ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 30 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 597 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | ผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหายาสูบและยาเส้นราคาตกต่ำ ของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร | กค. | 22/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ
เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหายาสูบและยาเส้นราคาตกต่ำ ของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง
สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยสรุปผลการพิจารณา จำนวนรวม ๔ ประเด็น ดังนี้ ๑)
การลดต้นทุนเพิ่มรายได้เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
โดยการยาสูบแห่งประเทศไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านการผลิต ควบคุม
และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
และมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิต ๒)
การปรับโครงสร้างภาษียาสูบ โดยกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีที่เหมาะสมในทุกมิติอย่างรอบด้าน
ซึ่งการยาสูบแห่งประเทศไทยเห็นว่า การกำหนดอัตราภาษี ๓ อัตรา สามารถลดช่องว่างระหว่างบุหรี่ถูกกฎหมายและบุหรี่ผิดกฎหมาย
๓) การป้องกันและปราบปราม โดยกรมสรรพสามิตได้เสริมศักยภาพในด้านการป้องกันการกระทำผิดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าบุหรี่ผิดกฎหมายและบุหรี่ไฟฟ้า
และกรมศุลกากรได้จัดทำแผนแนวทางปฏิบัติร่วมในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่ประเทศไทย
และ ๔) การปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนการปลูกยาสูบหรือการประกอบอาชีพอื่น
โดยกรมสรรพสามิตได้จัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการส่งเสริมเกษตรกรให้เพาะปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนการปลูกยาสูบ
และกรมส่งเสริมการเกษตรตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำมาตรการช่วยเหลือชาวไร่ยาสูบและการปรับเปลี่ยนอาชีพสำหรับชาวไร่
เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการเกษตรให้แก่เกษตรกร
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | มาตรการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรบริเวณชายแดน | นร. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
จากการลงพื้นที่ตรวจราชการในหลายจังหวัด รวมทั้งได้รับรายงานจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยว่า
ปัจจุบันมีปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรหลายชนิดบริเวณชายแดนในหลายพื้นที่
ส่งผลให้ระดับราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศตกต่ำและจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร)
กำชับให้ด่านศุลกากรทุกแห่งยกระดับมาตรฐานการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรบริเวณชายแดนให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง ละเอียดรอบคอบ
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ให้เพิ่มมาตรการเชิงรุกโดยการลาดตระเวนและตรวจสอบพื้นที่ในความรับผิดชอบที่อาจถูกใช้เป็นสถานที่จัดเก็บสินค้าเกษตรที่ลักลอบนำเข้ามาดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้มากขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร) เร่งจัดตั้งกลไกในการประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้า
การส่งออก และการนำผ่าน
เพื่อแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม กลุ่มผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตรที่ผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ในการพิจารณากำหนดโควตา การนำเข้าสินค้าเกษตร
เพื่อควบคุมปริมาณสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากต่างประเทศและปกป้องราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศ
ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
โดยไม่ให้ขัดต่อพันธกรณีของไทยภายใต้กรอบความตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) รวมถึงองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดดำเนินการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชที่ต้านทานโรคได้ดี
เช่น มันสำปะหลัง เพื่อปรับปรุงการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรของไทยให้มีคุณภาพและมีผลผลิตต่อไร่สูงมากขึ้น
รวมทั้งให้จัดทำแผนการจัดหาต้นพันธุ์มันสำปะหลังให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรในประเทศด้วย
แล้วให้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | สถานการณ์ระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย | นร. | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สถานการณ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและรัฐอิสราเอล
ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนและเข้าร่วมการโจมตีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านด้วยอาจนำไปสู่การขยายตัวของสถานการณ์ดังกล่าวในวงกว้างออกไปโดยไม่สามารถคาดเดาระยะเวลาสิ้นสุดได้อย่างแน่ชัด
และจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาของประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับนโยบายกำหนดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งล่าสุดได้กำหนดกรอบระยะเวลาผ่อนปรนไว้ ๙๐ วัน และจะครบกำหนดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘ โดยในส่วนของประเทศไทยได้ดำเนินการเจรจาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวกับประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
ทั้งในด้านปริมาณและราคาพลังงาน การเงิน การคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยว ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างมาก
รวมถึงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชาด้วย
จึงขอให้รัฐมนตรีทุกท่านติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
พร้อมทั้งเตรียมการและกำหนดมาตรการในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ เพื่อรองรับและลดผลกระทบในด้านต่าง ๆ
ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด และขอให้อยู่ใกล้ชิดประชาชน เพื่อสร้างความมั่นใจในการดำเนินการของรัฐบาล
และหากมีปัญหาใด ๆ ก็ให้เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
และขอย้ำว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เสถียรภาพของรัฐบาลและความสามัคคีภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ทั้งนี้
ในสถานการณ์ปัจจุบันมีประเด็นปัญหาที่รัฐบาลให้ความสำคัญและขอมอบหมายการดำเนินการ
ดังนี้ ๑. ปัญหาภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ
โดยเฉพาะกรณีอาชญากรรมข้ามชาติ (Transnational Crimes) ซึ่งปรากฏตามรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ
(UNODC) ว่ามีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย -
กัมพูชา จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
รับไปบูรณาการการดำเนินงานกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจของหน่วยงาน
โดยขอเน้นย้ำให้ใช้แนวทางสันติวิธี
เพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติและเกิดประโยชน์กับประชาชนทั้งสองฝ่ายโดยเร็ว ๒. ปัญหาความมั่นคงด้านพลังงาน
ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) รับไปพิจารณากำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ด้านพลังงาน
ทั้งในส่วนของการจัดหาพลังงานสำรองและการบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน
โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดภาวะขาดแคลนพลังงานหรือราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ๓. ปัญหาเศรษฐกิจและการเงิน
โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย
ชุณหวชิร) รับไปหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เหมาะสม
พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมด้วย ๔. ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร
ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) รับไปหารือในประเด็นปัญหาดังกล่าวร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในส่วนของปัญหาราคาข้าวที่จะต้องเร่งสรุปมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือเกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบให้ราคาที่พืชผลทางการเกษตรในประเทศตกต่ำ
และให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เร่งประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปปัญหาอุปสรรคและกำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรดังกล่าว
รวมทั้งมาตรการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศ
แล้วให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า ๕. ปัญหายาเสพติด ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) รับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรียมการจัดประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทั่วประเทศในสัปดาห์หน้า เพื่อให้นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและกำชับการดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
โดยให้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม
และเป็นการขยายผลอย่างต่อเนื่องจากมาตรการ “Seal Stop
Safe” ที่ดำเนินการอยู่แล้ว ๖. ปัญหาการท่องเที่ยว ขอมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาปรับปรุงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและจากต่างประเทศให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
รวมถึงกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม และสามารถดำเนินการให้เกิดผลได้อย่างรวดเร็ว
แล้วให้นำมาตรการดังกล่าวข้างต้น เสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า ๗. การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
ขอมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเร่งนำ เรื่อง
การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี ๒๕๖๘ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า
เพื่อให้สามารถประกาศให้มีผลใช้บังคับได้ทันในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๘ นี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | ปัญหาการลักลอบนำเข้าปูนและเหล็กไม่ได้มาตรฐาน (มอก.) | นร. | 20/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ได้รับข้อร้องเรียนจากภาคเอกชนว่า
ปัจจุบันมีความพยายามลักลอบนำเข้าสินค้าวัสดุก่อสร้างประเภทปูนและเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานตามบริเวณแนวชายแดนเป็นจำนวนมาก
โดยสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบหรือรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
กระทรวงอุตสาหกรรม และอาจมีการปลอมแปลงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
(มอก.) ด้วย ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการตรวจสอบ
โดยให้ประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด แล้วดำเนินการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้เฝ้าระวังการกระทำผิดกฎหมายในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | การเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา | นร. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่
๒๓ - ๒๔ เมษายน ๒๕๖๘ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ ๗๕ ปี
แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
ขอเสนอคณะรัฐมนตรีทราบและมอบหมายการดำเนินการต่าง ๆ
ที่ได้จากการหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ดังนี้ ๑.
ประเด็นความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์
ทั้ง ๒ ประเทศยืนยันที่จะร่วมมือกันใน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑)
ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลหลักฐานหรือข้อมูลต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว (๒)
ร่วมมือกันปิดกั้น (Block) สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตที่มาจากเครือข่ายของผู้ก่ออาชญากรรมออนไลน์
(๓) ยกระดับมาตรการตรวจสอบและควบคุมชายแดนของทั้ง ๒ ฝ่ายให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้า/ส่งออกสิ่งของผิดกฎหมายข้ามแดน และ (๔)
ร่วมมือกันในการตรวจสอบคนต่างชาติที่เดินทางเข้าไปทำงานในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่งให้มีใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้น จึงมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง
เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละหน่วยงาน
รวมทั้งประสานความร่วมมือกับบริษัทเอกชนที่ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมในการดำเนินการป้องกัน
แก้ไขและปราบปรามปัญหาอาชญากรรมดังกล่าวให้บรรลุผลอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนของทั้ง ๒ ประเทศมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
รวมทั้งสามารถยกระดับความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น ๒. ประเด็นความร่วมมือในกรอบอาเซียน (ASEAN) ทั้ง ๒
ประเทศเห็นพ้องกันว่าความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นและเป็นเอกภาพของประเทศสมาชิกอาเซียนจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้
รวมทั้งช่วยเพิ่มศักยภาพในการเจรจาต่อรองทางการค้ากับประเทศคู่ค้าที่สำคัญของอาเซียนได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง
และคณะทำงานนโยบายการค้าที่เกี่ยวข้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายและรวบรวมข้อมูล/มาตรการร่วมกันของอาเซียน
เพื่อพิจารณาใช้ประโยชน์ในการเจรจาต่อรองทางการค้าต่อไป ๓. ประเด็นการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม (Mini Joint Cabinet Meeting) ไทย - กัมพูชา ทั้ง
๒ ประเทศเห็นชอบให้มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมฯ ขึ้น
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีหารือและร่วมกันกำหนดแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ชายแดนของทั้ง ๒ ประเทศ เช่น ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Call
Center) ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดการประชุมดังกล่าวภายในเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘ ณ จังหวัดสระแก้ว ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งประสานความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น
รวมทั้งจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดการประชุมดังกล่าวข้างต้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2568 และครั้งที่ 2/2568 | นร.04 | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่
๒๓ - ๒๔ เมษายน ๒๕๖๘ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ ๗๕ ปี
แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
ขอเสนอคณะรัฐมนตรีทราบและมอบหมายการดำเนินการต่าง ๆ
ที่ได้จากการหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ดังนี้ ๑.
ประเด็นความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์
ทั้ง ๒ ประเทศยืนยันที่จะร่วมมือกันใน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑)
ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลหลักฐานหรือข้อมูลต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว (๒)
ร่วมมือกันปิดกั้น (Block) สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตที่มาจากเครือข่ายของผู้ก่ออาชญากรรมออนไลน์
(๓) ยกระดับมาตรการตรวจสอบและควบคุมชายแดนของทั้ง ๒ ฝ่ายให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้า/ส่งออกสิ่งของผิดกฎหมายข้ามแดน และ (๔)
ร่วมมือกันในการตรวจสอบคนต่างชาติที่เดินทางเข้าไปทำงานในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่งให้มีใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้น จึงมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง
เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละหน่วยงาน
รวมทั้งประสานความร่วมมือกับบริษัทเอกชนที่ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมในการดำเนินการป้องกัน
แก้ไขและปราบปรามปัญหาอาชญากรรมดังกล่าวให้บรรลุผลอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนของทั้ง ๒ ประเทศมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
รวมทั้งสามารถยกระดับความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น ๒. ประเด็นความร่วมมือในกรอบอาเซียน (ASEAN) ทั้ง ๒
ประเทศเห็นพ้องกันว่าความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นและเป็นเอกภาพของประเทศสมาชิกอาเซียนจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้
รวมทั้งช่วยเพิ่มศักยภาพในการเจรจาต่อรองทางการค้ากับประเทศคู่ค้าที่สำคัญของอาเซียนได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง
และคณะทำงานนโยบายการค้าที่เกี่ยวข้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายและรวบรวมข้อมูล/มาตรการร่วมกันของอาเซียน
เพื่อพิจารณาใช้ประโยชน์ในการเจรจาต่อรองทางการค้าต่อไป ๓. ประเด็นการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม (Mini Joint Cabinet Meeting) ไทย - กัมพูชา ทั้ง
๒ ประเทศเห็นชอบให้มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมฯ ขึ้น
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีหารือและร่วมกันกำหนดแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ชายแดนของทั้ง ๒ ประเทศ เช่น ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Call
Center) ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดการประชุมดังกล่าวภายในเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘ ณ จังหวัดสระแก้ว ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งประสานความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น
รวมทั้งจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดการประชุมดังกล่าวข้างต้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | การจัดทำร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการก่อสร้างสะพานข้ามพรมแดนแห่งใหม่ ณ จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี | มท. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการก่อสร้างสะพานข้ามพรมแดนแห่งใหม่ ณ
จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี และอนุมัติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers)
ในการลงนามในร่างความตกลงฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ที่รับมอบอำนาจดังกล่าวด้วย โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความร่วมมือในการก่อสร้างสะพานข้ามพรมแดนแห่งใหม่
เช่น ฝ่ายไทย จะรับผิดชอบค่าก่อสร้างทั้งหมดของโครงการ
ยกเว้นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ภาษี และค่าธรรมเนียมทุกชนิดในกัมพูชา
ควบคุมการก่อสร้าง รวมถึงออกหนังสือรับรองการทำงานและการตรวจลงตราหนังสือเดินทางเข้า
- ออกไทยแก่บุคลากรและผู้ติดตามฝ่ายกัมพูชา และฝ่ายกัมพูชา จะจัดเตรียมที่ดินในเขตการก่อสร้างและรื้อย้ายสาธารณูปโภคพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่าง
ๆ ที่เป็นอุปสรรคในการก่อสร้าง จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านสาธารณูปโภค เช่น
น้ำประปา ไฟฟ้า อำนวยความสะดวกในเรื่องการตรวจลงตราหนังสือเดินทางแก่บุคลากรและผู้ติดตามของฝ่ายไทย
รวมทั้งยกเว้น ภาษี อากร และค่าธรรมเนียมให้กับฝ่ายไทย เช่น
ค่าธรรมเนียมในการเดินทางเข้า - ออกประเทศ ภาษี อากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม และค่าธรรมเนียมต่าง
ๆ สำหรับวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือในการก่อสร้าง รวมถึงยานพาหนะ น้ำมันเชื้อเพลิง
น้ำมันหล่อลื่น เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ในครัวเรือน และสิ่งของที่ใช้บริโภคของบุคลากรและผู้ติดตามฝ่ายไทยที่นำเข้าไปในกัมพูชา
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารจัดการการสัญจรข้ามแดน
โดยเฉพาะการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยความมั่นคงที่แฝงมากับการสัญจรข้ามแดน
และกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชนในอนาคตอย่างรอบคอบ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กรมศุลกากร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เตรียมความพร้อมวางแผนเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการบริเวณด่านศุลกากร
เพื่อรองรับเศรษฐกิจการค้า การขนส่ง และการเดินทางที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ประโยชน์จากการจัดทำร่างความตกลงในครั้งนี้
ในการประสานความร่วมมือกับราชอาณาจักรกัมพูชาเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น
ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน ปัญหากลุ่มอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทำการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำ พ.ศ. 2565 พ.ศ. .... | กษ. | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทำการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำ
พ.ศ. ๒๕๖๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทำการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำ
พ.ศ. ๒๕๖๕
เนื่องจากปัจจุบันมีกระบวนการในการกำกับควบคุมและตรวจสอบเรือสนับสนุนการประมงที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว
ซึ่งมีหลายหน่วยงานของภาครัฐ (กรมเจ้าท่า กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร) รับผิดชอบ ประกอบกับเพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซ้อนในการควบคุมและเป็นการสร้างภาระค่าใช้จ่ายที่มากเกินความจำเป็นของผู้ประกอบการ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | ขอความเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี (AKTIGA) | พณ. | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า (Product - Specific Rules of Origin) ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน
- สาธารณรัฐเกาหลี (AKTIGA) ฉบับ HS 2022
และอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
ในฐานะคณะกรรมการการดำเนินงานความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี (AKFTA
IC) ของไทยแจ้งการให้ความเห็นชอบดังกล่าวต่อสมาชิก AKFTA ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๘ โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังดำเนินกระบวนการภายใน
เพื่อให้บัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง AKTIGA ฉบับ HS 2022 เริ่มมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบัญชีถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า (Product - Specific Rules of Origin) ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี (AKTIGA) ฉบับ
HS 2022 ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | มาตรการบริหารจัดการผลไม้ที่จะออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก | นร.04 | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า
ปี ๒๕๖๘ ผลไม้หลายชนิดจะมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะทุเรียน
ซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สร้างรายได้จากการส่งออกให้แก่ประเทศมากว่า ๑๕๐,๐๐๐๐ ล้านบาทต่อปี นั้น เพื่อป้องกันปัญหาราคาทุเรียนตกต่ำและสินค้าตกค้างในช่วงที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากในอีก
๒ - ๓ เดือนข้างหน้า จึงขอมอบหมายการดำเนินการต่าง ๆ
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรไทย ดังนี้ ๑.
ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งเตรียมมาตรการรองรับการกระจายผลผลิตทุเรียนออกจากแหล่งผลิตต่าง
ๆ ให้เหมาะสม รวมทั้งให้รณรงค์ส่งเสริมการบริโภคทุเรียนภายในประเทศ และเร่งขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมการส่งออกผลไม้ดังกล่าวไปยังประเทศอื่น
ๆ ให้มากขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร)
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการขยายระยะเวลาเปิด -
ปิดด่านทางบก ที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เหมาะสม
สอดคล้องกับปริมาณและช่วงเวลาของการขนส่งทุเรียนผ่านด่านต่าง ๆ ด้วย ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งหารือภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อมและอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและตู้ขนส่งสินค้าให้เหมาะสมเพียงพอ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการตรวจสอบคุณภาพของทุเรียนอย่างเคร่งครัด
เข้มงวด โดยเฉพาะการตรวจสอบสารแคดเมียมและสารย้อมสี (Basic Yellow 2) จะต้องตรวจสอบให้ครบถ้วน (๑๐๐%) และหากพบผู้กระทำความผิด
ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งประชาสัมพันธ์ข่าวสารในเรื่องนี้ให้เกษตรกรทราบอย่างถูกต้อง
ทั่วถึง โดยเร็วด้วย ๕.
ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการในการนำเข้าทุเรียนจากไทยให้รับความสะดวก
คล่องตัว และรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น
การให้การยอมรับผลการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการของไทยตั้งแต่ต้นทางโดยไม่ต้องตรวจสอบซ้ำเมื่อถึงปลายทาง ทั้งนี้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางการดำเนินการทั้ง
๕ ข้อดังกล่าวข้างต้นไปปรับใช้กับสินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ เช่น มังคุด เงาะ ลำไย
ที่จะมีผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดในระยะต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นเหมาะสมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | เรื่องสืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ของนายกรัฐมนตรี | นร. | 03/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ เพื่อติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
ในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น การพนันออนไลน์
การหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงกลาโหม หน่วยงานความมั่นคงสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และภาคเอกชนในการดำเนินการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์
การตัดสายสื่อสารข้ามแดน ตลอดจนการปรับลดระดับความสูงและกำลังส่งของเสาสัญญาณโทรศัพท์
ส่งผลให้ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีดังกล่าวบรรเทาลงได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม
เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวบรรลุผลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงขอมอบหมายการดำเนินการเพิ่มเติม
ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนไทย
- กัมพูชา เพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดนและลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของประชาชน
รวมทั้งการลักลอบนำเข้า - ออก สิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ด้วย ทั้งนี้
ให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนในพื้นที่ที่มีความชัดเจนว่าเป็นจุดเสี่ยง
เป็นจุดล่อแหลม เป็นช่องทางธรรมชาติ และต้องไม่เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันเป็นลำดับแรก
โดยขอให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงกลาโหมประสานงานในการดำเนินการในเรื่องนี้กับฝ่ายกัมพูชาด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร) พิจารณาความจำเป็นในการจัดหาเครื่องเอกซเรย์สินค้ามาใช้ในด่านศุลกากรในพื้นที่ชายแดนไทย
- กัมพูชา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้า -
ออกสิ่งผิดกฎหมายข้ามชายแดนให้มากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงกลาโหม
หน่วยงานความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาความจำเป็นและเหมาะสมในการดำเนินการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด
(CCTV) เพิ่มเติมบริเวณแนวชายแดนไทย -
กัมพูชา
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ให้ครอบคลุมและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง ให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นปรับปรุงรายการสินค้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ และพิกัดอัตราศุลกากร
ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่าต้องมีการปรับแก้ไขรายละเอียดของประเภทย่อยและคำอธิบายความตามประเภทพิกัดอัตราศุลกากร
ทั้งภาษาไทย (รายการ) และภาษาอังกฤษ (Description)
ในบัญชีท้ายร่างประกาศดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการอ้างบทอาศัยอำนาจในร่างประกาศฯ
โดยเห็นควรตัดการอ้างวรรคหนึ่งของมาตรา ๕ ออก และระบุเป็น มาตรา ๕ (๑) และวรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒
เนื่องจากมาตรา ๕ ไม่มีอนุมาตราในวรรคอื่น และร่างข้อ ๕ เห็นควรใช้คำว่า
“พิกัดอัตราศุลกากร” เพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่าเมื่อร่างประกาศมีผลบังคับใช้แล้ว
เห็นควรประสานกรมศุลกากร
เพื่อบรรจุพิกัดอัตราศุลกากรของขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรในระบบค้นหาพิกัดอัตราศุลกากร
เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการที่ประสงค์จะนำเข้าได้รับทราบและปฏิบัติ
และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถกำกับดูแลให้เป็นในแนวทางเดียวกัน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากระทรวงพาณิชย์ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันให้เกิดกฎหมาย
และกลไกการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งส่งเสริมผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการกำจัด
และนำขยะอิเล็กทรอนิกส์กลับมาใช้ประโยชน์ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | การขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ทดแทนและเพิ่มเติม และโครงการเช่าบริการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV System) และเทคโนโลยีอื่น เพื่อการควบคุมทางศุลกากร | กค. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงการคลัง สำหรับโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ทดแทนและเพิ่มเติม
และโครงการเช่าบริการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV System) และเทคโนโลยีอื่น เพื่อการควบคุมทางศุลกากร ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคมนาคม เห็นควรดำเนินโครงการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และข้อบังคับให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัด
และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าด่านศุลกากรเชียงของ และด่านศุลกากรแม่สอด
ที่ปัจจุบันยังคงมีจำนวนตู้สินค้าอยู่ในระดับต่ำและอาจมีความเสี่ยงของจำนวนตู้สินค้าผ่านด่านในอนาคต
ควรให้กรมศุลกากรพิจารณาความคุ้มค่าในการจัดหาระบบตรวจสอบตู้ฯ แบบขับผ่าน (Drive - Through) โดยอาจพิจารณาระบบตรวจสอบตู้ฯ
แบบเคลื่อนที่ได้ (Mobile) เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการระบบตรวจสอบตู้ฯ
ในพื้นที่ดังกล่าวให้สอดคล้องกับความต้องการขนส่งสินค้าและแผนการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งที่เกี่ยวข้องในอนาคต
และมอบหมายให้กรมศุลกากร
พิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพด้านพิธีการทางศุลกากรในเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการเปิดให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
อาทิ โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือแหลมฉบัง ระยะที่ ๓ เพื่อให้การพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินพิธีการศุลกากรสอดคล้องและบูรณาการกัน ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำคำของบประมาณฯ ตามข้อ
๑ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เพื่อกลั่นกรองความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมของข้อเสนองบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในรายการงบลงทุนและรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด
ให้เหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา แล้วให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนและกรอบเวลาของปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) | นร. | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๒๙ ตุลาคม ๖๕๖๗) มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) ในพื้นที่ต่าง
ๆ ของประเทศให้เหมาะสมและครบถ้วนทั้งที่เป็นปัญหามลพิษจากการเผาตอซังและพืชไร่ในภาคการเกษตร
ควันและไอเสียของยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐาน และฝุ่นควันจากภาคอุตสาหกรรม
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ
ตามหน้าที่และอำนาจให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว นั้น ในขณะนี้
ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูหนาวและปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 เริ่มรุนแรงขึ้นและภาพถ่ายดาวเทียมยังแสดงให้เห็นว่าในบางจังหวัดมีจุดความร้อน
(Hotspot) เพิ่มมากขึ้นด้วย จึงขอมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ เพิ่มเติม ดังนี้ ๑. มาตรการเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตร ๑.๑
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการเพิ่มเติม
เพื่อให้ผู้ประกอบการอ้อยและน้ำตาลทรายงดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้อย่างเด็ดขาด ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด
และเข้มงวดกับผู้เผาป่า ตอซังข้าว ข้าวโพด อ้อย และพืชอื่น ๆ
รวมทั้งให้มีการประกาศกำหนดเขตควบคุมมลพิษให้ชัดเจนและเหมาะสม
โดยขอให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย ๑.๓
ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรที่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผาอย่างเด็ดขาด ๑.๔ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย
หน่วยงานความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร)
รวมกันดำเนินการตรวจสอบและจับกุมการลักลอบน้ำเข้าพืชผลทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการเผา
ตามแนวชายแดนทุกด้านของประเทศอย่างเข้มงวด ๒. มาตรการลดมลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) ๒.๑
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตรวจสอบ ตรวจจับ และระงับการใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำจากท่อไอเสียเกินมาตรฐานอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระบะ รถโดยสารสาธารณะ รถบรรทุกขนาดใหญ่
รวมทั้งรถโดยสารประจำทางทั้งที่เป็นของหน่วยงานของรัฐและรถร่วมบริการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | ข้อเสนอแนะหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินสินบนและรางวัลให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามระเบียบกรมศุลกากรว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและรางวัล | กค. | 17/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการพิจารณา เรื่อง ข้อเสนอแนะหลักเกณฑ์เละเงื่อนไขการจ่ายเงินสินบนและรางวัลให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามระเบียบกรมศุลกากรว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและรางวัล
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | พิจารณาร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว สำหรับการค้าข้ามแดนระหว่างกรมศุลกากรแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กค. | 11/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | การป้องกันและปราบปรามยางพาราผิดกฎหมาย | นร.04 | 03/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินโครงการชะลอการจำหน่ายยางพาราของเกษตรกร
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมปริมาณผลผลิตยางพาราที่เข้าสู่ตลาดให้เหมาะสมกับความต้องการในการใช้ยางพารา
ลดความผันผวนด้านราคา และรักษาเสถียรภาพราคายางพาราในตลาด
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราเพื่อรอจำหน่ายผลผลิตในช่วงเวลาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีปัญหาการลักลอบนำเข้ายางพาราจากต่างประเทศตามแนวชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
ส่งผลให้ราคายางพาราในประเทศตกต่ำลงและเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำกับดูแล
ป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราผิดกฎหมายอย่างเข้มงวดและต่อเนื่องโดยด่วน
รวมทั้งให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ดำเนินมาตรการที่เข้มงวด รอบคอบ รัดกุม ในการดำเนินการเกี่ยวกับพิธีการศุลกากรในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
เพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำยางพาราเข้า -
ออกจากประเทศไทยอย่างไม่ถูกต้องตามพิธีการศุลกากรด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 150 ปี กรมศุลกากร พ.ศ. .... | กค. | 22/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก
๑๕๐ ปี กรมศุลกากร พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคายี่สิบบาท
เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบ ๑๕๐ ปี กรมศุลกากรในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | ข้อเสนอแนะหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินสินบนและรางวัลให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามระเบียบกรมศุลกากรว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและรางวัล | กค. | 24/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง ข้อเสนอแนะหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินสินบน และรางวัลให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามระเบียบกรมศุลกากรว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและรางวัล
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | ข้อเสนอแนะหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินสินบนและรางวัลให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามระเบียบกรมศุลกากรว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและรางวัล | ปช. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินสินบนและรางวัลให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามระเบียบกรมศุลกากรว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและรางวัล
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร)
เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ
โดยให้กระทรวงการคลังสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน
๓๐ วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|