ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 33 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 641 - 660 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
641 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจำปี 2563 ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย | สธ. | 01/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ประจำปี ๒๕๖๓ (Memorandum of Understanding on the Cooperation on Projects of the
Mekong-Lancang Cooperation Special Fund 2020) ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน
ประจำประเทศไทย และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม
ในบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อรับมอบงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ Strengthening
on HIV/AIDS Cooperation in the CCLM (Cambodia, China, Lao PDR, Myanmar)
Countries โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ วงเงิน ๑๙๘,๓๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (๕.๙๘๐๗
ล้านบาท) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยให้มีการพัฒนาแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านเอชไอวีและเอดส์
ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เสริมสร้างศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข
และช่วยส่งเสริมการดำเนินงานสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เกี่ยวกับการระบุชื่อโครงการไว้ในชื่อของบันทึกความเข้าใจฯ
เพื่อให้บันทึกความเข้าใจแต่ละฉบับมีชื่อเฉพาะที่ชัดเจนขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
642 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบางซื่อระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และการรถไฟแห่งประเทศไทย กับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น และองค์กรพัฒนาและฟื้นฟูเมืองของญี่ปุ่น | คค. | 23/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบางซื่อระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และการรถไฟแห่งประเทศไทย กับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง
และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น และองค์กรพัฒนาและฟื้นฟูเมืองของญี่ปุ่น [
Memorandum of Cooperation (MoC) on the Bang Sue Project between the Ministry of
Transport of the Kingdom of Thailand, the State Railway of Thailand, the
Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism of Japan, and the Urban
Renaissance Agency of Japan] และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว
โดยร่างบันทึกข้อตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดขอบเขตและกระชับความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่น
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินโครงการพัฒนาเมืองให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดและประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
เพื่อผลักดันแผนการพัฒนาไปสู่การปฏิบัติต่อไปในการพัฒนาพื้นที่บางซื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกข้อตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
ให้กระทรวงคมนาคมผลักดันแผนการพัฒนาเชิงพื้นที่ของโครงการบางซื่อไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
โดยกำหนดให้มีกลไกการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคประชาชน
เพื่อบูรณาการการพัฒนาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และ (๒)
ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามร่างบันทึกข้อตกลงฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๔
ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรและการรถไฟแห่งประเทศไทยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินรายได้ในโอกาสแรก
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
643 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 23/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน
ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
การจัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อมูล
ณ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง
ได้จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ครบถ้วนแล้ว
และบันทึกรายชื่อผู้สมัครในระบบรายงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Report) ของกรมการปกครอง ๔๔๖,๐๐๔ คน โดยมีผู้ผ่านการอบรมแล้ว ๑๐๒,๖๖๕ คน ๒.
การฝึกทบทวนหลักสูตรจิตอาสา ๙๐๔ (Upgrade) โรงเรียนจิตอาสาพระราชทานกำหนดให้มีการฝึกทบทวนหลักสูตรฯ
จำนวน ๗ รุ่น ระหว่างวันที่ ๑๗ สิงหาคม-๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ ให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรฯ
ได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตน เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน มีความเสียสละ
มีระเบียบวินัย มีความเป็นผู้นำ และเป็นแกนหลักให้กับประชาชนในการทำหน้าที่ของจิตอาสา ๓. การจัดกิจกรรมจิตอาสา
๙๐๔ พบปะผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยจัดกิจกรรมดังกล่าว
เพื่อเป็นเครือข่ายพัฒนาพื้นที่ร่วมกับจิตอาสาภาคประชาชน ประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งให้พิจารณาจัดกิจกรรมที่มีความเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้จังหวัดดำเนินการจัดทำทำเนียบผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา
๙๐๔ ของทุกหน่วยงานในจังหวัด และจัดให้มีกิจกรรมจิตอาสา ๙๐๔
ของจังหวัดพบปะผู้นำชุมชน ประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่ อย่างน้อยเดือนละ ๑ ครั้ง ๔.
ข้อมูลจำนวนจิตอาสาและกิจกรรมจิตอาสา ณ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ มีจิตอาสาลงทะเบียน รวม ๖,๖๘๕,๐๐๗
คน และมีการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ๕๑,๒๗๖ ครั้ง กิจกรรมจิตอาสาภัยพิบัติฯ ๖๔๓
ครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
644 | ขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว | มท. | 17/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดชี้แจงเพิ่มเติมว่า ๑.๑ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๓/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๒ ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๖๕
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ จึงมีสภาพบังคับเป็นกฎหมายหากจะมีการยกเลิก แก้ไข
ปรับปรุง จะต้องออกกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ ๑.๒
ผลการเจรจาและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่กระทรวงมหาดไทยเสนอในครั้งนี้เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในข้อ
๓ และข้อ ๖ ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๖๒ เรื่อง
การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ลงวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๒ โดยสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบร่างสัญญาดังกล่าว
พร้อมทั้งแจ้งข้อสังเกตเพื่อให้กรุงเทพมหานครนำความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดไปดำเนินการ
ทั้งนี้ ตามข้อ ๖ แห่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว
กำหนดให้ในกรณีที่มีการดำเนินการตามข้อ ๓ หรือข้อ ๕ แล้วแต่กรณี
จนได้ผลการเจรจาเป็นที่ยุติ และร่างสัญญาร่วมลงทุนฉบับแก้ไขแล้ว
ให้ถือว่าเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.
๒๕๖๒ ในส่วนของการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนแล้ว ดังนั้น
ผลการเจรจาและร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ ที่กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เสนอ
จึงถือว่าเป็นการดำเนินการแก้ไขสัญญาที่ถูกต้องและครบถ้วนตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ แล้ว
โดยเป็นการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนเดิมมิใช่การยกเลิกสัญญาสัมปทานหรือยกเลิกสัญญาร่วมลงทุนเดิม
และ/หรือจัดทำสัญญาใหม่ ๒.
รับทราบความเห็นเพิ่มเติมกรณีขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคม
๓.
ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานอัยการสูงสุด และประธานกรรมการนโยบายร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
รวมทั้งคำชี้แจงเพิ่มเติมของผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้ถูกต้อง
ชัดเจน และครบถ้วน เช่น รูปแบบการดำเนินโครงการ การดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ภาระหนี้สินที่เกิดขึ้น
ผลประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับ ประโยชน์สูงสุดของประชาชน เป็นต้น
แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
645 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค. | 17/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่
๒๖ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวของ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕
พฤศจิกายน ๒๕๖๓ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
ประกอบด้วย (๑) การทบทวนแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งกัวลาลัมเปอร์ ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘
ระยะกลาง (๒) แนวปฏิบัติสำหรับการยกระดับขั้นตอนมาตรฐานในการรายงานข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลขององค์การสหประชาชาติ
(๓) ปฏิญญาบรูไนว่าด้วยความปลอดภัยทางถนนของอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๐ (๔)
แผนแม่บทการเดินอากาศอาเซียน (๕) พิธีสาร ๒ สถาบันฝึกอบรมด้านการบิน (๖) แนวปฏิบัติในช่วงสถานการณ์โควิด-19 (๗) รายงานฉบับสุดท้ายภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการเดินเรือสำราญระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น
(๘) แนวปฏิบัติสำหรับการบำรุงรักษาร่องน้ำเดินเรือในอาเซียน (๙)
แนวปฏิบัติสำหรับมาตรการด้านความปลอดภัยสำหรับเส้นทางเดินเรือ และ (๑๐)
แผนที่นำทางความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๒๕
มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งอาเซียน ปี
๒๕๕๙-๒๕๖๘ ทั้ง ๕ ด้าน ได้แก่ การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางบก การขนส่งทางน้ำ
การอำนวยความสะดวกในการขนส่ง และการขนส่งที่ยั่งยืน
และแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕
ในการพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน
โดยการยกระดับมาตรฐานการขนส่งในสาขาต่าง ๆ
ให้เป็นสากลเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้า การลงทุน
รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านการขนส่งกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้ง ๑๐ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงบประมาณ
เช่น ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ ในโอกาสแรกก่อน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
646 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ว่าด้วยการตอบสนองต่อสถานการณ์โควิด-19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล | พณ. | 17/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ
ว่าด้วยการตอบสนองต่อสถานการณ์โควิด-๑๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๒๙
กรกฎาคม ๒๕๖๓ ซึ่งที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นต่อสถานการณ์โควิด-๑๙
ในอาเซียนและญี่ปุ่น รวมถึงกำหนดทิศทางการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน
และที่ประชุมได้ร่วมรับรองแผนปฏิบัติการด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น
ที่ได้มีการปรับปรุงจากร่างแผนปฏิบัติการฯ
เดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ซึ่งเป็นการปรับปรุงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
โดยได้เพิ่มเติมการดำเนินโครงการทางเศรษฐกิจซึ่งญี่ปุ่นขอเสนอเพิ่มเติม จำนวน ๗
โครงการ ได้แก่ (๑) การส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา (๒)
การดำเนินโครงการประกันสินเชื่อโดยองค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon
Export and Investment Insurance : NEXI) (๓)
ความร่วมมือด้านการรับประกันต่อระหว่าง NEXI กับองค์กรสินเชื่อเพื่อการส่งออก
(Export Credit Agency : ECA) ของอาเซียน
(๔) ความร่วมมือด้านการส่งเสริมเมืองอัจฉริยะระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น (๕)
การจัดตั้งเครือข่ายนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ (๖)
โครงการเสริมสร้างศักยภาพการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีพลังงานทดแทน
และ (๗) โครงการสาธิตเกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้พลังงานและเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในประเทศสมาชิกอาเซียน
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ
เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อพิจารณาดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ เกี่ยวกับ
(๑) ประเด็นการยอมรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไร้กระดาษในรูปแบบ Portable
Document Format (PDF) ร่วมกัน นั้น
ระเบียบในปัจจุบันของกรมศุลกากรยังไม่ยอมรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไร้กระดาษในรูปแบบ
PDF อย่างไรก็ตาม
กระทรวงการคลังไม่ขัดข้องที่จะร่วมหารือเพื่อส่งเสริมการยอมรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไร้กระดาษในรูปแบบ
PDF โดยขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของแต่ละประเทศ (๒)
ประเด็นแพลตฟอร์มการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (DXPE) นั้น
ควรพิจารณาให้มีระบบการติดตามความคืบหน้าการจับคู่ทางธุรกิจและการอำนวยความสะดวกหลังจากการขับคู่ทางธุรกิจเสร็จสิ้นแล้ว
และ (๓)
ประเด็นโครงการสนับสนุนทางการเงินของญี่ปุ่นเพื่อเร่งการขยายธุรกิจในต่างประเทศของธุรกิจเทคโนโลยีด้านการศึกษา
(Ed-Tech) นั้น
ขอเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนและพัฒนาพันธมิตรกับ Ed-tech
Startup ในท้องถิ่นของไทย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
647 | รายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 2 | ทส. | 10/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน
๒๕๖๒ ที่ได้เคยมีมติเห็นชอบโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร
ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๕
โดยกำหนดระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นตามวัตถุประสงค์การกู้เงิน คือ
หากเป็นเงินกู้เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย และปรับพื้นที่ปลูกอ้อย
กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๔ ปี
และหากเป็นเงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร
กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี โดยเห็นชอบขยายระยะเวลาชำระคืนหนี้เงินกู้
ได้แก่ (๑) กู้เงินเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย หรือเพื่อปรับพื้นที่ปลูกอ้อย
เดิม กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๔ ปี เป็น กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี
แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๐ และ (๒)
กู้เงินเพื่อจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร เดิม กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี
เป็น กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๘ ปี แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๒ ๑.๒
เห็นชอบการพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย งวดชำระหนี้ที่ถึงกำหนดระหว่างวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔
ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี
๒๕๖๒-๒๕๖๔ เป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้นำต้นเงินงวดชำระดังกล่าวขยายต่อท้ายงวดชำระสุดท้ายตามงวดชำระหนี้เดิม
สำหรับดอกเบี้ยให้ชำระหนี้ในงวดชำระหนี้ในบัญชี ๒๕๖๔ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔-๓๑
มีนาคม ๒๕๖๕) ทั้งนี้ กรณีมีงวดชำระต้นเงินค้างชำระก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓
ที่ถูกจัดหนี้เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน (NPLs) .งวดชำระหนี้ดังกล่าวไม่สามารถพักชำระหนี้ได้ ๑.๓
เห็นชอบการพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย งวดชำระหนี้ที่ถึงกำหนดระหว่างวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔
ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี
๒๕๕๙-๒๕๖๑ เป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้นำต้นเงินงวดชำระดังกล่าวขยายต่อท้ายงวดชำระสุดท้ายตามงวดชำระหนี้เดิม
สำหรับดอกเบี้ยให้ชำระหนี้ในงวดชำระหนี้ในบัญชี ๒๕๖๔ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔-๓๑
มีนาคม ๒๕๖๕) ซึ่งกรอบวงเงินงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยที่เคยได้รับการจัดสรรตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มีเพียงพอ ทั้งนี้ กรณีมีงวดชำระต้นเงินค้างชำระก่อนวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ที่ถูกจัดหนี้เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน (NPLs) งวดชำระหนี้ดังกล่าวไม่สามารถพักชำระหนี้ได้ ๒.
ในส่วนของการขอรับการจัดสรรกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี
๒๕๖๒-๒๕๖๔ ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพิ่มเติม
ให้ดำเนินการภายใต้กรอบงบประมาณเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๑
มิถุนายน ๒๕๖๒ วงเงิน ๕๙๙.๔๓ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม
ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ
อย่างใกล้ชิด
ควรพิจารณาว่าการดำเนินการเป็นไปตามเงื่อนไขว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้และความตกลงว่าด้วยการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก
(WTO) หรือไม่
และควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการผลิตและการตลาดให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ภัยแล้ง
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
648 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562 เรื่อง โครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี 2562 - 2564 และการพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี 2559 - 2561 และปี 2562 - 2564 | อก. | 10/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑
มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่ได้เคยมีมติเห็นชอบโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร
ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔
โดยกำหนดระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นตามวัตถุประสงค์การกู้เงิน คือ
หากเป็นเงินกู้เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย
และปรับพื้นที่ปลูกอ้อย กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๔ ปี
และหากเป็นเงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร
กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี โดยเห็นชอบขยายระยะเวลาชำระคืนหนี้เงินกู้
ได้แก่ (๑) กู้เงินเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย
หรือเพื่อปรับพื้นที่ปลูกอ้อย เดิม กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๔ ปี เป็น
กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๐ และ (๒)
กู้เงินเพื่อจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร เดิม กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี
เป็น กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๘ ปี แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๒ ๑.๒ การพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย
งวดชำระหนี้ที่ถึงกำหนดระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔
ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี
๒๕๖๒-๒๕๖๔ เป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้นำต้นเงินงวดชำระดังกล่าวขยายต่อท้ายงวดชำระสุดท้ายตามงวดชำระหนี้เดิม
สำหรับดอกเบี้ยให้ชำระหนี้ในงวดชำระหนี้ในบัญชี ๒๕๖๔ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔-๓๑
มีนาคม ๒๕๖๕) ทั้งนี้ กรณีมีงวดชำระต้นเงินค้างชำระก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓
ที่ถูกจัดหนี้เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน (NPLs) งวดชำระหนี้ดังกล่าวไม่สามารถพักชำระหนี้ได้ ๑.๓ การพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย
งวดชำระหนี้ที่ถึงกำหนดระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔
ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี
๒๕๕๙-๒๕๖๑ เป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้นำต้นเงินงวดชำระดังกล่าวขยายต่อท้ายงวดชำระสุดท้ายตามงวดชำระหนี้เดิม
สำหรับดอกเบี้ยให้ชำระหนี้ในงวดชำระหนี้ในบัญชี ๒๕๖๔ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔-๓๑
มีนาคม ๒๕๖๕)
ซึ่งกรอบวงเงินงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยที่เคยได้รับการจัดสรรตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มีเพียงพอ ทั้งนี้ กรณีมีงวดชำระต้นเงินค้างชำระก่อนวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ที่ถูกจัดหนี้เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน (NPLs) งวดชำระหนี้ดังกล่าวไม่สามารถพักชำระหนี้ได้ ๒.
ในส่วนของการขอรับการจัดสรรกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี
๒๕๖๒-๒๕๖๔ ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพิ่มเติม
ให้ดำเนินการภายใต้กรอบงบประมาณเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ วงเงิน ๕๙๙.๔๓ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม
ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างใกล้ชิด ควรพิจารณาว่าการดำเนินการเป็นไปตามเงื่อนไขว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้และความตกลงว่าด้วยการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก
(WTO) หรือไม่
และควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการผลิตและการตลาดให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ภัยแล้ง
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
649 | การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ภาษาต่างประเทศและการประชาสัมพันธ์โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ | สลค. | 10/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เป็นภาษาต่างประเทศ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับไปประสานงานกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกรมประชาสัมพันธ์
ในการจัดทำสื่อเผยแพร่ผลงานและข่าวสารที่สำคัญของรัฐบาลเป็นภาษาต่างประเทศ
เพื่อใช้เป็นแหล่งข่าวที่ถูกต้อง ทันเหตุการณ์ น่าเชื่อถือ
และเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานและองค์กรระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยที่จะใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไป
ทั้งนี้ ในการจัดทำสื่อดังกล่าวอาจพิจารณาขอความร่วมมือจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
ที่มีศักยภาพเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย
โดยให้เร่งรัดดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายใน ๖ เดือน ๒.
การประชาสัมพันธ์โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรมในการจัดกิจกรรมให้คณะทูตานุทูตและผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศประจำประเทศไทยได้ไปเยี่ยมชมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในจังหวัดต่าง
ๆ
เพื่อเป็นการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างถูกต้อง
ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยด้วย ทั้งนี้
ให้สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำกับดูแลและติดตามการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง
ๆ ให้ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้อย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
650 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 | พณ. | 03/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑
พร้อมมาตรการคู่ขนาน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และอนุมัติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปี ๒๕๖๓/๖๔ รอบที่ ๑ พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๓/๖๔ ภายในกรอบวงเงินงบประมาณเบื้องต้น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
โดยกระทรวงพาณิชย์ควรหารือร่วมกับ ธ.ก.ส.
ในการจัดทำประมาณการค่าชดเชยต้นทุนเงินให้มีความสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ
๑๒ เดือน ณ ปัจจุบันของ ธ.ก.ส. ด้วย สำหรับค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. ให้คงอัตราเช่นเดียวกับ
ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อให้เป็นตามวัตถุประสงค์โครงการ/มาตรการอย่างแท้จริง
และกระทรวงพาณิชย์ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต ทั้งพันธุ์ข้าว
โครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร
ตลอดจนการยกระดับมูลค่าข้าวจากการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน
และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม
เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันที่จะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
651 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยว | กค. | 03/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยว
ประกอบด้วย การปรับปรุงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) สำหรับกลุ่มผู้ประกอบ SMEs ธุรกิจท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่อง
การปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee
Scheme ระยะพิเศษ Soft Loan พลัส
การขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำออมสินช่วยเหลือ SMEs ในภาคการท่องเที่ยว (โครงการ Soft loan ออมสินฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย)
วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท
และการขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวัง
ควรกำหนดเพดานอัตราการให้สินเชื่อตามกลุ่ม/ประเภท
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านกระบวนการสินเชื่อ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
อย่างครอบคลุม เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
นอกจากนี้ ควรศึกษาและวิเคราะห์ถึงปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินมาตรการในช่วงที่ผ่านมา
รวมทั้งการแก้ไขกฎหมาย
กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลือสำหรับการดำเนินมาตรการในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
652 | ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2563 | กษ. | 03/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑
อนุมัติโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์
วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
เป็นการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางพาราและผลิตภัณฑ์
โดยรัฐบาลสนับสนุนวงเงินชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินร้อยละ ๓
ต่อปี จำนวนไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาท จากวงเงินกู้ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒
อนุมัติขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
เป็นการขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการทั้งสองโครงการเดิมให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖
โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้ออกไปและยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ตามระยะเวลาการขยายระยเวลาชำระคืนเงินกู้พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา
FDR+1
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ รวมทั้งขอรับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการ
(ค่าเช่าโกดัง ค่าประกันภัย และค่าจ้างผลิตยาง) รวมทั้งสิ้น ๘๙๘.๗๖ ล้านบาท ๑.๓
อนุมัติปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง
เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการฯ โดยให้ผู้ประกอบการสามารถขอสินเชื่อได้จากทั้งธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ
(สถาบันการเงินเฉพาะกิจ) และผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้ยางเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการในปีการผลิต
๒๕๖๓ เพื่อลดผลกระทบอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๔ อนุมัติเพิ่มกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยาง
(ยางแห้ง) ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ภายใต้โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการกิจการยาง
(ยางแห้ง) วงเงินสินเชื่อ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการซื้อยางมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของฤดูกาลใหม่เป็นรายเดือน
และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒ ต่อปี ๒.
สำหรับแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ เช่น ค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางพารา
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนยางพารา เป็นต้น และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษามาตรการและแนวทางเพิ่มเติมในการดูดซับอุปทานส่วนเกินของยางพาราในระบบ
และ (๒)
การขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
การยางแห่งประเทศไทยจึงควรหาวิธีชำระคืนเงินกู้โดยเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๓.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย)
เร่งดำเนินการระบายสต็อกยางในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางให้หมดไปโดยเร็ว
โดยให้คำนึงถึงระยะเวลาและระดับราคาจำหน่ายที่เหมาะสม
เพื่อลดภาระงบประมาณและรักษาประโยชน์สูงสุดของรัฐ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
653 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 25/2563 และครั้งที่ 26/2563 | นร.11 | 28/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๕/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ และครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ ที่พิจารณาอนุมัติโครงการ
รวมทั้งรับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓
และวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ ของมหาวิทยาลัยมหิดล จังหวัดตรัง จังหวัดปราจีนบุรี
และจังหวัดกระบี่ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และที่เสนอเพิ่มเติมว่า
ขอแก้ไขข้อความในหนังสือคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ด่วนที่สุด ที่ นร
๑๑๐๖/(คกง.) ๓๗๑ ลงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ หน้า ๑๓ ข้อ ๓.๔.๔ ให้ถูกต้อง
จากเดิมความว่า “๒) มอบหมายให้กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
และดำเนินการ ดังนี้” เป็น “๒)
มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
และดำเนินการ ดังนี้” ๒.
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
ให้กระทรวงต้นสังกัดกำกับดูแลให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
และติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด และ (๒)
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
โดยเฉพาะการแก้ไขปรับปรุงข้อมูลของโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)
และเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
ในส่วนของแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการ
ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา
แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
654 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี | 28/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดปราจีนบุรี จากเดิม ๑๑ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๓) เป็น ๑๓ ปี (ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๕) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการเดิม จำนวน ๙,๐๗๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
เช่น (๑) ควรให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในพื้นที่ที่ยังมีปัญหาเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอแนะแนวการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นกับพื้นที่
และควรทำการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ทราบความเป็นมาและความสำคัญของโครงการฯ
เพื่อสร้างการรับรู้ การยอมรับและความต้องการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ (๒)
ควรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
และ (๓) ควรเร่งรัดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้ราษฎรได้ใช้ประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ
ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
655 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโพนทราย และตำบลคำอาฮวน อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. .... | คค. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลโพนทราย และตำบลคำอาฮวน อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโพนทราย
และตำบลคำอาฮวน อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท
มห. ๓๐๑๙ เพื่อเตรียมความพร้อมและสนับสนุนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเพื่อปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าจากพื้นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรม
รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มโครงข่ายโลจิสติกส์สำหรับการขนส่งสินค้าจากจังหวัดอุบลราชธานี
จังหวัดยโสธร ออกสู่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
โดยไม่ต้องผ่านตัวเมืองมุกดาหาร
และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ก่อนการก่อสร้างทางหลวงชนบททุกเส้นทาง
ขอให้กรมทางหลวงชนบทให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวงชนบทกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในแนวเส้นทางโครงการ
เพื่อกำหนดแนวทางในการเข้าใช้พื้นที่สำหรับการดำเนินโครงการ
พร้อมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินโครงการ โดยคำนึงถึงความก้าวหน้า
ความสำเร็จของการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ
เพื่อให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
656 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 26 มีนาคม 2562 เรื่อง แผนปฏิบัติการความร่วมมือไทย - สปป.ลาว เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน (โครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อปลูกพืชทดแทนพืชเสพติด หมู่บ้านอุดมไซ เมืองเวียงทอง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2565) | ยธ. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒) เรื่อง
แผนปฏิบัติการความร่วมมือไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน
โดยขอยกเลิกเฉพาะโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อปลูกพืชทดแทนพืชเสพติด หมู่บ้านอุดมไว
เมืองเวียงทอง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑)
กระทรวงยุติธรรมควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดการประชุมทวิภาคีไทย-สปป.ลาว
เรื่อง ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ ๑๘ อีกครั้ง
ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เพื่อกำหนดพื้นที่ใหม่ในการดำเนินโครงการฯ
ได้แก่ เมืองคำเกิดและเมืองปกกะดิ่ง แขวงบอลิคำไซ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ สปป.ลาว
เคยแจ้งเป็นการภายในว่ามีความพร้อมให้ฝ่ายไทยเข้าไปดำเนินโครงการฯ ได้ และ (๒)
เห็นควรให้มีการดำเนินโครงการฯ ต่อไป โดยให้หารือกับ สปป.ลาว
ถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาทางเลือกในพื้นที่อื่น ๆ ในปีงบประมาณต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
657 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2563 ของการประปาส่วนภูมิภาค (เพิ่มเติม) | มท. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๖๓ ของการประปาส่วนภูมิภาค (เพิ่มเติม)
จำนวน ๖ โครงการ ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๔
สาขา ได้แก่ สาขาเพชรบูรณ์-หล่มสัก สาขาเดิมบางนางบวช สาขาสมุทรสาคร-นครปฐม
และสาขาด่านช้าง
และเป็นโครงการก่อสร้างปรับปรุงกิจการประปาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒ สาขา
ได้แก่ สาขานครศรีธรรมราช องค์การบริหารส่วนตำบลท่าเรือ และสาขานครศรีธรรมราช
เทศบาลตำบลการะเกด วงเงินรวม ๑๑,๔๕๑.๕๖ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินอุดหนุน จำนวน
๘,๐๒๗.๔๑ ล้านบาท เงินรายได้ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๗๔๘.๓๕ ล้านบาท
และเงินกู้ภายในประเทศ จำนวน ๒,๖๗๕.๗๐ ล้านบาท สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) จัดทำรายละเอียดแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของโครงการที่แสดงถึงศักยภาพและความพร้อมในทุกมิติเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้การประปาส่วนภูมิภาคใช้จ่ายเงินลงทุนจากรายได้เป็นลำดับแรก
และหากมีความจำเป็นต้องใช้เงินกู้ให้กู้เงินในประเทศ
โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้การประปาส่วนภูมิภาครับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น (๑)
หากมีโครงการบางส่วนไม่สามารถจัดหาที่ดินและแหล่งน้ำดิบได้และจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงที่ตั้งโครงการหรือยกเลิกโครงการ
การประปาส่วนภูมิภาคควรพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกโครงการตามขั้นตอนต่อไป
(๒)
การประปาส่วนภูมิภาคควรเร่งดำเนินการจัดหาที่ดินตามแผนการดำเนินงานให้แล้วเสร็จก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโครงการ
(๓) การประปาส่วนภูมิภาคควรจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ในแต่ละพื้นที่โครงการ
และในอนาคตต้องดำเนินการขออนุญาตใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๓
(เรื่อง โครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๖๓ ของการประปาส่วนภูมิภาค)
ที่ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้การประปาส่วนภูมิภาคเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหาที่ดิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ยังไม่มีความพร้อมด้านที่ดิน
เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้การประปาส่วนภูมิภาคเร่งดำเนินการจัดหาที่ดินตามแผนการดำเนินงานให้แล้วเสร็จก่อนนำโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
อย่างเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
658 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลมีชัย ตำบลหนองกอมเกาะ และตำบลโพธิ์ชัย อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย พ.ศ. .... | คค. | 06/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลมีชัย ตำบลหนองกอมเกาะ และตำบลโพธิ์ชัย อำเภอเมืองหนองคาย
จังหวัดหนองคาย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลมีชัย ตำบลหนองกอมเกาะ และตำบลโพธิ์ชัย อำเภอเมืองหนองคาย
จังหวัดหนองคาย เพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๓๓
กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๔๓ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัดและจะเป็นการอำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง
อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ก่อนการก่อสร้างทางหลวงชนบททุกเส้นทาง
ขอให้กรมทางหลวงชนบทให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวงชนบทกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
รวมทั้งควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินโครงการโดยคำนึงถึงความก้าวหน้า/ความสำเร็จของการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจหนองคาย
เพื่อให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
659 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 06/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า
อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว
จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี
อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง
และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. ๒๕๕๙
โดยแก้ไขมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่เนื้อหาไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดในแผนที่ท้ายประกาศฯ
เพื่อให้มีความชัดเจนในการบังคับใช้
รวมทั้งปรับปรุงมาตรการที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนหรือขัดต่อการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค
สาธารณูปการ โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น หรือนโยบายภาครัฐต่าง ๆ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
660 | ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงานทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) | ศธ. | 29/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการปรับแผนการดำเนินงานทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(พสวท.) พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ในประเด็นต่าง ๆ
ซึ่งเป็นการปรับปรุงรายละเอียดจากแผนการดำเนินงานทุน พสวท. พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) อนุมัติในหลักการไว้แล้ว เช่น
ปรับการสรรหานักเรียนที่มีความสามารถพิเศษเข้ารับทุน พสวท.
โดยให้นักเรียนที่สอบคัดเลือกได้สามารถเลือกศึกษาในโรงเรียนที่เป็นศูนย์ พสวท.
หรือในโรงเรียนอื่นที่มีศักยภาพสูงเทียบเท่ามาตรฐานโรงเรียนที่เป็นศูนย์ พสวท.
ก็ได้ ปรับจำนวนทุนการศึกษาต่อปี
โดยลดจำนวนทุนการศึกษาในประเทศและเพิ่มจำนวนทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ
ปรับเพิ่มทุนการศึกษาส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวเนื่องจากปัจจุบันค่าครองชีพต่าง
ๆ สูงขึ้น เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยในส่วนของทุนการศึกษา
(ส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว) และหลักเกณฑ์การดูแลจัดการศึกษาที่เกี่ยวข้อง
ให้กระทรวงศึกษาธิการ [สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)] หารือร่วมกับสำนักงาน ก.พ. ในรายละเอียด ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.
สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานทุน พสวท. ให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดย สสวท. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น
ควรให้ความสำคัญในกลไกการติดตามและประเมินผลอย่างใกล้ชิด
ควรมีกลไกในการสนับสนุนให้ผู้สำเร็จการศึกษาทุน พสวท. สร้างสรรค์ผลงาน องค์ความรู้
เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลผู้สำเร็จการศึกษาด้วยทุน
พสวท. ในสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐได้รับทราบและแจ้งความต้องการกำลังคนคุณภาพดังกล่าว
และควรบูรณาการการให้ทุนระดับอุดมศึกษากับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในระยะต่อไป
หากกระทรวงศึกษาธิการ โดย สสวท.
มีความจำเป็นต้องปรับปรุงรูปแบบและเงื่อนไขของแผนการดำเนินงานทุน พสวท.
ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สสวท. หารือร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติก่อนนำเสนอคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณา
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดย สสวท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการทุนด้านวิทยาศาสตร์พิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหานักเรียนทุนสละสิทธิ์การขอรับทุนก่อนสำเร็จการศึกษา
รวมทั้งแนวทางในการจูงใจให้บุคลากรที่สำเร็จการศึกษาแล้วปฏิบัติงานด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมทั้งในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อดำเนินการต่อไปด้วย |