ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 40 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 781 - 800 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
781 | มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 | กค | 26/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติมาตรการ/โครงการ ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ๒๕๖๒ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๖๒ และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้ ๑.๑ โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๑.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระดับหมู่บ้าน ภายในกรอบวงเงิน ๑๔,๔๙๑.๔ ล้านบาท โดยให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติพิจารณาใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ โดยพิจารณาจากโครงการที่ได้เคยมีมติอนุมัติไว้ ซึ่งได้ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และ/หรือโครงการที่มีผลการปฏิบัติงานล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจัดทำรายละเอียดให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๑.๑.๒ เห็นชอบโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับวงเงินชดเชยดอกเบี้ย ภายในกรอบวงเงิน ๗๐๗.๗ ล้านบาท ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้สินเชื่อในแต่ละกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ รวมทั้งรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรให้ความสำคัญในเรื่องของความพร้อมของโครงการ ความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมาย การติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินการที่ผ่านมา การสร้างความรับรู้ ความเข้าใจของทุกภาคส่วนต่อการดำเนินโครงการ เพื่อลดความเสี่ยงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสียที่จะเกิดขึ้น และความซ้ำซ้อนของการดำเนินการในแต่ละโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๑.๑.๓ รับทราบโครงการพักชำระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตามความสมัครใจ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาแนวทางการประเมินและบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดแรงจูงใจในการผิดนัดชำระหนี้และปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรมุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนอย่างแท้จริง โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ประชาชนในพื้นที่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีเงินสะสมคงเหลือที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพของคนในชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงการคลังถอนมาตรการลดภาระหนี้ผู้ประกอบการ SMEs ไปเพื่อพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาสนับสนุนให้สถาบันการเงินเร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ระยะที่ลูกหนี้ยังอยู่ในวิสัยที่จะสามารถดำเนินธุรกิจได้ โดยพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ที่แท้จริงของลูกหนี้แต่ละราย เพื่อเป็นกันชนรองรับแรงกดดันความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ และสามารถปรับตัวเพื่อฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างทันท่วงที ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๓ รับทราบหลักการของมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งประกอบด้วย (๑) การอนุมัติของบประมาณเพิ่มเติมตามโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และ (๒) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดของโครงการให้ชัดเจน เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการช่วยเหลือตามมาตรการดังกล่าวควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรที่เพิ่มขี้นจากประมาณการเดิม นั้น ควรได้มีการตรวจสอบในเรื่องการลงทะเบียน จำนวนเกษตรกร จำนวนครัวเรือน จำนวนผลผลิตต่อไร่ ให้ทันต่อสถานการณ์อย่างถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนมีการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน และกำหนดนโยบายที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๔ เห็นชอบมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์กำหนดประเภทและกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นธรรม รวมทั้งจัดทำรายละเอียดให้ถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขโครงการที่กระทรวงการคลังกำหนด และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดประเภทและกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นธรรม และจัดทำรายละเอียดให้ถูกต้องครบถ้วน ตามเงื่อนไขโครงการที่กระทรวงการคลังกำหนด และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และโอกาสในการลดภาระการผ่อนดาวน์ (Cash Back) ของประชาชนทั่วไปที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองเป็นสำคัญ การกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการในการป้องกันการซื้อเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ตลอดจนการรายงานและประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ๒๕๖๒ ในภาพรวม โดยเห็นว่ารัฐบาลควรส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงจูงใจ (incentive structure) ในระบบเศรษฐกิจให้เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจในระยะยาว และเตรียมพร้อมรับมือกับบริบทเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ โดยไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
782 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม | อว | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น การร่วมวิจัยและพัฒนา การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยในการเข้าร่วมการดำเนินโครงการร่วมกัน และการร่วมจัดประชุม ฝึกอบรม สัมมนา การจัดพิมพ์ และแสดงนิทรรศการของโครงการร่วม เป็นต้น โดยจะมีการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลความร่วมมืออย่างต่อเนื่องเป็นระยะ เพื่อขยายผลไปสู่ความร่วมมือในมิติอื่น ๆ ในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
783 | ขออนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย | กษ | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชนที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยใช้ที่ดินถาวร ไม่มีกำหนดระยะเวลา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการฯ ไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวยังมีสถานะเป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินของโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ ผลกระทบต่อต้นทุนที่ใช้ในการคำนวณความคุ้มค่าของโครงการฯ และผลวิเคราะห์ผลตอบแทนด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลต่อรูปแบบและแผนงานดำเนินโครงการฯ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เช่น ควรเร่งรัดการพิจารณาเกี่ยวกับค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามแผนงาน และเพื่อให้กรมการขนส่งทางบกสามารถจัดเตรียมแผนบริหารงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
784 | ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนและร่างความตกลงสำหรับการดำเนินการโครงการ Promotion of Sustainable Agricultural Value Chains in ASEAN | กษ | 12/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Promotion of Sustainable Agricultural Value Chains in ASEAN รวม ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนจากสำนักเลขาธิการอาเซียนถึงสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Exchange of Notes) มีเนื้อหาเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ งบประมาณ และประเด็นด้านการบริหารโครงการฯ โดยหนังสือของฝ่ายเยอรมนีจะระบุถึงข้อเสนอ และหนังสือของฝ่ายอาเซียนจะตอบรับข้อเสนอของฝ่ายเยอรมนี และ (๒) ร่างความตกลงเพื่อดำเนินโครงการ (Implementation Agreement) ระหว่างอาเซียนกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีเนื้อหาเป็นการกำหนดรายละเอียดการดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนบุคลากรและการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี [Deutsche Gesellschaft fur Internationale Zusammenarbeit (GIZ) GmbH : GIZ] ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลเยอรมนีให้ดำเนินโครงการ การสนับสนุนบุคลากรและสถานที่ปฏิบัติงานของสำนักเลขาธิการอาเซียน ข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลโครงการ และการแก้ไขเพิ่มเติมความตกลง เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียน (Secretary-General of ASEAN) ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และรองเลขาธิการอาเซียน (Deputy Secretary-General of ASEAN) ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่า รัฐบาลไทยเห็นชอบต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และร่างความตกลงฯ และให้เลขาธิการอาเซียนและรองเลขาธิการอาเซียนลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และร่างความตกลงฯ ตามลำดับ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรอาศัยความตกลงสำหรับการดำเนินการโครงการ ในการพัฒนาและสร้างความเชื่อมั่นเรื่องคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยอาหาร รวมถึงการตรวจรับรองและการตรวจสอบย้อนกลับ เช่น การสนับสนุนทางวิชาการ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่ปลอดภัยได้มาตรฐานของภูมิภาคและมาตรฐานสากล การใช้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการใช้เทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
785 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เรื่อง ผลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ของนายกรัฐมนตรี | ศธ | 12/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๒ เรื่อง ผลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี ๒๕๖๒ ของนายกรัฐมนตรี ข้อ ๒ จากเดิม “ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทย (Thai KOSEN) ให้เหมาะสมและชัดเจนเพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้สถาบันโคเซ็นดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” เป็น “ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทยให้เหมาะสมและร่วมสนับสนุนการดำเนินการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นดังกล่าวต่อไป” ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควรให้ชะลอการโอนย้ายสถาบันโคเซ็น จากกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ออกไปอีก ๑ ปีนับจากวันที่รัฐบาลไทยได้รับเงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่น และรัฐบาลไทยสามารถได้เข้าใช้ประโยชน์จากเงินกู้ดังกล่าวในการดำเนินโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในไทยและอนุภูมิภาค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
786 | กลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติก | ทส | 12/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป เพื่อเป็นนโยบายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินงานเพื่อลดและเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-Use Plastic) ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๓ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมบูรณาการการดำเนินงานในการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ การสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรการการลดให้ถุงพลาสติก และพิจารณากำหนดแนวทาง วิธีการปฏิบัติสำหรับมาตรการการงดให้ถุงพลาสติก การติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ และภาครัฐควรให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเพื่อผลิตวัสดุทดแทนพลาสติก รวมทั้งการร่วมสร้างจิตสำนึกการลดการใช้ถุงพลาสติกและส่งเสริมพฤติกรรมในการแยกขยะควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกในกรณีกิจการการจัดส่งอาหารและสินค้าที่สั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชันด้วย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินมาตรการอื่น ๆ เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกควบคู่ไปกับกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาติกด้วย ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดให้มีมาตรการด้านภาษีเพื่อลดการใช้พลาสติกตั้งแต่ต้นทางการผลิต หรือมาตรการด้านภาษีเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนำพลาสติกมารีไซเคิล (Recycle) ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณากำหนดแนวทางการนำขยะพลาสติกมาใช้ในการก่อสร้างถนน โดยให้นำรูปแบบโครงการต้นแบบถนนพลาสติกรีไซเคิลตามหลักการ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” หรือ “Circular Economy” ของภาคเอกชน มาต่อยอดและปรับใช้กับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงคมนาคมให้เหมาะสมต่อไป ๒.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณากำหนดแนวทางในการลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดปริมาณการนำเข้าพลาสติกจากต่างประเทศไปพร้อมกับการลดการใช้พลาสติกภายในประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
787 | ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง | อว | 06/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง [Mekong-Lancang Cooperation (MLC) Special Fund] ซึ่งภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ระบุว่า จีนได้อนุมัติโครงการและสนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยขอนแก่น) จำนวน ๒ โครงการ จำนวนเงิน ๔,๑๖๐,๐๐๐ หยวน (ประมาณ ๑๗,๗๒๑,๖๐๐ บาท) ได้แก่ (๑) โครงการคัดกรองอาหารที่ไม่ปลอดภัยเบื้องต้นโดยอาศัยองค์ความรู้เรื่องการแยกแยะด้วยความเสี่ยง (Early detection of Unsafe Feed by risk) จำนวน ๓๑๐,๐๐๐ หยวน (ประมาณ ๑,๓๒๐,๖๐๐ บาท) และ (๒) โครงการนำร่องการควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับในประเทศลุ่มน้ำโขง (Mekong Liver Fluke Control Initiative) จำนวน ๓,๘๕๐,๐๐๐ หยวน (ประมาณ ๑๖,๔๐๑,๐๐๐ บาท) โดยฝ่ายจีนจะจัดสรรงบประมาณให้ฝ่ายไทยภายใน ๒๐ วันทำการ หลังจากที่ได้มีการลงนาม โดยจะมีการลงนามระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเผยแพร่ผลการดำเนินโครงการ เมื่อเสร็จสิ้นแก่สถาบันการศึกษาอื่น ๆ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ต่อยอดองค์ความรู้ และสามารถนำงานศึกษาวิจัยไปใช้ในทางปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
788 | รายงานผลการติดตามและการประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) | ทส | 29/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามและการประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ครั้งที่ ๕ ข้อมูล ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการฯ กระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการฯ รวม ๒๘ โครงการ (โครงการประเภทการผลิตพลังงานหมุนเวียน ๑๐ โครงการ และโครงการประเภทการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ๑๘ โครงการ) มูลค่ากว่า ๒ พันล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนมากกว่า ๖ พันล้านบาท โดยผู้รับทุนเป็นบริษัทเอกชนไทย ๒๖ บริษัท และรัฐวิสาหกิจ ๑ แห่ง คือ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ๒. สถานภาพการดำเนินโครงการ ปัจจุบันโครงการต้นแบบ JCM ๒๘ โครงการ ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว ๕ โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้เท่ากับ ๕,๔๑๕ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และมีโครงการที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตแล้ว ๑ โครงการ คือ โครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ มีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองเท่ากับ ๓๐๐ ตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
789 | เอกสารที่จะรับรองในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา ครั้งที่ 9 ที่สาธารณรัฐโดมินิกัน | กต | 29/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็บชอบร่าง Santo Domingo Declaration ซึ่งมีภาคผนวกคือ Guideline for FEALAC Cooperation Projects ที่จะรับรองในที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา (Forum for East Asia-Latin America Cooperation : FEALAC) ครั้งที่ ๙ ที่กรุงซันโตโดมิงโก สาธารณรัฐโดมินิกัน ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยร่าง Santo Domingo Declaration มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิก FEALAC ที่จะร่วมกันกระชับความร่วมมือระหว่างภูมิภาคเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารองค์กรและการทบทวนแผนปฏิบัติการ FEALAC ซึ่งเป็นพื้นฐานในการกำหนดทิศทางของการดำเนินโครงการและกิจกรรมที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก และแสวงหาแนวทางเสริมสร้างประสิทธิภาพของเวทีความร่วมมือ FEALAC ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งการศึกษาความเป็นไปได้ในการยกระดับให้มีกลไกความร่วมมือระดับการประชุมสุดยอด การส่งเสริมให้คณะทำงานต่าง ๆ หารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น การให้ความสำคัญกับการสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่าง FEALAC กับองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ การส่งเสริมการค้าเสรีและเศรษฐกิจดิจิทัล การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และความร่วมมือด้านการศึกษา วัฒนธรรม สังคมและการเมืองระหว่างภูมิภาค ส่วนร่าง Guideline for FEALAC Cooperation Projects มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ หลักการและแนวทางการดำเนินโครงการความร่วมมือภายใต้ FEALAC รวมถึงขั้นตอนการดำเนินโครงการ การประเมินและรายงานผลการดำเนินโครงการต่อคณะทำงานต่าง ๆ ตลอดจนบทบาทหน้าที่ของประธานร่วมของคณะทำงาน ๑.๒ อนุมัติให้นางพรพิมล กาญจนลักษณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม FEALAC FMM ครั้งที่ ๙ ในฐานะผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และร่วมรับรองเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
790 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร02 | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยคณะอนุกรรมการทบทวนนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ได้ดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐกำหนดและจัดทำรายละเอียดของเรื่องสื่อสารประจำปีที่สำคัญ เช่น การบริหารจัดการมลพิษทั้งระบบ ระบบการทำงานของภาครัฐ การยกระดับบริการสาธารณสุข การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น และได้ประเมินผลการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน พบว่า ประชาชนมีการรับรู้ข่าวสารและให้ความสนใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและภัยพิบัติ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เมืองอัจฉริยะ คลินิกครอบครัว รถไฟทางคู่ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยประชาชนได้มีข้อเสนอต่อการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม เช่น ให้กรมควบคุมมลพิษช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่เกิดปัญหามลพิษอย่างเร่งด่วนให้ทันต่อสถานการณ์ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบของแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งประชาสัมพันธ์ความคืบหน้าของการก่อสร้างและการเปิดใช้รถไฟทางคู่ให้มากขึ้น เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของประชาชนไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) รับความเห็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ในการจัดทำเอกสารหรือสื่อต่าง ๆ ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์หรือเพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดส่งเอกสารหรือสื่อดังกล่าวให้กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการนำไปถ่ายทอดหรือเผยแพร่ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ และสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบให้ถูกต้อง รวดเร็ว และทั่วถึง โดยให้พิจารณาใช้ช่องทางการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ตามความเหมาะในแต่ละกรณีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
791 | รายงานการดำเนินการตามโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต 2561/2562 | กค | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ โดยคณะกรรมการพิจารณาการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบได้ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ได้รับสิทธิ์ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ และวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๒ โดยสำนักงบประมาณได้อนุมัติเงินงบประมาณ จำนวน ๑๕๙,๕๙๐,๐๐๐.๐๐ บาท มีเกษตรกรได้รับสิทธิตามหลักเกณฑ์ในโครงการฯ จำนวน ๑๕,๐๕๖ ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๓๓,๐๖๐,๐๓๓.๔๔ บาท ประกอบด้วย (๑) ผู้บ่มอิสระ จำนวน ๔๓ ราย (๒) เกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบพันธุ์เวอร์ยิเนีย (ขายใบยาสด) จำนวน ๒,๓๑๘ ราย (๓) เกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบพันธุ์เวอร์ยิเนีย จำนวน ๒,๓๖๒ ราย (๔) เกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบพันธุ์เบอร์เลย์ จำนวน ๖,๖๖๕ ราย และ (๕) เกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบพันธุ์เตอร์กิช จำนวน ๓,๖๖๘ ราย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
792 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. สืบเนื่องจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๗-๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายท่านได้อภิปรายพาดพิงถึงการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ เช่น การจัดสวัสดิการทางสังคม การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม การบริหารทรัพยากรน้ำ การดำเนินโครงการด้านดิจิทัลเทคโนโลยี การจัดสรรงบประมาณสำหรับท้องถิ่น และการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษา ซึ่งการอภิปรายในลักษณะดังกล่าวจะส่งผลต่อการรับรู้ของประชาชนและก่อให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงได้ ดังนั้น จึงให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงในเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ถูกหยิบยกขึ้นอภิปรายดังกล่าวข้างต้น แล้วเร่งสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนโดยด่วนต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณาใช้ช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ให้เหมาะสมด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการจัดทำแผนการจัดสรรน้ำ จัดหาแหล่งน้ำสำรอง และขุดเจาะบ่อบาดาลเพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก มาเป็นการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ๒๒ จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ พร้อมทั้งเร่งชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงสถานการณ์น้ำที่ถูกต้อง ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลต่อสถานการณ์น้ำดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
793 | ร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย | อก | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการอบรมการยกระดับการพัฒนานโยบายอุตสาหกรรมสำหรับประเทศในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Training on Enhancement of Industrial Policy Development for Lancang-Mekong Countries) ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงอุตสาหกรรมขอรับการสนับสนุนเงินทุนจากกองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Special Fund) ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) จำนวนเงิน ๔๕๐,๐๐๐ หยวน (๖๕,๓๘๕ ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๒ ล้านบาท) โดยโครงการดังกล่าวเป็นการอบรมเจ้าหน้าที่/ข้าราชการระดับกลางจากประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เนื้อหาการอบรมที่สำคัญ เช่น สถานะด้านอุตสาหกรรมของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือฯ นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สำคัญ แนวทางส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น และจะเป็นกลไกในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างกันของประเทศสมาชิกในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง รวมทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างหน่วยงานปฏิบัติอันจะเป็นประโยชน์ต่อการประสานงานด้านอุตสาหกรรมระหว่างกันในอนาคต ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งฝ่ายจีนขอให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเกี่ยวกับการดำเนินโครงการอบรมการยกระดับการพัฒนานโยบายอุตสาหกรรมสำหรับประเทศในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Training on Enhancement of Industrial Policy Development for Lancang-Mekong Countries) กระทรวงอุตสาหกรรมควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงการพัฒนานโยบายอุตสาหกรรมของแต่ละประเทศกับโอกาสและประโยชน์จากการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของไทย เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาร่วมกันภายในภูมิภาค ทั้งการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตระหว่างกันและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ mainland ASEAN ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
794 | กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2563 | นร11 | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๔๔๓,๘๙๑ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๓๔๖,๒๖๒ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) กรอบการลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติและโครงการต่อเนื่อง วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๒๔๓,๘๙๑ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๒๙๖,๒๖๒ ล้านบาท และ (๒) กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน ๑.๒ เห็นชอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมถึงงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม งบกลาง หรืองบประมาณที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์และวิธีการงบประมาณ หรือได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณแล้ว และปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับการอนุมัติการลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ ๑.๓ มอบหมายให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติ และโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว ในช่วงระหว่างการโอนภารกิจด้านการวิเคราะห์งบลงทุนรัฐวิสาหกิจไปให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจดำเนินการ ๑.๔ เห็นชอบข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระดับกระทรวง และระดับรัฐวิสาหกิจ โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจรับข้อเสนอแนะในส่วนที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ และรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะทุกไตรมาส และเห็นควรให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี ๒๕๖๓ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๕ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ ที่คาดว่า จะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๙,๘๕๐ ล้านบาท และประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๖๔-๒๕๖๖ ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่า จะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ ๓๙๓,๐๙๐ ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ ๙๘,๗๖๔ ล้านบาท ๒. ในส่วนของการเตรียมความพร้อมดำเนินภารกิจด้านการวิเคราะห์งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจนั้น ให้คงเป็นภารกิจของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป โดยให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานระดับกองขึ้นใหม่เพื่อรองรับภารกิจดังกล่าว ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๓. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ รัฐมนตรีเจ้าสังกัดที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงบประมาณ เช่น ควรพิจารณางบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ให้มีการสนับสนุนการลงทุนด้านการเสริมสร้างองค์ความรู้ ความตระหนัก และความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตลอดจนงบลงทุนในรัฐวิสาหกิจด้านสังคมให้มากขึ้น เพื่อจะกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ และเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนากำลังคนของประเทศในระยะยาว สำหรับเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
795 | ผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 5 | กษ | 15/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ ๕ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๓-๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองปูแอร์โตบารัส สาธารณรัฐชิลี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน) เข้าร่วมการประชุมฯ และเป็นผู้รับรองปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ ๕ ได้รับรองปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานและความร่วมมือในการส่งเสริมความมั่นคงอาหารระหว่างสมาชิกเอเปค โดยสาระสำคัญของปฏิญญาฯ ประกอบด้วย (๑) ประเด็นความท้าทาย (๒) การส่งเสริมระบบอาหารที่ยั่งยืน (๓) การรับนวัตกรรม เทคโนโลยีอุบัติใหม่ และโอกาสทางดิจิทัล (๔) การใช้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงและการเสริมสร้างห่วงโซ่มูลค่าอาหารและการค้า (๕) ส่งเสริมการพัฒนาชนบทในฐานะพื้นที่ที่สร้างโอกาส และ (๖) การดำเนินการต่อไป ๒. รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน) ได้กล่าวถ้อยแถลงในหัวข้อ “การส่งเสริมระบบอาหารที่ยั่งยืน (Fostering Sustainable Food System) ซึ่งรวมถึงการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกพืชทางเลือกหรือพืชที่มีอายุสั้นที่ใช้น้ำน้อย ความมุ่งมั่นของไทยในการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) แนวคิดเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) เพื่อการยกระดับไปสู่เกษตรกรรม ๔.๐ นโยบายตลาดนำการผลิต และการดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา เป็นต้น ๓. ถ้อยแถลงของสมาชิกเอเปคอื่นที่สำคัญเพื่อส่งเสริมความมั่นคงอาหาร ได้แก่ (๑) จีน ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในภาคการเกษตรเพื่อลดต้นทุนการผลิต เช่น การส่งเสริมห่วงโซ่ความเย็น และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในชนบทเพื่อลดการอพยพย้ายถิ่นฐาน (๒) ญี่ปุ่น ดำเนินนโยบายเพื่อรับมือการเข้าสู่สังคมสูงอายุด้วยการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการใช้แรงงาน และส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านการใช้เทคโนโลยี (๓) ออสเตรเลีย ดำเนินนโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมให้เกษตรกรนำนวัตกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ (๔) สหรัฐอเมริกา ส่งเสริมการตัดแต่งพันธุกรรมทางการเกษตรเพื่อให้สามารถทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ และขอให้เอเปคร่วมมือกันในการส่งเสริมการค้าที่โปร่งใส และเป็นธรรมเพื่อความมั่นคงอาหารของภูมิภาค (๕) เวียดนาม กระตุ้นให้มีการลงทุนของภาคเอกชนในชนบท (๖) มาเลเซีย ดำเนินการแบ่งเขตอุตสาหกรรมเกษตร พัฒนามาตรฐานเพื่อการส่งออก และให้การสนับสนุนทางการเงินกับสหกรณ์การเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตผล และชิลี เห็นว่าภาคการเกษตรของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกควรปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตอย่างยั่งยืน โดยชิลีได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมความร่วมมือและปรับปรุงให้การประสานงานกับภาคเอกชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
796 | ขอความเห็นชอบผลการคัดเลือกและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้าง และบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัด นนทบุรี | มท | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการคัดเลือกและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี (อบจ.นนทบุรี) สรุปได้ว่า อบจ.นนทบุรี ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุน ร่างขอบเขตของโครงการ ร่างสัญญาร่วมทุน และผลคัดเลือกเอกชน ซึ่งคณะกรรมการคัดเลือกได้ประกาศผลการคัดเลือกเอกชนที่ผ่านการพิจารณาเพื่อให้ร่วมลงทุน จำนวน ๑ ราย คือ บริษัท เอสพีพี ซิค จำกัด ซึ่งร่วมลงทุนกับบริษัท ซุปเปอร์ เอิร์ธ เอนเนอร์ยี่ ๑ จำกัด โดยภายหลังการประกาศผลการคัดเลือกเอกชนดังกล่าว อบจ.นนทบุรี ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเพื่อเสนอความเห็นต่อผลการคัดเลือกเอกชน โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม เช่น การสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นอำนาจหน้าที่และการมอบหมายเอกชนดำเนินการเก็บ ขน หรือกำจัดขยะมูลฝอย และควรมีมาตรการให้ชุมชนลดปริมาณขยะมูลฝอย เป็นต้น และ อบจ.นนทบุรี ได้มีหนังสือถึงสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อตรวจพิจารณาร่างสัญญาโครงการฯ โดยมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม เช่น ควรพิจารณาขั้นตอนการดำเนินการและระยะเวลาที่กำหนดในร่างสัญญาให้มีความชัดเจน และควรหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาความชัดเจนในส่วนที่ยังไม่สามารถระบุข้อความได้ เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและ อบจ.นนทบุรี รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการระบุให้ชัดเจนระหว่างค่าตอบแทนในส่วนแรกที่เป็นค่าตอบแทนจากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า และส่วนที่สองเป็นผลประโยชน์เพิ่มเติม และกำหนดให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนว่า การดำเนินโครงการฯ ในขั้นตอนต่อไป อบจ.นนทบุรีจะต้องดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือภายใต้พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
797 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2562 | นร | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๒ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมฯ รับทราบการกำหนดนโยบายการส่งเสริมการลงทุน และมาตรการรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการขยายการลงทุนและรองรับการย้ายฐานการผลิตภายใต้กรอบและแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุน (Thailand Plus Package) ๗ ด้าน และรับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Mega Projects) ของกระทรวงคมนาคม ๑.๒ ที่ประชุมฯ พิจารณาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในประเด็นรูปแบบการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับการก่อสร้างงานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก และการให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มทั้งส่วนตะวันออกและตะวันตก ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย รวมถึงสำนักงบประมาณขอแก้ไขสาระสำคัญที่ได้เสนอความเห็นที่ประชุมฯ ให้ตรงตามข้อเท็จจริงว่า “การให้เอกชนลงทุนค่างานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก และรัฐทยอยชำระคืนให้เอกชนเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี พร้อมดอกเบี้ยตามที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเสนอ นั้น เมื่อพิจารณารายละเอียดของวงเงินค่างานโยธา จำนวน ๘๘,๕๖๘ ล้านบาทดังกล่าว ซึ่งได้คำนวณรวมอัตราเงินเฟ้อที่ร้อยละ ๒.๕ ต่อปี ไว้แล้ว ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายที่เป็นงบสำรองที่จัดเตรียมไว้ (Provisional Sum งานโยธา) จำนวน ๔,๐๒๙ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานโยธา จำนวน ๓,๒๒๓ ล้านบาท ดังนั้น จึงเห็นควรที่รัฐจะชำระคืนเงินร่วมทุนแก่เอกชนตามที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินวงเงินค่างานโยธาของโครงการฯ ส่วนตะวันตก ในกรอบวงเงิน ๙๖,๐๑๒ ล้านบาท เท่านั้น โดยไม่นับรวมอัตราคิดลด” ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป และให้คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ การกำหนดหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนที่จะทำงานในอุตสาหกรรม ควรพิจารณาการกำหนดหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนในสายงานด้านการบริการที่มีมูลค่าสูง (High value service) เช่น การท่องเที่ยวคุณภาพสูง รวมทั้งควรพิจารณาความต้องการสาขาวิชาชีพในอนาคตประกอบด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
798 | การลงทุนโครงการขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด (โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3) | อก | 01/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการลงทุนโครงการขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ตามโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ ๓ ในกรอบวงเงิน ๕๕,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กนอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนในพื้นที่และบริเวณโดยรอบให้ถูกต้องและทั่วถึง รวมทั้งพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ ให้เหมาะสม ชัดเจนด้วย ๒. ให้ กนอ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรม และ กนอ. ควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในกรณีที่การลงทุนโครงการขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดทำให้ กนอ. มีความจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมที่ไม่ได้เป็นส่วนประกอบของโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ กนอ. ต้องขออนุมัติการลงทุนตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ก่อนดำเนินการต่อไป รวมทั้งหากปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในการลงทุนโครงการฯ มีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนและขยายพื้นที่เพิ่มเติม ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในสาาระสำคัญของโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ และวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ ให้ กนอ. ดำเนินการขออนุมัติการลงทุนและการขยายพื้นที่ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
799 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว "ถึงเวลาทัวร์ ให้ทั่วไทย" สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | กก | 01/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินการโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว “ถึงเวลาทัวร์ ให้ทั่วไทย” จำนวน ๒ มาตรการ ประกอบด้วย (๑) มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว “ร้อยเดียว เที่ยวทั่วไทย” และ (๒) มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว “เที่ยววันธรรมดา ราคา SHOCK โลก” โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการใช้จ่ายงบกลางรายการดังกล่าวแล้ว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต้องจัดทำหลักเกณฑ์และแนวทางตามมาตรการภายใต้โครงการดังกล่าว เช่น การคัดเลือกพื้นที่ดำเนินการ การคัดเลือกประเภทของสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว การคัดสรรบริการ/แพ็คเกจท่องเที่ยว รวมทั้งวิธีการ ขั้นตอนในการจัดซื้อแพ็คเกจจากผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยคำนึงถึงภารกิจของหน่วยงาน โดยบูรณาการร่วมกับมาตรการชิมช้อปใช้ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ พร้อมจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน โดยการดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด การดำเนินการจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์กับประชาชน ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและควบคุมการดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการของโครงการที่กำหนดไว้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมรายละเอียดในส่วนของวิธีการดำเนินกิจกรรม ให้ชัดเจน รัดกุม และกำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
800 | ขออนุมัติจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง | ศธ | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง [Mekong-Lancang Cooperation (MLC) Special Fund] โดยบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกองทุนฯ และเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมสำหรับความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ระบุว่า จีนได้อนุมัติโครงการและสนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาอาชีวศึกษาไทย-ลาว-จีน ในเขตชายแดนลุ่มน้ำโขง จำนวน 60,000 RMB (ประมาณ ๒๕๘,๖๐๐ บาท) และ (๒) โครงการฝึกอบรมการพัฒนาหลักสูตรการขนส่งทางราง จำนวน 160,000 RMB (ประมาณ ๖๘๙,๖๐๐ บาท) โดยจีนจะจัดสรรงบประมาณให้ไทยภายใน ๒๐ วันทำการ หลังจากที่ได้มีการลงนาม ทั้งนี้ ปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการจะถูกแก้ปัญหาผ่านการหารืออย่างเป็นมิตร ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ในปลายเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กำกับดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้บริหารจัดการโครงการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาอาชีวศึกษาไทย-ลาว-จีน ในเขตชายแดนลุ่มน้ำโขงให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ภายใต้งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเคร่งครัด
|
.....