ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 37 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 721 - 740 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
721 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2562 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 15/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๖๒ ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๕ โครงการ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค สาขาเลย สาขาชัยนาท-(หันคา) สาขาสุไหงโก-ลก (ตากใบ) (เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส) สาขานครนายก และโครงการก่อสร้างปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอนการประปาส่วนภูมิภาค สาขาสิงห์บุรี (ท่าวุ้ง) โดยจะดำเนินการก่อสร้างวางท่อส่งน้ำ ท่อจ่ายน้ำ ปรับปรุงเส้นท่อที่ชำรุด และวางท่อใหม่ในเขตจ่ายน้ำต่าง ๆ และพื้นที่ข้างเคียง รวมทั้งมีระบบผลิตน้ำประปาเพิ่มขึ้น วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๒,๑๒๑.๑๔๔ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้การประปาส่วนภูมิภาคพิจารณาใช้จ่ายเงินลงทุนจากเงินรายได้เป็นลำดับแรก และหากมีความจำเป็นต้องใช้เงินกู้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เช่น การก่อหนี้และบริหารเงินกู้ดังกล่าว จะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงความคุ้มค่า ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ และหากโครงการตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติมจะต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
722 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2563 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 15/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๖๓ ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๙ โครงการ ประกอบด้วย แผนงานโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค สาขาพัทยา-แหลมฉบัง-ศรีราชา [รองรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)] สาขาชลบุรี-พนัสนิคม-(พานทอง)-(ท่าบุญมี) ระยะที่ ๒ [รองรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)] สาขาเชียงใหม่-แม่ริม-สันกำแพง สาขายโสธร สาขานาทวี สาขาภูเขียว-(บ้านเป้า) สาขาจัตุรัส และสาขาปราจีนบุรี (ประจันตคาม)-(ศรีมหาโพธิ์) และแผนงานโครงการก่อสร้างปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอนการประปาส่วนภูมิภาค สาขาตราด (องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะกูด) โดยจะดำเนินการปรับปรุงระบบประปาทั้งระบบ (ระบบน้ำดิบ ระบบผลิต ระบบจ่ายน้ำ และระบบอื่น ๆ) เพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น ปรับปรุงการให้บริการ และแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ไปพร้อมกัน และมีแผนบริหารจัดการลดน้ำสูญเสีย ประกอบด้วยกิจกรรมหลักคือ การบริหารจัดการแรงดัน การซ่อมท่อที่รวดเร็ว การสำรวจหาน้ำสูญเสียเชิงรุก การบริหารจัดการมาตรวัดน้ำ และให้ความสำคัญกับการปรับปรุงเส้นท่อซึ่งเป็นสาเหตุหลักของน้ำสูญเสียทั้งหมด วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๙,๖๒๙.๙๙๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้การประปาส่วนภูมิภาคพิจารณาใช้จ่ายเงินลงทุนจากเงินรายได้เป็นลำดับแรก และหากมีความจำเป็นต้องใช้เงินกู้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) ดำเนินตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานและบูรณาการแผนงานการให้บริการน้ำประปาร่วมกับหน่วยงานผู้ให้บริการน้ำประปาอื่น อาทิ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานและให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด และหากโครงการตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติมจะต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้การประปาส่วนภูมิภาคเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหาที่ดินเพื่อใช้ดำเนินโครงการโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ยังไม่มีความพร้อมด้านที่ดินอยู่ระหว่างการจัดหาที่ดินหรือการขอใช้ที่ดิน ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
723 | ขออนุมัติดำเนินโครงการปรับปรุงคลองยม - น่าน จังหวัดสุโขทัย | กษ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินโครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย มีกำหนดแผนงานโครงการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๗) กรอบวงเงิน ๒,๘๗๕ ล้านบาท (โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จะดำเนินการเตรียมความพร้อมในการจัดหาที่ดินและชี้แจงทำความเข้าใจแก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔) และมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการเพื่อให้เป็นไปตามแผนงานต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้ใช้จ่ายจากรายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน จำนวน ๗๐ ล้านบาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือขอให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัด เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาความพร้อมในการดำเนินโครงการที่มีผลกระทบต่อที่ดินและทรัพย์สินของราษฎรในเขตพื้นที่โครงการ และให้ความสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
724 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง | กษ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง จากเดิม ๑๔ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๖๑) เป็น ๑๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๖๔) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม ๓,๖๗๐.๕๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อมิให้โครงสร้างของโครงการฯ ที่ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วเสื่อมสภาพลงก่อนที่โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเพื่อให้สามารถเปิดใช้งานโครงการได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระยะก่อสร้าง ซึ่งกำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด และควรถอดบทเรียนจากการดำเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง สำหรับการวางแผนก่อสร้างโครงการชลประทานในอนาคต ทั้งกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีส่วนได้เสียจากการดำเนินโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผน เพื่อให้โครงการชลประทานสามารถดำเนินการตามแผนงานที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และมีความคุ้มค่า ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้และได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในการดำเนินแผนงาน/โครงการ ในระยะต่อไป รวมทั้งโครงการอื่น ๆ ในอนาคต ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่ต้องขอปรับเปลี่ยนรายละเอียดแผนงาน/โครงการ หรือขอขยายระยะเวลาการดำเนินการออกไปในลักษณะเดียวกับเรื่องที่เสนอมาในครั้งนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
725 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารเรียนรวมและปฏิบัติการ แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา | อว | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ ให้มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไว้เดิม จำนวน ๑๔๕,๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๑๗๙,๑๙๙,๗๕๙.๔๔ ล้านบาท โดยใช้เงินรายได้ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา สำหรับวงเงินค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากสัญญาเดิม จำนวน ๔๔,๔๒๙,๗๕๙.๔๔ บาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้พิจารณาความเหมาะสมของราคาแล้ว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ๑.๒ ให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการดังกล่าว จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒. การดำเนินโครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามโครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
726 | รายงานประจำปี 2561 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | พณ | 24/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๑ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาให้แก่ประชาชนและบุคลากรทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมด้านการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ด้านการค้า/การลงทุน/การพัฒนาระหว่างประเทศ ด้านมาตรการการค้า/การลงทุนระหว่างประเทศ และด้านกฎหมายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ๒. การดำเนินโครงการวิจัย เช่น โครงการการศึกษาโอกาสและการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation) ในกลุ่มประเทศ CLMVT โครงการการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศสมาชิกอาเซียนสู่ความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่คุณค่าโลก (Global Value Chain) รายงานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการลงทุนด้านพลังงานทดแทนในประเทศสมาชิกอาเซียน และรายงานวิจัยเชิงนโยบายด้านการพัฒนาการค้าชายแดนไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นต้น ๓. การดำเนินการด้านวิชาการ ได้สนับสนุนการจัดทำผลงานทางวิชาการที่เป็นบทความและเผยแพร่ข้อมูลวิชาการของสถาบันผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ โทรทัศน์ และเว็บไซต์ สคพ. รวมทั้งขยายเครือข่ายการสร้างองค์ความรู้และการให้บริการวิชาการเพื่อการค้าและการพัฒนาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ๔. การดำเนินงานของศูนย์ศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มด้านการค้าและการพัฒนา ได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเพื่อวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ เช่น การค้าภาคบริการ การค้าชายแดน การพัฒนาที่ยั่งยืน จัดทำเอกสารรายงานผลการวิเคราะห์ด้านการค้าและการพัฒนา และจัดงานแถลงข่าวเพื่อเผยแพร่สรุปเล่มผลการศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มด้านการค้าและการพัฒนา เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
727 | ร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและการค้าและกระทรวงนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งประเทศฮังการี ประจำปี ค.ศ. 2020 - 2022 | อว | 24/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการต่างประเทศและการค้า และกระทรวงนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งประเทศฮังการี ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๐-๒๐๒๒ มีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งประเทศฮังการี โดยฝ่ายฮังการีเสนอให้ทุนการศึกษาเต็มจำนวนแก่ผู้รับทุนชาวไทย จำนวน ๔๐ ทุนต่อปี เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ส่วนฝ่ายไทยให้ทุนการศึกษาเต็มจำนวนหรือทุนการศึกษาบางส่วนแก่นักเรียน/นักศึกษาฮังการี เพื่อศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของไทยเป็นระยะเวลา ๑-๒ ภาคการศึกษา ในระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๒๐-๒๐๒๒ ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนฯ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรตัดเนื้อหาในร่างเอกสารโครงการฯ I. Higher Education Paragraph 4. ซึ่งระบุว่า “The Thai Participant will consider the Hungarian Participants as a key partner within the framework of the One District One Scholarship programme enhancing the studies of Thai students on BA/BSc level and promote the studies of Thai students in Hungary through the aforementioned programme” เนื่องจากโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน (One District One Scholarship : ODOS) จะสิ้นสุดการดำเนินโครงการในปี ๒๕๖๓ และปัจจุบันยังไม่มีแผนการดำเนินโครงการในรุ่นต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
728 | หลักเกณฑ์การบริหารสัญญาระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | นร | 24/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๓ ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อลดผลกระทบอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ต่อเอกชนคู่สัญญาในการระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปศึกษา ดูงาน ฝึกอบรม หรือประชุมให้น้อยที่สุด และต่อมากรมบัญชีกลางได้ซักซ้อมความเข้าใจกับส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การบริหารสัญญากรณีที่ได้รับผลกระทบจากกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) (ตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) ๐๔๐๕.๒/ว ๘๓ ลงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓) แล้ว นั้น แต่โดยที่หลักเกณฑ์ดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมถึงกรณีการบริหารสัญญาระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนสำหรับแผนงาน/โครงการอื่น ๆ อย่างครบถ้วน เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบของภาคเอกชนซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐในการดำเนินโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารสัญญาระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนให้ครบถ้วนโดยเร็วด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
729 | ผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 11 | กต | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๑ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี โดยนายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมฯ ร่วมกับผู้นำประเทศสมาชิกอื่น ๆ ได้แก่ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยที่ประชุมฯ ได้ทบทวนความคืบหน้าของการดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. ๒๐๑๘ เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ที่ได้รับการรับรองในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๐ ที่กรุงโตเกียว เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งหารือทิศทางความร่วมมือในอนาคต และประเด็นภูมิภาคที่มีผลกระทบต่อสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และได้ร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) ถ้อยแถลงร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๑ ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำประเทศสมาชิกในการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น และ (๒) ข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะกระชับความร่วมมือกับประเทศลุ่มน้ำโขงเพื่อให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ มีผลเป็นรูปธรรม เช่น การพัฒนาความเชื่อมโยงทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และอุตสาหกรรม การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ส่วนนายกรัฐมนตรีของไทยได้เสนอข้อคิดเห็นเพื่อการขับเคลื่อนความร่วมมือ โดยย้ำความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิดในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของแผนแม่บทยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ ตามระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ และในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามผลการประชุมฯ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับ (๑) การดำเนินงานภายใต้ “Joint Crediting Mechanism (JCM)” จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศตามที่ได้ประกาศไว้ใน Nationally Determined Contribution (NDC) และ (๒) ข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ (Mekong-Japan Initiative for SDGs Toward 2030) ในประเด็นการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควรคำนึงถึงการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสร้างภูมิต้านทานและขีดความสามารถในการปรับตัวต่ออันตรายและภัยพิบัติทางธรรมชาติ การบูรณาการมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในนโยบายและยุทธศาสตร์ และการสร้างความตระหนักรู้เพื่อลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับตัว การลดผลกระทบและการเตือนภัยล่วงหน้า ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
730 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ 1/2563 | นร | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญประกอบด้วย (๑) มาตรการด้านการเงินการคลัง ได้แก่ มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ มาตรการกระตุ้นการลงทุนผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการขจัดอุปสรรคในกระบวนการก่อหนี้เพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐ (๒) มาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนและมีโครงการลงทุนใหม่เกิดขึ้น มาตรการสร้างความเชื่อมโยงสู่เศรษฐกิจฐานรากเพื่อสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเศรษฐกิจในระดับฐานราก (๓) การเร่งรัดการลงทุนภาครัฐ โดยการเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ได้แก่ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การลงทุนด้านพลังงาน การจัดการทรัพยากรน้ำ และ (๔) แผนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศของประเทศไทย เป็นการรายงานความก้าวหน้าการทำความตกลงทางการค้า และสถานะการทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ของไทย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงานดำเนินการตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าการลงทุนเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการเพื่อขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน ให้คำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน ความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส และมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจากการดำเนินโครงการ รวมถึงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
731 | ความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ Strategic Co - ordination and Monitoring ภายใต้ Country Programme ระหว่างไทยกับ OECD) | นร11 | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินโครงการ Strategic Co-ordination and Monitoring ภายใต้โครงการ Country Programm (CP) ระหว่างไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) ซึ่งเป็นการรายงานผลการดำเนินงานของ OECD Development Centre ในการจัดทำรายงานการทบทวนสถานการณ์ประเทศไทยเชื่อมโยงหลายมิติ (MDCR) ให้กับประเทศต่าง ๆ รับทราบ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวปฏิบัติของประเทศต่าง ๆ ในการกำหนดยุทธศาสตร์ประเทศ รวมทั้งการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP ทั้ง ๑๖ โครงการ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และกรอบระยะเวลาที่กำหนด ๑.๒ เห็นชอบมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบหลักของทั้ง ๑๖ โครงการ ในการเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามกำหนดเวลา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางเยือนประเทศไทยของเลขาธิการ OECD ในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ Modernising Education and Skills Development ที่จะมีส่วนสำคัญในการยกระดับการอาชีวศึกษาของไทย ๑.๓ เห็นชอบในหลักการการจัดทำโครงการ CP ระยะที่ ๒ และการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับ (Steering Committee) สำหรับติดตามการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP ๑.๔ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจัดกิจกรรม Thailand Country Programme Launching Event ในช่วงที่เลขาธิการ OECD เดินทางเยือนประเทศไทย โดยให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP เกี่ยวกับการนำเสนอผลงานในช่วงเวลาดังกล่าว ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น ควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการ CP ระยะที่ ๒ รวมทั้งให้ความสำคัญกับสาขาหรือประเด็นปฏิรูปที่มีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน และการพิจารณาจัดทำฐานข้อมูลความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการคัดเลือกโครงการในมิติความซ้ำซ้อน และการประเมินผลในอนาคต สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. ในส่วนของการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับ (Steering Committee) สำหรับติดตามการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP นั้น ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวน่าจะไม่มีความจำเป็น โดยอาจใช้วิธีการประสานและปรึกษาหารือร่วมกันได้ หรืออาจพิจารณาใช้ประโยชน์จากคณะกรรมการกำกับดูแลในการทบทวนการดำเนินโครงการ CP ระยะที่ ๑ เพื่อพิจารณาผลกระทบและประเมินความคุ้มค่าของโครงการ และใช้ประกอบการพิจารณาความเหมาะสมที่จะจัดทำโครงการ CP ระยะที่ ๒ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๔. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศถึงความเหมาะสมในการดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยภายใต้บริบทของความรับผิดชอบระหว่างไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
732 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าวัสดุอุปกรณ์ในการจัดทำหน้ากากอนามัยในการดำเนินโครงการพลังคนไทยร่วมใจป้องกันไวรัสโคโรนา (COVID - 19) | มท | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการจัดทำโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการจัดทำหน้ากากอนามัยเพื่อการป้องกันตนเอง ๑.๒ อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงินงบประมาณ ๒๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับเป็นค่าวัสดุอุปกรณ์ในการจัดทำหน้ากากอนามัยในโครงการพลังคนไทยร่วมใจป้องกันไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยการจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๗,๗๗๔ แห่ง (เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
733 | การดำเนินงานโครงการตามแผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วงและอุทกภัย ปี 2562 | กษ | 24/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ คู่มือการดำเนินงานแผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วง และอุทกภัย ปี ๒๕๖๒ ของ ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร (๒) โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว ปี ๒๕๖๓/๖๔ (๓) โครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง การเลี้ยงปลานิลแปลงเพศในบ่อดิน และ (๔) โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีก โดยมีรายละเอียด เช่น คุณสมบัติของเกษตรกรและเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ ขั้นตอน/แผนการดำเนินงาน ๑.๒ ผลการดำเนินงานตามแผนการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วง และอุทกภัย ปี ๒๕๖๒ โดยผลการรับสมัครเกษตรกร ปรากฏว่า โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีก มีเกษตรกรแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการมากกว่าเป้าหมาย ส่วนโครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว ปี ๒๕๖๓/๖๔ และโครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง การเลี้ยงปลานิลแปลงเพศในบ่อดิน มีผู้ประสงค์เข้าร่วมต่ำกว่าเป้าหมาย ๒. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถัวจ่ายงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ระหว่างโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วง อุทกภัย ปี ๒๕๖๒ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๙๖๗.๕๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับการปรับเปลี่ยนปริมาณของเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิดข้าวและปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้าวของแหล่งผลิตตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมการข้าว) ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของสถาบันเกษตรกรให้ยกระดับการผลิตข้าวเปลือกบริโภคทั่วไปเป็นการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามหลักการ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ และคู่มือการดำเนินงานแผนปฏิบัติการอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินโครงการให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนจัดให้มีการติดตามและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย นอกจากนี้ การขออนุมัติปรับเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวแต่ละชนิด และปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้าวของแหล่งผลิต ควรคำนึงถึงจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการที่มีจำนวนต่ำกว่าเป้าหมาย และการปรับเพิ่มปริมาณพันธุ์ที่มากกว่าปริมาณที่จัดสรรให้สหกรณ์การเกษตรดำเนินการ ควรสอดรับกับจำนวนเกษตรกร พื้นที่ และปริมาณเมล็ดพันธุ์ที่จะจัดสรรให้ผู้เข้าร่วมโครงการจริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
734 | รายงานสรุปการประชุมขับเคลื่อนการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชนนำร่อง โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) | ยธ | 24/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปการประชุมขับเคลื่อนการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชนนำร่อง โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ซึ่งที่ประชุมฯ มีข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. ควรสนับสนุนให้ผู้นำตามธรรมชาติเข้ามามีส่วนร่วมเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนงานในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อเสริมการทำงานร่วมกับกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน ๒. ควรบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น กระทรวงแรงงานในการพัฒนาวิชาชีพและการตั้งเป้าหมายในชีวิตแก่ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมทั้งนโยบายการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการหรือนายจ้างที่รับผู้ผ่านการบำบัด/ผู้พ้นโทษ เข้าทำงาน ๓. ควรเน้นเรื่องการนำข้อมูลจากระดับหมู่บ้าน/ชุมชน มาบูรณาการเพื่อดำเนินการขยายผลจับกุมควบคู่กับมาตรการยึดทรัพย์ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตและครอบครัวของผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งนี้ ควรพิจารณาประเด็นความปลอดภัยของผู้ให้ข้อมูลข่าวสารให้รอบคอบ ๔. ให้สำนักงาน ป.ป.ส. พิจารณาแนวทางการมอบธงสัญลักษณ์ระดับครัวเรือนให้แก่หมู่บ้าน/ชุมชน ที่เข้าร่วมโครงการ ๕. ให้ขยายการดำเนินโครงการให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ของจังหวัดกำแพงเพชร ๖. ให้มีการรายงานความคืบหน้าและผลการดำเนินโครงการให้นายกรัฐมนตรีรับทราบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อเป็นต้นแบบของการดำเนินงานในพื้นที่อื่นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
735 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจังหวัดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดพิษณุโลก | คค | 18/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจังหวัดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินการรถไฟฟ้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดพิษณุโลกเพิ่มเติมจากเดิมที่มีการดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดนครราชสีมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า (๑) เนื่องจากผลการศึกษาโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบขนส่งสาธารณะเมืองพิษณุโลก สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรพบว่า จะมีความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ โดยมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เป็นบวก ในกรณีที่โครงการรถไฟความเร็วสูงสายเหนือ กรุงเทพมหานคร-พิษณุโลกเปิดให้บริการ จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับ รฟม. และการรถไฟแห่งประเทศไทยบูรณาการแผนการดำเนินโครงการดังกล่าว (๒) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งควรกำหนดแผนบริหารความเสี่ยง และการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ รฟม. จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และ (๓) โครงการดังกล่าวเป็นโครงการระบบขนส่งมวลชนที่ใช้ราง จึงเข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และกรณีที่ รฟม. จะดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนขอให้คำนึงถึงบทบัญญัติมาตรา ๔๙ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
736 | ขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช รวมถึงส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา) รวม 2 ฉบับ | คค | 18/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ (ทางพิเศษศรีรัช รวมถึงส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา) รวม ๒ ฉบับ ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาตรา ๔๗ ประกอบพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๖๘ (๓) และเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจหารือกับกระทรวงคมนาคม และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เพื่อหาแนวทางบริหารจัดการที่เหมาะสมมิให้ส่งผลต่อการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานอัยการสูงสุด เช่น (๑) ให้ กทพ. เพิ่มเติมความในวรรคท้ายของข้อ ๘.๒ ของร่างสัญญาทั้ง ๒ ฉบับ โดยกำหนดให้บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และ/หรือบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) ซึ่งเป็นคู่สัญญาแต่ละฉบับตกลงให้ความร่วมมือในการยกเว้นค่าผ่านทางให้ประชาชน และ (๒) กทพ. ควรตรวจสอบจำนวนข้อพิพาทที่มีอยู่ต่อกัน โดยระบุให้ครบถ้วนทั้งหมดด้วย โดยไม่จำกัดว่าข้อพิพาทนั้น ๆ จะอยู่ขั้นตอนใดก็ตาม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. เร่งดำเนินการลงนามในสัญญาฯ รวมทั้งประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการให้มีการถอนฟ้องข้อพิพาทที่มีกับ กทพ. ทั้งหมด ทั้งที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง อนุญาโตตุลาการ หรือขั้นตอนอื่น ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ๓. ในกรณีการบันทึกบัญชีจากสัญญาที่จะแก้ไข นั้น ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. จัดทำบัญชีและรายงานการเงินตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป โดยหากผลการดำเนินงานจากวิธีการทางบัญชีส่งผลต่อการประเมินผลการดำเนินการของ กทพ. ให้กระทรวงการคลังหารือกับ กทพ. เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการที่เหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ในกรณีที่กระทรวงการคลังเห็นสมควรแจ้งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับไปตรวจสอบการดำเนินการในเรื่องนี้ นั้น ให้กระทรวงคมนาคมปะสานงานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ ๕. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมและเป็นไปได้เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในภาพรวมทั้งระบบ รวมถึงการดำเนินโครงการก่อสร้างทางด่วนขั้นที่ ๒ (Double Deck) หรือการดำเนินโครงการก่อสร้างทางด่วนในเส้นทางอื่น ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน ๒ ปี แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
737 | ผลการประชุม Asian Financial Forum ครั้งที่ 13 และการพบปะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง | กค | 11/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Asian Financial Forum (AFF) ครั้งที่ ๑๓ และการพบปะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (ฮ่องกง) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๑-๑๔ มกราคม ๒๕๖๓ ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมการประชุม AFF ภายใต้หัวข้อ “Redefining Growth : Innovation, Breakthrough, Inclusiveness” ซึ่งเป็นเวทีการประชุมนานาชาติที่รวมผู้บริหารระดับสูงจากภาคการเงิน ภาครัฐ และภาคเอกชนของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยไทยได้เน้นย้ำในด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความเชื่อมโยง (Connectivity) กับประเทศต่าง ๆ การส่งเสริมการเงินเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการดำเนินโครงการ National e-Payment การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจนวัตกรรมโดยการลงทุนในด้านการศึกษาการวิจัยและพัฒนา ๒. การหารือผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของฮ่องกง เช่น การหารือทวิภาคีกับนายพอล ชาน (Mr. Paul Chan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฮ่องกง การหารือทวิภาคีร่วมกับนายปีเตอร์ แลม (Mr. Peter K N Lam) ประธานสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong Trade DEVELOPMENT Council : HKTDC) และการพบปะหารือกับคณะผู้แทนภาคการเงินการธนาคารในฮ่องกง (Thai Professional and Friends of Thailand from Financial Sector) เป็นต้น เพื่อขับเคลื่อนและสานต่อความร่วมมือระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายในด้านต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
738 | ขออนุมัติดำเนินการตามโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต็อกน้ำมันปาล์ม | พณ | 11/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติวงเงินงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้เงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน หรืองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น แล้วแต่กรณี จำนวน ๓๗๒.๕๑๖ ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์มเพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต็อกน้ำมันปาล์ม และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินโครงการในระยะต่อไป ให้เป็นความรับผิดชอบของภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการ โดยจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีและหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งดำเนินการอย่างโปร่งใส คำนึงถึงความคุ้มค่า ต้นทุนที่เหมาะสม ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ รวมถึงให้มีการติดตามและการประเมินผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันจะได้รับจากการดำเนินโครงการเพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน สำหรับใช้ประกอบการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
739 | ขออนุมัติผ่อนผันการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารฝึกปฏิบัติการทางวิชาชีพครู ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา | อว | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารฝึกปฏิบัติการทางวิชาชีพครู ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จากเดิม จำนวนเงิน ๑๖๓,๙๖๐,๐๐๐ บาท เป็น จำนวนเงิน ๑๘๓,๙๑๒,๕๓๑.๓๕ บาท โดยเป็นการปรับปรุงการใช้งานพื้นที่ ระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ ระบบเครือข่าย ระบบโทรทัศน์ และระบบภาพและเสียง ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ๒. การดำเนินโครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามโครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) อย่างเคร่งครัด และหากมีความจำเป็นต้องขอเปลี่ยนแปลงรายการหรือเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ให้เสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีก่อนการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
740 | ขอความเห็นชอบการยุติการดำเนินโครงการปรับปรุงร่องน้ำการเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง - แม่น้ำโขง ภายใต้ความตกลงการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง - แม่น้ำโขง พ.ศ. 2543 | คค | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานเบื้องต้น (Preliminary Work) โครงการปรับปรุงร่องน้ำการเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยการดำเนินงานเบื้องต้นของโครงการดังกล่าวเป็นขั้นตอนการศึกษา สำรวจ และออกแบบแนวทางการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำโขงระหว่างชายแดนประเทศจีน-เมียนมา ถึงนครหลวงพระบาง สปป.ลาว ระยะทางประมาณ ๖๓๑ กิโลเมตร เพื่อรองรับเรือขนาด ๕๐๐ ตันกรอส (DWT) ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจาก ASEAN-China Maritime Cooperation Fund โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๓๖๕ วัน เริ่มจากเดือนเมษายน ๒๕๕๙-เมษายน ๒๕๖๐ ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อประสานการดำเนินการความตกลงว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๗ เมื่อวันที่ ๒๖-๒๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ฝ่ายจีนได้เสนอรายงานผลการศึกษาการดำเนินงานเบื้องต้นโครงการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขงแก่ที่ประชุม พร้อมทั้งได้แจ้งว่าไม่ได้จัดสรรงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว และการดำเนินการต้องสิ้นสุดลงโดยจะไม่มีการดำเนินการใด ๆ เว้นแต่จะมีความเห็นชอบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกผ่านช่องทางทางการทูต ๒. เห็นชอบการยุติการดำเนินโครงการปรับปรุงร่องน้ำการเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ภายใต้ความตกลงการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง พ.ศ. ๒๕๔๓
|
.....