ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 35 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 681 - 700 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
681 | โครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองนวัตกรรม ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (EECi-ARIPOLIS for BCG) | อว. | 25/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน
(Sustainable Manufacturing Center : SMC) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
: เมืองนวัตกรรม ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (EECi-ARIPOLIS
for BCG) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘) จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ
หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะเพื่อให้ผู้พัฒนาระบบ (SI) นักนวัตกร
นักวิจัย ตลอดจนนักศึกษา
ในสาขาที่เกี่ยวข้องสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ
ที่โครงการจัดเตรียมไว้ให้ และเป็นการขยายผลการวิจัยพัฒนาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ไปสู่การลงทุนต่อยอดผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ด้วยความพร้อมทั้งทางเทคนิคและศักยภาพการแข่งขัน
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
(สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) เสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการ
SMC เป็นระยะเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘) ภายในกรอบวงเงิน
๕,๔๐๘,๗๗๐,๐๐๐ บาท จำแนกเป็นงบลงทุน จำนวน ๔,๗๐๗,๕๓๐,๐๐๐ บาท
ส่วนใหญ่เป็นค่าเครื่องจักรและครุภัณฑ์ราคาสูง และเป็นงบดำเนินงาน จำนวน
๗๐๑,๒๔๐,๐๐๐ บาท ไม่เข้าข่ายตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๑ เนื่องจากไม่ใช่การก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณ
ส่วนรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
จึงไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติก่อนที่จะมีการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
(สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ)
รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
รวมทั้งข้อสังเกตของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน เช่น (๑)
ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการศูนย์ SMC ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม
โดยเฉพาะภาคเกษตรและประชาชนทั่วไป รวมทั้งกำกับดูแลให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานด้วย
และ (๒) ควรพิจารณากำหนดตัวชี้วัด เป้าหมาย ผลผลิต และผลลัพธ์ของโครงการ
SMC เพื่อวัดความสำเร็จของผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแผนด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมที่กำหนดขึ้นตามนโยบายและยุทธศาสตร์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๐ ในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
682 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 | กษ. | 25/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย
ปี ๒๕๖๓ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไยให้สามารถฟื้นฟูการผลิตลำไยที่ได้รับผลกระทบทั้งด้านการผลิตและการตลาด
และส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรมีแนวทางปฏิบัติต่อสวนลำไยเพื่อประกอบอาชีพชาวสวนลำไยได้อย่างยั่งยืน
เกษตรกร จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ครัวเรือน ภายใต้กรอบวงเงินทั้งสิ้น ๓,๔๔๐,๐๔๙,๗๓๕ ล้านบาท
ระยะเวลาดำเนินการ เดือนสิงหาคม-ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
โดยในส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ทันต่อสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า
ต้นทุนที่เหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุดกับเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงอย่างทั่วถึงและไม่เกิดความซ้ำซ้อน
รวมถึงการลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในระยะยาว
อันจะนำไปสู่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของสถานะทางการคลังของประเทศ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือในด้านการปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์ให้ได้คุณภาพเหมาะสมกับการนำไปแปรรูปผลิตภัณฑ์
และการส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากลำไยที่มีความหลากหลายมากขึ้น
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตลำไย เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
683 | ขอความเห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินการตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562 - 2563 | พณ. | 25/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินการตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน
ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ออกไปอีก ๓ เดือน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน ๒๕๖๓
เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๓ โดยใช้กรอบงบประมาณดำเนินการเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้
(๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๒) จำนวน ๑๓,๓๗๘.๙๙ ล้านบาท
ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ได้จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างรายได้ให้แก่เกษตรกรแล้ว ๙ งวด เป็นเงิน ๖,๗๒๙.๕๗ ล้านบาท
คงเหลือจำนวน ๖,๖๔๙.๔๒ ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างรายได้ให้แก่เกษตรกร
และเป็นค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. (กันยายน ๒๕๖๒-ธันวาคม ๒๕๖๓)
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับ (๑) การติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง การเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามระยะเวลาโครงการฯ
ที่กำหนด และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดทำนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป (๒) การพิจารณาเร่งรัดดำเนินมาตรการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินออกจากตลาดควบคู่ไปกับการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ
ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในประเทศ
และลดภาระงบประมาณในการจ่ายชดเชยส่วนต่างรายได้ที่จ่ายให้แก่เกษตรกรกรณีราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำมาก
และ (๓) การบูรณาการแนวทางการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคต
โดยคาดการณ์แนวโน้มความต้องการในตลาดกับพื้นที่ปลูกปาล์มที่มีอยู่
และปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันที่จะออกสู่ตลาด เพื่อหาแนวทางในการลดอุปทานและเพิ่มอุปสงค์
โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน
เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเชิงนโยบายในการบริหารจัดการทั้งระบบ และพิจารณาความซ้ำซ้อนของมาตรการที่รัฐให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
684 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งสิ้น 2,771.1784 ล้านบาท ของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท | คค. | 25/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งสิ้น ๒,๗๗๑.๑๗๘๔ ล้านบาท
ประกอบด้วย กรมทางหลวง วงเงินรวม ๑,๗๑๙.๑๐๐๘ ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท วงเงินรวม
๑,๐๕๒.๐๗๗๖ ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างกำแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ
(Rubber Fender Barrier : RFB) และโครงการติดตั้งหลักนำทางยางธรรมชาติ
(Rubber Guide Post : RGP) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาเลือกจุดดำเนินการ
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ที่ทุกภาคส่วนจะได้รับอย่างเคร่งครัด และรับรองความพร้อมกำลังการผลิตของสถาบันเกษตรกรในการผลิต
RFB และ RGP ตามปริมาณที่ต้องใช้ในการดำเนินโครงการฯ
ตลอดจนกำกับดูแลการผลิตและการติดตั้งให้มีมาตรฐานความปลอดภัยที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
และติดตามการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงกำหนดพัสดุ และวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน
พ.ศ. ๒๕๖๓ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย รวมทั้งให้ติดตามสถานการณ์ราคายางพาราอย่างใกล้ชิดเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาต่อไป ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
685 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | สธ. | 25/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน
๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในลักษณะเงินอุดหนุนให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ
เพื่อให้การสนับสนุนหน่วยงานเครือข่ายการพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศในการเพิ่มศักยภาพการผลิตวัคซีนให้พร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด
19 และการสร้างขีดความสามารถของประเทศโดยการพัฒนาวัคซีนตั้งแต่ต้นน้ำ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควร (๑)
มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขหรือนอกสังกัดที่มีความชำนาญและเกี่ยวข้องด้านเทคนิคดังกล่าวร่วมพิจารณารายละเอียดและความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายในทุกมิติสำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว
(๒)
มีการกำหนดข้อตกลงร่วมกันของสถาบันวัคซีนแห่งชาติและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบแบบแผนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการวางแผนการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงิน
รวมทั้งการกำหนดราคาจำหน่ายวัคซีนที่ได้จากการพัฒนาวัคซีนต้นแบบและการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้อยู่ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม
และ (๓) สถาบันวัคซีนแห่งชาติควรวางระบบการกำกับและติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ทันต่อสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเกิดผลสัมฤทธิ์ที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
686 | ร่างแผนพัฒนาด้านการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ระยะที่ 1 (พ.ศ.2563 - 2565) | วธ. | 18/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแผนพัฒนาด้านการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนร่างแผนพัฒนาฯ
โดยร่างแผนพัฒนาฯ จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ผลิตสื่อมีจริยธรรม มีผลผลิตสื่อที่มีความปลอดภัยและสร้างสรรค์
ประชาชนทุกกลุ่มมีความรู้เท่าทันสื่อ มีจริยธรรมและความรับผิดชอบในการสื่อสาร
มีกลไกการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มีความเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ
และมีกฎหมายที่มีความทันสมัยและมีกลไกในการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะมีการขับเคลื่อนผ่าน ๔ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ (๑)
การสนับสนุนการผลิตและเผยแพร่สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (๒)
การส่งเสริมความรู้เท่าทันสื่อ พฤติกรรมการใช้สื่อเชิงสร้างสรรค์
เฝ้าระวังและตรวจสอบสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ (๓) การบูรณาการกลไกการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนผ่านการสื่อสารสาธารณะ
และ (๔)
การพัฒนาและบูรณาการการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงมหาดไทย
ข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ควรมุ่งเน้นการส่งเสริมและการพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ด้านดิจิทัล
โดยเน้นการรู้เท่าทันสื่อ การใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์
และเกิดความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างบูรณาการในกลุ่มประชาชน โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน
ผู้สูงอายุ และคนพิการ รวมทั้งควรใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการผลิต เผยแพร่สื่อที่สร้างสรรค์
มีคุณภาพ และควรมีการติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้สื่อเพื่อนำมาวิเคราะห์
วางแผนผลิตสื่อที่เป็นประโยชน์ตรงกับความต้องการที่หลากหลายของประชาชน และ (๒)
ควรดำเนินการตรวจสอบโครงการและหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจนอย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริง
เพื่อให้ตรงกับภารกิจที่จะดำเนินการจริงอย่างเคร่งครัด
และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการ
เห็นควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องคำนึงถึงความครอบคลุมของงบประมาณ
โดยตรวจสอบกรอบวงเงินและแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินการให้ครบถ้วนสมบูรณ์
รวมทั้งการใช้จ่ายต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด พิจารณาเป้าหมาย
ประโยชน์ที่จะได้รับ ผลสัมฤทธิ์ และประสิทธิภาพของหน่วยงานเจ้าของโครงการเป็นสำคัญ
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามแผนพัฒนาดังกล่าวเห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เป็นลำดับแรก
ส่วนกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย
ก็เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
687 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและเสนอมาตรการช่วยเหลือ SMEs เพิ่มเติม | กค. | 18/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio
Guarantee Scheme ระยะพิเศษ Soft Loan พลัส
ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือ SMEs เพิ่มเติม เพื่อให้ SMEs
สามารถเข้าถึงสินเชื่อตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อความต้องการ
โดยภาระงบประมาณสำหรับการชดเชยความเสียหายในอัตราไม่เกินร้อยละ ๑๖
ของวงเงินอนุมัติค้ำประกัน กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๙,๑๒๐ ล้านบาท นั้น
เห็นควรให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
ทั้งนี้ ขอให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน
หากไม่เพียงพอจึงขอรับจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะต่อไป ๑.๒
เห็นชอบการปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท การปรับปรุงแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ
SMEs อย่างทั่วถึง
การขยายกลุ่มเป้าหมายโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และการปรับปรุงและขยายเวลาดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ
Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ ทั้งนี้
กระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวัง
รวมทั้งการปรับปรุงการดำเนินการดังกล่าวจะต้องอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไว้เดิมเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงิน
อันจะก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในอนาคต ประกอบกับในการดำเนินการดังกล่าว
เห็นควรที่กระทรวงการคลังจะได้กำหนดเพดานอัตราการให้สินเชื่อตามกลุ่ม/ประเภท
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านกระบวนการสินเชื่อ
เพื่อเพิ่มสภาพคล่องอย่างครอบคลุม เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยง
ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจาก NPLs ซึ่งรัฐบาลจะต้องรับภาระชดเชย
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงิน อันจะก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในอนาคต
อีกทั้งเพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และเห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
โดยจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย
เช่น (๑) ควรทบทวนตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นกรณีเร่งด่วน
และเน้นการพิจารณาผลการดำเนินงานจากการผลักดันนโยบายของภาครัฐแทนการพิจารณาผลกำไรจากการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและพันธกิจที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจได้รับมอบหมายในช่วงเวลานี้
(๒) ควรให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งเตรียมบุคลากร กระบวนการ
และระบบการคัดกรองเพื่อออกผลิตภัณฑ์ตามโครงการดังกล่าว
รวมทั้งพิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องด้วย (๓) โครงการต่าง ๆ
ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจที่เปราะบางและต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
เช่น กลุ่มท่องเที่ยว และ SMEs ที่เข้าไม่ถึงระบบสถาบันการเงินก่อนเป็นอันดับแรก
และ (๔)
ภาครัฐควรดำเนินการควบคู่ไปกับการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs
มีรายได้หมุนเวียนที่จะนำมาชำระหนี้ในอนาคตได้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
688 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 และโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง | พณ. | 18/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๓/๖๔ และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี
๒๕๖๓/๖๔ (ประกอบด้วย
โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลังและการบริหารจัดการการนำเข้าส่งออก)
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๓/๖๔ กรอบวงเงิน ๙,๗๘๘,๙๓๓,๗๙๘.๔๐ บาท
และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๓/๖๔
(ประกอบด้วย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังและโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร)
กรอบวงเงิน ๑๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้มีการจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน
เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
ทั้งในส่วนของข้อมูลด้านการลงทะเบียนเกษตรกร จำนวนเกษตรกร ปริมาณผลผลิตต่อไร่
จำนวนพื้นที่เพาะปลูก จำนวนสถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อน
ตลอดจนจัดให้มีระบบการรายงานการติดตามและการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากการดำเนินโครงการ
เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน
สำหรับประกอบการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่เหมาะสมและยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลังสำหรับอัตราค่าใช้จ่ายและกรอบวงเงินการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๒ (เรื่อง ขออนุมัติงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙
เพื่อดำเนินงานโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง)
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามมาตรการการดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายมันสำปะหลัง
รวมทั้งให้ดำเนินการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง
โดยป้องกันและควบคุมการขนย้ายต้นพันธุ์และท่อนพันธุ์จากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคทั้งในและประเทศเพื่อนบ้าน
และให้ความสำคัญกับการดำเนินการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ต้านทานโรคใบด่างมันสำปะหลังด้วย ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๓/๖๔ และมาตรการคู่ขนาน ควรมีการตรวจสอบเกษตรกรผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ
ตลอดจนกลไกการชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงอย่างเหมาะสมและถูกต้อง
และควรกำกับดูแลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์โครงการ/มาตรการอย่างแท้จริง
สำหรับโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง
ควรกำจัดต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคและแมลงหวี่ขาวยาสูบพาหะนำโรคในทุกพื้นที่ที่พบการระบาด
รวมทั้งจ่ายค่าชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคใบด่างมันสำปะหลังโดยเร็ว
และควรเตรียมจัดหาท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่มีคุณภาพและปลอดโรคใบด่างมันสำปะหลังไว้สำหรับให้เกษตรกรใช้เพาะปลูกในฤดูการผลิตปีถัดไปด้วย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
689 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2563/64 และมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2563/64 | พณ. | 18/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลความคืบหน้าการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปี ๒๕๖๓/๖๔ ซึ่งได้จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกรแล้ว ๗ ครั้ง จำนวน ๒๐๗,๗๙๖
ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ ๔๕.๙๗ ของเกษตรกร จำนวน ๔๕๒,๐๐๐ ราย จำนวนเงิน ๖๐๖.๓๐
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๐๕ ของวงเงินจ่ายขาดทั้งหมด (จำนวน ๑,๕๕๒.๗๘ ล้านบาท)
คงเหลืองบประมาณจ่ายขาด ๙๔๖.๔๘ ล้านบาท และรับทราบมาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปี ๒๕๖๓/๖๔ ประกอบด้วย โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปีการผลิต ๒๕๖๓/๖๔ (สนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้สามารถรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และเก็บสต็อกไว้เพื่อดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาด
วงเงินสินเชื่อ ๑,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท วงเงินงบประมาณชดเชยดอกเบี้ย ๑๕.๐๐ ล้านบาท
โดยใช้งบประมาณกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร) การบริหารจัดการการนำเข้า
การดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และการดูแลความสมดุล
โดยแจ้งปริมาณการครอบครอง การนำเข้า สถานที่เก็บ การตรวจสอบสต็อก
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
อนุมัติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๓/๖๔
กรอบวงเงิน ๑,๙๑๒,๒๑๐,๒๔๕ บาท
และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่ม
โดยสถาบันเกษตรกร ปี ๒๕๖๓/๖๔ กรอบวงเงิน ๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้มีการจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์
คำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
รวมทั้งบูรณาการข้อมูลด้านการลงทะเบียนเกษตรกร จำนวนเกษตรกร ปริมาณผลผลิตต่อไร่
จำนวนพื้นที่เพาะปลูก จำนวนสถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อน
ตลอดจนจัดให้มีระบบการรายงาน การติดตาม
และการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากการดำเนินโครงการฯ
เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน
สำหรับประกอบการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๓.
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) การดำเนินโครงการฯ
ส่งผลให้ภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายมียอดคงค้างเพิ่มขึ้น
แต่ยังคงไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของงบประมาณ (๒) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
จัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน ตลอดจนจัดให้มีระบบรายงาน
การติดตามและการประเมินผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับจากการดำเนินโครงการฯ
และ (๓)
กระทรวงพาณิชย์ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนในการสร้างเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านมาตรการโครงการคู่ขนาน
รวมถึงวางแผนบริหารจัดการผลผลิตร่วมกับผู้ประกอบการและเครือข่ายตลอดห่วงโซ่การผลิต
และควรมีการติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
690 | ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2563 | กษ. | 18/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติเพิ่มเติมวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง
ระยะที่ ๑ ในส่วนของค่าประกันรายได้ จำนวน ๒,๓๔๗,๙๐๐,๓๒๙.๓๒ บาท
และเงินชดเชยดอกเบี้ยในอัตราเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน บวก ๑ ในอัตราร้อยละ ๒.๔๐ จำนวน
๕๖,๓๔๙,๖๐๗.๙๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๔๐๔,๒๔๙,๙๓๗.๒๒ บาท โดยใช้เงินทุนสำรองธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อน และให้ ธ.ก.ส. เสนอตั้งงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับมาตรการต้นทางเพื่อปรับเปลี่ยนระบบการผลิตในสวนยางให้เกิดความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งในการควบคุมและส่งเสริมการลดพื้นที่การทำสวนยาง
การส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นที่มีศักยภาพทดแทนสวนยาง และการลดจำนวนต้นยางเพื่อปลูกพืชแซมยาง
พืชร่วมยาง และทำอาชีพเสริมในสวนยาง รวมทั้งมาตรการกลางและปลายทาง
เพื่อส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศและการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและเป็นไปตามเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ยางระยะ
๒๐ ปี ซึ่งจะช่วยยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมยางและการพัฒนาอาชีพและรายได้ของเกษตรกรให้มีความมั่นคงและยั่งยืน
โดยไม่สร้างภาระด้านงบประมาณให้กับประเทศในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ในส่วนของโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์
โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๒
การขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาง
และการเพิ่มกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง)
ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ภายใต้โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง
(ยางแห้ง) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ควรให้มีการพิจารณาแนวทางกำหนดราคาประกันรายได้เท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
(๒) ควรศึกษามาตรการหรือแนวทางเพิ่มเติมเพื่อดูดซับยางในระบบให้มากยิ่งขึ้นโดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดิน
(๓) ควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน
อาทิเช่น การลงทะเบียนจำนวนเกษตรกร ผลผลิต การจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงิน
ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตลอดจนจัดให้มีระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินการต่าง
ๆ อันจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการประกันรายได้ที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป และ
(๔) ต้องเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องครบถ้วนให้กับทุกภาคส่วน และประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการดังกล่าวในโอกาสแรก
เป็นต้น ไปพิจารณา และหากมีความจำเป็นต้องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
691 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและรายงานผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค. | 13/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบผลการดำเนินงานและเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม
๒๕๖๑ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ
ของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติข้อ ๑
เฉพาะในส่วนที่อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติมว่า “ขอให้โครงการก่อสร้างทางรถไฟ
สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง
ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง
การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ)
เพื่อให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของโครงการฯ มีความโปร่งใสและเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล” ๑.๒ ให้ยกเลิกมติข้อ ๖ ที่กำหนดว่า
“ในส่วนของการประกวดราคาค่าจ้างก่อสร้างเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย
(รฟท.) เสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ)
เพื่อพิจารณาวิธีการประกวดราคาโครงการฯ ที่เหมาะสม ทั้งนี้
ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด” และเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ
สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
การดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส
และตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน พิจารณาถึงกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี ความคุ้มค่า
ต้นทุน และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ นอกจากนี้
ควรให้ความสำคัญกับการกำกับและติดตามให้ รฟท.
เร่งดำเนินโครงการลงทุนที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบให้เป็นไปตามแผนดำเนินการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินการปรับปรุงและจัดหารถจักรและล้อเลื่อนให้มีความพร้อมและสามารถรองรับปริมาณความต้องการเดินทางและขนส่งสินค้าทางรางที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคตภายหลังจากที่ได้ดำเนินการก่อสร้างรถไฟทางคู่
ระยะที่ ๑ และรถไฟสายใหม่ จำนวน ๒ เส้นทาง แล้วเสร็จ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ในการเสนอขออนุมัติโครงการต่อคณะรัฐมนตรีในครั้งต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแล รฟท. ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐
พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มแผนงานหรือโครงการ
ให้ส่วนราชการพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่า จัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการนั้น
ๆ อย่างละเอียด รอบคอบ ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อนอย่างเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
692 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม ในพื้นที่ 76 จังหวัดทั่วประเทศ | นร.14 | 13/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๑,๘๙๒.๘๗๑๑
ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมในพื้นที่ ๗๖ จังหวัดทั่วประเทศ ของ ๕ หน่วยงาน ได้แก่ กรมชลประทาน
กระทรวงมหาดไทย กองทัพบก กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมเจ้าท่า โดยรายละเอียดของแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยรับงบประมาณ ได้แก่ จังหวัด ๗๖ แห่ง
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมโยธาธิการและผังเมือง
ซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ
และเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการของกระทรวงมหาดไทย รวมถึงกรมชลประทาน
กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กองทัพบก และกรมเจ้าท่า เป็นผู้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามขั้นตอนของระเบียบและแนวทางที่เคยปฏิบัติต่อไป ๑.๒ ให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างเคร่งครัด
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และเร่งรัดดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน
๒๕๖๓ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ
เพื่อทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
และเห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขากองอำนวยการน้ำแห่งชาติ
ติดตาม ประเมินผลการดำเนินโครงการ รวมถึงสรุปผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ
และรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย
๒.
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
693 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยกับกระทรวงอาหารและเกษตรสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | กษ. | 13/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอาหารและเกษตรแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีด้านการเกษตร
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ
(ผู้ลงนามของทั้งสองฝ่ายลงนามในประเทศของตน โดยจัดส่งเอกสารต้นฉบับที่จะให้อีกฝ่ายลงนามผ่านทางไปรษณีย์)
โดยร่างปฏิญญาร่วมฯ
เป็นเอกสารที่กำหนดข้อตกลงในการให้ความร่วมมือระหว่างกันในกรอบกว้าง ๆ
เพื่อเพิ่มความรู้ ความชำนาญด้านเทคนิคและวิชาการ
ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะมีการดำเนินโครงการร่วมกันเป็นระยะเวลา ๓ ปี
เพื่อพัฒนาการเกษตรในพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่และพัฒนาเกษตรกรรายย่อยของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรของไทยให้มีกลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานในเดือนกันยายน ๒๕๖๓
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทั้งสองฝ่ายจะรับผิดชอบร่วมกัน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒.
สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ในโอกาสแรก ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นอย่างเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
694 | โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค (Regional Innovation Center : RIC) ในประเทศไทย | นร.11 | 04/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในฐานะผู้ประสานงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค
(Regional Innovation Center : RIC) ประเทศไทย
โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการดำเนินงานศูนย์
RIC ประเทศไทย และเห็นชอบร่างเอกสารโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการดำเนินงานศูนย์
RIC ในประเทศไทย
รวมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างเอกสารโครงการฯ
ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สำหรับงบประมาณสนับสนุนโครงการฯ ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๔๒.๖๒๕ ล้านบาท และได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๓๐.๕๐๐ ล้านบาท ส่วนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
เห็นควรพิจารณาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น การเปิดโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชนในการออกแบบและพัฒนานวัตกรรมเชิงนโยบาย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารโครงการฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินงานของศูนย์
RIC ประเทศไทย
เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานให้ชัดเจน
และให้รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
695 | ผลการดำเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. สิ้นสุด ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2563 | บจธ. | 04/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) (บจธ.) สิ้นสุด ณ วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๓ ซึ่งประกอบด้วย
โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน
โครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน
และโครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดิน วงเงินงบประมาณ ๔๐๐.๔๒๗ ล้านบาท โดย
บจธ.
ได้ดำเนินโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการเรียบร้อยแล้ว
และมีงบประมาณคงเหลือ ๗๗.๔๒๙ ล้านบาท ซึ่ง บจธ. จะนำเงินคงเหลือส่วนนี้
และเงินสมทบของ บจธ. จำนวน ๕.๐๗๑ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘๔.๕๐๐ ล้านบาท
ไปใช้ดำเนินโครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจรเพิ่มเติมใน ๔ พื้นที่
ในท้องที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และตาก ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๓ ตามที่ บจธ. เสนอ และให้ บจธ.
รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน เช่น (๑) บจธ.
ควรถอดบทเรียนที่ได้รับจากการปฏิบัติงานในโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน
ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน เพื่อเป็นแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินการของ บจธ.
ในระยะต่อไป (๒) บจธ. ควรสรุปปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดในการดำเนินโครงการ
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งธนาคารที่ดิน และ (๓)
งบประมาณคงเหลือที่จะนำมาดำเนินการจะมีผลให้เกิดภาระงบประมาณอย่างต่อเนื่อง
จึงควรดำเนินการประเมินผลการดำเนินงานของ บจธ. รอบ ๑ ปี โดยคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
ตามนัยมาตรา ๕ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเร่งดำเนินการประเมินผลการดำเนินงานของ
บจธ. ว่า เกิดผลสัมฤทธิ์หรือมีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับภาระงบประมาณ
และสมควรยุบเลิกหรือไม่ ตามนัยมาตรา ๕
แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่
๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งต้องดำเนินการภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ๓.
มอบหมายให้กระทรวงการคลังและผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเร่งดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งธนาคารที่ดินหรือองค์การอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในลักษณะทำนองเดียวกับธนาคารที่ดินต่อคณะรัฐมนตรี
ตามนัยมาตรา ๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
ซึ่งต้องดำเนินการภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ๔. ให้ บจธ.
บูรณาการการดำเนินงานตามแผนงานการพัฒนาที่ดินและส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นรูปธรรม
รวมถึงร่วมกันพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบ ข้อกำหนด
และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการของเกษตรกรหรือผู้ยากจนที่ถือครองที่ดินของ บจธ.
(ทั้งลักษณะเช่าที่ดินและการจำนองที่ดิน) ให้สามารถเข้าร่วมโครงการของหน่วยงานต่าง
ๆ ได้ เพื่อให้เกษตรกรหรือผู้ยากจนกลุ่มนี้ได้รับโอกาสในการพัฒนาอาชีพและสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐในระยะต่อ
ๆ ไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
696 | ผลการดำเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า | ทส. | 04/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า
ระยะที่ ๑ ระยะเร่งด่วน (ดำเนินการแล้วเสร็จก่อนวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓)
ประกอบด้วย การดำเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในพื้นที่เร่งด่วน
การเปิดโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า และการจัดฝึกอบรมหลักสูตร “จิตอาสา”
ตามโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
697 | ขออนุมัติใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการโครงการการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย | กษ. | 29/07/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เพื่อดำเนินการโครงการการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น
๑๗๑.๖๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) การให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับดูแล โครงการการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย
ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และ (๒) การปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และ (๓) การกำหนดบทบาท ภารกิจ
และตัวชี้วัดของโครงการฯ
รวมทั้งรายละเอียดของงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานขอรับการจัดสรรเพื่อการปฏิบัติภารกิจ
เพื่อให้เกิดความชัดเจนของขอบเขตงานในการปฏิบัติงานร่วมกันและการติดตามประเมินความสำเร็จของโครงการฯ
ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรรายงานผลการดำเนินโครงการฯ
ให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติรับทราบต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
698 | การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ | นร | 29/07/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อร่วมกันดำเนินโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและชุมชนต่าง ๆ เช่น การขุดเจาะบ่อบาดาล การจัดสร้าง ปรับปรุง และซ่อมแซมฝายกั้นน้ำหรือฝายชะลอน้ำแบบชั่วคราว ให้พร้อมใช้งานได้โดยเร็ว เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ รองรับน้ำที่ไหลลงมาจากที่สูง ทำให้เกิดพื้นที่ชุ่มน้ำเพิ่มมากขึ้น สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้ยาวนานยิ่งขึ้นในช่วงฤดูแล้ง และช่วยป้องกันอุทกภัยในช่วงฤดูน้ำหลาก รวมทั้งให้พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการขุดลอกทางระบายน้ำไปยังชุมชนในแต่ละพื้นที่เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำได้อย่างสะดวกและทั่วถึง ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น ให้ประสานขอความร่วมมือรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนต่าง ๆ เพื่อเข้าร่วมดำเนินการในรูปกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ขององค์กรด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
699 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร01 | 21/07/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนเมษายน ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปัจจุบัน อปท. ทุกแห่ง ได้จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ครบเรียบร้อยแล้ว และมีการบันทึกรายชื่อผู้สมัครในระบบรายงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Report) ของกรมการปกครองแล้ว ๔๒๕,๔๑๘ คน และมีการฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำ อปท. ๕๘ จังหวัด ๑,๑๙๓ อปท. โดยมีผู้ผ่านการอบรม ๖๑,๙๖๔ คน ๒. การสำรวจข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด ๒๐๑๙ มีผลการดำเนินการ ได้แก่ (๑) ประชาชนมีความประสงค์ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพในโครงการฟาร์มตัวอย่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ๓,๔๖๗ คน (๒) ประชาชนที่อาศัยอยู่รอบพระราชวัง/พระตำหนักในพื้นที่ ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (พระราชวังบางปะอิน) จังหวัดเชียงใหม่ (พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์) จังหวัดสกลนคร (พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (พระราชวังไกลกังวล) และจังหวัดนราธิวาส (พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์) ได้รับความเดือดร้อน ๒, ๓๕๗ คน และ (๓) ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่จังหวัดที่มีคำสั่ง/ประกาศปิดพื้นที่เป็นการชั่วคราว ได้รับถุงยังชีพ ๘๓,๐๓๐ คน ๓. การดำเนินการจัดกิจกรรม “จิตอาสาต้านภัยแล้ง การประสานความร่วมมือการแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน” ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานได้ดำเนินการจัดกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา (จังหวัดต้นแบบ) และจังหวัดที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) แล้ว ๑,๔๐๔ ครั้ง ๔. การประชุมติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองเปรมประชากร โดยกระทรวงมหาดไทยได้จัดประชุม เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๓ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสำรวจข้อมูลสะพานไม้ข้ามคลองเปรมประชากรในพื้นที่ว่า มีสภาพเหมาะสมต่อการใช้งานมากน้อยเพียงใด และจังหวัดได้มีการบริหารจัดการหรือกำหนดแนวทางการพัฒนา เช่น การก่อสร้างสะพานคอนกรีตทดแทน รวมทั้งแนวทางอื่น ๆ ที่เหมาะสมอย่างไร ๕. ข้อมูลจำนวนจิตอาสาและกิจกรรมจิตอาสา ณ วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๓ มีจิตอาสาลงทะเบียน ๖,๖๓๔,๕๘๕ คน จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ๔๕,๖๙๔ ครั้ง และกิจกรรมจิตอาสาภัยพิบัติ ๔๗๒ ครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
700 | รายงานผลการดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง ปี 2562 (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2562) | มท | 14/07/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ปี ๒๕๖๒ (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม ๒๕๖๒) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม ๒๕๖๒) มีแผนงาน/โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ระยะทาง ๑๖๗ กิโลเมตร จำนวน ๓ แผนงาน ประกอบด้วย (๑) แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๕๑-๒๕๕๖ (ฉบับปรับปรุง) รวมระยะทาง ๒๕.๒ กิโลเมตร อยู่ระหว่างดำเนินการ ๑๗.๒ กิโลเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จ ปี ๒๕๖๓ (๒) แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน รัชดาภิเษก รวมระยะทาง ๒๒.๕ กิโลเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จ ปี ๒๕๖๔ และ (๓) แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียน รวมระยะทาง ๑๒๗.๓ กิโลเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จ ปี ๒๕๖๔ ๒. การเบิกจ่ายงบประมาณ ณ เดือนธันวาคม ๒๕๖๒ ได้มีการเบิกจ่ายเงินรวม ๑,๗๗๓.๖๑๕ ล้านบาท จากเป้าหมายการเบิกจ่ายในปี ๒๕๖๒ จำนวน ๒,๕๑๙.๗๔๔ ล้านบาท ๓. แผนการดำเนินงานในระยะต่อไป กฟน. ได้พิจารณาพื้นที่ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเพิ่มเติม โดยได้นำเสนอแผนการดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ฉบับปฏิบัติการเร่งรัด ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการแล้ว เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ รวมระยะทาง ๒๐.๕ กิโลเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จในปี ๒๕๖๖ ประกอบด้วย พื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงถนนรัตนาธิเบศร์ ช่วงถนนราชพฤกษ์ถึงถนนกาญจนาภิเษก และช่วงถนนกรุงเทพ-นนทบุรีถึงถนนติวานนท์ และพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ถนนสุขุมวิท ช่วงซอยสุขุมวิท ๘๑-ซอยแบริ่ง
|