ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 38 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 741 - 760 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
741 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยบูรพา | อว | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยบูรพา จำนวน ๑๑ รายการ จากเดิมจำนวน ๙๐๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๙๕๕,๓๔๙,๘๑๖.๐๙ บาท โดยมีค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจำนวน ๔๗,๓๔๙,๘๑๖.๐๙ บาท ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้ การดำเนินโครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามโครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) อย่างเคร่งครัด และหากมีความจำเป็นต้องขอเปลี่ยนแปลงรายการหรือเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ให้เสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีก่อนการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
742 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้างและเพิ่มวงเงินในการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) | ตผ | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้าง และเพิ่มวงเงินในการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิม ๔ รายการ วงเงิน ๑,๘๓๒,๙๐๖,๖๐๐ บาท เป็น ๒ รายการ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๖๓๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกอบด้วย (๑) รายการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ จำนวนเงิน ๒,๕๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ (๒) รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ จำนวนเงิน ๗๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินขอทำความตกลงความเหมาะสมของราคากับสำนักงบประมาณ ตามระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในรายละเอียดอย่างเคร่งครัด และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลในรายละเอียดต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในการต่อสัญญาเช่าที่ดินของ รฟท. ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินขอความร่วมมือจาก รฟท. ในการพิจารณาปรับปรุงอัตราค่าเช่าสำหรับหน่วยงานราชการในลักษณะผ่อนปรนต่ำสุดเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่ราคาประเมินมูลค่าที่ดิน ณ ปีที่ต่ออายุสัญญาเพิ่มสูงขึ้นมาก รวมทั้งให้ระบุการขอสงวนสิทธิ์การขอใช้พื้นที่ของ รฟท. ไว้ในสัญญาเช่าให้ชัดเจนด้วย ๒. ในกรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะต้องดำเนินโครงการในลักษณะนี้อีกในอนาคต ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบความพร้อมและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบและครบถ้วนในทุกมิติก่อนที่จะเสนอขออนุมัติโครงการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัด รวมถึงควรมีกลไกในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
743 | ขอทบทวนและยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 | ทส | 28/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๖ (เรื่อง ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กองทัพอากาศใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ) เฉพาะในส่วนของข้อ ๒.๒ ที่ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ ที่มิให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ไม่ว่ากรณีใด เป็นว่ากรณีจำเป็นที่ต้องขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ต่อคณะรัฐมนตรี ส่วนราชการจะต้องจัดทำรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาก่อน เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง ๑.๒ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๘ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดชั้นของป่าต้นน้ำลำธารและการทำเหมืองในพื้นที่ป่าปิด) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำปิงและวัง ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๓ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๙ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำยมและน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๔ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำมูลและชี และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำมูลและชี ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๕ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคใต้ ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๑.๖ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพน้ำภาคตะวันออก และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออก ที่กำหนดให้ในกรณีส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา ๑.๗ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ในเขตลุ่มน้ำภาคเหนือส่วนอื่น ๆ และในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน) ที่กำหนดให้ในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ ตั้งแต่ในระยะทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณา ๒. ในการขอเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๑ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง) อย่างเคร่งครัด ๓. ในกรณีโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ก่อนวันที่ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ มีผลบังคับใช้ ซึ่งเมื่อครบกำหนดการขออนุญาตให้ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำแล้วยังประสงค์จะใช้พื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าวต่อไป โดยเป็นการดำเนินโครงการ กิจการหรือการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์เดิมและอยู่ภายในขอบเขตพื้นที่เดิม รวมถึงกรณีโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานอื่น ๆ ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : รายงาน EIA) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าว แต่ต้องจัดทำรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Accounting Report : รายงาน EAR) ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติให้เป็นไปตามรายงาน EAR อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่อนุมัติหรืออนุญาต เช่น กรมป่าไม้หรือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ติดตาม กำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามรายงาน EAR ดังกล่าวอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ในการดำเนินการตามข้อ ๒ และ ๓ หากปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำการ ไม่กระทำการ หรือการดำเนินการใด ๆ ทั้งของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐหรือเอกชนที่ไม่ถูกต้องตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรี ประกาศ ตลอดจนข้อกำหนดและเงื่อนไขในรายงานที่เกี่ยวข้อง ให้ถือเป็นความผิดอันก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ และให้ผู้มีอำนาจหน้าที่เร่งดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายอย่างเข้มงวด ๕. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศไทยทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำ ให้มีความชัดเจนว่าอยู่ในสภาวะอย่างไร ประเทศไทยจำเป็นต้องมีพื้นที่ป่าต้นน้ำเท่าไร พื้นที่ที่คงเหลืออยู่นั้นเพียงพอหรือไม่ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวม และตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
744 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 11/2562 | สกพอ | 28/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติในเรื่องสำคัญ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภค โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ท่าอากาศยานดอนเมือง-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานอู่ตะเภา) และกรอบวงเงิน ๔๗๙.๐๕๕ ล้านบาท สำหรับการดำเนินงานรื้อย้ายเพื่อเปิดพื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ ช่วงดอนเมือง-พญาไท และช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา รวมทั้งสิ้น ๖๕๒ จุด ดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๒๔ เดือน ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการภายใต้กำกับของกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) จะดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณจากงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ เห็นชอบการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล และคณะกรรมการบริหารสัญญาและโครงสร้างการบริหารจัดการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ โดยให้มีผลเมื่อมีการประกาศใช้ประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ ฉบับที่ได้มีการปรับปรุงข้างต้นแล้ว ๑.๓ เห็นชอบการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ : การแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เพื่อพัฒนาและเตรียมพื้นที่รองรับการลงทุนจากภาคเอกชนในด้านการแพทย์จีโนมิกส์ (คาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนไม่ต่ำกว่า ๑,๒๕๐ ล้านบาท) ซึ่งจะเป็นการสร้างความรู้ทางการแพทย์จีโนมิกส์ที่จำเป็นให้แก่ประเทศ โดยการใช้ฐานข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อนำไปสู่การรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ และจะนำไปใช้ในระบบหลักประกันสุขภาพเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึง ๑.๔ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Thailand Genome Sequencing Center) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการฯ และจะมีการว่าจ้างผู้ประกอบการให้บริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม (Whole Genome Sequencing : WGS) ของประชากรไทย จำนวน ๕๐,๐๐๐ ราย รวมถึงการเห็นชอบกรอบวงเงิน ๗๕๐ ล้านบาท จากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อซื้อบริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ในการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภคเพื่อดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินควรเร่งรัดให้แล้วเสร็จตามแผน และคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะมีต่อประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งควรประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาโครงการฯ ให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
745 | ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | กค | 28/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น รฟม. การเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว การดำเนินโครงการฯ จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ การกำหนดรูปแบบการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการฯ ต้องมีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด การพิจารณาความเหมาะสมในการจำกัดอัตราค่าโดยสารสูงสุดของโครงการฯ กำหนดเงื่อนไขร่างขอบเขตการดำเนินงาน (TOR) ให้มีการจัดหารถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น และการดำเนินโครงการฯ ไม่ควรใช้เงินกู้เป็นเงินร่วมลงทุนเพราะจะทำให้เกิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยของเอกชน โดยเห็นควรให้ใช้รูปแบบการลงทุนที่ภาครัฐลงทุนค่าก่อสร้างงานโยธาเองเนื่องจากมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่ากรณีให้เอกชนร่วมลงทุนงานโยธา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งการสนับสนุนค่างานโยธาให้เอกชน ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเวนคืนของโครงการฯ ส่วนตะวันตก ให้แล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็ว และดำเนินกระบวนการคัดเลือกเอกชนที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ส่วนตะวันตก รวมทั้งจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีการเปิดให้บริการโครงการฯ ล่าข้า (Time Overrun) และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่รัฐอาจจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในการดูแลงานที่แล้วเสร็จ (Care of Work) ของโครงการฯ ส่วนตะวันออก เนื่องจากไม่สามารถเปิดให้บริการได้ทันตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ๔. ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแผนการบริหารจัดการงบประมาณเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในภาพรวมให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอเพื่อชำระคืนค่างานโยธาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับโครงการร่วมลงทุนที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติไว้แล้ว เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง เป็นต้น เนื่องจากภาครัฐจะต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนค่างานโยธาของโครงการเหล่านี้ให้แก่เอกชนในห้วงระยะเวลาที่คาบเกี่ยวกัน รวมทั้งให้พิจารณาหาแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ที่เหมาะสมเพื่อรองรับการดำเนินโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในอนาคตเพื่อช่วยลดภาระงบประมาณภาครัฐด้วย ๕. ในการดำเนินการใด ๆ ในทุกขั้นตอน ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
746 | รายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ที่จะเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (จำนวน 2 รายการ) (โครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.)ระยะที่ 3 ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) | อว | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการของโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ระยะที่ ๓ ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ระยะเวลา ๒๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๘๓) ในกรอบวงเงินงบประมาณรวม ๑๑,๙๔๓.๐๐ ล้านบาท และเห็นชอบองค์ประกอบของคณะกรรมการระดับนโยบายที่จะทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย กรอบ และทิศทางการดำเนินงานโครงการ และคณะกรรมการระดับบริหารเพื่อทำหน้าที่กำหนดหลักการ แนวทาง หลักเกณฑ์ การบริหารจัดการ ให้คำแนะนำ ส่งเสริมการดำเนินงานและติดตามผลการดำเนินงานของโครงการในภาพรวม สำหรับวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๑,๙๔๓.๐๐ ล้านบาท เห็นควรให้หน่วยงานเสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามขั้นตอน โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้องตามความพร้อม ความจำเป็น และความเหมาะสมที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณ ให้สอดคล้องกับระยะเวลาตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ ความครอบคลุมของแหล่งงบประมาณ ศักยภาพและความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณในปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐ ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และตามขั้นตอนของการพิจารณาเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น ควรมีการออกแบบระบบการคัดเลือกและการประเมินผลที่นอกเหนือจากการวัดจากคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว ควรมีมาตรการที่หลากหลายในการคัดเลือกกลุ่มเด็กด้อยโอกาสที่มีความสามารถพิเศษ ควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนให้ตรงกับอัตลักษณ์ของคู่มหาวิทยาลัย-โรงเรียน รวมถึงควรมีการประยุกต์และเชื่อมโยงการจัดการเรียนการสอนและการทำวิจัยที่คำนึงถึงบริบทของพื้นที่ ชุมชน/ท้องถิ่น และพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ในแต่ละภาค ควรมีระบบติดตามที่สามารถทราบถึงข้อมูลการประกอบอาชีพ ผลงาน และความเชี่ยวชาญของนักเรียนหลังจบโครงการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งควรกำหนดระยะเวลาการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดกรอบระยะเวลาไว้ที่ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ โดยมีการแบ่งช่วงการดำเนินงานทุก ๕ ปี เพื่อให้การดำเนินโครงการสอดรับกับห้วงเวลาการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
747 | ขออนุมัติตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกระทรวงคมนาคม | คค | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมนำรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๓ หน่วยงาน ๔๕ รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๗๗,๔๖๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามนัยมาตรา ๒๖ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) กรมทางหลวง จำนวน ๔๑ รายการ วงเงินทั้งสิ้น ๑๗๐,๖๖๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท (๒) กรมทางหลวงชนบท จำนวน ๒ รายการ วงเงินทั้งสิ้น ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ (๓) กรมท่าอากาศยาน จำนวน ๒ รายการ วงเงินทั้งสิ้น ๓,๘๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสม จำเป็น ตามวงเงินงบประมาณประจำปีต่อไป ๑.๓ สำหรับโครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคมของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๑ รายการ วงเงิน ๒,๐๕๕,๑๙๘,๐๐๐ บาท เห็นควรให้ รฟท. ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ เนื่องจากโครงการดังกล่าวไม่ใช่การดำเนินงานในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐสนับสนุนตามหลักการการอุดหนุนโครงการของ รฟท. โดยเห็นควรให้ รฟท. กู้เงินเพื่อดำเนินโครงการตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) และให้ รฟท. รับภาระเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน ตลอดจนให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงินต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมท่าอากาศยาน และ รฟท.) รับข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของโครงการ/แผนงานตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถก่อสร้างโครงการและเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ทันตามแผนงานที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ (เรื่อง การเร่งรัดของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนบริหารจัดการโครงการและมีการบริหารจัดการงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
748 | ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป : โครงการพัฒนาศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยให้เป็นพื้นที่ให้บริการทางวัฒนธรรมระดับนานาชาติ ระยะที่ 2 | วธ | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงวัฒนธรรม สำหรับโครงการพัฒนาศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยให้เป็นพื้นที่ให้บริการทางวัฒนธรรมระดับนานาชาติ ระยะที่ ๒ วงเงินงบประมาณทั้งโครงการรวมทั้งสิ้น ๓,๐๐๐,๐๒๑,๙๓๗.๘๘ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ของรัฐและประชาชนที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการอย่างยั่งยืน รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วนอย่างโปร่งใส และตรวจสอบได้ และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
749 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2562 | นร52 | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ ประกอบด้วย (๑) เรื่องเสนอเพื่อทราบ ได้แก่ การประกาศให้อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ในฐานะเมืองต้นแบบที่ ๔ “เมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” เป็นเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน กรณีเร่งรัดออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน กรณีครอบครัวนายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ และการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ (๒) เรื่องเสนอเพื่อพิจารณาใน ๒ ประเด็นหลัก ได้แก่ กรอบแนวทางการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงผ่าน “โครงการตำบลมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และแผนการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส ตามที่ ศอ.บต. เสนอ ทั้งนี้ ให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. สำหรับแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการตามมติ กพต. เช่น แผนเร่งด่วนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา แผนการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส ให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ เช่น การลงทุนและพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรให้ความสำคัญกับด้านภูมิสังคม ได้แก่ ลักษณะของพื้นที่ วิถีชีวิต ค่านิยม ความหลากหลายของวัฒนธรรมและประเพณีของคนในพื้นที่และด้านภูมินิเวศ ได้แก่ การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเมืองและชุมชนที่สอดคล้องและเหมาะสมกับระบบนิเวศอัตลักษณ์และวัฒนธรรมพื้นถิ่น รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วนในพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินโครงการสอดคล้องกับความต้องการของทุกภาคส่วนในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญให้โครงการบรรลุผลสำเร็จอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง แล้วส่งแผนงาน/โครงการดังกล่าว ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมเพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศในภาพรวมก่อนดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
750 | โครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนระดับพลังงาน 3 GeV และห้องปฏิบัติการ | อว | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนระดับพลังงาน ๓ GeV และห้องปฏิบัติการ ของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน โดยมีรายละเอียดคุณลักษณะแบบรูปรายการประมาณการค่าก่อสร้าง และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยพิจารณาถึงความคุ้มค่าและประหยัด ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพิจารณาดำเนินการตามนัยมาตรา ๑๒ ของพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม [สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)] รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบลำเลียงแสงและสถานีทดลอง (Beamline) ที่ทันสมัยผ่านการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถานีวิจัยในต่างประเทศ (๒) จัดทำแผนธุรกิจ (Business Plan) ที่ระบุกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและปริมาณความต้องการใช้บริการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในแต่ละปีอย่างชัดเจน (๓) มุ่งเน้นการให้บริการและการใช้ประโยชน์แก่ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเน้นการประชาสัมพันธ์จัดการสาธิตและบรรยายให้แก่ภาคเอกชนเพื่อสร้างความเข้าใจและส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง (๔) ศึกษาและทบทวนโครงสร้างของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) เพื่อปรับปรุงบทบาทของสถาบันสู่การเป็นหน่วยงานให้บริการงานวิจัยที่มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น และ (๕) ควรมีการจัดทำแผนลดความเสี่ยงต่าง ๆ และลงทุนด้านการพัฒนาบุคลากรลงลึกในระดับเชี่ยวชาญ โดยทำงานใกล้ชิดกับสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างกำลังคน รวมทั้งร่วมมือกับสถาบันซินโครตรอนของต่างประเทศที่เป็นพันธมิตรเพื่อให้สามารถเปิดบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเป้าหมายการบริหารงานโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
751 | ขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2562 ไปพลางก่อน สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการกำกับดูแลความปลอดภัยในการเดินเรือป้องกันอุบัติเหตุทางทะเล ของกรมเจ้าท่า | คค | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ) รายงานว่า ขอแก้ไขข้อมูลในหนังสือกระทรวงคมนาคม ที่ คค (ปคร) ๐๑๐๐.๑/๒๔ ลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๓ ในส่วนของระยะเวลาการดำเนินโครงการกำกับดูแลความปลอดภัยในการเดินเรือป้องกันอุบัติเหตุทางทะเล จำนวน ๒ รายการ ให้ถูกต้อง จากเดิม ระยะเวลาดำเนินการ ๓๐๐ วัน เป็น ระยะเวลาดำเนินการ ๒๗๐ วัน ๒. อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน หรืองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น แล้วแต่กรณี ในกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๘๘๑.๗๒๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการกำกับดูแลความปลอดภัยในการเดินเรือป้องกันอุบัติเหตุทางทะเล ของกรมเจ้าท่า ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
752 | รายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ที่จะเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (จำนวน 2 รายการ) (โครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (จังหวัดนครราชสีมา)(พ.ศ. 2564 - 2566) | อว | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินการโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (จังหวัดนครราชสีมา) (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๖) สำหรับกรอบวงเงินเพื่อดำเนินโครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑,๖๓๐,๒๖๐,๐๐๐ บาท ไม่เข้าข่ายตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้หน่วยงานเสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามขั้นตอน โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ตามความพร้อม ความจำเป็น และความเหมาะสมที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และเนื่องจากโครงการอุทยานวิยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดขอนแก่น) มีการดำเนินการมาในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว จึงควรให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของโครงการ ตลอดจนปัญหาอุปสรรค ข้อคิดเห็นและความต้องการของประชาชนและผู้ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการ อีกทั้งควรมีการกำหนดกรอบการดำเนินงาน การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ แนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง เพื่อลดความซ้ำซ้อน และมีแนวทางการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการสำรวจความต้องการ (Demand) ที่แท้จริงในพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินงานพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมมีความสอดคล้องกับความต้องการ ไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่การดำเนินงานเดิม และสามารถนำงานวิจัยและนวัตกรรมไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มในทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งควรมีการจัดทำยุทธศาสตร์หรือแผนที่นำทาง (Roadmap) เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ในภาพรวมของทั้งประเทศ ที่ระบุถึงความพร้อมของพื้นที่เป้าหมาย ความต้องการใช้ประโยชน์ และแนวทางความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคการศึกษา รวมไปถึงกำหนดเป้าหมายและแนวทางการดำเนินงานให้มีความชัดเจน สามารถนำไปถ่ายทอดสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
753 | การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น | ศธ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการ รวม ๒๓ คน และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ รวม ๖ ข้อ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควรเร่งดำเนินการเพื่อให้การดำเนินโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยและภูมิภาคเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สามารถดำเนินการคัดเลือกนักศึกษาโครงการฯ และจัดจ้างคณาจารย์จากสถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น ให้ทันในปีการศึกษา ๒๕๖๓ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
754 | ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป กระทรวงยุติธรรม | ยธ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๔ โครงการ วงเงินรวม ๕,๗๒๙.๕๐๑๐ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการก่อสร้างเรือนจำกลางลำปาง (๒) โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดร้อยเอ็ด (๓) โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดยโสธร และ (๔) โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยให้กระทรวงยุติธรรมจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความเหมาะสมจำเป็น ตามวงเงินงบประมาณประจำปีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปประกอบการดำเนินการด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย ระเบียบ ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
755 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย สำหรับรายการงบประมาณซึ่งจะต้องก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณ และมีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป | มท | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๕ หน่วยงาน ๑๐ โครงการ วงเงิน ๒๑,๓๓๒.๙๕๙๕ ล้านบาท โดยให้กระทรวงมหาดไทยจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความเหมาะสมจำเป็น ตามวงเงินงบประมาณประจำปีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีคุณลักษณะเฉพาะ ประมาณการหรือผลการสอบราคา รายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปประกอบการดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
756 | ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวนรวม ๗ รายการ (ภายใต้โครงการ จำนวน ๕ โครงการ) วงเงินรวม ๔,๐๖๕.๐๗๓๘ ล้านบาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความเหมาะสมจำเป็นตามวงเงินงบประมาณประจำปีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชนที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
757 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย สมัยที่ 14 | กษ | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย สมัยที่ ๑๔ [The Fourteenth Session of the Conference of the Parties (COP14) to the United Nations Convention to Combat Desertification (UNCCD)] จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒-๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยมีอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน (นางสาวเบญจพร ชาครานนท์) เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยในการเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งผลการประชุมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทที่เกี่ยวข้องกับอนุสัญญาฯ การพัฒนาการดำเนินงานการจัดการทรัพยากรที่ดิน (Land Degradation Neutrality : LDN) และการพัฒนาวิขาการ นโยบาย และการเผยแพร่ความรู้ การเตรียมการประเมินผลการดำเนินงานในช่วงกลางของแผนยุทธศาสตร์ของอนุสัญญาฯ ปี ๒๕๖๑-๒๕๗๓ แผนการดำเนินงานของอนุสัญญา ระยะ ๔ ปี (๒๕๖๓-๒๕๖๖) การพัฒนากระบวนการสื่อสารข้อมูล คุณภาพ และรูปแบบของรายงานที่จะนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ และการร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินโครงการ Decision Support for Mainstreaming and Scaling up of Sustainable Land Management (DS-SLM) ร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) รวมถึงประเด็นสำคัญที่กรมพัฒนาที่ดินจะประสานและร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการที่สำคัญ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
758 | ผลการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 | กษ | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ มีมติอนุมัติงบประมาณค่าบริหารโครงการฯ จำนวน ๑๘๑,๘๔๖,๒๔๖ บาท จากกองทุนพัฒนายางพารา เพื่อใช้เป็นค่าบริหารโครงการฯ เฉพาะในส่วนของเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) (จำนวน ๑,๑๒๙,๓๓๖ ราย) และสำหรับค่าบริหารโครงการฯ ที่เหลือ จำนวน ๕๒,๘๗๓,๙๗๐ บาท ซึ่งเป็นค่าบริหารโครงการฯ แก่เกษตรกรชาวสวนยางที่มาแจ้งข้อมูลพื้นที่ปลูกยางกับ กยท. (ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ จำนวน ๒๘๒,๖๘๑ ราย) ให้ กยท. เร่งดำเนินการหาแนวทางเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๒ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๑ และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินโครงการฯ กำกับดูแล ติดตามการดำเนินงาน และแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุตามวัตถุประสงค์ ๑.๓ การจ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๑ งวดที่ ๑ (วันที่ ๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) ณ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ กยท. ส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. โดยมีเกษตรกรชาวสวนยางและคนกรีด จำนวน ๖๔๐,๓๐๐ ราย พื้นที่ ๗,๑๐๗,๙๑๔.๙๒ ไร่ รวมจ่ายเงินทั้งสิ้น ๕,๕๑๕,๔๘๔,๔๑๘.๔ บาท จากเป้าหมาย ๑,๗๑๑,๒๕๒ ราย และ ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินแล้ว รวมทั้งสิ้น ๔๙๕,๙๓๐ ราย จำนวนเงิน ๒,๘๓๔,๕๔๙,๖๑๕.๑๗ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามผลการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการประกันรายได้เกษตรกรและมาตรการเสริมอื่นที่เกี่ยวข้องทุกโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรของภาคเอกชนที่ต้องมีการรับซื้อในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับราคาตลาด ทั้งนี้ หากพบว่ามีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการประการใด ก็ให้เร่งพิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขหรือมาตรการเสริมอื่นเพิ่มเติมโดยเร็วต่อไป ๓. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง รายงานผลการใช้ยางพาราและความคืบหน้า) ให้ทุกส่วนราชการที่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยางพาราเร่งรัดจัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น แล้วเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติพิจารณาในภาพรวมต่อไป นั้น มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการรวบรวมแผนงาน/โครงการดังกล่าวสำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๓ จากทุกส่วนราชการเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
759 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2561 เรื่อง มาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค 4.0 (มาตรการด้านการเงิน) | อก | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) และโครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ ๒) ภายใต้มาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค ๔.๐ (มาตรการด้านการเงิน) โดยกำหนดระยะเวลาเริ่มรับคำขอกู้ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๒ และสิ้นสุดรับคำขอกู้ภายในวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ หรือจนกว่าจะหมดวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการ แล้วแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรเร่งประชาสัมพันธ์และติดตามการดำเนินโครงการ และในการส่งเสริมแหล่งเงินทุนให้แก่ SMEs ควรมีการสำรวจความต้องการที่แท้จริงของ SMEs เป้าหมายแต่ละกลุ่ม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
760 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน | สทบ. | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงชื่อโครงการ จากโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระดับหมู่บ้าน ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เป็นโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๑.๒ เห็นชอบให้ยุติการดำเนินโครงการที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และมีงบประมาณคงเหลือ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๒ (๒) โครงการหมู่บ้านจัดตั้งใหม่ และ (๓) โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) และขอเปลี่ยนแปลงการใช้งบประมาณคงเหลือ จำนวน ๓ โครงการดังกล่าว วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๔๐๗,๗๐๐,๐๐๐ บาท ไปใช้ในการดำเนินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๑.๓ รับทราบการขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ กรณีที่จะขอใช้งบประมาณของโครงการอื่นที่ยังดำเนินการอยู่ จำนวน ๖ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๓ (๒) โครงการพัฒนาเมือง (๓) โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (๔) โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (๕) โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนโดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ และ (๖) โครงการประชารัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในกรุงเทพมหานคร วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๒,๐๘๓,๗๐๐,๐๐๐ บาท ไปใช้ในการดำเนินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนก่อน และขอให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณ จำนวน ๑๒,๐๘๓,๗๐๐,๐๐๐ บาท ดังกล่าว คืนให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อจะได้ดำเนินโครงการให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการต่อไป ๒. สำหรับการใช้งบประมาณของโครงการที่ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ จำนวน ๖ โครงการ ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามข้อเท็จจริงที่จะใช้จ่าย โดยคำนึงถึงเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ ผลสัมฤทธิ์ และประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้เกิดต้นทุนค่าเสียโอกาสในทุกมิติ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่าที่จำเป็นตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....