ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 31 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 601 - 620 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
601 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2564 | นร.11 | 09/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในส่วนของเรื่อง
การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และรายงานผลการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่
๘/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ในส่วนของเรื่อง
การปรับปรุงรายละเอียดของโครงการที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ ม๓๓ เรารักกัน
ของสำนักงานประกันสังคม ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๓.
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น
หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
โดยไม่มีความซ้ำซ้อนของกลุ่มเป้าหมาย หรือสิทธิที่พึงได้รับจากภาครัฐไปแล้ว
ผ่านกลไกการตรวจสอบจากเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก
โดยจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนเพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภาครัฐ และในกรณีที่พบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น
ให้เร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ได้โดยเร็วด้วย ๔. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
602 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างรายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รายการก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม ทันตกรรม อำนวยการ เป็นอาคาร คสล. 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 2,250 ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน ตำบลต้นธง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน 1 หลัง | สธ. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างรายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จากการก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม ทันตกรรม อำนวยการ
เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) ๓ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๒๕๐ ตารางเมตร
(โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน ตำบลต้นธง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
(รพ.ลำพูน ต.ต้นธง) ๑ หลัง เป็นการก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม ทันตกรรม อำนวยการ
เป็นอาคาร คสล. ๓ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๒๕๐ ตารางเมตร
(โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน ตำบลเวียงยอง อำเภอเมืองลำพูน
จังหวัดลำพูน (รพ.ลำพูน ต.เวียงยอง) ๑ หลัง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม
ทันตกรรม อำนวยการ เป็นอาคาร คสล. ๓ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๒๕๐ ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน
ตำบลเวียงยอง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ๑ หลัง
โดยให้ความสำคัญกับขั้นตอนและกระบวนการคัดเลือกผู้รับจ้างตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิได้อย่างสะดวก
รวดเร็ว และได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๒. ในการริเริ่มแผนงาน/โครงการต่าง ๆ
ในระยะต่อไป
ให้กระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบความเหมาะสมและความพร้อมของพื้นที่ดำเนินโครงการ
ตลอดจนความสอดคล้องกับแผนแม่บทหรือแผนพัฒนาพื้นที่ของโรงพยาบาลแต่ละแห่งอย่างละเอียดรอบคอบ
เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้อง
และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาพื้นที่การให้บริการของโรงพยาบาลแต่ละแห่งในภาพรวมตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง
การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
603 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 (ครั้งที่ 152) | พน. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ (ครั้งที่ ๑๕๒)
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่
แนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (โครงการโซลาร์ภาคประชาชน
ระยะที่ ๑) และแนวทางการกำหนดมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชน
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น (๑)
การใช้ที่ราชพัสดุเพื่อจัดหาประโยชน์ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุที่มีอยู่ในปัจจุบัน (๒)
ควรให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้งานและดูแลรักษาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
และ (๓)
ควรกำหนดแหล่งเงินสนับสนุนหรือชดเชยการดำเนินมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนให้ชัดเจน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงาน
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดรายละเอียดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชน
ระยะที่ ๑ ในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย การคัดเลือก ขั้นตอนดำเนินการ
และกรอบระยะเวลาดำเนินงานให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน และเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ
ให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง
เพื่อส่งเสริมให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
รวมทั้งให้ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างเป็นระบบ
โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการฯ
เพื่อนำข้อมูลมาพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
604 | การดำเนินงานโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค (โครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น) | ศธ. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนงบประมาณรายจ่าย หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณหรือเงินอื่นใดที่มีอยู่หรือนำมาใช้จ่ายได้ตามขั้นตอนต่อไป
เพื่อชำระค่าใช้จ่ายในการวางระบบการศึกษาตามแนวทางโคเซ็นในประเทศไทย ของสถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังคืนให้กับสถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติญี่ปุ่น
(NIT)
ประเทศญี่ปุ่น จำนวน ๒๔.๕๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ ร่วมกับ สพฐ.
และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ รายจ่ายประจำปีเพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษา
และรายจ่ายลงทุน
ของสถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
และสถาบันโคเซ็นแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเป็นหน่วยรับงบประมาณ และขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามขั้นตอนต่อไป ยกเว้นกรณีรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๓ มีนาคม ๒๕๖๓ อนุมัติให้ สพฐ. ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไว้แล้ว เห็นควรให้
สพฐ. เป็นหน่วยรับงบประมาณต่อไปจนแล้วเสร็จ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓.
ในส่วนของการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล
และภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยกรณีการขอยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หากครูชาวญี่ปุ่นเข้ามาสอนในประเทศโดยมีระยะเวลาไม่เกิน ๒ ปี จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในประเทศไทย
ตามอนุสัญญาภาษีซ้อน
เช่นเดียวกันกับหลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับครูชาวต่างชาติอื่นซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย
กรณีการขอยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล NIT ประเทศญี่ปุ่น ไม่เข้าลักษณะกิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางค้าหรือหากำไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ
องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ และไม่อยู่ในความหมายของ
“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล” ตามมาตรา ๓๙ แห่งประมวลรัษฎากร
จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และกรณีการขอยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม สพฐ.
ในฐานะผู้จ่ายเงินค่าบริการมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ NIT ประเทศญี่ปุ่น มีหน้าที่ต้องเสีย ตามมาตรา ๘๓/๖ แห่งประมวลรัษฎากร ๔.
ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กรณีมีการปรับปรุงเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการโครงการฯ
ควรเป็นไปตามเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่กำหนดไว้
และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมควรเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างส่วนราชการ
พัฒนากลไกการประเมินผล ขีดความสามารถในการจัดการเรียนการสอน
และการบูรณาการการเรียนการสอนเข้ากับการวิจัยกับภาคอุตสาหกรรม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
605 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2563 | นร.14 | 23/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
(กนช.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ซึ่ง กนช.
ได้รับทราบและพิจารณาเรื่องที่หน่วยงานเสนอ รวมทั้งข้อสั่งการเพิ่มเติมของประธาน
กนช. ได้แก่
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการและนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดไว้ และแผนงานโครงการของหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณแล้ว
ขอให้เร่งดำเนินการและรายงานให้ กนช. ทราบด้วย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ
กนช. และข้อสั่งการของประธาน กนช. ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ ตามที่ กนช. เสนอ ๒. ให้ กนช.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ประเด็นการดำเนินโครงการการหารือระดับประเทศด้านน้ำในไทย
ฝ่ายไทยควรต้องคำนึงถึงการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของโครงการต่าง ๆ
ในพื้นที่เขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor :
EEC) จากหน่วยงานฝ่ายเกาหลี
และองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for
Economic Co-operation and Development : OECD) เป็นต้น
ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
606 | โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ | ศธ. | 15/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระยะเวลา ๑๐ ปี ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสมรรถนะนักเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี [ระดับประถมศึกษา (ชั้น ป. ๔-๖) และระดับมัธยมศึกษา (ชั้น ม. ๑-๖)] ผ่านกระบวนการของหลักสูตรและเครือข่ายการพัฒนาศักยภาพมหาวิทยาลัย โรงเรียน
ครูผู้สอน และนักเรียน ภายในกรอบวงเงิน ๙,๖๑๙.๘๘ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน ๑๐ ปี
(ปีการศึกษา ๒๕๖๔-๒๕๗๓) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้ สพฐ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. รับความเห็น
ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ในประเด็นการกำหนดเป้าหมายของโครงการฯ
และการกำหนดตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งการติดตามและประเมินผลของโครงการฯ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการฯ ให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
เป็นรายไตรมาส
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
607 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร.01 | 15/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๓
ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็น พบว่า
ประชาชนได้ยื่นเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นผ่านช่องสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑
มากที่สุด โดยยื่นเรื่องประเด็นค่าครองชีพมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขอความช่วยเหลือของผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) และขอให้พิจารณาทบทวนสิทธิและเร่งรัดการจ่ายเงินตามมาตรการดูแลและเยียวยาต่าง
ๆ เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ โดยเร็ว ๒.
ขอความร่วมมือให้ทุกส่วนราชการพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
๒.๑
แจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรม
ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
๒.๒
รวบรวมสถิติระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ในแต่ละประเภทเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์ไปยังหน่วยงาน
เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการกำหนดเป็นข้อตกลงระยะเวลาแล้วเสร็จของงานการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ต่อไป
๒.๓
เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของหน่วยงานเข้ากับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
และให้หน่วยงานที่ไม่มีระบบบฐานข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ของตนเองเข้าร่วมใช้งานระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
เพื่อเป็นการรวบรวมเรื่องร้องทุกข์ให้เป็นภาพรวมของประเทศ ๓.
มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขยายผลการดำเนินโครงการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล
โดยพัฒนาให้มีระบบการติดตามผลและสถานะเรื่องร้องทุกข์ (Tracking
System) เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามเรื่องร้องทุกข์ด้วยตนเองได้ทุกที่ทุกเวลา
รวมทั้งจัดให้มีระบบรายงานผล (Dashboard) สำหรับผู้บริหารใช้ในการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
608 | มาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม | กค. | 15/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้
๑.๑ การปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) โดยขยายระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเพิ่มเติม
จากเดิม ๖ เดือน เป็นไม่เกิน ๑๒ เดือน
โดยให้ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สามารถกำหนดระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้ตามความเหมาะสมเป็นรายกรณีสูงสุดไม่เกิน
๑๒ เดือน โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้เป็นไปตามที่ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. กำหนด
รวมทั้งขยายระยะเวลากู้ จากเดิมไม่เกิน ๒ ปี ๖ เดือน เป็นไม่เกิน ๓ ปี
๑.๒ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่ มีเงิน
สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยว เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กิจการ
และเพื่อไถ่ถอนจากการขายฝากเอกชนที่ทำสัญญาขายฝาก
โดยธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท
ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและสาขาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
(Supply Chain) โดยใช้ที่ดินว่างเปล่า
และ/หรือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินเป็นหลักประกัน
และไม่ต้องผ่านการตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกินร้อยละ ๗๐
ของราคาประเมินที่ดินของทางราชการ สูงสุดไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท
กรณีผู้กู้เป็นบุคคลธรรมดา และสูงสุดไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท กรณีผู้กู้เป็นนิติบุคคล
ระยะเวลากู้ ๓ ปี คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๑๐ ต่อปี ในปีแรก ร้อยละ ๐.๙๙ ต่อปี
ในปีที่ ๒ และร้อยละ ๕.๙๙ ต่อปี ในปีที่ ๓ ระยะเวลายื่นขอสินเชื่อกับธนาคารออมสินได้ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ หรือจนกว่าวงเงินโครงการจะหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน
และให้ธนาคารออมสินเบิกจ่ายสินเชื่อให้เสร็จสิ้นภายใน ๖ เดือน นับตั้งแต่วันสิ้นสุดรับคำขอกู้
และรัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคารออมสินในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นระยะเวลา ๒
ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
SMEs
มีที่ มีเงิน สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยว
ให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
นอกจากนี้ ควรทำการติดตาม ศึกษา
และวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคของการดำเนินมาตรการในช่วงที่ผ่านมา
โดยเฉพาะมาตรการที่ยังมีวงเงินคงเหลือและไม่สามารถจัดสรรให้กับประชาชนและผู้ประกอบการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
เพื่อนำข้อมูลมาใช้เป็นแนวทางในการปรับมาตรการและกำหนดมาตรการที่มีความเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
609 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 5/2564 | นร.11 | 09/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุม ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการจัดหายาและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ของหน่วยบริการสุขภาพ อนุมัติให้จังหวัดสุโขทัยยกเลิกการดำเนินโครงการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรชุมชนเพื่อสนับสนุนการผลิตสมุนไพรในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย
และให้จังหวัดนครปฐมยกเลิกการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านเกษตร
ภายใต้โครงการยกระดับคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรสู่มาตรฐานการเกษตรปลอดภัยของจังหวัดนครปฐม
รวมทั้งรับทราบผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน
ของกรมการจัดหางาน และผลการติดตามการเบิกจ่ายเงินกู้ของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น (๑) ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการทุกโครงการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินโครงการ
และรายงานให้คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณายุติโครงการภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
และกำชับให้หน่วยงานที่จะเสนอโครงการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินงานให้เรียบร้อยก่อนที่จะเสนอโครงการต่อคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ
และ (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานชี้แจงปัญหาและอุปสรรค
รวมถึงข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา
เพื่อเร่งรัดผลการเบิกจ่ายของโครงการที่รับผิดชอบให้สามารถเป็นไปได้ตามเป้าหมาย เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้หน่วยงานที่จะเสนอโครงการต่อคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินโครงการให้ถูกต้องเรียบร้อยก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่มีผลกระทบต่อประชาชน ให้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย
และเมื่อโครงการได้รับความเห็นชอบ/อนุมัติ จากคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้และคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนแล้ว
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณให้ถูกต้อง โปร่งใส
และตรวจสอบได้อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
610 | ขอเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 | พณ. | 09/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๓/๖๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเบื้องต้น เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๓ จำนวน ๒๘,๐๔๖.๘๒ ล้านบาท โดยขอวงเงินเพิ่มเติมอีก ๒๘,๐๔๖.๘๑ ล้านบาท เป็น
๕๖,๐๙๓.๖๓ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณและขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และปีถัด ๆ ไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์
คำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
ควรบูรณาการข้อมูลด้านการลงทะเบียนเกษตรกร จำนวนเกษตรกร ปริมาณผลผลิตต่อไร่
จำนวนพื้นที่เพาะปลูก สถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อน ควรให้มีระบบการรายงาน
การติดตาม
และการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากการดำเนินโครงการ
เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน และควรกำหนดให้มีการจัดทำแผนปรับโครงสร้างการผลิตพืชหลายชนิด
โดยมีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจในทุกมิติให้แก่เกษตรกรและหน่วยงานี่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วนทันต่อสถานการณ์ทางการตลาด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามยุทธศาสตร์ข้าวไทย
ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๗ รวมทั้งแผนยุทธศาสตร์ของพืชเกษตรอื่น ๆ เพื่อปรับปรุง พัฒนา
และเพิ่มศักยภาพให้เกษตรกร และผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ
และปลายน้ำ มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยังยืน ซึ่งจะสามารถลดการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐได้ในระยะยาว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
611 | ขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนการออกแบบและก่อสร้างงานโยธา การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี กรณีโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี | คค. | 09/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในส่วนของเรื่อง
การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และรายงานผลการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่
๘/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ในส่วนของเรื่อง
การปรับปรุงรายละเอียดของโครงการที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ ม๓๓ เรารักกัน
ของสำนักงานประกันสังคม ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๓.
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น
หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
โดยไม่มีความซ้ำซ้อนของกลุ่มเป้าหมาย หรือสิทธิที่พึงได้รับจากภาครัฐไปแล้ว
ผ่านกลไกการตรวจสอบจากเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก
โดยจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนเพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภาครัฐ และในกรณีที่พบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น
ให้เร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ได้โดยเร็วด้วย ๔. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
612 | ขออนุมัติงบประมาณโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก | พณ. | 09/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกจากงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้แก่กระทรวงพาณิชย์ จำนวน ๑๘๘.๙๕
ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งควรพิจารณาความครบถ้วนและความถูกต้องของเอกสารหลักฐานที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการเก็บสต็อกภายใต้โครงการชดเชยดอกเบี้ยฯ
เพื่อให้การเบิกจ่ายค่าชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกมีความถูกต้อง
โปร่งใส และสามารถใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบการดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยฯ
ในภายหลังได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
613 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2564 | นร.11 | 02/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๔ ซึ่งพิจารณาอนุมัติให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง ปรับปรุงเงื่อนไขการดำเนินโครงการเราชนะ รวมทั้งรับทราบผลการจัดทำข้อเสนอโครงการองค์กรภาคประชาชนผ่านหน่วยงานของรัฐเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
โดยกำหนดเงื่อนไขไม่ให้มีการใช้สิทธิตามโครงการเราชนะในการซื้อสินค้าอันมิใช่สินค้าจำเป็นเพื่อการดำรงชีพเพิ่มเติม
ได้แก่ สินค้าประเภททองคำ รวมถึงร้านค้าที่ขึ้นทะเบียนการขายทอดตลาดและการค้าของเก่าประเภทเพชร
พลอย ทอง นาก เงิน หรืออัญมณี ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณากำหนดรูปแบบการใช้สิทธิ์ของประชาชนกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตและไม่มีโทรศัพท์ที่สามารถรองรับการใช้แอปพลิเคชันได้ให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์
วิธีการเข้าร่วมและการใช้สิทธิ์ของประชาชน ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการเราชนะ
สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
เห็นชอบให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการสนับสนุนการประชาสัมพันธ์โครงการเราชนะ
การยืนยันข้อมูลการประกอบกิจการ และการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เพื่อดำเนินการต่อไป ๓. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์
สร้างความรับรู้ ความเข้าใจ ให้ถูกต้องครบถ้วน
ถึงสิทธิและข้อจำกัดของการเข้าร่วมโครงการ ตลอดจนจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
614 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 (เพิ่มเติม) | กษ. | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบค่าบริหารจัดการโครงการสำหรับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ครัวเรือนละ ๗ บาท
กรณีถ้ามีครัวเรือนเกษตรกรเพิ่มเติมจากที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว ๒๐๐,๐๐๐
ครัวเรือน เพื่อให้ครอบคลุมการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างทั่วถึง
โดยเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณเดิมจากโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย
ปี ๒๕๖๓ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓
วงเงินงบประมาณ จำนวน ๓,๔๔๐.๐๕ ล้านบาท ๑.๒ มอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดำเนินการโอนเงินให้เกษตรกรได้ตั้งแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ๑.๓
เห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี ๒๕๖๓ จากเดิมสิ้นสุดวันที่
๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๔ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงบประมาณ เข่น เห็นควรจัดทำรายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่เกษตรกรชาวสวนลำไยได้รับจากการดำเนินโครงการฯ
เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการกำหนดแนวทางการพัฒนาและบริหารจัดการลำไยที่เหมาะสม
เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการบริหารจัดการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
615 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2564 | นร.11 | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๓) มาใช้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๒) เพิ่มเติม จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ระลอกใหม่ในประเทศ
อนุมัติโครงการเราชนะ ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง
และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ ดำเนินการ
รวมทั้งอนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ ๑ และโครงการคนละครึ่ง
ระยะที่ ๒ ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง และโครงการ ๑ ตำบล ๑
กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และอนุมัติให้มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ยกเลิกการดำเนินโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และส่งเสริมการขายในรูปแบบตลาดออนไลน์ของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปปลา
บ้านท่าดินแดง จังหวัดนครสวรรค์
ตลอดจนรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอโครงการขององค์กรภาคประชาชนผ่านหน่วยงานของรัฐเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
การพิจารณากลุ่มเป้าหมายของโครงการ ควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ระลอกใหม่
และกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ก่อนเป็นลำดับแรก รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความรับรู้ ความเข้าใจให้ถูกต้องครบถ้วน
ถึงสิทธิและข้อจำกัดของการเข้าร่วมโครงการ ที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับในครั้งนี้
ตลอดจนให้ความสำคัญกับศักยภาพและความสามารถของหน่วยงานเจ้าของโครงการ
โดยจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
616 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 (ครั้งที่ 151) | พน. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ (ครั้งที่ ๑๕๑)
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข
และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และแนวทางการส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและกระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น (๑) กรอบการใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเศรษฐกิจฐานราก
และควรเร่งรัดการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงิน เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศในช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน
และ (๓) กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมีสถานะเป็นทุนหมุนเวียน
การบริหารและการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ต้องพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.
๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการบริหารจัดการและการประเมินผลสัมฤทธิ์ในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และสามารถตรวจสอบได้ ๒.
ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการโครงการนำร่องตามแนวทางการส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการดำเนินการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการคัดค้านจากชุมชน ควรดำเนินการตามประมวลหลักการปฏิบัติ
(Code of Practice : COP) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
617 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งจะต้องมีการก่อหนี้ผูกพันมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสำหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นหน่วยรับงบประมาณ | มท. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยทบทวนการยื่นเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ กรณีการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสำหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นหน่วยรับงบประมาณ จำนวน ๒
โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๒,๒๔๖.๗๔๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) ของโครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า
จากแหล่งน้ำลำตะคองมายังโรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่าของเทศบาลนครนครราชสีมา
จังหวัดนครราชสีมา วงเงิน ๑,๐๔๖.๗๔๐๐ ล้านบาท และ (๒)
โครงการก่อสร้างอุทยานการเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติของเทศบาลนครยะลา จังหวัดยะลา
วงเงิน ๑,๒๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากแหล่งเงินอื่น เช่น
เงินรายได้หรือเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เงินกู้
เอกชนร่วมลงทุนหรือดำเนินการทั้งหมด แล้วแต่กรณี ทั้งนี้
ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด
การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
618 | การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำหรับโครงการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ที่จัดซื้อในโครงการระยะที่ 5 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2569 | กค. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรนำรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐
ล้านบาทขึ้นไป โครงการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ที่จัดซื้อในโครงการระยะที่
๕ วงเงินทั้งสิ้น ๑,๕๐๐,๙๙๔,๐๕๖ บาท เพื่อเสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามนัยมาตรา ๒๖ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณ จำนวน ๘๒๕,๕๔๖,๗๐๐ บาท
เสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๑๖๕,๑๐๙,๔๐๐ บาท
ผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-พ.ศ. ๒๕๖๙ จำนวน ๖๖๐,๔๓๗,๓๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ ๖๗๕,๔๔๗,๓๕๖
บาท เบิกจ่ายจากเงินนอกงบประมาณสมทบ ทั้งนี้ ให้กรมศุลกากรพิจารณานำเงินนอกงบประมาณมาสมทบกับงบประมาณในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ
๔๕ พร้อมทั้งจัดทำแผนงานให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
และให้ยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ ผลการสอบราคา
ประมาณการราคา และสถานที่/พื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการให้ครบถ้วน
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และคำนึงถึงภาระผูกพันในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ซี่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสม
จำเป็นตามวงเงินงบประมาณประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
619 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) | กค. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) ได้แก่
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ เรื่อง มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ
ปี ๒๕๖๓ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๓ เรื่อง มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม
ระยะที่ ๒ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและเสนอมาตรการช่วยเหลือ
SMEs เพิ่มเติม
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑.๑
การปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) และขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อเพิ่มเสริมพลังฐานราก
โดยจัดสรรวงเงินที่เหลือประมาณ ๒,๙๘๗ ล้านบาท
จากการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) ให้ธนาคารออมสินดำเนินโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก
พร้อมทั้งขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก
จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ ๑.๒
ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงินสินเชื่อรวม
๔๐,๐๐๐ ล้านบาท แบ่งเป็น ธนาคารออมสิน วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
ให้แก่ประชาชนที่มีอาชีพอิสระไม่มีรายได้ประจำหรือเกษตรกรรายย่อย
คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ไม่เกินร้อยละ ๐.๑๐
ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน ๒ ปี ๖ เดือน (ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ๖
เดือน) สิ้นสุดรับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว
รวมจำนวน ๒๕,๖๓๕ ล้านบาท (ธนาคารออมสิน ๑๗,๐๑๐ ล้านบาท และ ธ.ก.ส. ๘,๖๒๕ ล้านบาท)
ยังมีวงเงินคงเหลือภายใต้โครงการดังกล่าวอีก จำนวน ๑๔,๓๖๕ ล้านบาท ดังนั้น
เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการช่วยเหลือประชาชน
จึงขอขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปเป็นวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ ๑.๓
ขยายระยะเวลามาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
(ธสน.) ภายใต้มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี ๒๕๖๓
วงเงินรวม ๕,๐๐๐ ล้านบาท สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
รวมถึงผู้นำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อพัฒนาประเทศ โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่
๑-๒ ร้อยละ ๒ ต่อปี ในปีที่ ๓-๕ คิดอัตรา Prime Rate-ร้อยละ
๒ ต่อปี และปีที่ ๖-๗ คิดอัตรา Prime Rate ต่อปี
(ปัจจุบันอัตรา Prime Rate ของ ธสน. อยู่ที่ร้อยละ ๖) ณ
วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ ธสน. อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว จำนวน ๒,๘๕๘ ล้านบาท
ยังคงมีวงเงินคงเหลืออีก จำนวน ๒,๑๔๒ ล้านบาท
จึงขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการดังกล่าว
จากเดิมสิ้นสุดการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓
ออกไปเป็นสิ้นสุดการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อไม่เกินวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔
๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
620 | ขออนุมัติตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท | คค. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการให้กระทรวงคมนาคมนำรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป
จำนวน ๒ หน่วยงาน ๒๗ รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๘,๖๒๐ ล้านบาท เพื่อเสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามนัยมาตรา ๒๖ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย
(๑) กรมทางหลวง จำนวน ๒๐ รายการ วงเงินทั้งสิ้น ๓๖,๒๘๐ ล้านบาท เสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๗,๒๕๖ ล้านบาท ส่วนที่เหลือผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-พ.ศ. ๒๕๖๗
จำนวน ๒๙,๐๒๔ ล้านบาท และ (๒) กรมทางหลวงชนบท จำนวน ๗ รายการ วงเงินทั้งสิ้น
๑๒,๓๔๐ ล้านบาท เสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน
๒,๔๖๘ ล้านบาท ส่วนที่เหลือผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวน ๙,๘๗๒
ล้านบาท ทั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ
ประมาณการค่าก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
และมีสถานที่/พื้นที่ที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและมีความพร้อมจะดำเนินการ
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน
และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
และจัดส่งรายงานเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ ตามนัยมาตรา ๒๕ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสม
จำเป็นตามวงเงินงบประมาณประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
โดยคำนึงถึงความจำเป็น ความคุ้มค่าของงบประมาณและความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาพื้นที่จังหวัดและกลุ่มจังหวัด
แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๖๕ รวมทั้งความพร้อมในการดำเนินโครงการโดยเฉพาะการเวนคืนที่ดินที่จะต้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เรื่อง
แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตราร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างหรือขยายถนนอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|