ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 34 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 661 - 680 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
661 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 | กค. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามที่ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ๑.๑ รับทราบและอนุมัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ
ตามมติที่ประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ ๑.๑.๑ รับทราบการปรับลดกรอบวงเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ (พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓) ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ จากเดิม ๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็น ๔๕๐,๐๐๐ ล้านบาท
โดยนำวงเงินกู้ที่ได้ปรับลดมาบรรจุในแผนฯ ปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ๑.๑.๒ อนุมัติแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔
ที่ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๑,๔๖๕,๔๓๘.๖๑ ล้านบาท
แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน ๑,๒๗๙,๔๔๖.๘๐ ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ วงเงิน
๓๘๗,๓๕๔.๘๔ ล้านบาท ๑.๑.๓ อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔
แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การเคหะแห่งชาติ
การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ
(Debt Service Coverage Ratio : DSCR) ต่ำกว่า ๑ เท่าสามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนฯ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง ๔ แห่งดังกล่าว
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย ๑.๑.๔
รับทราบแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง ๕ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๖๔-๒๕๖๘)
และมอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัดประสานงานกับรัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการในกลุ่มโครงการที่ยังขาดความพร้อมในการดำเนินการ
เพื่อเร่งรัดการดำเนินการและการลงทุนเพื่อเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในระยะต่อไป ๑.๒
อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ
การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ
ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้
ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณากู้เงิน
วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น
ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง
ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๒.
ให้ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑) ควรกำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ
จำนวน ๔ แห่งดังกล่าว ที่มีสัดส่วน DSCR ต่ำกว่า
๑ ให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการฯ อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
รวมทั้งติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการให้มีการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้
โดยเฉพาะแผนการกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-๑๙ พ.ศ.
๒๕๖๓ และ (๒) การดำเนินโครงการภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔
จะต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ แผนการใช้จ่ายและการลงทุนต้องเป็นไปตามกฎหมาย
และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและความสามารถในการชำระหนี้ด้วย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
662 | การยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C (สำนักงาน ปปง.) | ปปง. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ พื้นที่โซน C ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ตามที่สำนักงาน
ปปง. เสนอ และให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ในการจัดทำแผนงาน/โครงการ ของสำนักงาน ปปง. ในครั้งต่อ ๆ
ไป รวมถึงกรณีการใช้ที่ดินและอาคารที่ได้มาจากการยึดอายัดทรัพย์สินสำหรับเป็นสถานที่ปฏิบัติงานให้สำนักงาน
ปปง. ตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ
และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) และบริษัท
ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด
รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
เนื่องจากมีหน่วยงานของรัฐขอยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการฯ
พื้นที่โซน C หลายหน่วยงาน
จึงเห็นควรปรับแผนปฏิบัติการ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงทางรายได้
ในกรณีไม่มีผู้เช่าพื้นที่ตามประมาณการไว้ เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนแม่บทการพัฒนาด้วย
และให้บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด
เร่งหาหน่วยงานอื่นที่มีความต้องการใช้พื้นที่มาทดแทน
เพื่อไม่ให้กระทบต่อเป้าหมายของโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการฯ
พื้นที่โซน C ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้แล้วเมื่อวันที่
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
และเพื่อให้กรมธนารักษ์สามารถเตรียมวงเงินรองรับให้กับหน่วยงานได้อย่างเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
663 | ขอยกเลิกการขอใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C (สำนักงาน ป.ป.ท.) | ปปท. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการยกเลิกการขอใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ พื้นที่โซน C ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน
ป.ป.ท.) ตามที่สำนักงาน ป.ป.ท. เสนอ และให้สำนักงาน ป.ป.ท.
รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารสำนักงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เห็นควรให้สำนักงาน ป.ป.ท. กำหนดแผนการดำเนินโครงการ
เตรียมความพร้อมสถานที่ก่อสร้าง
และกำหนดรูปแบบในการก่อสร้างอาคารสำนักงานให้มีความเหมาะสมกับภารกิจที่รับผิดชอบ
เป็นไปอย่างประหยัด และคุ้มค่า
โดยกำหนดพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารและราคาต่อตารางเมตรให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๕ เมษายน ๒๕๕๙ เรื่อง ร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ
อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก
รวมทั้งคำนึงถึงหลักเกณฑ์ในการจัดผังสำนักงานให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับโครงสร้างอัตรากำลังในแต่ละประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง
และพิจารณาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ในการจัดทำแผนงาน/โครงการของสำนักงาน ป.ป.ท. ในครั้งต่อ ๆ
ไป รวมถึงโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงาน ให้สำนักงาน ป.ป.ท.
ตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ
และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
664 | ขอปรับค่าอาหารกลางวันของนักเรียน | ศธ. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับอัตราค่าอาหารกลางวันของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่
๑-ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จาก อัตรา ๒๐ บาท/คน/วัน เป็น
อัตราค่าอาหารกลางวันที่เหมาะสมตามจำนวนนักเรียนและขนาดโรงเรียน ตั้งแต่ ๒๔-๓๖
บาท/คน/วัน และให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
โดยให้นำความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
และคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรนำจำนวนนักเรียนจากทุกสังกัดมาเป็นข้อมูลประกอบในการปรับค่าอาหารกลางวัน
ควรพิจารณาราคาวัตถุดิบและค่าบริหารจัดการที่สะท้อนต้นทุนคงที่ของโรงเรียนแต่ละขนาดอย่างแท้จริง
ควรมีกลไกการติดตาม กำกับดูแล และตรวจสอบการดำเนินโครงการอาหารกลางวัน เป็นต้น
ไปประกอบด้วย ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
665 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินและขอความเห็นชอบร่างข้อตกลงการจ้างและสัญญาจ้างสัญญางาน ระบบรางระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (THE TRACKWORK,ELECTRICAL AND MECHANICAL (E&M) SYSTEM ,EMU, AND TRAINING CONTRACT) (สัญญา 2.3) ฉบับสมบูรณ์ โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการปรับกรอบวงเงินและร่างสัญญางานระบบราง
ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร [The
Trackwork, Electrical and Mechanical (E&M) System, EMU, and Training
Contract] (สัญญา ๒.๓)
ของโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย
(ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) จากเดิมวงเงิน ๓๘,๕๕๘.๓๘ ล้านบาท
เป็นวงเงิน ๕๐,๖๓๓.๕๐ ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗ (เพิ่มขึ้นจากวงเงินเดิม
จำนวน ๑๒,๐๗๕.๑๒ ล้านบาท) เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานจริง เนื่องจากมีการปรับขอบเขตงาน
การเปลี่ยนรุ่นขบวนรถ การปรับเปลี่ยนรูปแบบ ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
โดยได้ปรับเกลี่ยวงเงินค่าใช้จ่ายภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้
ภายในกรอบวงเงินจำนวน ๑๗๙,๔๑๒.๒๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑)
การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดภายในกรอบวงเงินเดิม เป็นสาระสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินโครงการฯ
จึงจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน
ก่อน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป และ (๒) ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ความละเอียดรอบคอบในระดับที่สูงที่สุดในการดำเนินการในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับแนวทางการรับภาระค่าจ้างสัญญา
๒.๓ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๕๐,๖๓๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท และแนวทางในการปรับปรุงรายละเอียดด้านงบประมาณของโครงการฯ
เห็นควรให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดไปก่อน
เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งองค์กรพิเศษเพื่อกำกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยกำกับดูแลและควบคุมการบริหารจัดการต้นทุนโครงการฯ
ไม่ให้เกินกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้
โดยบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการฯ ในมิติต่าง ๆ
อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดในประเด็นที่ร่างสัญญาดังกล่าวยังไม่ได้มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนและกำหนดวันที่ใช้เป็นฐานในการคิดคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่มีการปรับราคาสัญญาก่อนการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
และให้เร่งสรุปผลการดำเนินการประกวดราคางานโยธาในสัญญาที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
รวมถึงวงเงินคงเหลือจากการดำเนินการมาบริหารจัดการโครงการฯ
ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ให้กระทรวงคมนาคม
การรถไฟแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๑
กรกฎาคม ๒๕๖๐) เรื่อง
ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)
ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่เป็นอิสระจากการกำกับกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และการเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ในช่วงที่เหลือ
(ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
666 | การดำเนินโครงการจัดสร้างสวนป่า "เบญจกิติ" | กค. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการจัดสร้างสวนป่า
“เบญจกิติ” โดยมีแผนการก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
และแบ่งการก่อสร้างออกเป็น ๒ ระยะ ได้แก่ ระยะที่ ๑
จะก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๔
เพื่อให้มีช่วงเวลาสำหรับจัดเตรียมงานเฉลิมพระเกียรติฯ ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๔
และระยะที่ ๒ ดำเนินการในส่วนงานสวนที่เหลือ
งานปรับปรุงอาคารเดิมให้เป็นอาคารกีฬาและอาคารพิพิธภัณฑ์
กำหนดแล้วเสร็จเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
667 | กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2564 | นร.11 | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๔ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๕๑๐,๒๓๘ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน
๒๙๑,๘๐๙ ล้านบาท
(รวมงบลงทุนในรูปแบบสัญญาเช่าที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จากกิจกรรมหลักโดยตรง
วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๔๓๑ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๓๔๘ ล้านบาท)
ประกอบด้วย (๑) การลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติและโครงการต่อเนื่อง
วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๒๑๐,๒๓๘ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๒๔๑,๘๐๙
ล้านบาท และ (๒) กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน
๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท
สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้
กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕
ของกรอบวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน ๑.๒
เห็นชอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๔ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ รวมถึงงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม งบกลาง
หรืองบประมาณที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์และวิธีการงบประมาณหรือได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณแล้ว
และปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้ให้สอดคล้องกับการอนุมัติการลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี
เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ
๑.๓ มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว ๑.๔ เห็นชอบข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ระดับกระทรวง และระดับรัฐวิสาหกิจ
โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจรับข้อเสนอแนะในส่วนที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ
และรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะทุกไตรมาส
และเห็นควรให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี ๒๕๖๔
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕
ของเดือนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส
เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๕ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๔ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๓,๕๐๓ ล้านบาท และประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี
๒๕๖๕-๒๕๖๗ ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ
๓๘๓,๙๙๘ ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ ๑๐๖,๒๓๙ ล้านบาท ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง
(สำนักงานคณะกรรมการโยบายรัฐวิสากิจ)
และกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร.
ซึ่งมีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ
โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการติดตามและประเมินผลการใช้งบลงทุนและการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.
ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ)
กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งทบทวนและปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ
แผนวิสาหกิจ และแผนปฏิบัติการประจำปีของรัฐวิสาหกิจ
และแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๖๒
ที่อยู่ระหว่างการจัดทำให้สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทการพัฒนาประเทศภายใต้ภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจภายหลังวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ บนฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) เพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดการปรับยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ของรัฐวิสาหกิจทั้งในภาพรวมและแต่ละราย
ซึ่งจะทำให้การกำหนดทิศทางและกรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีความชัดเจน
ไม่ซ้ำซ้อน และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลัง
(สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) พิจารณานำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ระดับกระทรวง
และระดับรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องไปเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดตัวชี้วัดสำหรับการประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง
ภายใต้ระบบการประเมินผลรัฐวิสาหกิจประจำปีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
668 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดระยอง) | มท. | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน
๑๕๘,๑๓๓,๓๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภท เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ
และใช้เงินรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดระยองสมทบ จำนวน ๑๗,๕๗๐,๓๐๐ บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๗๕,๗๐๓,๖๐๐ บาท เพื่อดำเนินการ ๒ โครงการ ได้แก่ (๑)
โครงการป่าชายเลนในเมือง จังหวัดระยอง ป่าชายเลน พระเจดีย์กลางน้ำ อัญมณีหนึ่งเดียวในระยอง
(ระยะที่ ๓) และ (๒)
โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริจังหวัดระยอง
ระยะที่ ๓ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามประเมินผลภายหลังการดำเนินโครงการฯ
ให้มีการใช้จ่ายเงินไปอย่างคุ้มค่าและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนด
รวมทั้งการดำเนินโครงการฯ ควรสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของพื้นที่
และคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
669 | การดำเนินงานโครงการทุนการศึกษาต่อสำหรับนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยไปศึกษาต่อ ณ สถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น | ศธ. | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการทุนการศึกษาต่อสำหรับนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยไปศึกษาต่อ
ณ สถาบันโคเซ็น [National Institute of Technology (KOSEN)] ประเทศญี่ปุ่น
รวมถึงปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินโครงการทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
ทั้งระยะที่ ๑ และ ๒ ในช่วงที่ผ่านมา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร.
เกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณ การปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุน การขยายหลักสูตรโคเซ็นในสถาบันการศึกษาไทย
การเชื่อมโยงการจัดสรรทุนให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนากำลังคนและองค์ความรู้ของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
รวมทั้งให้พิจารณากำหนดสัดส่วนของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยที่จะชดใช้ทุนในสถานที่ปฏิบัติงานต่าง
ๆ (หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของเอกชนในประเทศไทย
และสถาบันไทยโคเซ็น) ให้เหมาะสม
โดยให้ความสำคัญกับหน่วยงานภาครัฐและโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยเป็นลำดับแรก
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน)
พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกาศใช้บังคับแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๓
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี
โดยจัดทำรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อประกอบการพิจารณาของสำนักงบประมาณให้เหมาะสม
สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙)
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์เป็นสำคัญ
ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
สำหรับการปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
ทั้งระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒
ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน
และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
670 | ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กค. | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการดำเนินการลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลของโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี
ปีการผลิต ๒๕๕๙/๒๕๖๐ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
และการดำเนินโครงการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่และการจัดสรรสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้แก่กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
671 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 | ดศ. | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยมีเรื่องที่สำคัญ เช่น
ผลการดำเนินงานด้านกิจการอวกาศของประเทศไทย
การดำเนินโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and
Cloud Services : GDCC) โครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
การดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
Covid-19 และโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน เป็นต้น ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
672 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการเพื่อเตรียมการรับมือ บรรเทาปัญหาน้ำท่วม และเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในฤดูฝน ปี 2563 | นร.14 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๕,๐๘๒.๗๖๐๕ ล้านบาท
เพื่อดำเนินโครงการเพื่อเตรียมการรับมือ บรรเทาปัญหาน้ำท่วม
และเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในฤดูฝน ปี ๒๕๖๓ ๑.๒ ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง
การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๑๐๖
ในกรณีที่หน่วยรับงบประมาณไม่สามารถดำเนินการได้ตามแนวทางปฏิบัติที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ก่อนสิ้นปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้สามารถกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีได้
เพื่อให้การดำเนินการเตรียมการแก้ไขปัญหา
การรับมือและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมตามแผนงานที่วางไว้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร
(๑) ให้หน่วยรับงบประมาณ ได้แก่ จังหวัด ๓๐ แห่ง
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร
มีฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ
และเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการดังกล่าวของกระทรวงมหาดไทย รวมถึงกรมชลประทาน
กรมทรัพยากรน้ำ และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
เป็นผู้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามขั้นตอนของระเบียบและแนวทางที่เคยปฏิบัติต่อไป (๒)
ให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการอย่างเคร่งครัด
และเร่งรัดการดำเนินการเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๓
ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติที่กระทรวงการคลังกำหนด รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
เพื่อทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และ (๓)
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขากองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการ
รวมถึงสรุปผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ
และรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
ทั้งนี้
ในส่วนของการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง
การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๖๒
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังต่อไป ๓.
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
673 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 19/2563 | นร.11 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๓
ที่อนุมัติให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ
เยียวยา และชดเชยให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ จากเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ เป็นเดือนกันยายน ๒๕๖๓
ภายใต้กรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ จำนวน ๒๐,๓๔๕.๖๔๓๐
ล้านบาท และอนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยปรับปรุงรายละเอียดโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
เพื่อส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา เพิ่มความถี่การพักค้าง
และกระตุ้นการใช้จ่ายกลุ่มศักยภาพ ดึงกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ เช่น ข้าราชการ พนักงาน
ลูกจ้าง พนักงานรัฐวิสาหกิจ ให้ออกเดินทางท่องเที่ยว โดยดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ และ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบให้กรมหม่อมไหมใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความชัดเจนของโครงการ/รายการ
ระยะเวลาดำเนินการ และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ
ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ อัตรา และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น
ๆ ของภาครัฐ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
674 | ขออนุมัติแผนหลักการพัฒนาหนองหาร จังหวัดสกลนคร | นร14 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนหลักการพัฒนาหนองหาร
จังหวัดสกลนคร ประกอบด้วยแผนหลัก ๕ ด้าน ได้แก่ (๑)
แผนด้านการจัดการน้ำอุปโภคบริโภค (๒) แผนด้านการสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต
(๓) แผนด้านการจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย (๔)
แผนด้านการจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และ (๕) แผนด้านการบริหารจัดการ ระยะเวลาดำเนินการ
๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๒) จำนวน ๖๒ โครงการ วงเงินงบประมาณ ๗,๔๔๕.๒๒ ล้านบาท ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนแผนหลักดังกล่าว
เห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
ความจำเป็นเร่งด่วน ความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความคุ้มค่า
ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมในทุกมิติ และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานที่รับผิดชอบควรจะมีการควบคุมดูแล ตรวจสอบ ติดตาม
และรายงานผลการดำเนินการหรือความคืบหน้าของแผนงาน/โครงการเป็นระยะ ๆ
ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ เรื่อง
ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และระดับชาติของประเทศไทย
และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) ๒.
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง การแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำธรรมชาติและแม่น้ำลำคลอง (แม่น้ำเจ้าพระยา
บึงบอระเพ็ด และบึงสีไฟ)] ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานและเร่งรัดการพัฒนาและฟื้นฟูสภาพของบึงบอระเพ็ด
จังหวัดนครสวรรค์ และบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร นั้น ขอให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทางแก้ปัญหาต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำดังกล่าวข้างต้น
รวมถึงแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่อื่นของประเทศให้ครบถ้วนด้วยเช่น กว๊านพะเยา
จังหวัดพะเยา ทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง
เพื่อให้การปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำดังกล่าวบรรลุผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืนต่อไป
เช่น การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของประชาชน
การช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงพัฒนาพื้นที่
แนวทางใช้ประโยชน์หรือจัดเก็บมวลดินที่ขุดลอกออกจากแหล่งน้ำ ทั้งนี้
ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
675 | การจัดทำข้อมูลผลงานของรัฐบาล | กปร. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานโครงการสำคัญหรือโครงการตามนโยบายรัฐบาล
(เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓) โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น
การสนับสนุนงบประมาณ/โครงการให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๑๕๑ โครงการ
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๔๘๖,๙๕๙.๑๐๑ บาท
การดำเนินโครงการจัดทำแปลงสาธิตต้นแบบทฤษฎีใหม่
การให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) การสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
และการผลิตและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริผ่านทางหนังสือพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์
เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
676 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 | กษ. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ โดยที่ประชุมมีมติที่สำคัญ เช่น (๑)
เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินการตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน
ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ออกไปอีก ๓ เดือน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน ๒๕๖๓ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม
๒๕๖๓ โดยใช้กรอบงบประมาณดำเนินการเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๗
สิงหาคม ๒๕๖๒ จำนวน ๑๓,๓๗๘.๙๙ ล้านบาท และ (๒)
เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์น้ำมัน ปี ๒๕๖๔
ระยะเวลาดำเนินการ เดือนมกราคม-กันยายน ๒๕๖๔ และมีกรอบวงเงินดำเนินการ ๘,๘๐๗.๕๔
ล้านบาท โดยคงหลักการเช่นเดียวกับโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี
๒๕๖๒-๒๕๖๓ เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
677 | การขอปรับแผนงานและงบประมาณในการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศกิจกรรมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) | ดศ. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑
การขอปรับแผนงานปรับปรุงประสิทธิภาพโครงข่ายที่ออกแบบเพื่อทดแทนการยกเลิกระบบ Phetchaburi-Sriracha (PS) ภายใต้กิจกรรมย่อยที่
๑ และแผนงานก่อสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำ Asia Direct Cable (ADC) ภายใต้กิจกรรมย่อยที่ ๓ โดยงบประมาณการดำเนินการดังกล่าวคงอยู่ในวงเงิน
๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ ๑.๒ การปรับแผนการดำเนินโครงการ
ASEAN Digital Hub ในกิจกรรมย่อยที่
๑ ซึ่งได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ ๓ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทำให้ระบบเคเบิลใต้น้ำ PS ไม่สามารถใช้งานได้ตามแผนที่ได้ออกแบบไว้
จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงโครงข่ายซึ่งมีผลกระทบต่อวงเงินงบประมาณและระยะเวลาดำเนินงาน และกิจกรรมย่อยที่ ๓
การลงทุนก่อสร้างระบบโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำเส้นใหม่มีกรอบระยะเวลาตามสัญญาก่อสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำ
ADC ที่แตกต่างจากที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบ
โดยขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการกิจกรรมย่อยที่ ๓ จากปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็น พ.ศ.
๒๕๖๕ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑)
ควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแล
การดำเนินการโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด (๒)
การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ควรดำเนินการอย่างระมัดระวัง
โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดำเนินการ
และควรกำหนดมาตรการและแนวทางในการป้องกันและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
รวมถึงแนวทางในการฟื้นฟูระบบนิเวศไว้ด้วย และ (๒)
การดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน กิจกรรมที่ ๒ (ASEAN
Digital Hub) จะสามารถรองรับความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น
จึงเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
678 | ขออนุมัติในหลักการเตรียมความพร้อมโครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี | กษ. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบการเตรียมความพร้อมโครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อกรมชลประทานจะได้ดำเนินการ ดังนี้
(๑)
กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในขั้นตอนการสำรวจ-ออกแบบรายละเอียดและชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการ
และ (๒) กระบวนการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้าง และงานเตรียมความพร้อมเพื่อก่อสร้าง
ทั้งนี้ เมื่อมีความพร้อมในด้านต่าง ๆ แล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติดำเนินโครงการอีกครั้งและเริ่มงานก่อสร้างได้ภายในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมาย ระเบียบ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น
ควรมีการบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาผลกระทบในองค์รวม
และควรศึกษาแนวทางเลือกของแหล่งเงิน เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาแนวทางเลือกของแหล่งเงินในการดำเนินโครงการฯ
นอกเหนือจากงบประมาณ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
679 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับการทุจริตในการบริหารจัดการงบประมาณโครงการกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ | ปช. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับการทุจริตในการบริหารจัดการงบประมาณโครงการกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ใน
๓ ระบบ ได้แก่ (๑) ระบบการจัดสรรงบประมาณ ตั้งแต่การเสนอโครงการเพื่อขอรับงบประมาณ
และการอนุมัติโครงการ (๒) ระบบการบริหารงบประมาณ การเบิกจ่ายงบประมาณ
และการใช้จ่ายงบประมาณ และ (๓) ระบบการติดตามและประเมินผล
และการรายงานผลการดำเนินโครงการ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงบประมาณ เช่น
ให้ดำเนินการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตตามแนวทางที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกำหนด
และให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทยนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไปดำเนินการตามภารกิจ
รวมทั้งติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
680 | ขออนุมัติกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2565 ตามแผนปฏิบัติการบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2564 - 2565) ของมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถานบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ | นร.01 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการดำเนินงานของมูลนิธิปิดทองหลังพระ
สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ
สืบสานแนวพระราชดำริ ในช่วงแผนยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ระยะที่ ๑-๒ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๒) ของมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
และเห็นชอบสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
ตามแผนปฏิบัติการบูรณการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ระยะที่ ๓
(พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕)
โดยมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในหมวดเงินอุดหนุนตามแผนดังกล่าว
ภายในกรอบวงเงิน ๕๗๒.๕๘ ล้านบาท ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕) ของมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
เห็นควรให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบปะมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับไปประสานกับมูลนิธิปิดทองหลังพระ
สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ
สืบสานแนวพระราชดำริ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการดังกล่าว
โดยมุ่งเน้นให้เกิดการจ้างงาน/สร้างรายได้ให้แก่นักศึกษาและประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยที่เห็นควรกำหนดแนวทางการจัดทำโครงการบนพื้นฐานความต้องการของประชาชนและสภาพภูมิสังคมของพื้นที่เป็นสำคัญ
โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนและชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน นอกจากนี้
ควรมีระบบการติดตามและประเมินผลความสำเร็จของโครงการเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ที่ประชาชน/ชุมชนได้รับอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับนำไปใช้ในการสรุปบทเรียนการพัฒนาของประเทศและขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|