ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 36 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 701 - 720 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
701 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สำหรับโครงการปรับปรุงระบบไฟฟ้า ในเมืองย่างกุ้ง (เขต North Okkalapa และเขต North Dagon) | กค | 14/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการปรับปรุงระบบไฟฟ้าในเมืองย่างกุ้ง (เขต North Okkalapa และเขต North Dagon) ในรูปแบบเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน (Concessional Loan) ทั้งจำนวน วงเงินกู้ จำนวน ๑,๔๕๘,๒๔๘,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณแผ่นดินเป็นรายปี โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๖ รวมระยะเวลา ๓ ปี รวมวงเงินที่จะขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณทั้งสิ้นเท่ากับ ๗๒๙,๑๒๔,๐๐๐ บาท ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ดำเนินการกู้เงิน จำนวน ๗๒๙,๑๒๔,๐๐๐ ล้านบาท ตามรูปแบบและเงื่อนไขที่กำหนด ๑.๔ กรณีเมียนมาผิดนัดชำระหนี้ ขอให้รัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ตามจำนวนที่ชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย เพื่อชำระคืนแหล่งเงินกู้ไปก่อน และเมื่อสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) สามารถเรียกเก็บหนี้ได้จะนำเงินดังกล่าวส่งคืนคลังต่อไป ๒. ในส่วนของภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ ๒๕๖๔ และปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) พิจารณานำเงินสะสมเหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการอื่นมาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้รวมถึงกรณีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาผิดนัดชำระหนี้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
702 | การขอขยายระยะเวลาการชำระค่าเช่า ค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่า และลงนามในสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก ราย กิจการร่วมค้า ไอซีบีแอนด์จี ตาก อินดัสเทรียล พาร์ก | กค | 14/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการชำระค่าเช่า ค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่า (ผลประโยชน์ตอบแทนการเช่า) และลงนามในสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก ราย กิจการร่วมค้า ไอซีบีแอนด์จี ตาก อินดัสเทรียล พาร์ก ออกไปอีก ๓๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๒. หากส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจะเสนอเรื่องเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษในกรณีไม่เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน ให้รอนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเมื่อร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ มีผลใช้บังคับต่อไป ๓. เพื่อให้การช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั่วถึงและเป็นธรรม ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดจัดทำหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนและการบริหารสัญญาระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐในการดำเนินโครงการ/กิจการต่าง ๆ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง หลักเกณฑ์การบริหารสัญญาระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)] ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
703 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนพฤษภาคม 2563 | นร11 | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น เผยแพร่สื่อวีดิทัศน์ประกอบการชี้แจงวิธีการและขั้นตอนการจัดทำโครงการสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ให้หน่วยงานระดับกรมหรือเทียบเท่าเข้าใจบทบาทและหน้าที่ การหารือร่วมกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ขององค์กรต่าง ๆ ในการเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศร่วมกับหน่วยงานของรัฐ การพัฒนาและขยายการใช้ประโยชน์จาก (Thailand People Map and Analytics Platform : TPMAP) และการพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) ให้สามารถรองรับการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินโครงการภายใต้เงื่อนไขของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เป็นต้น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
704 | การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ และขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2523 ในกรณีที่ปรากฏว่ายังมีส่วนราชการใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต | ทส | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหากรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต และให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหากรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓ (เรื่อง การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) ในกรณีที่ปรากฏว่ายังมีส่วนราชการใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และหากปรากฏว่ายังมีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตอีก ให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งกับหน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ ในส่วนของการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ ภายใน ๑๘๐ วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ นั้น ให้หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงเป็นผู้รวบรวมคำขออนุญาตของหน่วยงานในสังกัดให้ครบถ้วนเพื่อส่งไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เช่น (๑) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ของแต่ละหน่วยงานอย่างรอบคอบและให้มีความเหมาะสม (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการมาตรการที่เสนออย่างจริงจัง ไม่ควรมีการผ่อนผันอีกในอนาคต และพิจารณาดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปล่อยปละละเลยและมีส่วนเกี่ยวข้อง (๓) ให้ส่วนราชการผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาต เร่งรัดขั้นตอนการยื่นคำขอและการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตในการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าเป็นไปอย่างรวดเร็ว และให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (๔) ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงบประมาณได้ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาความพร้อมของพื้นที่ดำเนินการประกอบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ (๕) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรกำหนดกลไกและแผนการติดตามประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดวิธีการที่เหมาะสมและไม่ขัดต่อกฎหมายในการดำเนินการกรณีที่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเข้าใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อทำประโยชน์ในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล กรณีที่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำพื้นที่ป่าไม้ที่ได้รับอนุญาตไปให้ภาคเอกชนเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ต่อ/ถือกรรมสิทธิ์ในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อประกอบกิจการ เช่น ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว กรณีการตั้งสำนักสงฆ์ในพื้นที่ป่า และกรณีการนำที่ดินของเกษตรกรที่รัฐอนุญาตให้เข้าใช้พื้นที่ไปให้เอกชนเช่าต่อ ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๔.๑ วางแผนและจัดลำดับความสำคัญในการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตโครงการที่ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่โครงการต่าง ๆ จะต้องหยุการดำเนินการเพื่อรอผลการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ๔.๒ ในระยะต่อไป ให้จัดทำแนวทางปฏิบัติในกรณีที่ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือเอกชนจะต้องดำเนินการเพื่อขออนุมัติ/อนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ในแต่ละประเภท ตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้มีความชัดเจน ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาของแต่ละขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ/อนุญาตทั้งกระบวนการ รวมทั้งให้พิจารณานำระบบเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนงานด้วย ๕. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องดำเนินโครงการในพื้นที่ป่าประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้นไป คำนึงถึงความพร้อมในการดำเนินโครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องเรียบร้อยก่อนเสนอขออนุมัติโครงการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ (เรื่อง การเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) เพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีการเสนอขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีใด ๆ ภายหลังจากเริ่มดำเนินโครงการไปแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
705 | ผลการดำเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสถานะการดำเนินโครงการ และการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ ๑.๒ ให้กระทรวงต้นสังกัดเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จที่ประสงค์จะดำเนินการต่อโดยใช้เงินจากแหล่งอื่นดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และเบิกจ่ายเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด และขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานความก้าวหน้าของงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากแหล่งอื่นให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบภายในวันที่ ๗ ของเดือนถัดไปจนกว่าจะดำเนินโครงการแล้วเสร็จ ๑.๓ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการส่งคืนเงินคงเหลือจากการดำเนินโครงการในกรณีเบิกเงินจากคลังไปแล้ว แต่ไม่ได้จ่าย หรือจ่ายไม่หมด หรือได้รับคืน เข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง ชื่อบัญชี “เงินฝากเงินกู้สำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน” ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ด้วย เพื่อให้กระทรวงการคลังนำเงินที่เหลือในบัญชีส่งคืนคลังและดำเนินการปิดบัญชีดังกล่าวตามระเบียบต่อไป ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนำเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้อง และรายงานกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบต่อไป ๑.๔ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งดำเนินการส่งคืนกรอบวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรไปที่สำนักงบประมาณ และแจ้งผลการส่งคืนเงินเหลือจ่ายที่เสร็จสิ้นแล้วให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ด้วย ๑.๕ ให้กรมทรัพยากรน้ำที่มีโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการพัสดุ รวมถึงกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดโดยเร็ว และเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีต้นสังกัดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่มีเงินคงเหลือของโครงการ ขอให้ส่งคืนเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๒๐ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินนั้นให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบด้วย และหากไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้กรมทรัพยากรน้ำนำเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนำเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ให้กระทรวงเจ้าสังกัดของหน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ และให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยเคร่งครัด (๒) มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการของหน่วยงานที่ดำเนินการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ และ (๓) โครงการที่ดำเนินการและเบิกจ่ายไม่ทันวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ และประสงค์จะดำเนินการต่อโดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จากโครงการ/รายการที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และมีงบประมาณเหลือจ่าย และ/หรือหมดความจำเป็น ไม่สามารถดำเนินการได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยให้รายงานความก้าวหน้าของงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ทราบตามขั้นตอนจนกว่าโครงการจะดำเนินการแล้วเสร็จ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
706 | การติดตามการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2562/63 | พณ | 09/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
707 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2563 | นร10 | 02/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีประเด็นข้อสั่งการสำคัญที่มอบหมายให้ส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการรวม ๗ ประเด็น ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับการบริหารราชการและการบริหารงบประมาณ ตามแนวทาง ดังนี้ (๑) เร่งรัด ขับเคลื่อนการปฏิบัติราชการและการใช้จ่ายงบประมาณในช่วงไตรมาสที่ ๓ และไตรมาสที่ ๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดตามแผนปฏิบัติราชการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ (๒) ให้สำนักงบประมาณและส่วนราชการพิจารณาทบทวนรายละเอียดคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และ (๓) ให้ทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดแผนปฏิบัติราชการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สามารถขับเคลื่อนงานให้บรรลุเป้าหมาย และสามารถเบิกจ่ายงบประมาณตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามที่กำหนด ๒. ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เพื่อให้พร้อมต่อการทำงานที่ต้องอาศัยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ๓. ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการให้บริการพิจารณาจัดเตรียมมาตรการหรือแนวทางการดำเนินการเพื่อรองรับการเปิดประเทศ เช่น มาตรการด้านภาษี การตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (VISA on Arrival) การขนส่งสินค้า (Logistics) การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชน และการสร้างแพลตฟอร์มรองรับการให้บริการจองที่พัก ๔. ให้ทุกส่วนราชการเตรียมจัดทำแผนงาน/โครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีจะกำหนดออกมาในภายหลัง โดยขอให้มุ่งเน้นการดำเนินโครงการขนาดเล็กที่สามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว ๕. ให้กระทรวงการคลังปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้กระบวนการมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย พิจารณาการปรับปรุงแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ เช่น การคมนาคมขนส่งทางบก การชลประทาน การสร้างบ่อน้ำบาดาล โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการขนาดเล็กที่สามารถขยายผล ต่อยอด หรือเชื่อมโยงกับโครงการขนาดใหญ่ที่มีอยู่เดิม ๗. ให้สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานนอกสถานที่ (Work from Home) อย่างต่อเนื่อง โดยให้พิจารณาให้เหมาะสมกับลักษณะงาน ทั้งนี้ ให้มีการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
708 | ขออนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง | กษ | 26/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๒,๑๖๔.๑ ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวเป็นการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในการประกอบอาชีพอันเนื่องมาจากการปฏิรูปภาคการประมงไทย ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการประมงต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการปรับปรุงเรือ เครื่องมือ และอุปกรณ์ทำการประมง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๒,๑๖๔.๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าชดเชยดอกเบี้ย จำนวน ๒,๑๖๓ ล้านบาท ให้ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในการชี้แจง ประชาสัมพันธ์ และติดตามโครงการ จำนวน ๑.๑ ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) พิจารณาโอนเงินจัดสรร เปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนแล้วแต่กรณีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. รับไปพิจารณาดำเนินการให้ผู้ประกอบการประมงพื้นบ้านขนาดเล็กสามารถกู้เงินในรูปแบบกลุ่มได้ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า (๑) ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ต้องจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (๒) การพิจารณาให้สินเชื่ออาจพิจารณาตรวจสอบความเกี่ยวข้องกับ IUU เนื่องจากเป็นประเด็นร่วมมือสำคัญกับ EU รวมทั้งพิจารณาความสอดคล้องกับ WTO (๓) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีระบบติดตามการนำเงินกู้ไปใช้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ (๔) ควรตรวจสอบรายละเอียดคุณสมบัติผู้ประกอบการประมงในการขอสินเชื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และมีการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ เป็นรายปี และ (๕) ควรให้ความสำคัญกับกลไกและกระบวนการป้องกันและกำกับดูแล ไม่ให้มีการนำเงินทุนที่ได้รับไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยเฉพาะกับการทำประมงอย่างไม่ถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการทำประมงให้ชัดเจนและขับเคลื่อนการดำเนินการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป เช่น ปัญหาการทำประมงทับซ้อนของผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้าน การบริหารจัดการการทำประมงสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ ทั้งในและนอกน่านน้ำไทย การคุ้มครองเรือประมงของไทยทั้งในและนอกน่านน้ำไทย การติดตาม ตรวจสอบ และปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมาย และการปราบปรามเรือประมงสองสัญชาติ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
709 | แนวทางการดำเนินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนและการสนับสนุนอาหารกลางวันในโรงเรียนรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) | ศธ | 19/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนและการสนับสนุนอาหารกลางวันในโรงเรียน รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ดื่มนม จำนวน ๒๖๐ วันต่อปีการศึกษา ตามประกาศของคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓ ประกาศ ณ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ และ (ฉบับที่ ๒) ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ มีแนวทางการบริหารจัดการ ดังนี้ ๑.๑.๑ กรณีภาคเรียนที่ ๑/๒๕๖๓ เปิดภาคเรียนวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ให้นักเรียนบริโภคนมชนิด ยู เอช ที ตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ๑.๑.๒ กรณีภาคเรียนที่ ๑/๒๕๖๓ เปิดภาคเรียนหลังวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ หรือกรณีการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ หรือกรณีการสลับวันมาเรียน ให้นักเรียนบริโภคนมชนิด ยู เอช ที ตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ๑.๒ โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รับประทานอาหารกลางวัน จำนวน ๒๐๐ วันต่อปีการศึกษา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่เห็นชอบให้นักเรียนตั้งแต่เด็กเล็ก และชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณอาหารกลางวันทุกคน จำนวน ๒๐๐ วัน และเพิ่มเงินอุดหนุนจากอัตรา ๑๐ บาทต่อคนต่อวัน เป็น ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่ให้เพิ่มเงินอุดหนุนเป็นอัตรา ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน มีแนวทางการบริหารจัดการ ดังนี้ ๑.๒.๑ กรณีการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ หรือกรณีการสลับวันมาเรียน ทำให้โรงเรียนไม่สามารถจัดหาอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนที่โรงเรียนได้ จึงจำเป็นต้องจ่ายงบประมาณค่าอาหารกลางวันนักเรียนให้แก่ผู้ปกครองนักเรียนเพื่อนำไปจัดหาอาหารกลางวันให้นักเรียนรับประทานที่บ้าน ทั้งนี้ ให้รวมถึงอาหารมื้ออื่น ๆ ที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเคยจัดให้ ตั้งแต่วันเปิดภาคเรียนวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ๑.๒.๒ กรณีการจัดการเรียนการสอนชดเชย ให้โรงเรียนดำเนินการจัดอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนที่โรงเรียนได้เช่นเดียวกับวันจัดการเรียนการสอนตามปกติ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดชนิดของนม (นมพาสเจอร์ไรส์และนมยูเอชที) ในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงการขนส่ง การเก็บรักษา และสภาพแวดล้อมของโรงเรียนในแต่ละพื้นที่เพื่อให้นักเรียนได้รับนมที่มีคุณภาพไม่เกิดปัญหาการบูดเสียด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
710 | ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการและลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) | อก | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) ดำเนินโครงการ Application of Industry-urban Symbiosis and Green Chemistry for Low Emission and Persistent Organic Pollutants free Industrial Development in Thailand) และเห็นชอบร่างหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ กับ UNIDO โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ โดยเอกสารโครงการฯ และร่างหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ จัดทำขึ้นเพื่อแสดงเจตจำนงการเข้าร่วมโครงการฯ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสิ่งแวดล้อม (Global Environment Facility : GEF) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมหลักการเอื้อประโยชน์ร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชน และการใช้สารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas : GHG) และลดสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (Persistent Organic Pollutant : POPs) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เป็นเงินทุนร่วม เห็นควรพิจารณาดำเนินการบูรณาการร่วมกันในการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อลดความซ้ำซ้อน ลดความเสี่ยงหรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ รวมทั้งเห็นควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ/แผนงานภายใต้โครงการฯ ตามขั้นตอนต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
711 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2562 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค. | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
(รฟม.) ในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของ รฟม.
ในอนาคต ซึ่งภาพรวมผลการดำเนินงานของ รฟม. ในปี
๒๕๖๒ อยู่ในระดับดีเยี่ยม โดยสามารถผลักดันให้มีปริมาณผู้โดยสารโครงการรถไฟฟ้ามหานคร
สายเฉลิมรัชมงคล
และสายฉลองรัชธรรมเป็นไปตามเป้าหมายและมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการดำเนินการของ รฟม. ในปี ๒๕๖๓ กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้ รฟม.
พิจารณาดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) เร่งดำเนินการประกวดราคา/คัดเลือกเอกชนเพื่อร่วมลงทุนสำหรับโครงการรถไฟฟ้าที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้ว
(๒) เร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงาน
โดยให้ความสำคัญกับการบริหารผลกระทบต่อการจราจรในทุกมิติ
และให้ควบคุมการก่อสร้างไม่ให้เกิดฝุ่นละออง PM 2.5 ตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
(๓) เร่งดำเนินการพัฒนาระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
ที่จะช่วยให้การเชื่อมต่อการเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้ากับระบบขนส่งมวลชนรูปแบบอื่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบาย
ให้สามารถใช้งานได้ตามแผนงานที่กำหนดไว้
โดยเฉพาะการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และ (๔)
การดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในเมืองภูมิภาค รฟม. ควรให้ความสำคัญสูงสุดกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
712 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2563 | สกพอ | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแผนงานรื้อย้ายสาธารณูปโภคและก่อสร้างทดแทนในพื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ท่าอากาศยานดอนเมือง-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานอู่ตะเภา) และกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการดังกล่าว จำนวน ๔,๑๐๓.๖๐๘ ล้านบาท เฉพาะส่วนที่หน่วยงานของรัฐเจ้าของสาธารณูปโภคต้องดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประกอบด้วย หน่วยงานภายใต้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร การไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการประปาส่วนภูมิภาค) จำนวน ๔,๐๖๙.๔๐๘ ล้านบาท หน่วยงานภายใต้กระทรวงกลาโหม (กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ) จำนวน ๓๑.๒ ล้านบาท และหน่วยงานภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ (ค่ายลูกเสือวชิราวุธ) จำนวน ๓ ล้านบาท ในส่วนของแผนงานรื้อย้ายสาธารณูปโภคและก่อสร้างทดแทนสาธารณูปโภคที่กีดขวางการก่อสร้างโครงการดังกล่าว ของหน่วยงานภายใต้กระทรวงพลังงาน [บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย] และของเอกชนอื่น ๆ นั้น หน่วยงานเจ้าของสาธารณูปโภคและเอกชนเจ้าของสาธารณูปโภคจะดำเนินการรื้อย้ายและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง และเมื่อดำเนินการรื้อย้ายและ/หรือก่อสร้างทดแทนสาธารณูปโภคในพื้นที่เรียบร้อยแล้ว การรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่จะทยอยส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนคู่สัญญาเพื่อเข้าดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการบริหารความเสี่ยงในขั้นตอนการดำเนินงาน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของการดำเนินโครงการ และควรกำกับและติดตามการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผน นอกจากนี้ ในระหว่างขั้นตอนการรื้อย้ายและก่อสร้างสาธารณูปโภคทดแทนกลับ จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนทั้งในด้านความเป็นอยู่และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากการดำเนินงานในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
713 | การบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนและโครงการอาหารเสริม (นม)โรงเรียน ในช่วงปิดภาคเรียน | นร | 05/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้ส่งผลให้สถานศึกษาต่าง ๆ ทั้งในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปิดเรียนตั้งแต่วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๓ และมีกำหนดเปิดเรียนในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้นักเรียนได้รับสิทธิตามโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนและโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนอย่างต่อเนื่องและครบถ้วนในช่วงการปิดเรียนดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อให้นักเรียนได้รับอาหารกลางวันและอาหารเสริม (นม) โรงเรียนที่มีคุณภาพ ถูกหลักอนามัยอย่างต่อเนื่องและครบถ้วน โดยให้พิจารณาแนวทางการบริหารจัดการให้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้อาหารและนมถึงมือนักเรียนที่ไม่ได้มายังสถานศึกษาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
714 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 | นร14 | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุม กนช. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑) เรื่องเพื่อทราบ ๔ เรื่อง ได้แก่ ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้ กนช. (๕ คณะ) ความก้าวหน้าแผนงานโครงการที่เสนอในคณะรัฐมนตรีและงานนโยบายที่นายกรัฐมนตรีตรวจพื้นที่ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กนช. (เพิ่มเติม) และผลการดำเนินงานของคณะกรรมการลุ่มน้ำ (๒) เรื่องเพื่อพิจารณา ๓ เรื่อง ได้แก่ แผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) โครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ และการเพิ่มปริมาณการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง มาลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพื่อรักษาระบบนิเวศ (ป้องกันน้ำเค็มรุกตัว) อีก ๕๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น ๑,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ในฤดูแล้งปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ และ (๓) เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ แผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกพืช ฤดูฝนปี ๒๕๖๓ ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ กนช. และข้อสั่งการประธาน กนช. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ ๒. ให้ กนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินโครงการและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินการ และยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดของแบบรูปรายการ สถานที่ดำเนินการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป เป็นช่วงที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากผลกระทบโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการด้วยความรอบคอบและคำนึงถึงความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อให้โครงการต่าง ๆ ดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนงาน และมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบรรเทาปัญหาด้านทรัพยากรน้ำตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้แต่แรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
715 | โครงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถให้กับนักเรียน สำหรับโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล | ศธ | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถให้กับนักเรียน สำหรับโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาโรงเรียนประจำตำบล (๑ ตำบล ๑ โรงเรียนคุณภาพ) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๘,๒๒๔ โรง ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานตามบริบทของชุมชนตนเอง ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในชุมชน เพื่อให้ “โรงเรียนกลายเป็นศูนย์กลางในชุมชน” และมอบหมายสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น ๕๑,๙๐๔.๗๓ ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ (๓ ปี) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ดำเนินการตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่สำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นชอบและอนุมัติเงินจัดสรรไว้แล้ว สำหรับการดำเนินการในปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) รับความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะที่จะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อยอดสู่การเรียนรู้ทักษะสำหรับศตวรรษที่ ๒๑ ควรเน้นการพัฒนาครูให้สามารถจัดการเรียนการสอนในลักษณะบูรณาการอย่างเป็นองค์รวม และการจัดการเรียนการสอนเชิงรุกที่เน้นการปฏิบัติจริง และควรมีการติดตามและประเมินผลโครงการฯ ที่ชัดเจน มีตัวชี้วัดที่สะท้อนการพัฒนาผู้เรียน รวมถึงการจัดทำระบบสารสนเทศเพื่อเก็บข้อมูลโรงเรียนในทุกมิติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) บูรณาการโครงการฯ ร่วมกับโครงการอื่น ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยพิจารณาจัดกลุ่มโรงเรียนในโครงการตามประเด็นการพัฒนาที่มีลักษณะเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน เช่น กลุ่มโรงเรียนที่ต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มโรงเรียนที่ต้องการพัฒนา/ส่งเสริมคุณภาพครู เป็นต้น เพื่อให้สามารถวางแผนการดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีเป้าหมายของการดำเนินการในแต่ละระยะที่ชัดเจน นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ควรมีกลไกในการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการของโรงเรียน ก่อนที่จะขยายผลการดำเนินโครงการในแต่ละระยะเพื่อให้โรงเรียนดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อลดภาระให้แก่นักเรียน ครู และโรงเรียน และเป็นการใช้ทรัพยากรทางการศึกษาที่ประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล สามารถแก้ไขปัญหาที่มีความหลากหลายในแต่ละโรงเรียนและแต่ละบริบทให้ตรงประเด็นและตรงตามความต้องการของพื้นที่มากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการพัฒนาโรงเรียนขนาดกลางให้มีความพร้อม เพื่อเป็นศูนย์กลางให้แก่โรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อรองรับกรณีที่จะต้องมีการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กในอนาคต ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง การขอยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และ ๒๕๖๐) ๔. โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยประสบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลายาวนานจนกว่าปัญหาดังกล่าวจะหมดสิ้นไป ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงควรพิจารณาทบทวนและจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินโครงการต่าง ๆ โดยเน้นการพัฒนาหลักสูตรออนไลน์และพัฒนาระบบการเรียนการสอนด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์มให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทั่วประเทศเป็นลำดับแรก เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
716 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 พ.ศ. .... | นร11 | 21/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญประกอบด้วย ๖ หมวด ได้แก่ หมวดที่ ๑ การกำหนดหน้าที่ของหน่วยงานรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการภายใต้การเสนอโครงการ การจัดสรรเงินกู้ การเบิกจ่ายเงินกู้ และการรายงานผลการดำเนินโครงการ รวมถึงการรับฝากเงินกู้และจัดทำระบบบัญชี หมวดที่ ๒ การเสนอ การพิจารณากลั่นกรอง และการอนุมัติโครงการ หมวดที่ ๓ การดำเนินโครงการ หมวดที่ ๔ การเก็บรักษาเงินกู้และการเบิกจ่ายเงินกู้ หมวดที่ ๕ การติดตามประเมินผล และการรายงานผลการใช้เงินกู้ และหมวดที่ ๖ การใช้วงเงินกู้สำหรับรายการเงินสำรองจ่าย ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ โดยมอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเพิ่มเติมวันใช้บังคับของร่างระเบียบดังกล่าวให้สมบูรณ์ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ รัดกุม มีความคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
717 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 | กค | 21/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๓ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน ๒,๙๑๐.๓๙ ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐๖.๖๑ ล้านบาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๒,๘๐๓.๗๘ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม ๒,๘๐๓.๗๘ ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราต้นทุนเงิน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน ธ.ก.ส. บวกร้อยละ ๑ ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินรวม ๒,๙๘๐.๒๔ ล้านบาท ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๓ ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกร ทั้งในส่วนที่ ๑ และส่วนที่ ๒ (Tier 1 และ Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัย และร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกร แบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๕ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยพิจารณากำหนดรูปแบบการประเมินความเสียหายแก่เกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๖๒ ร่วมกับ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๓ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๓ ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๓ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๓ ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการหารือเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของกรอบวงเงินในการดำเนินการ ซึ่งจะต้องไม่เกินสัดส่วนตามประกาศของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ รวมทั้งการศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง ตลอดจนการพิจารณานำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตรอื่น ๆ อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม มาใช้ประกอบการคิดอัตราเบี้ยประกันภัยและการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างยั่งยืนไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปีในปีต่อไป ให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๓.๑ ให้พิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการฯ ทั้งในส่วนของการรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และการรับประกันภัยภาคสมัครใจ (Tier 2) รวมถึงการส่งเสริมให้ ธ.ก.ส. ร่วมจ่ายเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้นตามความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ และการประเมินและศึกษาแนวทางการปรับลดสัดส่วนการอุดหนุนของภาครัฐในการจ่ายเบี้ยประกันภัยตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓.๒ ให้เร่งดำเนินการนำเสนอโครงการฯ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ก่อนเริ่มฤดูกาลเพาะปลูก เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าร่วมโครงการฯ อย่างทั่วถึงและได้รับการคุ้มครองตลอดระยะเวลาการเพาะปลูกข้าวนาปีทั้งฤดูการผลิต ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ และ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ (เรื่อง โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๐ และเรื่อง โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
718 | ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ครั้งที่ 2 | กค | 21/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ขยายจำนวนผู้เข้าข่ายได้รับสิทธิตามมาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ให้ครอบคลุมทั่วถึงผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) จากเดิมจำนวน ๙ ล้านคน เป็น ๑๔ ล้านคน และขยายกรอบวงเงินสำหรับใช้ในการดำเนินโครงการจากเดิม จำนวน ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท เป็น จำนวน ๒๑๐,๐๐๐ ล้านบาท (๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน * ๓ เดือน * ๑๔ ล้านคน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับแหล่งที่มาของงบประมาณในการดำเนินมาตรการฯ ให้กระทรวงการคลังขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบผู้ได้รับสิทธิ์มิให้มีความซ้ำซ้อนในการได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการความช่วยเหลืออื่น ๆ ของภาครัฐที่เกี่ยวกับการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) และพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบที่สมควรได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ได้รับผลกระทบทางตรงจากการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยว และผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการการปิดสถานประกอบการของภาครัฐ รวมทั้งพิจารณาจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในแต่ละกลุ่มหรือแต่ละพื้นที่ ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการประกาศปิดสถานประกอบการในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถจัดสรรเงินให้ความช่วยเหลือไปยังกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแท้จริง และดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
719 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมความรู้ให้กับ SMEs ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับ SMEs ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน | นร53 | 15/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมความรู้ให้กับ SMEs ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับ SMEs ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินโครงการส่งเสริมความรู้ให้กับ SMEs ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มีผลการดำเนินการ เช่น ผู้ประกอบการ SMEs เข้ารับการอบรม รวม ๔,๓๑๓ ราย ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสิทธิ์ซื้อ FX Option รวม ๓,๗๑๔ ราย และมูลค่าสัญญา FX Option รวม ๑๒๐.๒๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้จ่ายงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๔๐.๕๙ ล้านบาท สำหรับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน เช่น ผู้ประกอบการบางส่วนไม่เห็นถึงความจำเป็นในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และไม่เข้าใจเกี่ยวกับบริการ FX Options แม้ผ่านการอบรมแล้ว เป็นต้น ๑.๒ การดำเนินการในระยะต่อไป : โครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุน SME ที่ทำการค้าระหว่างประเทศ วงเงิน ๔๕๐ ล้านบาท เนื่องจากการดำเนินงานโครงการส่งเสริมความรู้ให้กับ SMEsฯ ไม่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ SMEs มากนัก ดังนั้น คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ จึงได้มีมติอนุมัติและเห็นชอบการจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตามมาตรา ๓๔ (๓) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๓ เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุน SMEs ที่ทำการค้าระหว่างประเทศ วงเงินงบประมาณ ๔๕๐ ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติแผนการดำเนินงานโครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงฯ วงเงินงบประมาณ ๒๒๕ ล้านบาท ๒. ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมความรู้ให้กับ SMEs ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการ SMEs เข้าร่วมไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด เห็นควรนำปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานที่ผ่านมานำมาปรับปรุงแผนการดำเนินงานโครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุน SMEs ที่ทำการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงกำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล และดำเนินการตามข้อสั่งการประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ตลอดจนให้มีการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของมาตรการดังกล่าวเป็นระยะ และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
720 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบสารสนเทศของ สปป.ลาว เพื่อเชื่อมโยงกับระบบ ASEAN Single Window | กค | 15/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบสารสนเทศของ สปป.ลาว เพื่อเชื่อมโยงกับระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window : ASW) ในรูปแบบเงินให้เปล่าทั้งจำนวน วงเงินรวม ๑๘,๘๒๐,๘๐๕.๑๒ บาท โดยใช้เงินสะสมของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง [กรมศุลกากรและสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน)] รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ในกรณีโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบฯ ในครั้งนี้ ฝ่ายไทยอาจพิจารณาใช้โอกาสที่เหมาะสมเร่งรัดและผลักดันประเด็นคงค้างสำคัญอื่น ๆ กับ สปป.ลาว เช่น การผลักดันให้ สปป.ลาว เปิดใช้พื้นที่ควบคุมร่วม (Common Control Area) บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๒ (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ภายในปี ๒๕๖๓ และในการดำเนินโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบฯ ควรมีการจัดทำแผนงานที่มีกลไกการติดตามให้เป็นไปตามกรอบ รวมถึงมีการประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ควรหารือร่วมกับ สปป.ลาว ในการพัฒนาและดูแลระบบ รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลและเอกสารอื่น ๆ ในทุกด่านพรมแดนถาวรด้วยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|