ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 30 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 597 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
141 | ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 66 (SC66) และแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | ทส | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปประเด็นสำคัญในวาระการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ครั้งที่ ๖๖ ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซึ่งที่ประชุมฯ มีมติให้ประเทศในกลุ่ม Primary Concern ซึ่งรวมถึงประเทศไทยเสนอรายงานเพิ่มเติมวิธีการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งชาติ การดำเนินการในกิจกรรมหรือประเด็นใหม่ ๆ หรือการพัฒนานโยบายในการต่อต้านการล่าช้างและค้างาช้างผิดกฎหมายไปยังสำนักเลขาธิการ CITES ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๒.๑ ให้กรมการปกครองเร่งรัดการแก้ไขพระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พ.ศ. ๒๔๘๒ ให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการควบคุมช้างบ้านและป้องกันมิให้นำช้างที่ผิดกฎหมายมาจดทะเบียนเป็นช้างบ้าน ๑.๒.๒ ให้กรมการปกครองร่วมกับกรมปศุสัตว์และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เร่งรัดดำเนินการรวบรวมข้อมูล DNA ของช้างบ้านทั้งหมดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาความเหมาะสมในการควบคุมการครอบครองสัตว์ในบัญชี CITES ที่เป็นสัตว์ต่างถิ่น (Non-native species) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญา CITES และกำหนดมาตรการที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นในการควบคุม กำกับ ดูแลสวนสัตว์สาธารณะและสถานเพาะพันธุ์สัตว์ป่าที่มีสัตว์ตระกูลแมวใหญ่ของเอเชีย เพื่อมิให้มีการนำสัตว์ดังกล่าวเข้าสู่การค้าระหว่างประเทศที่ผิดกฎหมาย ๑.๓ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการค้าและการครอบครองช้างไทยในประเทศ ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ๖ หมวดกิจกรรม ได้แก่ (๑) การออกระเบียบและกฎหมาย (๒) การพัฒนา/ปรับปรุงระบบทะเบียนข้อมูล (๓) การกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย (๔) การศึกษาวิจัยและเสริมสร้างศักยภาพ (๕) การประชาสัมพันธ์ และ (๖) การติดตามและประเมินผล ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมให้กรมศุลกากรเป็นหนึ่งในหน่วยงานรับผิดชอบในกิจกรรมพิจารณาทบทวนเส้นทางการลักลอบนำเข้า-ส่งออกงาช้างจากข้อมูล ETIS (The Elephant Trade Information System) และให้ความสำคัญในเรื่องประเด็นม้าน้ำ รวมถึงดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการด้านสัตว์ (Animals Committee : AC) อย่างจริงจัง และรายงานต่อสำนักเลขาธิการ CITES ทราบเป็นระยะ ๆ ก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ (Standing Committee : SC) ครั้งที่ ๖๗ รวมทั้งควรมีการดำเนินการในเรื่องงาช้างอย่างต่อเนื่อง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการกับสัตว์ต่างถิ่นชนิดพันธุ์อื่น ๆ โดยให้มีการออกแบบการจัดการทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
142 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สาธารณรัฐเกาหลี | คค | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-สาธารณรัฐเกาหลี ฉบับลงนาม วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและสาธารณรัฐเกาหลี มีสาระสำคัญคือ ทั้งสองฝ่ายเพิ่มข้อบทเรื่อง การแข่งขันที่เป็นธรรม (Fair Competition) ไว้ในความตกลงฯ เพื่อให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายได้รับโอกาสที่เท่าเทียมและเป็นธรรมในการทำการบิน โดยมีถ้อยคำเป็นไปตามร่างความตกลงฯ ฉบับมาตรฐานของไทย และสอดคล้องกับกฎหมายภายในของทั้งสองประเทศ รวมทั้งปรับปรุงข้อบทพิกัดอัตราค่าขนส่ง (Tariff) ให้เสรีมากยิ่งขึ้น โดยให้สายการบินสามารถกำหนดพิกัดอัตราค่าขนส่งของตนเอง และแจ้งพิกัดอัตราค่าขนส่งที่สายการบินกำหนดให้กับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจโดยไม่ต้องขออนุมัติ ๑.๒ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมศุลกากร และกรมควบคุมโรค เป็นต้น กำกับการให้บริการและการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานไทยให้ได้มาตรฐานตามข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมทั้งวางแผนการบริหารจัดการห้วงอากาศเพื่อให้สามารถรองรับปริมาณความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
143 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สเปน | คค | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-สเปน ฉบับลงนาม วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและสเปน มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ การกำหนดสายการบิน ใบพิกัดเส้นทางบิน ความจุ ความถี่ และสิทธิรับขนการจราจร และการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๑.๒ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของทั้งสองประเทศกำหนดว่าเจ้าหน้าที่เดินอากาศทั้งสองฝ่ายตกลงจะนำหลักการ (principles) ของความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฉบับใหม่ไปใช้เป็นการชั่วคราวและภายใต้อำนาจหน้าที่ของตนจนกว่าจะมีการทำความตกลงฉบับใหม่ นั้น โดยที่การจัดทำร่างความตกลงฉบับใหม่ยังไม่แล้วเสร็จและมีประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติหลายประการ จึงควรที่หน่วยงานเกี่ยวกับการเดินอากาศของทั้งสองฝ่ายจะได้หารือกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนตรงกันและสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมศุลกากร และกรมควบคุมโรค เป็นต้น กำกับการให้บริการและการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานไทยให้ได้มาตรฐานตามข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมทั้งวางแผนการบริหารจัดการห้วงอากาศเพื่อให้สามารถรองรับปริมาณความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
144 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ลักเซมเบิร์ก | คค | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจลับระหว่างไทย-ลักเซมเบิร์ก ฉบับลงนามวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๙ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและลักเซมเบิร์ก มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดสายการบิน การให้อนุญาตและเพิกถอนใบอนุญาต ข้อบทความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยการบิน ความจุความถี่ และพิกัดอัตราค่าขนส่ง ๑.๒ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมศุลกากร และกรมควบคุมโรค เป็นต้น กำกับการให้บริการและการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานไทยให้ได้มาตรฐานตามข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมทั้งวางแผนการบริหารจัดการห้วงอากาศเพื่อให้สามารถรองรับปริมาณความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
145 | การแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาศุลกากรว่าด้วยเอกสารค้ำประกัน (เอ.ที.เอ. คาร์เนท์) สำหรับการนำของเข้าชั่วคราว (อนุสัญญา เอ.ที.เอ.) | กค | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาศุลกากรว่าด้วยเอกสารค้ำประกัน (เอ.ที.เอ. คาร์เนท์) สำหรับการนำของเข้าชั่วคราว (อนุสัญญา เอ.ที.เอ.) (Customs Convention on the ATA Carnet for the Temporary Admission of Goods : ATA Convention) ซึ่งองค์กรศุลกากรโลกได้มีมติให้แก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญา เอ.ที.เอ. ในมาตรา ๔ โดยให้มีการใช้เอกสาร ATA Carnet ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่การแก้ไขดังกล่าวไม่ได้ผูกมัดประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ. หากประเทศภาคีใดยังไม่มีความพร้อมสามารถใช้เอกสารกระดาษต่อไปได้ และแก้ไขมาตรา ๑๘ ว่าด้วยเรื่องการกำหนดองค์ประชุม Contracting Parties to the Customs Convention on the ATA Carnet for the Temporary Admission of Goods โดยประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ. จะต้องเข้าประชุม จำนวน ๑ ใน ๓ ของประเทศภาคีทั้งหมด จึงจะถือว่าครบองค์ประชุมและมีอำนาจในการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มความระมัดระวังในการติดตามวาระการประชุม โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศไทย รวมทั้งให้กรมศุลกากรและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยพิจารณาในเบื้องต้นเกี่ยวกับเงื่อนไขและงบประมาณสำหรับการติดตั้งระบบ eATA Carnet สำหรับอนาคต รวมถึงให้ความสำคัญกับการศึกษาผลการดำเนินงานของประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ ที่นำร่องทดลองใช้ระบบ eATA Carnet เพื่อนำผลการศึกษาด้านประสิทธิภาพมาวิเคราะห์เปรียบเทียบความคุ้มค่าทั้งในด้านประสิทธิภาพและต้นทุนในระยะยาว หากประเทศไทยจำเป็นต้องใช้ระบบดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
146 | ขออนุมัติใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กค | 16/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรดำเนินโครงการแผนงานการแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณชายแดนบ้านคลองลึก ด่านศุลกากรอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๑๑๔,๖๑๑,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ลักษณะงบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ทั้งนี้ ให้กรมศุลกากรเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามความเป็นจริง ไว้ไม่เกิน ๓๐ วัน และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
147 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์กำหนดรายการสินค้าห้ามนำผ่านภายใต้พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 รวม 2 ฉบับ | พณ | 15/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดประเภทสินค้าที่ห้ามนำผ่านราชอาณาจักร ซึ่งรวมถึงสินค้าอาวุธยุทธภัณฑ์ตามมาตรการคว่ำบาตรตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่มีมาตรการนำเข้าหรือส่งออกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้สินค้าที่มีมาตรการคว่ำบาตรตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดวันใช้บังคับร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าว ควรเป็นไปตามหลักกฎหมายทั่วไปในมาตรา ๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่บัญญัติให้บุคคลต้องรับโทษทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้เท่านั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกรมศุลกากรประชาสัมพันธ์มาตรการควบคุมการนำผ่านของไทยให้แก่ผู้ประกอบการไทย ผู้ประกอบการต่างชาติ พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน และประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคที่มีอาณาเขตติดต่อกันทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นในการห้ามนำผ่านสินค้าแต่ละรายการ ในลักษณะการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ไปพิจารณาด้วย ๔. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรีด้วย |
|||||||||||||||||||||
148 | รายงานผลการจัดการและการใช้ประโยชน์จากงาช้างของกลางที่อยู่ในความครอบครองของทางราชการ | ทส | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดการและการใช้ประโยชน์งาช้างของกลางที่อยู่ในความครอบครองของทางราชการ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาการจัดการและการใช้ประโยชน์งาช้างของกลางของประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การจัดการและการใช้ประโยชน์งาช้างของกลางที่คดีสิ้นสุดและตกเป็นของแผ่นดิน (๑) ส่งมอบงาช้างให้ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษา จำนวน ๕๓๘.๔๔ กิโลกรัม (๒) เก็บรักษางาช้างเอเชียที่คดีสิ้นสุดและตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน ๑๖.๒๐ กิโลกรัม ไว้ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ (๓) ทำลายงาช้างของกลางที่คดีสิ้นสุดและตกเป็นของแผ่นดินที่เก็บรักษาไว้ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ และกรมศุลกากร รวมจำนวน ๒,๑๑๔.๒๗ กิโลกรัม โดยวิธีการบดทำลายและเผา ทั้งนี้ การส่งมอบงาข้างของกลางให้หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ และการทำลายงาช้างของกลาง ดำเนินการแล้วในพิธีทำลายงาช้างของกลาง เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี ๒. งาช้างของกลางที่คดียังไม่สิ้นสุด รวมจำนวน ๑๕,๒๔๕.๐๑ กิโลกรัม ให้เก็บรักษาไว้ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ จำนวน ๓,๘๑๘.๑๙ กิโลกรัม และกรมศุลกากร จำนวน ๑๑,๔๒๖.๘๒ กิโลกรัม
|
|||||||||||||||||||||
149 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2558 | กษ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการพัฒนาโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มทั้งในด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนการนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลมาใช้ในการพัฒนาการสกัดน้ำมันปาล์มและการผลิตผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง มอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมไปดำเนินการขับเคลื่อนในการส่งเสริมและสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแบบไม่ใช้ไอน้ำ (Dry Process) โดยการสนับสนุนด้านการเงินของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และด้านนวัตกรรมของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มในการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแบบใช้ไอน้ำ (Wet Process) โดยพิจารณาแนวทางส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิประโยชน์และมาตรการทางภาษี รวมถึงแนวนโยบายส่งเสริมการลงทุนในลักษณะ Cluster ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ๒. การแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ๒.๑ ด้านราคาและการรับซื้อตามคุณภาพ ให้กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศราคาแนะนำรับซื้อผลปาล์มทะลายและผลปาล์มร่วง และราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบตามราคาตลาด โดยให้ราคาเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม และผู้รับจ้างตัดปาล์มในการตัดผลปาล์มสุกที่มีคุณภาพ ที่มีอัตราน้ำมันสูง ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑๙ เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่สูงขึ้น ๒.๒ การลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์ม มอบหมายฝ่ายเลขานุการฯ ยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มเป็นการเฉพาะ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มเป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนร่วมเป็นคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงาน ได้แก่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมศุลกากร เป็นต้น สำหรับในระยะยาว มอบหมายหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการงานต่อไป ๒.๓ ด้านการบริหารจัดการปริมาณสต็อกคงเหลือน้ำมันปาล์ม เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติกำหนดให้โรงไฟฟ้ากระบี่เพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มดิบผลิตในโรงไฟฟ้าเป็นเดือนละ ๑๐,๐๐๐ ตัน และให้ซื้ออย่างต่อเนื่อง และเร่งรัดการใช้ B10 และ B20 ให้เร็วกว่าแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (AEDP 2015) รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และองค์การคลังสินค้าร่วมกันพิจารณาแนวทางการซื้อน้ำมันปาล์มดิบเพื่อเก็บเป็นสต็อกไว้ใช้ผลิตไบโอดีเซลในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ตลอดจนให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาแนวทางการผลักดันการส่งออก ๓. ยุทธศาสตร์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๙ (Roadmap) เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทบทวนยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (AEDP 2015) ๔. การเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ภายใต้กรอบการค้าระหว่างประเทศ เห็นชอบให้เปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๕๙ ตามข้อผูกพัน คือ ปริมาณในโควตา ๔,๘๖๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๐ นอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ โดยให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร รวมทั้งเห็นชอบให้เปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ภายใต้กรอบการค้า AFTA และ FTA ปี ๒๕๕๙ ตามข้อผูกพันของทุกกรอบการค้า โดยให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร และมอบหมายฝ่ายเลขานุการ กนป. แจ้งมติดังกล่าวให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง เพื่อทราบและดำเนินการต่อไป ๕. ทบทวนคณะทำงาน เห็นควรปรับปรุงคณะทำงานพิจารณารายละเอียดโครงการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตลาดปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร และคณะทำงานบูรณาการข้อมูลด้านผลผลิต ปาล์มน้ำมัน การใช้ และสต็อกน้ำมันปาล์ม รวมทั้งยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อตรวจสอบสต็อกน้ำมันปาล์ม เนื่องจากได้ดำเนินการเสร็จแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
150 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... กรณีการใช้อำนาจเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องของอธิบดีกรมศุลกากรหรือคณะกรรมการเปรียบเทียบงดการฟ้องร้อง กรมศุลกากรได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาและปรับปรุงเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้อง เพื่อศึกษาและรวบรวมเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้อง พิจารณาและปรับปรุงเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องให้ทันสมัยและเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็นในการพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องให้เป็นไปโดยเรียบร้อย โดยคณะทำงานฯ จะเชิญผู้แทนจากกรมป่าไม้ และกรมการค้าต่างประเทศเข้าร่วมในการพิจารณากำหนดเกณฑ์การเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องดังกล่าวด้วย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
151 | การลงนามในร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมข้อบทด้านพิธีการศุลกากร และการอำนวยความสะดวกทางการค้า การปรับปรุงกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๓ การปรับปรุงความตกลงด้านการลงทุนอาเซียนและจีน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งประเด็นที่จะเจรจาต่อไปในอนาคต และการมีผลบังคับใช้ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมเป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารฯ ๑.๔ ภายหลังการลงนามแล้วให้นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๕ มอบหมายกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้พิธีสารฯ มีผลบังคับใช้ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่ระบุไว้ในร่างพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว ๑.๖ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารของพิธีสารฯ ดังกล่าวให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบันพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการเจรจาในอนาคตซึ่งครอบคลุมการเปิดเสรีสินค้าอ่อนไหวเพิ่มเติม ควรพิจารณาอย่างรอบคอบโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อนโยบายการสร้างและพัฒนาความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งควรมีการหารือในเรื่องคำจำกัดความ Territory ที่ปรากฏในเชิงอรรถของข้อบทกฎถิ่นกำเนิดสินค้าอาเซียน-จีน กับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยสรุปเป็นข้อตกลงร่วมกันของอาเซียนที่เป็นความเห็นเดียวกันก่อน ก่อนเสนอให้ฝ่ายจีนในการพิจารณาต่อไป เพื่อหาข้อสรุปที่สอดคล้องกันภายในอาเซียนและสามารถสรุปผลการเจรจาตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ นอกจากนี้ ควรใช้เวทีการเจรจาดังกล่าวผลักดันให้มีกลไกสำหรับการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษีที่ผู้ส่งออกไทยมักประสบปัญหาในการส่งออกไปจีน เช่น ปัญหาความแตกต่างของแนวทางการปฏิบัติงานและกฎระเบียบข้อบังคับของจีนในแต่ละเมือง/มณฑล รวมทั้งขั้นตอนและวิธีการและกระบวนการนำเข้าที่มีความยุ่งยาก เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงเสรีทางการค้าได้อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำในร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการปรับเปลี่ยนได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
152 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 4/2558 | นร11 | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชน เพื่อทบทวนค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่าที่ดินและอัตราค่าเช่าที่ดินที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และกำหนดแนวทางการให้เช่าที่ดินในระยะหลังจาก ๕๐ ปีแรก ๒. คณะอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการ จัดลำดับความสำคัญการจัดหาพื้นที่ของรัฐเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ ๒ และพิจารณาทบทวนการจัดสรรที่ดินราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและเอกชนเช่า ๓. คณะอนุกรรมการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่มีเนื้อหาสั้น เข้าใจง่าย มีแผนภูมิ แผนผัง หรือแผนภาพประกอบ เพื่อใช้ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ๔. กระทรวงการต่างประเทศ เป็นเจ้าภาพหารือกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อหาข้อสรุปสัดส่วนการลงทุนก่อสร้างสะพานข้ามคลองพรมโหด บ้านหนองเอี่ยน และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนเรื่องการยกเว้นวีซ่าทั้งระบบ รวมทั้งการให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในจังหวัดเดียวหรือหลายจังหวัด โดยให้มีมาตรการควบคุมให้เข้าออกได้ตามกติกา และร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเจรจากับฝ่ายเมียนมาเพื่อหารือเรื่องการพัฒนาด่านพรมแดนทั้งสองฝั่งบริเวณพื้นที่ชายแดน จังหวัดกาญจนบุรี ๕. กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบทขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๓๒ ล้านบาท เพื่อปรับปรุงแบบก่อสร้างพร้อมสำรวจอสังหาริมทรัพย์ ถนนสายแยก ทถ.๓๔๘-บ้านป่าไร่ ๖. กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับการก่อสร้างลานตรวจสินค้าด้วยระบบ X-ray วงเงิน ๑๑๕ ล้านบาท การปรับปรุงอาคารที่ทำการด่านพรมแดนบ้านคลองลึก วงเงิน๕๐ ล้านบาท การปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดาเพิ่มเติม วงเงิน ๔๐ ล้านบาท ค่าครุภัณฑ์และค่าวางสาย Fiber Optic ด่านศุลกากรสะเดา วงเงิน ๑๐ ล้านบาท และกรมธนารักษ์ดำเนินการตามระเบียบการให้หน่วยงานของรัฐใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ เพื่อให้กรมทางหลวงใช้ประโยชน์พื้นที่พัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากเพื่อการก่อสร้างถนนและ CIQ ตามโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ ๒ ของกรมทางหลวง ๗. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดแนวทางในการกักเก็บน้ำบริเวณบ้านหนองเอี่ยนให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งประเทศไทยและกัมพูชา ยกระดับศักยภาพสหกรณ์การเกษตรให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นโดยเชื่อมโยงกับวิสาหกิจชุมชน และพิจารณาส่งเสริมการอำนวยความสะดวกการนำเข้าผลผลิตสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจากเกษตรกรรายย่อยเพื่อลดปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตร ๘. กระทรวงมหาดไทย แต่งตั้งคณะทำงานระดับพื้นที่ทำหน้าที่อำนวยการหรือปฏิบัติการหรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และมอบหมายจังหวัดที่มีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสร้างความเข้าใจแก่ภาคส่วนในพื้นที่เรื่องกิจการเป้าหมายและการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอย่างต่อเนื่อง และให้ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้าน ๙. กระทรวงแรงงาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแก้ไขเรื่องผลกระทบจากแรงงานต่างด้าวที่นำครอบครัวเข้ามาในประเทศไทย ๑๐. สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ปรับปรุงร่างแผนบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง โดยให้จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมและพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่ให้ขัดแย้งกัน ๑๑. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพิจารณาออกประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพิ่มเติมกิจการเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และจัดทำข้อมูลส่งเสริมการลงทุนในเรื่องการลงทุนตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนระยะ ๗ ปี (๒๕๕๘-๒๕๖๔) การลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) พร้อมทั้งเผยแพร่ให้นักลงทุนรับทราบอย่างทั่วถึง |
|||||||||||||||||||||
153 | รายงานผลการตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะ | อก | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยมีประเด็นปัญหา/ข้อเสนอแนะ และข้อสั่งการ สรุปได้ ดังนี้
๑. นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ๑.๑ ปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เทศบาลนครแหลมฉบัง และตำรวจในพื้นที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้เส้นทาง ๑.๒ การต่อสัญญาเช่าพื้นที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังล่าช้าและไม่มีความชัดเจน มอบหมายให้ พลเอก วรพงษ์ สง่าเนตร ประธานกรรมการในคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประสานกับการท่าเรือแห่งประเทศไทยในการเร่งดำเนินการเรื่องการต่อสัญญาเช่าพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่งจะหมดอายุในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ เพื่อทำให้นักลงทุนในพื้นที่เกิดความมั่นใจ ๑.๓ ปัญหาการที่กรมศุลกากรมีการลงทุนอุโมงค์ X-RAY สำหรับตรวจตู้สินค้าที่มากับขบวนรถไฟบรรทุกสินค้า แต่พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่ยอมขับรถไฟให้เนื่องจากกลัวรังสี X-RAY ให้ศุลกากรจังหวัดชลบุรีแจ้งอธิบดีกรมศุลกากรทราบถึงปัญหานี้ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการ ๑.๔ ปัญหาภาษีนำเข้าแม่พิมพ์ยาง และการส่งออกยาง COMPOUND จะรับไปพิจารณาในประเด็นปัญหาความล่าช้าหรือความซ้ำซ้อนของการปฏิบัติงานของหน่วยราชการไปหารือในการประชุมเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจ (ease of doing business) ๑.๕ ปัญหาการพิจารณาเรื่อง EIA มีความล่าช้า จะรับไปพิจารณาโดยจะนำประเด็นนี้ไปหารือในการประชุมเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจ (ease of doing business) ๒. นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ๒.๑ ปัญหาผังเมืองรวมจังหวัดระยองและผังเมืองรวมมาบตาพุดยังไม่มีความชัดเจน มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรมโยธาธิการและผังเมือง รับไปพิจารณาหารือร่วมกัน ๒.๒ การทบทวนกฎหมายและข้อกำหนดที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เช่น กฎหมายและข้อกำหนดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม กฎหมายเกี่ยวกับมาตรฐาน VOC คุณภาพอากาศให้เป็นสากลสามารถปฏิบัติได้รวมถึงการตรวจวัดค่า VOC และปัญหาความยุ่งยากในขั้นตอนการทำ EIA/EHIA จะรับไปพิจารณาโดยจะนำประเด็นนี้ไปหารือในการประชุมเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจ (ease of doing business) ๒.๓ ปัญหาสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนปิโตรเคมี มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับไปพิจารณาดำเนินการ ๒.๔ ปัญหาความล่าช้าในจุดให้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับท่าเรือแหลมฉบังและการพิจารณาท่าเรือมาบตาพุดให้สามารถรองรับการขนถ่ายตู้สินค้า มอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และพลเอก วรพงศ์ สง่าเนตร ประธานกรรมการในคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสานกับการท่าเรือแห่งประเทศไทยเพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๕ ปัญหากระแสไฟตก มอบหมายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการแก้ไขและหาวิธีบริหารจัดการโดยเร่งด่วนที่สุดในกรณีที่เกิดไฟฟ้าดับที่ไม่ใช่จากอุบัติเหตุ เพื่อมิให้กระทบกับกระบวนการผลิต
|
|||||||||||||||||||||
154 | ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) | กค | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักการดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) วงเงินลงทุนไม่เกิน ๑,๑๙๙,๒๗๙,๕๔๐ บาท เพื่อกระทรวงการคลังจะได้บรรจุโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ภายในกรอบวงเงินกู้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ขออนุมัติโครงการและการกู้เงินสำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒) ๑.๒ อนุมัติในหลักการสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการรับประกันตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โดยให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ/หรือโอนเงินนอกงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินไม่เกินปีละ ๑๕๒,๔๒๐,๔๓๐ บาท และให้กรมศุลกากรดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่เห็นควรมีการจำแนกรายละเอียดให้ชัดเจนทั้งในด้านจำนวน คุณลักษณะ คุณสมบัติการใช้งาน และความสามารถของอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการพิจารณา มีการระบุถึงความเชื่อมโยงของระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ด้วยเครื่องเอกซเรย์ (X-ray Container Inspection System) และระบบควบคุมการเคลื่อนย้ายและติดตามควบคุมการขนส่งสินค้าผ่านแดนและถ่ายลำ (e-Lock, RFID & GPS System) มีแผนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดหาโดยดำเนินการในลักษณะการซื้อบริการแบบครบวงจร มีการวางแผนในเรื่องการจัดเก็บข้อมูล การสืบค้นข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data analytic) และกำหนดพื้นที่ในการจัดเก็บ อีกทั้งการดูแลบำรุงรักษาข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ มีการประสานความร่วมมือและบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เชื่อมต่อระบบตรวจป้ายทะเบียนรถยนต์และระบบควบคุมยานพาหนะผ่านแดนกับกรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้งานในระบบหรือพัฒนาต่อยอดจากระบบของหน่วยงานอื่นที่ได้ดำเนินการไว้แล้วเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ มีรายละเอียดสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) ที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการดำเนินการและเพื่อประโยชน์ในการขยายระบบในอนาคต ตลอดจนการกำหนดเกณฑ์ราคากลางและคุณลักษณะพื้นฐานของระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ที่กำหนดให้โครงการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ หรือโครงการจัดหาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินและมีวงเงินงบประมาณในการจัดหาตั้งแต่ ๑๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการระบบ CCTV ของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ระบบ BIOMETRICS และระบบ CCTV เพื่อการควบคุมทางศุลกากรเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกันได้และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านความมั่นคงได้ด้วย |
|||||||||||||||||||||
155 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 08/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าวและสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อสังเกต ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตลอดจนพระราชบัญญัติอื่น ๆ มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป แม้กลไกการใช้อำนาจเปรียบเทียบคดีในชั้นศุลกากรจะทำให้การกระทำความผิดได้รับการพิจารณาไปอย่างรวดเร็ว แต่การใช้อำนาจของอธิบดีและคณะกรรมการเปรียบเทียบควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้กลไกการเปรียบเทียบเป็นไปอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒. เพื่อให้หลักเกณฑ์ในการกำหนดเปรียบเทียบเป็นไปอย่างรอบคอบและเป็นธรรม กรมศุลกากรจึงควรประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางการเปรียบเทียบที่ชัดเจนและเหมาะสมต่อไป เพื่อให้กลไกการเปรียบเทียบเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น กฎหมายว่าด้วยการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า หรือกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
156 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 | คค | 08/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ประกอบด้วย ที่ตั้งโครงการ ภาระหน้าที่ การจ้างแรงงาน กรรมสิทธิ์ในโครงการ เขตแดน การบริหารและการจัดการงานก่อสร้าง เขตการก่อสร้าง ภาษี อากร และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ การจัดการด้านความปลอดภัย การบริหารและบำรุงรักษาสะพาน ระบบการจราจร กฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขข้อขัดแย้ง ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยและมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องตามความตกลงฯ ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าว ๔. หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคมหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๕. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองแม่สอด พร้อมสะพานข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ ๒ ของกรมทางหลวง) โดยเฉพาะประเด็นการออกแบบและกำหนดพื้นที่ใช้สอยสำหรับการจัดสร้างอาคารด่าน Border Control Facilities ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของกรมศุลกากร การพิจารณาข้อตกลงเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่เมียนมา เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเจรจาขอใช้ประโยชน์จากแม่น้ำสาละวินเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร รวมทั้งความพร้อมของเมียนมาในการบริหารจัดการโครงการทั้งในช่วงระหว่างก่อสร้างและภายหลังเปิดให้บริการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
157 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (นายสมชัย สัจจพงษ์) | กค | 25/08/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายสมชัย สัจจพงษ์ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายกุลิศ สมบัติศิริ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร ๓. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
|
|||||||||||||||||||||
158 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (นายกุลิศ สมบัติศิริ และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) | กค | 25/08/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายสมชัย สัจจพงษ์ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายกุลิศ สมบัติศิริ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร ๓. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
|
|||||||||||||||||||||
159 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร พ.ศ. .... | กค | 18/08/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
160 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2558 | กษ | 18/08/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงพลังงานหารือร่วมกับผู้เกี่ยวข้องพิจารณาปรับสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซลผสมในน้ำมันดีเซล จากเดิม “ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ และไม่สูงกว่าร้อยละ ๗” เป็น “ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖.๕ และไม่สูงกว่าร้อยละ ๗” ๑.๒ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อตรวจสอบสต็อกน้ำมันปาล์ม ประกอบด้วยผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกรมศุลกากร ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นคณะทำงาน ๑.๓ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำมันปาล์มให้มีอัตราน้ำมันสูงและน้ำมันมีคุณภาพดี โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานอนุกรรมการ และคณะอนุกรรมการประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนภาคเอกชน จำนวน ๓ ท่าน ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการฯ ๑.๔ เห็นชอบการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบเก็บสต็อก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้องค์การคลังสินค้าเพิ่มปริมาณการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เก็บสต็อกของปี ๒๕๕๘ อีกจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน โดยมีเงื่อนไขให้องค์การคลังสินค้ารับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อเก็บสต็อก เมื่อราคาผลปาล์ม (อัตราน้ำมันร้อยละ ๑๗) ที่เกษตรกรขายไม่ต่ำกว่าหรือมีแนวโน้มต่ำกว่ากิโลกรัมละ ๔.๒๐ บาท ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ที่เห็นชอบในหลักการอนุมัติกรอบวงเงิน จำนวน ๒,๘๙๖.๔๕ ล้านบาท เพื่อให้องค์การคลังสินค้าดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพิ่มเติมอีก จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน รวมเป็นจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัน ทั้งนี้ ให้เพิ่มเงื่อนไขสำหรับการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มเติมอีก ๑๐๐,๐๐๐ ตัน โดยกำหนดให้มีการตรวจติดตามว่า เมื่อโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มได้จำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบให้องค์การคลังสินค้าแล้ว โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดังกล่าวจะต้องรับซื้อผลปาล์มเพิ่มจากเกษตรกรเพื่อแปรรูปเป็นน้ำมันปาล์มดิบมาเติมสต็อกแทนที่น้ำมันปาล์มดิบที่ระบายจำหน่ายให้องค์การคลังสินค้าไปแล้ว ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับและเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติไปปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามมาตรการที่กำหนด และรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ เพื่อให้สามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด และปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....