04/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะเพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต เรื่อง “การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน)” ๑.๑.๑ ข้อเสนอในทางบริหาร สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของแต่ละส่วนราชการนำข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง “การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน)” ไปเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจสำคัญของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตที่ได้จัดตั้งขึ้นในแต่ละส่วนราชการด้วย ๑.๑.๒ ข้อเสนอในทางกฎหมาย เพื่อให้ข้อกำหนดในข้อเสนอแนะเรื่อง “การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน)” มีผลและสภาพบังคับทางกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม เห็นควรนำหลักการในข้อเสนอแนะดังกล่าวเป็นข้อกำหนดส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐดังกล่าวด้วย ๑.๒ มาตรการป้องกันการทุจริตจากการใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) เห็นควรยกเว้นมิให้นำการจัดจ้างด้วยวิธีการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ มาใช้ในงานก่อสร้างทุกประเภท ไม่ว่างานก่อสร้างนั้นจะมีลักษณะของงานซับซ้อนหรือมีเทคนิคเฉพาะหรือไม่ก็ตาม ๑.๓ งานศึกษาวิจัย เรื่องโครงการศึกษาประเด็นทางกฎหมายที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตที่มีผลกระทบในภาพรวมโดยเฉพาะของเอกชน ๑.๓.๑ ปัญหาการทุจริตเชิงนโยบาย กำหนดมาตรการเสริมเพื่อป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย โดยเฉพาะมาตรการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างโดยการประชุมแบบเปิดเผย ๑.๓.๒ ปัญหาการจัดการโครงสร้างขององค์กรจัดซื้อจัดจ้างที่มีโครงสร้างแบบรวมศูนย์อำนาจ เปลี่ยนแปลงการจัดโครงสร้างองค์กรที่ทำหน้าที่จัดซื้อจัดจ้างจากแบบรวมศูนย์อำนาจ (Centralization) ที่ง่ายต่อการทุจริต เป็นลักษณะการกระจายอำนาจ (Decentralization) ๑.๓.๓ ปัญหาในชั้นกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๓.๔ ข้อเสนอแนะในมิติของกฎหมาย เห็นสมควรร่างกฎหมายในชั้นพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐโดยเฉพาะ ซึ่งมีเนื้อหาและโครงร่างเช่นเดียวกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมประเด็นต่าง ๆ เพื่อขจัดขัดขวางการกระทำการอันเป็นการทุจริตซึ่งขัดขวางต่อประโยชน์ของราชการและเป้าหมายสูงสุดของการจัดซื้อจัดจ้าง ๑.๓.๕ ข้อเสนอแนะในมิติอื่น ๆ ควรมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ทันสมัยและรองรับต่อการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ มีการเผยแพร่ความรู้แก่ผู้ประกอบการเพื่อให้เข้าใจขั้นตอนและกระบวนการในการจัดซื้อจัดจ้าง ตลอดจนสิทธิ หน้าที่ ข้อห้ามและผลของการฝ่าฝืนต่าง ๆ รวมทั้งมีการจัดทำและเผยแพร่จรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้เกี่ยวข้องในการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชุมหารือกำหนดวิธีการและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้วสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
.....
