ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 30 หน้า แสดงรายการที่ 61 - 80 จากข้อมูลทั้งหมด 597 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
61 | การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำหรับโครงการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ที่จัดซื้อในโครงการระยะที่ 5 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2569 | กค. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรนำรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐
ล้านบาทขึ้นไป โครงการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ที่จัดซื้อในโครงการระยะที่
๕ วงเงินทั้งสิ้น ๑,๕๐๐,๙๙๔,๐๕๖ บาท เพื่อเสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามนัยมาตรา ๒๖ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณ จำนวน ๘๒๕,๕๔๖,๗๐๐ บาท
เสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๑๖๕,๑๐๙,๔๐๐ บาท
ผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-พ.ศ. ๒๕๖๙ จำนวน ๖๖๐,๔๓๗,๓๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ ๖๗๕,๔๔๗,๓๕๖
บาท เบิกจ่ายจากเงินนอกงบประมาณสมทบ ทั้งนี้ ให้กรมศุลกากรพิจารณานำเงินนอกงบประมาณมาสมทบกับงบประมาณในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ
๔๕ พร้อมทั้งจัดทำแผนงานให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
และให้ยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ ผลการสอบราคา
ประมาณการราคา และสถานที่/พื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการให้ครบถ้วน
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และคำนึงถึงภาระผูกพันในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ซี่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสม
จำเป็นตามวงเงินงบประมาณประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
62 | การยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค โครงการที่ 2 เพื่อยุติโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง โครงการที่ 2 ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน | พณ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค
โครงการที่ ๒ เพื่อยุติโครงการดังกล่าวภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN
Trade In Goods Agreement : ATIGA) โดยมอบหมายให้กรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อยุติโครงการนำร่องฯ
โครงการที่ ๒ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือทางการทูต (Diplomatic
Note) แจ้งต่อเลขาธิการอาเซียน
เพื่อที่ประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการนำร่องฯ โครงการที่ ๒ ได้แก่ ฟิลิปปินส์
อินโดนีเซีย สปป.ลาว ไทย และเวียดนาม
จะได้ยุติการดำเนินการที่เกี่ยวข้องภายใต้โครงการนำร่องฯ โครงการที่ ๒
และเปลี่ยนผ่านไปใช้ระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน (ASEAN
Wide Self-Certification : AWSC) ซึ่งเป็นระบบเดียวกันทั้ง ๑๐ ประเทศในอาเซียน โดยระบบ AWSC มีผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการยุติโครงการนำร่องฯ
โครงการที่ ๒ ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับการรับรองอีกครั้งเมื่อปรับเปลี่ยนจากโครงการนำร่องฯ
โครงการที่ ๒ เป็นระบบ AWSC ดังนั้น
กระทรวงพาณิชย์ควรเร่งประชาสัมพันธ์แนวทางการขึ้นทะเบียนและการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองตามความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนในวงกว้าง
เพื่อให้ผู้ประกอบการรับทราบและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
63 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2563 | นร.11 | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ
(กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ เช่น
รับทราบความคืบหน้าการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย และพิจารณาเรื่องต่าง ๆ
เช่น แผนการพัฒนาท่าเรือทางบก (Dry Port) และการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภายใต้ความปกติใหม่
(New Normal) จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) เป็นต้น และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ กบส.
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ และรายงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอ
กบส. ตามขั้นตอนต่อไป ตามที่ กบส. เสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ ๒.๑
หน่วยงานที่มีการพัฒนาหรือกำลังจะพัฒนาระบบหรือแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ
การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ การนำเข้า-ส่งออกสินค้า
และการชำระเงินค่าสินค้าระหว่างประเทศ ต้องเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลของประเทศไทย
(National Digital Trade Platform : NDTP) เพื่อสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) สำหรับอำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศได้แบบเบ็ดเสร็จ
ครบวงจร ๒.๒
หน่วยงานภาครัฐต้องปรับปรุงขั้นตอนและกระบวนการทำงาน (reprocess) การให้บริการการจัดเก็บข้อมูล รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย
กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค ให้รองรับและสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการทำงานภายใต้ความปกติใหม่
(New Normal) สามารถให้บริการแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสมบูรณ์
ไร้รอยต่อ และให้บริการได้ตลอดเวลา โดยไม่มีวันหยุด ๒.๓
กรมศุลกากรควรเร่งรัดการพัฒนาและเชื่อมโยงระบบ National Single
Window (NSW) เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
และเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม NDTP เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและผู้ประกอบการแบบเบ็ดเสร็จ
ครบวงจร ณ จุดเดียว ทั้งการเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐ (G2G) ภาครัฐกับภาคเอกชน
(G2B) และระหว่างภาคเอกชน (B2B) ๒.๔
กระทรวงการคลังอาจพิจารณาให้สิ่งจูงใจแก่ผู้ประกอบการ เช่น
การให้สิทธิพิเศษด้านภาษี การให้บริการแบบด่วนพิเศษ (Fast
Track หรือ Priority Lane) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและกระตุ้นการใช้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
(e-Service) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
64 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ ลักษณะ ราคา และรายละเอียดของบัตรภาษี พ.ศ. .... | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ ลักษณะ ราคา และรายละเอียดของบัตรภาษี พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงวิธีการจ่ายเงินชดเชยจากรูปแบบกระดาษเป็นรูปแบบบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับชำระค่าภาษีอากร
โดยกำหนดให้บัตรภาษีมีแบบ ลักษณะ ราคา และรายละเอียดเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานที่กำหนดในระบบบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์
(Digital Tax Compensation : DTC) ของกรมศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัย
เนื่องจากบัตรภาษีหรือบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าที่คำนวณได้เป็นจำนวนและสามารถนำไปใช้จ่ายเป็นค่าภาษี
รวมทั้งสามารถโอนไปยังบุคคลอื่นได้ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย
บัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความสำคัญที่จำเป็นต้องดูแลให้สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
และการกำหนดมาตรฐานตามข้อ ๓ ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
จึงจำเป็นต้องครอบคลุมประเด็นความเสี่ยงสำคัญของบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์
โดยมีมาตรฐานการจัดการบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมาตรการป้องกันการปลอมแปลง
การเรียกหรือชำระเงิน
และการนำบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการใช้งานแล้วกลับมาใช้ซ้ำอีก
รวมทั้งมาตรการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์และระบบบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์
(Digital Tax Compensation) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้งานบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
65 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ว่าด้วยการตอบสนองต่อสถานการณ์โควิด-19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล | พณ. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ
ว่าด้วยการตอบสนองต่อสถานการณ์โควิด-๑๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๒๙
กรกฎาคม ๒๕๖๓ ซึ่งที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นต่อสถานการณ์โควิด-๑๙
ในอาเซียนและญี่ปุ่น รวมถึงกำหนดทิศทางการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน
และที่ประชุมได้ร่วมรับรองแผนปฏิบัติการด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น
ที่ได้มีการปรับปรุงจากร่างแผนปฏิบัติการฯ
เดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ซึ่งเป็นการปรับปรุงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
โดยได้เพิ่มเติมการดำเนินโครงการทางเศรษฐกิจซึ่งญี่ปุ่นขอเสนอเพิ่มเติม จำนวน ๗
โครงการ ได้แก่ (๑) การส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา (๒)
การดำเนินโครงการประกันสินเชื่อโดยองค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon
Export and Investment Insurance : NEXI) (๓)
ความร่วมมือด้านการรับประกันต่อระหว่าง NEXI กับองค์กรสินเชื่อเพื่อการส่งออก
(Export Credit Agency : ECA) ของอาเซียน
(๔) ความร่วมมือด้านการส่งเสริมเมืองอัจฉริยะระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น (๕)
การจัดตั้งเครือข่ายนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ (๖)
โครงการเสริมสร้างศักยภาพการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีพลังงานทดแทน
และ (๗) โครงการสาธิตเกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้พลังงานและเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในประเทศสมาชิกอาเซียน
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ
เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อพิจารณาดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ เกี่ยวกับ
(๑) ประเด็นการยอมรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไร้กระดาษในรูปแบบ Portable
Document Format (PDF) ร่วมกัน นั้น
ระเบียบในปัจจุบันของกรมศุลกากรยังไม่ยอมรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไร้กระดาษในรูปแบบ
PDF อย่างไรก็ตาม
กระทรวงการคลังไม่ขัดข้องที่จะร่วมหารือเพื่อส่งเสริมการยอมรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไร้กระดาษในรูปแบบ
PDF โดยขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของแต่ละประเทศ (๒)
ประเด็นแพลตฟอร์มการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (DXPE) นั้น
ควรพิจารณาให้มีระบบการติดตามความคืบหน้าการจับคู่ทางธุรกิจและการอำนวยความสะดวกหลังจากการขับคู่ทางธุรกิจเสร็จสิ้นแล้ว
และ (๓)
ประเด็นโครงการสนับสนุนทางการเงินของญี่ปุ่นเพื่อเร่งการขยายธุรกิจในต่างประเทศของธุรกิจเทคโนโลยีด้านการศึกษา
(Ed-Tech) นั้น
ขอเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนและพัฒนาพันธมิตรกับ Ed-tech
Startup ในท้องถิ่นของไทย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
66 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายจำเริญ โพธิยอด ฯลฯ รวม 4 ราย) | กค. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย
เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม
๒๕๖๓ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายจำเริญ
โพธิยอด ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายพชร
อนันตศิลป์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร ๓. นายลวรณ แสงสนิท ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิต ๔. นางวรนุช ภู่อิ่ม ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
67 | รายงานผลการดำเนินงานการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยของคณะกรรมการเฉพาะกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) | นร.01 | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินการเกี่ยวกับหน้ากากอนามัย
ระหว่างวันที่ ๑ พฤษภาคม-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ตามที่คณะกรรมการเฉพาะกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม
หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
การจัดสรรหน้ากากอนามัยให้กระทรวงสาธารณสุข จำนวนไม่เกินวันละ ๑,๘๐๐,๐๐๐ ชิ้น
และจัดสรรหน้ากากอนามัยให้กระทรวงมหาดไทย จำนวนไม่เกินวันละ ๑,๒๐๐,๐๐๐ ชิ้น ๒.
การกระจายหน้ากากอนามัย โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ให้ ๓ หน่วยงาน ได้แก่
จัดส่งให้กระทรวงสาธารณสุข จำนวนสะสมรวม ๑๘๕,๔๐๙,๗๐๐ ชิ้น
เพื่อกระจายต่อให้กับสถานพยาบาลต่าง ๆ และบุคลากรทางการแพทย์ จัดส่งให้กระทรวงมหาดไทย
จำนวนสะสมรวม ๙๒,๙๓๓,๘๐๐ ชิ้น
เพื่อส่งให้กรุงเทพมหานครและจังหวัดกระจายลงไปยังกลุ่มเสี่ยง เช่น
อาสาสมัครประจำหมู่บ้าน พนักงานทำความสะอาดและเก็บขยะ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร
ตำรวจ ในพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อโควิด-๑๙ และจัดส่งให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกองทัพไทย
จำนวนสะสมรวม ๒,๘๑๘,๐๐๐ ชิ้น เพื่อใช้สำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ณ
จุดตรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงาน ๓ เหล่าทัพ ๓. การนำเข้าหน้ากากอนามัย
กรมศุลกากรรายงานการนำเข้าตั้งแต่เดือนมกราคม-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๔ ประเภท
ได้แก่ หน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด หน้ากากกรองฝุ่น หมอกควัน หรือสารพิษ
อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย หน้ากากทางการแพทย์ นอกจากหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด
และอื่น ๆ (หน้ากากผ้า) มีจำนวนทั้งสิ้น ๑๖๙,๒๐๘,๕๕๑ ชิ้น ๔.
การส่งออกหน้ากากอนามัยไปนอกราชอาณาจักร
กรมศุลกากรรายงานการส่งออกตั้งแต่เดือนมกราคม-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๔ ประเภท
ได้แก่ หน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด หน้ากากกรองฝุ่น หมอกควัน หรือสารพิษ
อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย หน้ากากทางการแพทย์ นอกจากหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด
และอื่น ๆ (หน้ากากผ้าลิขสิทธิ์) มีจำนวนทั้งสิ้น ๑๑๐,๘๕๔,๑๐๑ ชิ้น ๕.
การบริหารจัดการหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศ คณะกรรมการเฉพาะกิจฯ
มีมติรับทราบสถานการณ์เกี่ยวกับหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศ เช่น
ด้านการผลิต มีผู้ผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นจาก ๙ ราย เป็น ๒๙ ราย (๓๐ โรงงาน)
ทำให้กำลังการผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นเป็น ๔,๕๐๐,๐๐๐ ชิ้นต่อวัน
และการกำหนดราคากลางในการจัดซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ ๔.๑๒ บาท/ชิ้น (เดิม
๔.๒๘ บาท/ชิ้น) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป
และเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ในระยะต่อไป เช่น
การบริหารจัดการกลุ่มเสี่ยง ๓ กลุ่ม คือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงอื่น มีความต้องการประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ ชิ้นต่อวัน
และการบริหารจัดการและการกระจายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศในระยะต่อไป
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
มติคณะอนุกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) มติคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
68 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา นางสาวนิภา ลำเจียกเทศ นายกิตติ สุทธิสัมพันธ์ และนางชลิดา พันธ์กระวี) | กค. | 04/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย
ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. นางสาวปิยวรรณ
ล่ามกิจจา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ (นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่วันที่
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ๒. นางสาวนิภา
ลำเจียกเทศ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบ การเงินการคลัง
(นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ๓. นายกิตติ
สุทธิสัมพันธ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหาร การจัดเก็บภาษี
(นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร ตั้งแต่วันที่ ๑๘
มีนาคม ๒๕๖๓ ๔. นางชลิดา
พันธ์กระวี ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานปลัด กระทรวงการคลัง
ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
69 | รายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2563 และการจัดทำรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงในประเทศคู่ค้า (Notorious Markets) | พณ | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการจัดสถานการณ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ ตามมาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๖๓ โดยประเทศไทยยังคงอยู่ในบัญชีประเภทที่ต้องจับตามอง (Watch List : WL) และการจัดทำรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงในประเทศคู่ค้า (Notorious Markets) ซึ่งมีการระบุชื่อตลาดในประเทศไทย ๒ แห่ง โดยเป็นการละเมิดในท้องตลาด ๑ แห่ง คือ ย่านพัฒน์พงษ์ และตลาดออนไลน์ ๑ แห่ง คือ www.shopee.co.th ๒. รับทราบการจัดทำร่างพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาตามขั้นตอนต่อไปโดยเร็ว ๔. มอบหมายให้หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก กองทัพเรือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กวดขันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งในท้องตลาดและอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในตลาดที่มีการระบุในรายงานการจดทำรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงในประเทศคู่ค้า (Notorious Markets) ตลอดจนสกัดกั้นการลำเลียงและขนส่งสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ๕. มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดำเนินการร่วมกันเพื่อให้มีการระงับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ตหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดอาญาตามกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาออกจากระบบคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่องต่อไป ตลอดจนบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อย่างเข้มงวด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
70 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบสารสนเทศของ สปป.ลาว เพื่อเชื่อมโยงกับระบบ ASEAN Single Window | กค | 15/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบสารสนเทศของ สปป.ลาว เพื่อเชื่อมโยงกับระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window : ASW) ในรูปแบบเงินให้เปล่าทั้งจำนวน วงเงินรวม ๑๘,๘๒๐,๘๐๕.๑๒ บาท โดยใช้เงินสะสมของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง [กรมศุลกากรและสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน)] รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ในกรณีโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบฯ ในครั้งนี้ ฝ่ายไทยอาจพิจารณาใช้โอกาสที่เหมาะสมเร่งรัดและผลักดันประเด็นคงค้างสำคัญอื่น ๆ กับ สปป.ลาว เช่น การผลักดันให้ สปป.ลาว เปิดใช้พื้นที่ควบคุมร่วม (Common Control Area) บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๒ (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ภายในปี ๒๕๖๓ และในการดำเนินโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบฯ ควรมีการจัดทำแผนงานที่มีกลไกการติดตามให้เป็นไปตามกรอบ รวมถึงมีการประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ควรหารือร่วมกับ สปป.ลาว ในการพัฒนาและดูแลระบบ รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลและเอกสารอื่น ๆ ในทุกด่านพรมแดนถาวรด้วยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
71 | แต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2497 (จำนวน 11 ราย) | มท | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๙๗ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ และแต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ ขึ้นใหม่ รวม ๑๑ คน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ ๑.๒ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการ ๑.๓ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการ ๑.๔ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ ๑.๕ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นกรรมการ ๑.๖ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการ ๑.๗ อธิบดีกรมสรรพากร เป็นกรรมการ ๑.๘ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นกรรมการ ๑.๙ อธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นกรรมการ ๑.๑๐ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นกรรมการ ๑.๑๑ อธิบดีกรมการปกครอง เป็นกรรมการ และเลขานุการ ๒. ให้สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
72 | การดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดฃองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | นร | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ดังนี้
๑. การรวบรวมข้อมูลมาตรการและจัดทำจดหมายเหตุสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขรวบรวมข้อมูลมาตรการป้องกัน การรักษา และการบริหารจัดการ ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ๑.๓ ให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำจดหมายเหตุสถานการณ์และการดำเนินการในมิติต่าง ๆ ทั้งในส่วนของประเทศไทยและภาพรวมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการออกประกาศเพื่อยกเว้นอากรสำหรับสินค้านำเข้าที่เกี่ยวกับการตรวจรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น ยาและเวชภัณฑ์ หน้ากากอนามัย เครื่องมือ ชุดตรวจ และสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ โดยเร็ว ทั้งนี้ ให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์) เร่งรัดการดำเนินการตรวจรับรองมาตรฐานอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ในการตรวจคัดกรองและรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด (ภายใน ๕ วัน) รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและป้องกันไม่ให้มีการทุจริตและเรียกรับผลประโยชน์ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลการผลิตและการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีพของประชาชนให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเข้มงวดในราคาที่เป็นธรรม รวมทั้งพิจารณาทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมของระยะเวลาการห้ามส่งออกไข่ไก่สดไปนอกราชอาณาจักรที่กำหนดไว้ ๗ วัน ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๓ เรื่อง ห้ามส่งออกไข่ไก่สดไปนอกราชอาณาจักร ๕. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาประเมินผลมาตรการห้ามการเดินทางเข้า-ออกพื้นที่เขตจังหวัดที่ใช้ในจังหวัดภูเก็ต และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส) หากมีผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าพอใจ สมควรที่จะนำไปปรับใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป ๖. ให้ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการอย่างเข้มงวดเพื่อมิให้มีการรวมกลุ่มของประชาชน เช่น การจัดการชกมวย การลักลอบเล่นการพนัน การมั่วสุมดื่มสุรา และเสพยาเสพติด การจัดการแข่งขันรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์บนถนน รวมถึงกรณีที่ผู้ให้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ (วินมอเตอร์ไซค์) ไม่ใส่หน้ากากอนามัยและมีการพูดคุยกับผู้โดยสารในระหว่างการขับขี่ ๗. การจัดสรรและแจกจ่ายหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้ภายในประเทศ จำนวน ๒,๓๐๐,๐๐๐ ชิ้น ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม-๓ เมษายน ๒๕๖๓ (๕ วัน) ให้จัดสรรให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงก่อน โดยดำเนินการ ดังนี้ ๗.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบการจัดหาหน้ากากอนามัยให้แก่กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ ชิ้น และกระทรวงมหาดไทย จำนวนไม่น้อยกว่า ๘๐๐,๐๐๐ ชิ้น เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่กลุ่มเป้าหมายในแต่ละวัน ๗.๒ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประสานงานบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับผิดชอบการขนส่งหน้ากากอนามัยไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยกำหนด ๗.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบการบริหารจัดการการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ ชิ้นต่อวัน ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ ทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงสถานพยาบาลของเอกชน ๗.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบการบริหารจัดการการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยจำนวนไม่น้อยกว่าวันละ ๘๐๐,๐๐๐ ชิ้น ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งปฏิบัติงานให้บริการแก่ประชาชน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทหาร ตำรวจ รวมทั้งประชาชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งนี้ การจัดสรรหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชนให้พิจารณาดำเนินการในระยะต่อไป ๘. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงสาธารณสุขประสานงานในการระดมนักศึกษาแพทย์และพยาบาล ตลอดจนนักศึกษาด้านสาธารณสุขอื่น ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนการดูแลผู้ป่วย เพื่อแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงเตรียมการรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ๙. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางการนำคนไทยที่อยู่ต่างประเทศเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย โดยให้มีการกักกันตามมาตรการที่กำหนด รวมทั้งประสานประเทศต่าง ๆ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องรับชาวต่างประเทศกลับประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
73 | ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 3 | ทส | 10/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น (๑) ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๓ มีมติแต่งตั้งให้ ดร. ประเสริฐ ตปนียางกูร เป็นผู้แทนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารแผนงานพิเศษระหว่างประเทศต่อเป็นวาระที่ ๒ (๒) สาระสำคัญที่มีความก้าวหน้าในมติข้อตัดสินใจของการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๓ และจะนำไปหารือต่อเนื่องในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๔ ต่อไป เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทและกระบวนการผลิตที่มีการใช้ปรอทหรือสารประกอบปรอท การปลดปล่อยปรอทสู่ดินและน้ำ และการปล่อยปรอทจากการเผาในที่โล่งของของเสีย เป็นต้น และ (๓) การกำหนดการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๔ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม-๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สมัยที่ ๓ ๒. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท และขับเคลื่อนการดำเนินงานภายในประเทศให้เป็นไปตามมติข้อตัดสินใจของการประชุมรัฐภาคีฯ สมัยที่ ๓ ดังนี้ ๒.๑ มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมควบคุมมลพิษ) และกระทรวงพลังงาน (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ) นำแนวทางการจัดการพื้นที่ปนเปื้อนที่ผ่านการรับรองโดยที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๓ มาปรับใช้ในทางปฏิบัติสำหรับประเทศไทยต่อไป ๒.๒ มอบหมายกระทรวงสาธารณสุข (กรมอนามัย) จัดส่งผู้แทนเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้แทนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ ในการพิจารณาทบทวนภาคผนวก เอ และ บี โดยแจ้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ภายในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ ๒.๓ มอบหมายกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) จัดส่งผู้แทนผู้มีความชำนาญในการใช้งานพิกัดศุลกากรสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทตามภาคผนวก เอ โดยแจ้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ภายในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ เพื่อแจ้งสำนักเลขาธิการอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอททราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
74 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2562 | กษ | 07/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งได้พิจารณาเห็นชอบการดำเนินการ ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) การปรับแผนการดำเนินการตามมาตรการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า (๒) การขอขยายระยะเวลาดำเนินการติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำมันปาล์มดิบ (๓) การทบทวนมาตรการบริหารการนำเข้าสินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม และ (๔) แนวทางการกำหนดด่านนำเข้าและนำผ่านสินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธาน กนป. เสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น ดำเนินการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มทั้งระบบอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) เร่งดำเนินการติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่ถังเก็บน้ำมัน (มิเตอร์) ในโรงสกัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถตรวจสอบปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่มีอยู่ในสต็อกได้อย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจุบัน และใช้เป็นข้อมูลประกอบการบริหารจัดการปริมาณปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง รวมทั้งรักษาสมดุลในด้านราคาของปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มภายในประเทศให้มีเสถียรภาพต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
75 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 | พณ | 11/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า ณ วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ วงเงินที่รัฐบาลสามารถรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้ประกาศกำหนดไว้ ตามมาตรา ๒๘ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ยังเหลือเพียงพอต่อการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ ของกระทรวงพาณิชย์ ๒. รับทราบและอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๒.๑ อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๙๒๓,๓๓๒,๓๓๒.๘๐ บาท ๒.๒ อนุมัติมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี ๒๕๖๒/๖๓ วงเงิน ๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒.๓ รับทราบมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๒/๖๓ ประกอบด้วยการบริหารจัดการการนำเข้า การดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การดูแลความสมดุลการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เก็บสต็อกผลผลิต ๒.๔ เห็นชอบเพิ่มผู้แทนกรมศุลกากรเป็นกรรมการในองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น กระทรวงพาณิชย์ควรร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย เพื่อติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ทั้งการตรวจสอบการรับสิทธิ การสำรวจพื้นที่และผลผลิตที่เข้าร่วมโครงการที่จะต้องมีความรัดกุมและตรวจสอบได้ก่อนจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างรายได้ เพื่อให้การดำเนินโครงการมีความน่าเชื่อถือ เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือคุ้มค่างบประมาณ และอยู่ภายใต้กรอบพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้ปริมาณการลักลอบนำเข้าส่งผลกระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
76 | ข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน เรื่อง แนวทางการพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย (Thailand National Digital Trade Platform) | นร12 | 10/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย (Thailand National Digital Trade Platform : NDTP) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ประเทศไทยมีแพลตฟอร์มกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลด้านการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศที่มีมาตรฐานทางดิจิทัลเดียวกันของหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจะพัฒนา NDTP ให้เชื่อมต่อกับระบบ National Single Window (NSW) ด้วย ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง และสำนักงานพัฒนาดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) คณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชน ๓ สถาบัน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทยให้มีความสอดคล้องกับแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กำหนดตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งสอดคล้องกับระบบบริการดิจิทัลอื่น ๆ เช่น ระบบ National Single Window ของกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เป็นต้น เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้อย่างเป็นระบบ และดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) นำความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาร่วมกันให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เช่น ประเด็นเกี่ยวกับการเชื่อมโยงข้อมูลด้านการค้าดิจิทัล (Digital Trade) ระหว่างประเทศกับประเทศสมาชิกอาเซียน ประเด็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ข้อมูลเชิงวิเคราะห์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ประเด็นการดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย ประเด็นการพัฒนาแพลตฟอร์มดังกล่าวให้รองรับการค้าภายในประเทศในระยะต่อไป เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
77 | การทดลองขยายเวลาทำการด่านศุลกากรสะเดา-บูกิตกายูฮิตัม เป็น 24 ชั่วโมง (เพิ่มเติมอีก 9 เดือน) | นร08 | 10/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้มีการพิจารณาการทดลองขยายเวลาด่านศุลกากรสะเดา ๒๔ ชั่วโมง จากระยะทดลองเดิม ๓ เดือน (ระหว่างวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๒-๑๖ กันยายน ๒๕๖๒) เพิ่มเติมอีก ๙ เดือน (ระหว่างวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๒-๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๓) ซึ่งครบกำหนด ๑ ปี โดยให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ ให้จังหวัดสงขลาร่วมกับกรมศุลกากร ขนส่งจังหวัดสงขลา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ เรื่องการเปิดทดลองขยายเวลาด่านฯ เพิ่มเติมอีก ๙ เดือน ให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะผู้ประกอบการภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทราบ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามเรื่องช่องทางเข้า-ออกด่านศุลกากร ทั้งในด้านที่เชื่อมโยงกับมาเลเซียและด้านที่เชื่อมโยงภายในไทยให้มีการพัฒนาให้สอดคล้องกับกำหนดการก่อสร้างด่านสะเดาแห่งใหม่แล้วเสร็จ เพื่อให้มีการเปิดให้บริการได้จริงต่อไป รวมทั้งควรแจ้งถึงช่วงเวลาที่จะทดลองผ่านด่าน ณ จุดเดิม และประมาณการณ์ช่วงเวลาที่จะเปิดทำการผ่านด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
78 | การให้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า สำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back - to - Back Certificate of Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing) | พณ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ไทยดำเนินการให้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back-to-Back Certificate of Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing) ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น (Back-to-Back Certificate to Origin) ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรใช้กลไกการประชุมคณะอนุกรรมการความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนด้านกฎถิ่นกำเนิดสินค้า (SC-AROO) ผลักดันให้ประเทศสมาชิกทุกประเทศดำเนินการติดตามผลการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบอาเซียนกับการค้าในรูปแบบดังกล่าว และควรให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางดำเนินงานในการป้องกันการสวมสิทธิโดยการปลอมแปลงถิ่นกำเนิดสินค้าจากประเทศนอกอาเซียนที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งควรมีกรอบแผนงานติดตามรูปแบบการค้าดังกล่าว (Monitoring Framework) และสนับสนุนกรมศุลกากรในการจัดเก็บสถิติการค้าสินค้าที่มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการส่งสินค้าจากประเทศสมาชิกที่เป็นคนกลางไปยังประเทศสมาชิกอื่น ควบคู่กับการใช้ใบกำกับราคาสินค้าของประเทศที่สาม เพื่อใช้ประโยชน์ในการเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตและสะท้อนผลที่เกิดจากความร่วมมือของอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
79 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 103) พ.ศ. 2537 พ.ศ. .... | พณ | 12/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำเข้าสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๐๓) พ.ศ. ๒๕๓๗ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๐๓) พ.ศ. ๒๕๓๗ ลงวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๗ ที่กำหนดให้ปลาทูน่าชนิดครีบเหลืองและผลิตภัณฑ์จากปลาทูน่าชนิดครีบเหลืองเป็นสินค้าควบคุมที่ต้องมีหนังสือรับรองจากกรมประมงไปแสดงประกอบพิธีการนำเข้าต่อกรมศุลกากร เนื่องจากปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงมีมาตรการควบคุมตรวจสอบการนำเข้าสินค้าดังกล่าวภายใต้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นการเฉพาะแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
80 | รายงานการเฝ้าระวังเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (Counterfeit and Piracy Watch List) ของคณะกรรมาธิการยุโรป | พณ | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการเฝ้าระวังเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (Counterfeit and Piracy Watch List) ของคณะกรรมาธิการยุโรป โดยเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ คณะกรรมาธิการยุโรปได้เผยแพร่รายงานฯ เป็นครั้งแรก มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลด้านการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศนอกสหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับการใช้มาตรการที่จำเป็นและเหมาะสมในการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทุกช่องทาง นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ของผู้บริโภคให้ทราบถึงความเสี่ยงของการบริโภคสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจากแหล่งต่าง ๆ ที่ระบุในรายงานฯ โดยมิได้มีมาตรการลงโทษหรือเกี่ยวข้องกับการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษี ทั้งนี้ รายงานฯ มีการระบุรายชื่อของตลาดขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่รวมถึงตลาดสินค้าและตลาดขายสินค้าออนไลน์ของไทย ซึ่งอาจมีผลต่อภาพลักษณ์ด้านการค้าและการลงทุนของประเทศและกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ๒. ให้หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในสถานที่จำหน่ายและเว็ปไซต์ที่มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งตัดช่องทางการลำเลียงสินค้าละเมิด ตลอดจนประสานองค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นเจ้าของหรือกำกับดูแลพื้นที่และเว็บไซต์ที่ถูกระบุในรายงานฯ เพื่อร่วมดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เช่น ควรใช้โอกาสนี้ในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะในสถานที่จำหน่ายและเว็บไซต์ที่มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดที่ถูกระบุในรายงานฯ อย่างจริงจัง ควรให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังพื้นที่และเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งมีการจำหน่ายสินค้าละเมิดที่ไม่ถูกระบุไว้ในรายงานฯ ควบคู่กับการรณรงค์สร้างความตระหนักในทั้งผู้ซื้อและผู้ขายหลีกเลี่ยงการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาด้วย ควรจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นนายทุนที่อยู่เบื้องต้นเพื่อตัดวงจรการประกอบอาชญากรรม และควรมีการพิจารณามาตรการป้องกันการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาทางเทคนิค (Technical Solutions) สำหรับตลาดสินค้าออนไลน์เพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะเป็นการป้องกันการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาจากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต (Unauthorized use) โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้าช่วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|