ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 107 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2121 - 2140 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2121 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งผลการพิจารณาและมติของ กพอ. และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ตามที่ กพอ. เสนอ สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการเร่งด่วนภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ( ฉบับปรับปรุง) ที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการโดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๖๘.๘๖ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยรวมแบบครบวงจร จังหวัดระยอง (ระยะที่ ๒) ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง วงเงิน ๓๒๒.๓๐ ล้านบาท และโครงการศูนย์บัญชาการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินและกระจายข่าวของประเทศเมืองมาบตาพุด วงเงิน ๔๖.๕๖ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก จำนวน ๙๑ โครงการ วงเงินรวม ๑๐๙,๙๑๓.๘๑ ล้านบาท ประกอบด้วย การพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ๑๘ โครงการ การพัฒนาระบบราง ๘ โครงการ และการพัฒนาโครงข่ายถนน ๖๕ โครงการ ๑.๓ เห็นชอบให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ ช่วงพัทยา-มาบตาพุด โดยให้ใช้จ่ายจากเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง วงเงิน ๑๔,๒๐๐ ล้านบาท ๑.๔ รับทราบ (๑) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง (๒) ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการ กพอ. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (๓) สถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี (๔) ข้อร้องเรียนกรณีการถมทะเลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๕) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร (ฉบับคณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕) (๖) สถานการณ์ปัญหามลพิษในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก และ (๗) ความก้าวหน้าการปรับปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง (ผังเมืองรวมมาบตาพุด) ๒. ให้ กพอ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการระยะเร่งด่วนภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจรที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๖๘.๘๖ ล้านบาท ให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 2122 | รายงานผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม IISS Shangri-La Dialogue ครั้งที่ 14 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ | กห | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม IISS Shangri-La Dialogue ครั้งที่ ๑๔ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุม IISS Shangri-La Dialogue มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีหารือระดับสูงเกี่ยวกับประเด็นด้านความมั่นคง และเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ได้แถลงนโยบายและวิสัยทัศน์เกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงต่าง ๆ เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาได้กล่าวสุนทรพจน์เรื่อง “บทบาทของสหรัฐอเมริกาและความท้าทายต่อความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นได้นำเสนอแนวคิด “Shangri-La Dialogue Initiative” เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยการส่งเสริมให้มีการใช้กฎหมายและกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้พื้นที่ทางทะเลและอากาศที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันในภูมิภาค การเสริมสร้างขีดความสามารถในการรักษาความปลอดภัยพื้นที่ทางทะเลและอากาศ และการพัฒนาขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐอินโดนีเซียเสนอให้มีการปรับปรุงแบบกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้พัฒนาไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อแก้ปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาคโดยรวม โดยเสนอให้ใช้การประชุม Shangri-La Dialogue เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาทะเลจีนใต้ รวมทั้งเสนอให้มีการลาดตระเวนร่วมในบริเวณทะเลจีนใต้ระหว่างประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นต้น ๒. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้หารือทวิภาคีกับมิตรประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การหารือกับรองนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ และประเด็นความมั่นคงต่าง ๆ เช่น ปัญหาการก่อการร้ายในและนอกภูมิภาค และปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย เป็นต้น การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสิงคโปร์เกี่ยวกับความร่วมมือทางทหาร การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลีเกี่ยวกับการยกระดับความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาเกี่ยวกับการขยายความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน ๓. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ให้สัมภาษณ์รายการ Conversation With ของสถานีโทรทัศน์ Channel News Asia เรื่อง การดำเนินการตาม Roadmap ของรัฐบาล และปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย
|
||||||||||||||||||||||||
| 2123 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และหน่วยงานด้านความมั่นคงจัดเตรียมมาตรการรองรับหากเกิดกรณีที่บริการขนส่งสาธารณะหยุดชะงักหรือไม่สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดจากกรณีการนัดหยุดงานของผู้ทำหน้าที่ให้บริการเหล่านั้น โดยจัดให้มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานแทนเพื่อรองรับหากเกิดกรณีดังกล่าว ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้ทุกส่วนราชการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะต่อไป โดยคำนึงถึงกลุ่มประเทศเป้าหมายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ได้แก่ กลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) กลุ่มประเทศภายใต้สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) กลุ่มประเทศภายใต้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) และประเทศหมู่เกาะต่าง ๆ นอกจากนี้ ให้เตรียมมาตรการรองรับการกีดกันทางการค้าจากต่างประเทศอันเนื่องมาจากการดำเนินการของไทยที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการจัดหาสถานที่จำหน่ายสินค้าราคาถูกในทุกจังหวัด เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้พิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโรงงานขนาดเล็กผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ที่มีต้นทุนต่ำเพื่อจัดจำหน่ายให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยในราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป โดยดำเนินการให้เป็นรูปธรรมภายใน ๑ เดือน ๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการสร้างความเข้มแข็งด้านพลังงานทดแทนของประเทศ โดยให้สำรวจพืชพลังงานที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการเพาะปลูกและนำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทน รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรมีการเพาะปลูกพืชพลังงานดังกล่าวทดแทนการปลูกพืชในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม โดยต้องยึดหลักความสมดุลของอุปสงค์และอุปทานเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำในอนาคตด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาเกลือทะเลตกต่ำ รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบต่อไปด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบการนำเข้าและส่งออกสินค้าบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ด้านอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ให้มีความสมดุลระหว่างกัน ทั้งนี้ เพื่อไม่เกิดการเสียดุลการค้าระหว่างประเทศ ๓.๕ ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีทักษะชั้นสูงขึ้นเพื่อรองรับตลาดแรงงานไทยที่มีศักยภาพสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ การพัฒนาในพื้นที่ และความต้องการของภาคธุรกิจ ๓.๖ ให้กระทรวงพลังงานศึกษาความเป็นไปได้และพิจารณาเตรียมแนวทางการบริหารจัดการสัมปทานปิโตรเลียมที่หมดอายุลงแล้ว ในกรณีที่รัฐจะเป็นผู้ดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวแทนเอกชนรายเดิมต่อไป ๔. ด้านสังคม ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ศึกษาแนวทางการปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่ยังจำหน่ายไม่หมดของบริษัทเอกชน เพื่อนำมาดำเนินการกับที่อยู่อาศัยในโครงการของรัฐ เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ยังจำหน่ายไม่หมด โดยปรับปรุงเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในราคาต่ำ ๕. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้าให้มีมาตรการลงโทษที่เข้มงวด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนผู้สัญจรบนทางเท้า ๖. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๖.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์จากไม้ยางพาราในพื้นที่ซึ่งชาวสวนยางได้บุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเพาะปลูกทั้งที่ตัดแล้วและส่วนที่เหลืออยู่ รวมทั้งเร่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งเดิมเคยมีอาชีพกรีดยาง นอกจากนี้ ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ศึกษาความเป็นไปได้และพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์จากไม้ของกลางที่คดีสิ้นสุดแล้วด้วย ๖.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการฟื้นฟูป่าชายเลน โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดทำแผนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องประเภทนโยบาย แผนงาน โครงการต่อคณะรัฐมนตรี) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ทั้งนี้ ให้พิจารณาเสนอแนวทางตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว ๖.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน จัดทำข้อมูลโครงสร้างระบบราชการที่แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างส่วนราชการ คณะกรรมการ และกองทุนต่าง ๆ พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการปรับโครงสร้างระบบราชการ คณะกรรมการ และกองทุนต่าง ๆ โดยเสนอให้นายกรัฐมนตรีภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ๖.๔ ให้กระทรวงคมนาคมสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น รถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ถนน เป็นต้น ให้ประชาชนได้รับทราบถึงความเป็นมาของโครงการ เส้นทางที่จะดำเนินการ และการร่วมลงทุนกับประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสร้างความโปร่งใสในการดำเนินการโครงการต่าง ๆ ทั้งนี้ ในการเจรจาร่วมลงทุนดังกล่าวควรกำหนดเงื่อนไขในการจัดตั้งศูนย์ซ่อมและศูนย์การเรียนรู้ในประเทศไทยเพื่อพัฒนาบุคลากรไทยให้มีศักยภาพ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2124 | วีดิทัศน์ภารกิจด้านการต่างประเทศระหว่างวันที่ 7 - 21 พฤษภาคม 2558 | นร | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานภารกิจด้านการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ ๗-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ นายหยาง จิง มนตรีแห่งรัฐสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เดินทางเยือนประเทศไทย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ครบรอบ ๔๐ ปี ไทย-จีน โดยได้เข้าเยี่ยมคำนับนายกรัฐมนตรีและหารือความร่วมมือด้านต่างๆ หลังจากนั้นได้เข้าเยี่ยมคำนับ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเชิญร่วมงานนิทรรศการอาเซียน-จีน ในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ พร้อมกันนี้ได้เชิญมนตรีแห่งรัฐสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าร่วมประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๒ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ณ ประเทศไทย และเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เดินทางไปร่วมพิธีเปิดและกล่าวสุนทรพจน์ในงาน Expo เส้นทางสายไหมและงานแสดงสินค้าประจำปีที่นครซีอาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะประเทศเกียรติยศ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนของไทยในระดับนานาชาติ ๒. วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ได้เดินทางไปเป็นประธานร่วมเปิดงานเทศกาลไทย ครั้งที่ ๑๖ ณ สวนสาธารณะโยโยงิ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยในงานได้จัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อการพัฒนาการเกษตรและข้าวไทย นิทรรศการ “ข้าวกับชาวนา” และมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ รวมทั้งการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ๓. วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ได้เป็นประธานร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างศูนย์บำบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดในโรงพยาบาลโพนโฮง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ภายใต้โครงการพัฒนาโรงพยาบาลและปรับปรุงอาคารผู้ป่วยนอกให้เป็นศูนย์อุบัติเหตุ รวมทั้งสนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์และหลักสูตรฝึกอบรม หลังจากนั้นได้เยี่ยมชมวิทยาลัยเทคนิคแขวงเวียงจันทน์ ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ ทั้งการปรับปรุงอาคารและการพัฒนาบุคลากร ๔. วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ได้เดินทางเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในภูมิภาค ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย-อินโดนีเซีย และไทย ที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย ซึ่งนับว่าเป็นการเริ่มต้นการแก้ไขปัญหาและแสดงความรับผิดชอบร่วมกันของภูมิภาค โดยจะนำผลการประชุมดังกล่าวมาจัดการประชุมว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย ในวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ที่กรุงเทพฯ โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพเชิญผู้แทนจาก ๑๗ ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 2125 | รายงานผลการดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การยกระดับการบริการประชาชนรถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทย DLT Check in) และการยกระดับมาตรฐานห้องน้ำ สถานีขนส่งทั่วประเทศ | คค | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การยกระดับการบริการประชาชน รถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทp DLT Check in) และการยกระดับมาตรฐานห้องน้ำสถานีขนส่งทั่วประเทศ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การยกระดับการบริการประชาชน รถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทย DLT Check in) กรมการขนส่งทางบกได้เร่งพัฒนาการให้บริการด้วยรถแท็กซี่ โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการให้บริการด้วยการประเมินผ่านแอปพลิเคชัน DLT Check in ร่วมประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการรถแท็กซี่ โดยตั้งแต่เปิดใช้บริการวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์-๑๔ เมษายน ๒๕๕๘ มีผู้ดาวน์โหลดรวมกว่า ๒๐,๐๐๐ ราย ในจำนวนนี้มีการแสดงความคิดเห็นและเรื่องร้องเรียนที่ได้ดำเนินการไปแล้วทั้งหมด ๙๘๖ เรื่อง และจากข้อมูลพบว่าค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของผู้โดยสารอยู่ที่ ๒.๘ จากคะแนนเต็ม ๔ นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล DLT Check in กับฐานข้อมูลทะเบียนและเรื่องร้องเรียนของกรมการขนส่งทางบกเพื่อวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลกระทบในการประเมินความพึงพอใจการให้บริการรถแท็กซี่ พร้อมจัดกลุ่มรถแท็กซี่ที่มีปัญหาเพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขต่อไป ทั้งนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ ๑๕๘๔ ของกรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการตอบรับและจัดการเรื่องร้องเรียนทุกเรื่องที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการปฏิเสธผู้โดยสารมากที่สุดถึงร้อยละ ๒๖ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาแท็กซี่และสร้างแรงจูงใจยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ที่ทำดี โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เพื่อกำหนดทิศทางการจัดระเบียบการให้บริการด้วยรถแท็กซี่อย่างมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ๑.๒ การยกระดับมาตรฐานห้องน้ำสถานีขนส่งทั่วประเทศ กรมการขนส่งทางบกได้ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้วยการพัฒนาห้องน้ำตามสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยการออกแบบห้องน้ำตัวอย่างมาตรฐานสำหรับสถานีขนส่งผู้โดยสารเพื่อใช้เป็นแนวทางในการซ่อมแซม ปรับปรุง หรือก่อสร้างห้องน้ำใหม่ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศ พร้อมทั้งกำหนดให้จำนวนห้องน้ำมาตรฐานประเภทต่าง ๆ มีเพียงพอกับผู้ใช้บริการในสถานีทุกระดับ และสามารถให้ผู้ป่วยที่นั่งรถเข็นใช้งานได้สะดวกปลอดภัย นอกจากนี้ สุขภัณฑ์และวัสดุก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกโดยต้องอยู่ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานส้วมสาธารณะระดับประเทศ (Healthy Accessibility Safety : HAS) ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยเปิดให้ใช้บริการฟรี และมีมาตรฐานการดูแลและบำรุงรักษาห้องน้ำในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศให้อยู่ในสภาพดี ตอบสนองความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการ ปัจจุบันสถานีขนส่งผู้โดยสารในการควบคุมดูแลของกรมการขนส่งทางบก จำนวน ๖๐ แห่ง พร้อมกับสถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารงานโดยบริษัท ขนส่ง จำกัด และเอกชนอีก ๙ แห่ง จะปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ส่วนสถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๔๘ แห่ง อยู่ระหว่างรอการพิจารณางบประมาณ ทั้งนี้ เป้าหมายของกรมการขนส่งทางบก คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารต้องมีห้องน้ำที่สะอาดถูกสุขลักษณะ พร้อมใช้งานตลอดเวลา มีความพร้อมสามารถรองรับประชาชนผู้ใช้บริการ รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างเต็มภาคภูมิ เพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการจัดหาสถานที่พักรอผู้โดยสาร ณ จุดรับส่งผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่) ในสถานีขนส่งผู้โดยสารต่าง ๆ เพื่อให้บริการประชาชนในระหว่างที่รอรถและจัดให้มีรถแท็กซี่ให้บริการประชาชนอย่างเพียงพอ รวมทั้งจัดให้มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในช่วงเทศกาลต่าง ๆ และให้ประชาสัมพันธ์ช่องทางในการร้องเรียนการให้บริการ แนะนำการให้บริการผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ ๑๕๘๔ ให้ประชาชนทราบ ทั้งนี้ ในกรณีที่ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการหรือการปฏิเสธผู้โดยสารของรถแท็กซี่ ให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบและดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง เช่น การยึดใบอนุญาตขับรถ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
| 2126 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. .... | สธ | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นำความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเด็นที่ขัดกับกฎหมายอื่นไปปรับแก้ไขในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย รวมทั้งกรณีขั้นตอนการเสนอจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ให้กระทรวงสาธารณสุขประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน) แล้วแจ้งผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาต่อไป แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อกำหนดมาตรการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบแก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกใบยาสูบ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ก่อนส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา |
||||||||||||||||||||||||
| 2127 | การแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนเติบโตจนเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ระดับหนึ่งในสิบของโลก ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนนิยมเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดการแข่งขันและแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากประเทศต่าง ๆ และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทยยกเว้นการเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนบางรายเสนอค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายในรูปแบบซื้อบริการนำเที่ยวเสริมและนำเที่ยวในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนที่เรียกว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญ สำหรับปัญหานักท่องเที่ยวแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่ได้เกิดเพียงในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเท่านั้น แต่เกิดได้กับนักท่องเที่ยวทุกเชื้อชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เนื่องจากนักท่องเที่ยวเหล่านั้นยังไม่ทราบและไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมและประเพณีไทย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจึงได้แก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ จัดทำคู่มือ “Useful Tips for a Happy Holiday in Thailand” เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลประเพณีและวัฒนธรรมอันดีของไทยแจกจ่ายผ่านหลายช่องทางสำคัญ อาทิ สถานทูต สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทั่วประเทศ ศูนย์การค้า และโรงแรมต่างๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับทราบ ๑.๒ ออกตรวจการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวและตรวจการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ตามแหล่งต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบริการ ๑.๓ จัดสัมมนาให้ความรู้แก่มัคคุเทศก์เกี่ยวกับสิ่งที่นักท่องเที่ยวควรทำและไม่ควรทำ หรือ Do and Don’t ๑.๔ จัดอาสาสมัครนักท่องเที่ยวใน ๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ เชียงราย ชลบุรี และภูเก็ต เพื่อให้คำแนะนำช่วยเหลือนักท่องเที่ยวแก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๕ จัดอบรมสร้างเครือข่ายแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมัคคุเทศก์ โดยจัดให้มีการสร้างเครือข่ายสอดส่องผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ๑.๖ ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาการประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยให้คนไทยเป็นตัวแทน (nominee) ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หากนักท่องเที่ยวพบปัญหาสามารถโทรแจ้งสายด่วนตำรวจท่องเที่ยว ๑๑๕๕ ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการ ๒.๑ จัดให้มีสถานที่จอดรถโดยสารท่องเที่ยวบริเวณชานเมืองเพื่อแก้ปัญหาการจราจร และโบราณสถานชำรุดเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากแรงสั่นสะเทือนของรถโดยสาร และจัดให้มีรถโดยสารขนาดเล็กรับส่งนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างงานแก่ประชาชนที่อยู่ในท้องที่นั้น ๆ ด้วย ๒.๒ รณรงค์และผลักดันให้เกิดความตื่นตัวในการปรับปรุง พัฒนา และสร้างมาตรฐานห้องน้ำสะอาด ปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว ๒.๓ พิจารณาจัดสรรเงินรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบประมาณเพียงพอในการดูแลบริเวณโดยรอบโบราณสถานหรือแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ ด้วย ๓. โดยที่ปัจจุบันธุรกิจการท่องเที่ยวประสบปัญหาสำคัญ คือ การขาดแคลนมัคคุเทศก์ที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และมีทักษะภาษาอังกฤษที่สามารถสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ จึงเห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดเตรียมหลักสูตรฝึกอบรมมัคคุเทศก์ให้แก่ผู้ที่จบการศึกษาแล้วและยังไม่มีงานทำเป็นเป้าหมายแรก และกลุ่มผู้ที่มีความสนใจพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถเพื่อพัฒนาเป็นมัคคุเทศก์มืออาชีพต่อไป และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ๔. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดฝึกอบรมบุคลากรในท้องถิ่นให้เป็นอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนการให้บริการและดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2128 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2558 | กษ | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการมีหนังสือแจ้งกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร เร่งรัดในการกำกับดูแล ป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มผ่านช่องทางตามแนวชายแดนต่าง ๆ รวมทั้งให้กรมศุลกากร ตรวจสอบการนำเข้าน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับที่ได้แจ้งไว้ในการขออนุญาตนำเข้า (ให้สินค้าตรงตามใบขน) ๒. มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอำนวย ปะติเส) ดำเนินการบูรณาการข้อมูลด้านผลผลิตปาล์มน้ำมัน การใช้ และสต็อกน้ำมันปาล์ม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน เพื่อให้มีข้อมูลที่ทันต่อสถานการณ์และมีแนวโน้มให้ถูกต้องเป็นตัวเลขเดียวกัน รวมทั้งใช้ข้อมูลร่วมกัน ๓. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณารายละเอียดโครงการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตลาดปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอำนวย ปะติเส) ดำเนินการและเสนอให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติต่อไป ๔. เห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการโดยตำแหน่งเพิ่มเติม ได้แก่ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดกระบี่ และประธานสภาเกษตรกรจังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ๕ แสนไร่ขึ้นไป โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ต่อไป ๕. เห็นชอบ (๑) ให้คงคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ได้แก่ คณะอนุกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม คณะอนุกรรมการยกร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐ คณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการผลิต และคณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาด และ (๒) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ในเรื่องพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่บุกรุกพื้นที่ป่า เช่นเดียวกับที่ได้ดำเนินการในพืชชนิดอื่น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2129 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - อิหร่าน | คค | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-อิหร่าน และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและอิหร่าน โดยบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเอกสารที่แสดงความเข้าใจร่วมกันระหว่างไทยกับอิหร่านในการปรับปรุงสิทธิการบินในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดสายการบิน ความจุความถี่ เส้นทางบิน การใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน และสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ส่วนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของทั้งสองฝ่ายมีสาระเป็นการยืนยันการแก้ไขความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการขนส่งทางอากาศฯ ที่ได้มีการหารือกันตามบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๒. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบสาระสำคัญ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเจรจาเพื่อเปิดเส้นทางการบินที่มีศักยภาพเพิ่มเติม ในลักษณะการแลกเปลี่ยนกันกับประเทศต่าง ๆ ทั้งเที่ยวบินปกติ เที่ยวบินพิเศษ เที่ยวบินเช่าเหมาลำ และเที่ยวบินขนส่งสินค้า เป็นต้น โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐฟิจิเป็นลำดับแรกด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 2130 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการ Clean Air for Smaller Cities in the ASEAN Region ระยะที่ 2 | ทส | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการ Clean Air for Smaller Cities in the ASEAN Region (CASC) ระยะที่ ๒ และร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการ (Implementation Agreement) โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตจำนงของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและอาเซียนที่จะร่วมดำเนินโครงการ CASC ระยะที่ ๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมศักยภาพเมืองขนาดเล็กและกลางในภูมิภาคอาเซียนในการพัฒนาและดำเนินการตามแผนอากาศสะอาดเพื่อนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสอดคล้องกับแผนงานอาเซียนเพื่อให้เมืองมีสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน สำหรับร่างความตกลงสำหรับการดำเนินโครงการฯ ประกอบด้วยกิจกรรมโครงการสนับสนุนการปรับปรุงนโยบาย กฎ ระเบียบ และมาตรฐานเพื่อคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น โดยมีการจัดทำแผนอากาศสะอาดซึ่งมีการนำตัวอย่างมาตรการอากาศสะอาดไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม รวมถึงการนำหลักสูตรการฝึกอบรมที่พัฒนาโดยโครงการในหัวข้อ “การจัดการคุณภาพอากาศสำหรับเมืองขนาดเล็ก (Train-for-Clean-Air)” มาจัดฝึกอบรมและเผยแพร่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ ๑.๒ เห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารทั้งสองฉบับที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำกลับเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่ ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งความเห็นของรัฐบาลไทยต่อร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการอาเซียนทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นควรพิจารณาขยายระยะเวลาดำเนินการหรือเสนอขยายเวลาให้เหมาะสมเพื่อให้การดำเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการและตัวชี้วัด และควรมีกิจกรรมที่สอดคล้องกับการเสริมสร้างขีดความสามารถในการดำเนินงานของเมืองที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งขยายผลไปยังเมืองที่มิได้เข้าร่วมโครงการ เพื่อนำไปสู่การประเมินตัวชี้วัดสำหรับวัดระดับความสำเร็จของโครงการภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินงาน นอกจากนี้ ควรขยายระยะเวลาของโครงการออกไปเพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายไทยและประเทศอาเซียนอื่น ๆ ได้มากขึ้น และหากเห็นว่าควรยุติการดำเนินโครงการตามกำหนดเวลาภายในสิ้นปี ๒๕๕๘ ก็ย่อมกระทำได้ตามกรอบเวลาตามความตกลงดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 2131 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ ของนายกฤษณ์ เชาว์บวร ที่จังหวัดพัทลุง | อก | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงเพิ่มเติมว่า ผู้ยื่นขอต่ออายุประทานบัตรได้รับอนุญาตประทานบัตรมีอายุ ๑๐ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๓ ถึงวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ประทานบัตรหมดอายุเมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ และได้ยื่นคำขอต่ออายุประทานบัตรในพื้นที่ประทานบัตรเดิมต่อไปอีก ๑๐ ปี ซึ่งได้ยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และกระทรวงอุตสาหกรรมได้เคยเสนอเรื่องดังกล่าวมาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา แต่ยังไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีหลายครั้ง รวมทั้งมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร จึงทำให้เรื่องดังกล่าวมีความล่าช้า ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเวลาที่ประทานบัตรหมดอายุตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ จนถึงปัจจุบัน พบว่าไม่มีการทำเหมืองแร่แต่อย่างใด ๒. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของนายกฤษณ์ เชาว์บวร ที่จังหวัดพัทลุง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ๑ บี ๑ เอเอ็ม และ ๑ บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท เคมีแมน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี) ที่ให้กระทรวงอุตสาหกรรมต้องมีมาตรการที่เคร่งครัดในการติดตามให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเข้าดำเนินการในพื้นที่โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของนายกฤษณ์ เชาว์บวร ที่จังหวัดพัทลุง จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำ และกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้โดยเคร่งครัด) รวมทั้งเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการประเมินภาพรวมการให้อนุญาตหรือต่ออายุสัมปทานทำเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ทั้งหมด และมีการประเมินคุณค่าและศักยภาพของพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพภูมิประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้การตัดสินใจมีความเหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการของประเทศมากยิ่งขึ้น และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งผลักดันนโยบายเหมืองแร่สีเขียวให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว พร้อมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางส่งเสริมให้เกิดการปรับปรุงเทคโนโลยีการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมของสถานประกอบการอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2132 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ที่จังหวัดยะลา | อก | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ และเพื่อการจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ตามคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๓ และคำขอใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ที่ ๒/๒๕๕๓ ที่จังหวัดยะลา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่องการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องมีมาตรการที่เคร่งครัดในการติดตามให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ๑ บี ๑ เอเอ็ม และ ๑ บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท เคมีแมน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี) ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการประเมินภาพรวมการให้อนุญาตหรือต่ออายุสัมปทานทำเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ทั้งหมด และมีการประเมินคุณค่าและศักยภาพของพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพภูมิประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งผลักดันนโยบายเหมืองแร่สีเขียวให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว พร้อมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางส่งเสริมให้เกิดการปรับปรุงเทคโนโลยีการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมของสถานประกอบอย่างต่อเนื่องด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2133 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 6 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 31 มีนาคม 2558) | นร | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๖ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เป็นต้น และจากการประเมินผลสำเร็จในการดำเนินงาน ขณะนี้ไม่มีปัญหาความขัดแย้งรุนแรงถึงแม้ว่าได้มีการยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกไปแล้ว แต่ยังมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ควบคุมการชุมนุมอยู่ ๒. การปฏิรูปประเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติได้พิจารณาเรื่องที่สำคัญและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนในหลายเรื่อง เช่น การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย การปฏิรูประบบผังเมืองและการใช้พื้นที่เพื่อรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แนวทางการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเห็นควรให้กำหนดเป็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ แนวทางการแก้ไขและข้อเสนอในการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม การปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยการปรับปรุงแนวทางบริหารองค์กรก่อนชั้นศาลให้เหมาะสม รวมถึงกรอบแนวคิดในการปฏิรูประบบสาธารณสุข และกรอบแนวคิดในการปฏิรูประบบภาษีอากร ซึ่งรัฐบาลควรจะต้องให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสุนนการดำเนินการที่ผ่านการพิจารณาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นต้น ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ (๑) การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ (๒) การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ (๓) การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม (๔) การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม (๕) การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน (๖) การบริหารเศรษฐกิจ (๗) การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน (๘) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ (๙) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน (๑๐) การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และ (๑๑) การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
| 2134 | ขอปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสื่อ วัสดุ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการศึกษา | ศธ | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเขาสื่อ วัสดุ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการศึกษา ซึ่งประกอบด้วย รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ มีบุคคล ผู้แทนกระทรวง กรม สำนักงาน สำนัก และสถาบันที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการและเลขานุการ และเจ้าหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสิ่งของที่นำมาใช้เพื่อการศึกษาและการวิจัยของหน่วยงาน ส่วนราชการ สมาคมและมูลนิธิต่าง ๆ ที่เสนอขอยกเว้นอากรนำเข้าว่าเป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง ที่กล่าวในข้อ ๓ (๑๙) หรือไม่ แล้วจึงมีหนังสือรับรองให้หน่วยงานผู้เสนอขอยกเว้นอากรนำเข้าได้ทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าวัสดุการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมตามความตกลงฟลอเรนซ์ด้วย ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2135 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีเยียวยาความเสียหายแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา | ยธ | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ดังนี้
๑. ผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีเยียวยาความเสียหายแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เกี่ยวกับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายกำหนดหลักเกณฑ์การเยียวยาแก่ผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากข้อบกพร่องของกระบวนการยุติธรรม และให้มีการวางหลักเกณฑ์อย่างชัดเจนในการเยียวยาความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลที่ทำตามหน้าที่แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจและการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย โดยมีสาระสำคัญเป็นการเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ในประเด็นต่าง ๆ เช่น อายุความในการใช้สิทธิยื่นคำขอเพื่อการเยียวยา เงื่อนไขในการจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายให้แก่จำเลยในคดีอาญา เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. ผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน โดยกระทรวงยุติธรรมรับข้อเสนอแนะและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายไปเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 2136 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. .... | ศธ | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน โดยกำหนดให้อธิการบดีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนขออนุญาตจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งต่อสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และให้คณะกรรมการการอุดมศึกษาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 2137 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับระบบจำแนกตำแหน่งใหม่ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 2138 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย - ลาว | คค | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๘ ณ เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางถนนระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม ทั้งสองฝ่ายตกลงเห็นชอบให้ประชุมหารือสามฝ่าย โดยฝ่ายไทยเสนอให้จัดทำร่างความตกลงการเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม เพื่อเสนอต่อที่ประชุมร่วมสามฝ่าย บนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกัน สำหรับการขนส่งสินค้าภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ไทย-ลาว-เวียดนาม ฝ่ายลาวได้เสนอให้ผู้ประกอบการไทยมาลงทุนจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการลาว รวมทั้งฝ่ายลาวเสนอให้รถขนส่งสินค้าของลาวสามารถขนส่งสินค้าผ่านแดนที่ท่าเรือของไทยได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นระเบียบของกรมศุลกากร ฝ่ายไทยจึงรับที่จะไปประสานงานกับกรมศุลกากรต่อไป ๑.๒ การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ ไทย-ลาว ฝ่ายลาวได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเสร็จแล้ว ส่วนฝ่ายไทยอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาและออกแบบรายละเอียดและจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ประเด็นการเชื่อมเส้นทางรถไฟระหว่างไทย-ลาว-จีน ขนาดทาง ๑.๔๓๕ เมตร ทั้งสองฝ่ายเสนอให้มีการหารือร่วมกัน สำหรับการกำหนดจุดที่เหมาะสมสำหรับก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าควรอยู่ในแนวขนานกับสะพานเดิมค่อนลงมาทางทิศใต้ห่างจากจุดเดิม ๑๐-๓๐ เมตร และกำหนดผู้รับผิดชอบในการดำเนินการศึกษาและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างต่อไป ในส่วนของการก่อสร้างทางรถไฟช่วงท่านาแล้ง-เวียงจันทน์ สปป.ลาว ประสงค์จะขอเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์จากเดิมที่ก่อสร้างทางรถไฟขนาด ๑.๐ เมตร ต่อจากท่านาแล้งไปเวียงจันทน์ เป็น การศึกษาความเป็นไปได้ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างทางรถไฟขนาดทาง ๑.๔๓๕ เมตร ระหว่างเวียงจันทน์-หนองคาย สำหรับการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟในเส้นทางอุบลราชธานี-ช่องเม็ก ฝ่ายลาวแจ้งว่ามีผลการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นแล้ว และยินดีที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อความสมบูรณ์ของจุดเชื่อมต่อบริเวณช่องเม็กต่อไป ๑.๓ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฝ่ายลาวขอให้สนับสนุนการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดโครงการ (Feasibility Study and Detailed Design) สำหรับเส้นทางหมายเลข ๑๒ (ท่าแขก-ยมมะราด-ลังคัง-น้ำพาว) ซึ่งมีระยะทางรวมประมาณ ๑๕๗ กิโลเมตร โดยขอรับการสนับสนุนจากไทยในช่วงยมมะราด-ลังคัง ระยะทางประมาณ ๗๔ กิโลเมตร และขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงบริเวณบ้านเชียงแมนข้ามมายังตัวเมืองหลวงพระบาง รวมทั้งขอให้ฝ่ายไทยประสานกับสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (NEAD) ผลักดันโครงการที่ฝ่ายลาวขอรับความช่วยเหลือสำหรับการปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานปากเซและสะหวันนะเขต และโครงการศึกษาสำรวจและออกแบบการปรับปรุงระบบน้ำประปา ซึ่งฝ่ายไทยรับที่จะไปหารือกับ NEDA ต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ข้อตกลงในการสร้างความร่วมมือในหลายประเด็นยังไม่ได้ข้อยุติที่ชัดเจน และ/หรืออยู่ระหว่างการประสานและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพิ่มเติมระหว่างหน่วยงานของไทยและลาวเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำรายละเอียดข้อตกลงต่าง ๆ ในอนาคต จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามผลการประชุมเพื่อให้ความร่วมมือระหว่างสองประเทศสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 2139 | ผลการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 69 | กต | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๖๙ ระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุมเต็มคณะ ประเด็นได้รับความสนใจ ได้แก่ วาระการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ และการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเน้นการขจัดความยากจนและความอดอยาก การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และธรรมาภิบาล นอกจากนี้ ที่ประชุมยังให้ความสำคัญกับการแก้ไขการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและบทบาทสตรี การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การปฏิรูประบบสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ การลดอาวุธ และความขัดแย้งในส่วนต่าง ๆ ของโลก อาทิ ซีเรีย อิสราเอล-ปาเลสไตน์ ยูเครน-รัสเซีย และแอฟริกา ๒. คณะกรรมการ ๑ (การลดอาวุธและความมั่นคงระหว่างประเทศ) ที่ประชุมให้ความสนใจและชื่นชมกลไกต่าง ๆ ที่นำไปสู่ความสำเร็จ/ความคืบหน้าด้านการลดอาวุธในกรอบพหุภาคี อาทิ การประชุมว่าด้วยผลกระทบทางมนุษยธรรมของอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งอาจนำไปสู่การเจรจาจัดทำสนธิสัญญาว่าด้วยการลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างจริงจัง และสนธิสัญญาว่าด้วยการค้าอาวุธ ซึ่งน่าจะเป็นข้อตกลงด้านการควบคุมอาวุธตามแบบที่โดดเด่นที่สุดในอนาคตอันใกล้ ๓. คณะกรรมการ ๒ (เศรษฐกิจและการพัฒนา) โดยที่ผู้นำทั่วโลกจะร่วมกันรับรองวาระการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ระหว่างการประชุมสหประชาชาติเพื่อรับรองวาระการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ (UN Summit on the Post-2015 Development Agenda) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ กันยายน ๒๕๕๘ ประเทศสมาชิกจึงให้ความสำคัญกับการอ้างถึงรายงานของ Open Working Group on Sustainable Development Goals ซึ่งจะเป็นเอกสารพื้นฐานหลักสำหรับการเจรจาเพื่อจัดทำวาระการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ โดยมีการขจัดความยากจนเป็นเป้าหมายหลัก ๔. คณะกรรมการ ๓ (สังคม สิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม และวัฒนธรรม) ที่ประชุมให้ความสำคัญต่อการยกระดับสิทธิสตรีให้เท่าเทียมบุรุษและการยุติความรุนแรงต่อสตรีในทุกรูปแบบ โดยในส่วนของประเด็นวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศ กลุ่มประเทศแอฟริกาและกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลามต่อต้านการยกระดับสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ เห็นว่าขัดต่อหลักศาสนาและวัฒนธรรม ในขณะที่สหภาพยุโรปและกลุ่มประเทศลาตินอเมริกายืนยันถึงความสำคัญในการยอมรับและปกป้องกลุ่มบุคคลดังกล่าวจากการถูกทำร้าย ส่วนประเด็นการระงับโทษประหารชีวิต สิงคโปร์และอียิปต์ยืนยันว่า โทษประหารชีวิตมีไว้เพื่อป้องปรามอาชญากรรมที่มีความรุนแรง ในขณะที่สหภาพยุโรปและประเทศลาตินอเมริกามองว่า โทษประหารชีวิตไม่มีผลต่อการลดอาชญากรรม ๕. คณะกรรมการ ๔ (การเมืองพิเศษและการปลดปล่อยอาณานิคม) รัฐสมาชิกยังคงให้ความสำคัญกับปฏิบัติการสันติภาพ (Peace Operations) ซึ่งประกอบด้วยปฏิบัติการรักษาสันติภาพ (Peacekeeping Operations : PKOs) และปฏิบัติการทางการเมืองพิเศษ (Special Political Missions - SPMs) โดยเฉพาะภารกิจของคณะผู้ทรงคุณวุฒิที่แต่งตั้งโดยเลขาธิการสหประชาชาติเพื่อศึกษาและเสนอข้อแนะนำในการปรับปรุงปฏิบัติการสันติภาพให้ตอบรับกับความท้าทายด้านความมั่นคงในปัจจุบัน ๖. คณะกรรมการ ๕ (การบริหารจัดการและงบประมาณ) ที่ประชุมขอให้เลขาธิการสหประชาชาติจัดทำร่างข้อเสนองบประมาณปกติสำหรับปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ภายในกรอบงบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น ๕,๕๕๘,๓๙๕,๖๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และกำหนดอัตราวงเงินฉุกเฉิน (Contingency Fund) ไว้ที่ร้อยละ ๐.๗๕ ของกรอบงบประมาณ รวมทั้งแผนงานการจัดกิจกรรมในช่วงปีงบประมาณดังกล่าว นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบวันหยุดและความสำคัญของวันหยุดทางศาสนาต่าง ๆ ที่เสนอโดยประเทศสมาชิก เช่น วัน Yom Kippur (เสนอโดยอิสราเอล) วันวิสาขบูชา (เสนอโดยศรีลังกา) วันดิวาลี (เสนอโดยอินเดีย) และวัน Orthodox Christmas (เสนอโดยรัสเซีย) โดยให้สำนักงานภายใต้สหประชาชาติหลีกเลี่ยงการจัดการประชุมในวันหยุดดังกล่าว ๗. คณะกรรมการ ๖ (กฎหมาย) ที่ประชุมให้ความสำคัญกับมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศ และสนับสนุนให้หาข้อสรุปเพื่อจัดทำร่าง Comprehensive Convention on International Terrorism (CCIT) ให้เสร็จโดยเร็ว และเสนอให้พิจารณาปัญหาการขาดแคลนงบประมาณสำหรับกิจกรรมภายใต้โครงการความช่วยเหลือแห่งสหประชาชาติในการสอน การเรียน การเผยแพร่ และการเพิ่มความสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ ในปีงบประมาณ ๒๕๕๗-๒๕๕๘ อีกครั้ง โดยเฉพาะงบประมาณสำหรับ regional course สำหรับภูมิภาคแอฟริกา เอเชีย-แปซิฟิก และลาตินอเมริกาและแคริบเบียน และ UN Audiovisual Library of International Law (AVL) ทั้งนี้ ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัด regional course ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่กรุงเทพฯ
|
||||||||||||||||||||||||
| 2140 | การประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของ FATF ในปี พ.ศ. 2559 | ปง | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการเข้ารับการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (Anti-Money Laundering and Combating the Financing of Terrorism : AML/CFT) ของ Financial Action Task Force (FATF) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และเห็นชอบมาตรการรองรับการประเมินฯ ตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีความผิดเกี่ยวกับภาษีอากรเป็นความผิดมูลฐาน มีมติมอบหมายให้กรมสรรพากรดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับข้อแนะนำของ FATF ๑.๒ กรณีการสำแดงเงินและตราสารผ่านแดน มีมติมอบหมายสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และมาตรฐานสากลตามข้อแนะนำของ FATF ๑.๓ กรณีการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาและพิธีสารระหว่างประเทศเกี่ยวกับการก่อการร้าย มีมติมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาและพิธีสารระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายในส่วนที่ประเทศไทยยังมิได้เป็นภาคี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินมาตรการรองรับการประเมินดังกล่าว ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการตามมาตรการรองรับการประเมินฯ ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
.....
