ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 961 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 19201 - 19220 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
19201 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชน รวม 4 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ) (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ) | ทส | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ โดยให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างขององค์การ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรปรับแก้ไขข้อความในร่างพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับการบัญชีเพื่อให้มีความชัดเจนในการเลือกใช้มาตรฐานการบัญชี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานดังกล่าว เห็นควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19202 | ขอความเห็นชอบในหลักการในการจัดสรรเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายบุคลากรที่ปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้จัดสรรเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายบุคลากรเพิ่มแก่สถาบันอุดมศึกษาที่เดิมเป็นส่วนราชการ และได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ รวมถึงสถาบันอุดมศึกษาที่จะเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐในอนาคต ในอัตราร้อยละ ๖๐ ของอัตราเงินเดือนในขณะที่เปลี่ยนสถานภาพ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า อัตราที่จัดสรรดังกล่าวควรครอบคลุมสวัสดิการของรัฐทุกประเภท ควรจัดทำแผนการปรับเปลี่ยนสถานภาพของบุคลากรเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยในแต่ละปี โดยกำหนดจำนวนคนที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดภาระงบประมาณจำนวนมากในคราวเดียว นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สภามหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยควรกำกับดูแลการปฏิบัติภารกิจทั้งการผลิตบัณฑิต การวิจัย การบริการวิชาการ และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพ มีมาตรฐาน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและทิศทางการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว ตลอดจนควรรายงานผลงานประจำปีโดยตรงต่อรัฐบาล และนำระบบการติดตามประเมินผลมาใช้อย่างจริงจัง เพื่อให้นักศึกษา ประชาชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้เห็นถึงคุณภาพการศึกษาที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปในทิศทางที่พึงประสงค์และสอดคล้องกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายบุคลากรที่ปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ๔ แห่งใหม่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายบุคลากรเพิ่มเติม ตามจำนวนบุคลากรที่เปลี่ยนสถานภาพแล้ว จำนวน ๔,๒๕๕ คน เป็นเงิน ๑,๑๒๑.๖๔๔๕ ล้านบาท หากไม่เพียงพอให้มหาวิทยาลัยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาดำเนินการก่อน และหากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้จัดทำข้อมูลรายละเอียด จำนวนบุคลากร อัตราเงินเดือนของบุคลากร ซึ่งเปลี่ยนสถานภาพตามความจำเป็นและเหมาะสมเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามขั้นตอนต่อไป สำหรับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐอีก ๓ แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ไม่ได้ตั้งงบประมาณรองรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวไว้ เห็นควรให้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19203 | รายงานผลการเข้าร่วมประชุมสมัชชาองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) สมัยสามัญ ครั้งที่ 39 | คค | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมประชุมสมัชชาองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) สมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๙ ระหว่างวันที่ ๒๕-๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ณ สำนักงานใหญ่ของ ICAO เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางไปเข้าร่วมประชุมฯ และการประชุมกับกลุ่มความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยการบิน รวมทั้งได้นัดพบหารือระดับทวิภาคีกับประเทศที่มีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ผลการเข้าร่วมประชุมสมัชชา ICAO สมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศสมาชิกได้เข้าใจถึงนโยบายและแนวทางการแก้ไขข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยและการคืนสถานะ Category I ของประเทศไทย รวมทั้งได้ประกาศเข้าร่วมมาตรการสิ่งแวดล้อมในการลดผลกระทบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรมการบิน ๒. ผลการประชุมกับกลุ่มความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยการบิน ประเทศไทยและผู้เชี่ยวชาญจาก ICAO ได้ประชุมหารือร่วมกันเกี่ยวกับการเตรียมการเพื่อรองรับการตรวจสอบด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนในปีหน้า ตามโครงการ Universal Security Audit Programme (USAP) ซึ่งมีกำหนดการโดยประมาณในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ๓. ผลการหารือทวิภาคีกับองค์กรกำกับดูแลการบินพลเรือนต่าง ๆ ซึ่งทุกองค์กรรับทราบความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาและพร้อมให้ความร่วมมือและช่วยเหลือประเทศไทย โดยมีผลการหารือที่สำคัญ เช่น การนัดประชุมหารือทางด้านเทคนิคร่วมกับสำนักงานบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกาเพื่อกำหนดแผนงานและระยะเวลาที่จะปรับเลื่อนชั้นจาก Category II เป็น Category I การแจ้งความประสงค์การเจรจาสิทธิการบินใหม่กับเกาหลีเพื่อให้สามารถใช้สิทธิการบินเสรีภาพที่ห้าได้ การขอความร่วมมือจากสำนักงานการบินพลเรือนของออสเตรเลียในการพิจารณาอนุญาตให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สามารถนำเครื่องบินรุ่นใหม่บินเข้าออสเตรเลียได้ การขอความร่วมมือจากญี่ปุ่นในการพิจารณาผ่อนปรนมาตรการเข้มงวดการเพิ่มเที่ยวบินและจุดบินปลายทาง สำหรับกรณีความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างอาเซียน-สหภาพยุโรป กระทรวงคมนาคมจะพิจารณากำหนดท่าทีของประเทศไทยให้ชัดเจนก่อนจะนำไปสู่การกำหนดท่าทีของอาเซียนในการเจรจากับสหภาพยุโรปต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19204 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และทรัพยากรทางเศรษฐกิจ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออก ห้ามนำเข้า และ ห้ามนำผ่านราชอาณาจักร ไปยังรัฐอิสลามแห่งอิรักและเลแวนท์ (ISIL) และกลุ่มอัลกออิดะฮ์ (AL-Qaida) พ.ศ. .... | พณ | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และทรัพยากรทางเศรษฐกิจ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออก ห้ามนำเข้า และห้ามนำผ่านราชอาณาจักร ไปยังรัฐอิสลามแห่งอิรักและเลแวนท์ (ISIL) และกลุ่มอัลกออิดะฮ์ (Al-Qaida) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และทรัพยากรทางเศรษฐกิจ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออก ห้ามนำเข้า และห้ามนำผ่านราชอาณาจักร ไปยังรัฐอิสลามแห่งอิรักและเลแวนท์ (ISIL) และกลุ่มอัลกออิดะฮ์ (Al-Qaida) ตามรายชื่อที่คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกำหนด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการพบความคลาดเคลื่อนของการกำหนดพิกัดศุลกากรในบัญชีท้ายประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ และกระทรวงการคลังได้ดำเนินการแก้ไขพิกัดศุลกากรสำหรับรายการของที่มีความคลาดเคลื่อนดังกล่าวแล้ว รวมทั้งควรเพิ่มเติมบทอาศัยอำนาจโดยอ้างถึงมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้รัฐมนตรีรักษาการมีอำนาจออกประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19205 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาสังกัดกระทรวงกลาโหม และกำหนดเพิ่มบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งประเภทวิทยฐานะ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งข้าราชการทหาร ๕. ประเภทวิทยฐานะ ท้ายพระราชบัญญัติฯ ให้สอดคล้องกับบัญชีอัตราเงินวิทยฐานะสำหรับตำแหน่งครูที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการและประเภทวิทยฐานะเพื่อให้เป็นไปตามร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเพิ่มบทบัญญัติในการกำหนดตำแหน่ง การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง และการให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งทางวิชาการของข้าราชการทหารในสถาบันการศึกษาสังกัดกระทรวงกลาโหมให้มีมาตรฐานที่เทียบเคียงได้ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษากำหนด และควรเพิ่มบทบาทให้ข้าราชการทหารที่ทำหน้าที่สอนในสถาบันการศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา หรือหน่วยงานที่จัดการเรียนการสอนวิชาเฉพาะสาขาหรือวิชาเฉพาะทางตามความต้องการของกองทัพ ผู้ที่จะได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิทยฐานะ ต้องมีใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้การได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิทยฐานะของข้าราชการครูผู้ทำหน้าที่สอนมีมาตรฐานเดียวกัน หรือใกล้เคียงกับทุกกระทรวง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้ร่างพระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับไม่ก่อนวันที่ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ ๓. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การกำหนดระเบียบ หรือหลักเกณฑ์และวิธีการในการเบิกจ่ายเงินวิทยฐานะสำหรับผู้มีสิทธิได้รับเงินวิทยฐานะให้ชัดเจนและสอดคล้องกับกฎหมายการเบิกจ่ายเงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำหรับภาระงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มอัตราเงินประจำตำแหน่งประเภทวิทยฐานะของข้าราชการทหารที่ทำการสอนในสถาบันการศึกษาสังกัดกระทรวงกลาโหมระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา ซึ่งไม่ได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบบุคลากรของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหมที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป นอกจากนี้ ควรพิจารณาวางแผนกำหนดกรอบอัตรากำลังของตำแหน่งดังกล่าวเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในด้านบุคลากรไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น และให้ความสำคัญกับการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการและการกำหนดมาตรฐานวิทยฐานะและหลักเกณฑ์วิธีการในการประเมินวิทยฐานะ ให้เหมาะสม เป็นธรรม มีมาตรฐาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19206 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ คณะต่างๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร12 | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการตรวจราชการ การตรวจสอบภายใน การควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง การปฏิบัติราชการตามคำรับรองปฏิบัติราชการ รายงานการเงิน และการสอบทานกรณีพิเศษ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) คณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ พบว่า แบบรายคณะมีผลการปฏิบัติในภาพรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับดีเยี่ยม และแบบรายบุคคลอยู่ในระดับการดำเนินงานเป็นประจำ ซึ่งมีแผนการดำเนินงานในอนาคต ได้แก่ (๑) ด้านการดำเนินการสอบทานและการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และ (๒) ด้านพัฒนาการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ เห็นชอบกับข้อเสนอแนะตามบันทึกความเห็นของ ค.ต.ป. ซึ่งมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาเร่งด่วน ประกอบด้วย ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบฐานข้อมูล ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และด้านการดำเนินงาน ทั้งนี้ เห็นควรให้หน่วยงานที่พบปัญหาและผู้รับผิดชอบดำเนินการตามข้อเสนอแนะ รายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงยุติธรรมที่เห็นควรเชื่อมโยงรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเข้ากับระบบการติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล รวมทั้งควรจัดให้มีการประเมินแบบ ๓๖๐ องศา ซึ่งเป็นวิธีการประเมินแบบผสมผสานจากหลายแหล่งทั้งจากการประเมินตนเองและการประเมินจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินเชิงคุณภาพและการตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19207 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณงานก่อสร้างอาคารหน่วยกามโรคและโรคเอดส์ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 (ชื่อเดิม : สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3) ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำนวน 1 หลัง | สธ | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินรายการก่อสร้างอาคารหน่วยกามโรคและโรคเอดส์ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๖ ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำนวน ๒,๖๔๑,๕๑๐.๖๗ บาท มาสมทบกับวงเงินค่าก่อสร้างที่สำนักงบประมาณเห็นชอบไว้แล้ว จำนวน ๒๘,๒๗๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๐,๙๑๑,๕๑๐.๖๗ บาท โดยใช้เงินบำรุงของสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๖ จังหวัดชลบุรี สมทบเพิ่มเติมตามสัญญาที่จะแก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรตรวจสอบข้อเท็จจริง ความคลาดเคลื่อนจากการออกแบบ ซึ่งจะต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชาชีพ เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ความคลาดเคลื่อนในลักษณะดังกล่าวก่อให้เกิดความสูญเสียและเสียหายต่อรัฐ และให้เกิดความรอบคอบในการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19208 | แผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2560 - 2564) | นร | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ซึ่งเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprise : SME) ของประเทศ มีเป้าหมายการส่งเสริม คือ มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) ส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายประเด็น (๒) เสริมสร้างขีดความสามารถของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเฉพาะกลุ่ม และ (๓) พัฒนากลไกเพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างเป็นระบบ และให้ใช้แผนดังกล่าวเป็นแนวทางในการจัดทำแผนปฏิบัติการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ ๒. ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย อาทิ การมีแผนปฏิบัติการส่งเสริม SME ที่เป็นรูปธรรม การส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการบูรณาการและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด การเชื่อมโยงรูปแบบการทำงานของหน่วยงานสนับสนุน SME ของภาครัฐ การพิจารณาให้ความสำคัญในการพัฒนาสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับศักยภาพและขีดความสามารถในการรองรับของชุมชน การเพิ่มมูลค่าและเชื่อมโยงสินค้าทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์ชุมชน และการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการอย่างเหมาะสม การให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและศูนย์ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME กำหนดเป้าหมายและแผนปฏิบัติการรายปีที่มีความชัดเจนครอบคลุมการส่งเสริมและพัฒนา SME รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและรายงานคณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ การให้ความสำคัญกับการสรรหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มีความรู้และประสบการณ์เชิงลึกและมีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการเพื่อทำหน้าที่ในการบ่มเพาะและบริการให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและบริหารจัดการธุรกิจให้ SME เติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนการส่งเสริมแหล่งเงินทุนทางเลือกตามแผนยุทธศาสตร์ที่ ๑ อาจเพิ่มเติมรายละเอียดทางเลือกมากขึ้น เช่น การระดมทุนในรูปแบบ Peer to Peer Lending ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดเป้าหมายและแผนงานที่ชัดเจนในการสนับสนุนและส่งเสริม SMEs ที่จะดำเนินการระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ก่อน ส่วนที่เหลือให้พิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ต่อไป ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ (ด้านเศรษฐกิจ) |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19209 | แผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ | อก | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ โดยกำหนดแผนงาน เป้าหมาย กิจกรรมการดำเนินการ และระยะเวลาดำเนินการตามแผนฯ ประกอบด้วย ๕ แผนงาน ได้แก่ (๑) การปรับปรุงพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย รวมทั้งกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมการนำอ้อยไปผลิตเป็นเอทานอลและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องอื่น ๆ ได้ (๒) การเพิ่มผลิตภาพอ้อยและน้ำตาลทราย (๓) การกำหนดมาตรฐานน้ำตาลทรายต้นทุนมาตรฐานการผลิตอ้อยและน้ำตาลทราย (๔) การรักษาเสถียรภาพกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (๕) การจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาอ้อยและน้ำตาลทรายและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย โดยหากเรื่องใดมีความจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การกำหนดต้นทุนมาตรฐานเอทานอลและผลิตภัณฑ์จากอ้อยอื่น ๆ เพื่อรองรับการแบ่งปันผลประโยชน์ และการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาอ้อยและน้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทำแนวทาง/แผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมฯ รวมทั้งเร่งหาข้อสรุปและความเป็นไปได้ในการปรับปรุงพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ และให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายเร่งศึกษาและหาข้อยุติในการกำหนดต้นทุนการผลิตมาตรฐานของอ้อย น้ำตาลทรายและอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น อีกทั้งให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายให้ความสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของราคาอ้อยและน้ำตาลทราย โดยพิจารณาแนวทางการจัดเก็บรายได้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายให้เพียงพอกับการชำระหนี้ของกองทุนฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งให้มีการประสานและทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่ให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัยของประเทศในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งระบบ นอกจากนี้ ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองและกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งหาข้อยุติเกี่ยวกับที่ตั้งโรงงานน้ำตาลโดยเร็ว โดยคำนึงถึงความถูกต้อง เหมาะสม และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. การปรับปรุงพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงทางการค้าภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) นั้น ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นแก่ชาวไร่อ้อย โรงงานน้ำตาล ผู้บริโภค รวมทั้งกิจการอื่นที่อาจได้รับผลกระทบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19210 | ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) | ปช | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) มีสาระสำคัญเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ ๒ มีเป้าหมายหลักที่จะยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตให้สูงกว่าร้อยละ ๕๐ ประกอบด้วย (๑) สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต (๒) ยกระดับเจตจำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต (๓) สกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบาย (๔) พัฒนาระบบป้องกันการทุจริตเชิงรุก (๕) ปฏิรูปกลไกและกระบวนการการปราบปรามการทุจริต และ (๖) ยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย และให้หน่วยงานภาครัฐแปลงแนวทางและมาตรการตามยุทธศาสตร์ชาติฯ ไปสู่การปฏิบัติ โดยกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการ ๔ ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปี ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ โดยให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการโดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ด้วย สำหรับงบประมาณในการดำเนินการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติฯ และจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ชาติฯ โดยการใช้กลไกการดำเนินการตามร่างยุทธศาสตร์ชาติฯ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ ทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและเครือข่ายระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เพื่อให้การดำเนินงานตามร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีความสอดคล้องกับนโยบายและแนวทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของรัฐบาล ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับกลไกการดำเนินการให้สอดคล้องกับกลไกการดำเนินงานของรัฐบาลที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งระดับชาติและระดับปฏิบัติการตามข้อเสนอของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้วย เช่น ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เป็นต้น และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19211 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมยาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมยาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. ๒๕๔๒ ในส่วนขององค์ประกอบคณะกรรมการ หลักเกณฑ์การปฏิบัติหน้าที่ และการพ้นตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงข้อมูลและร่วมดำเนินมาตรการในการติดตาม ตรวจสอบ และยกระดับคุณภาพผลผลิตยางธรรมชาติของเกษตรกรให้เป็นวัตถุดิบที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งการติดตามสถานการณ์การผลิตและส่งออกยางของไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมกำหนดมาตรการด้านการผลิตและส่งออกอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ความต้องการยางธรรมชาติของตลาดโลกและของไทย ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนการรักษาเสถียรภาพด้านราคายางที่เป็นปัญหาสำคัญของเกษตรกรผู้ปลูกยางในขณะนี้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19212 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน - สหภาพยุโรป ครั้งที่ 21 | กต | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ จำนวน ๒ ฉบับ ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน-สหภาพยุโรป (ASEAN-EU Ministerial Meeting : AEMM) ครั้งที่ ๒๑ ในวันที่ ๑๓-๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และหลังจากนั้นให้รายงานผลเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนระหว่างอาเซียน-สหภาพยุโรป โดยยึดประชาชนเป็นพื้นฐานและมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อเป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ร่วมกัน (Bangkok Declaration on Promoting a People-Oriented, People-Centred ASEAN-EU Partnership for Shared Strategic Goals) เป็นแถลงการณ์ทางการเมืองเพื่อเน้นย้ำเจตนารมณ์ร่วมกันในการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนสู่ระดับยุทธศาสตร์ในปี ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นปีเฉลิมฉลองครบรอบ ๔๐ ปีความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป และครบรอบ ๕๐ ปีการก่อตั้งอาเซียน การพัฒนาแผนงานเพื่อบรรลุเป้าหมายข้างต้นร่วมกัน การสร้างปฏิสัมพันธ์ และการเจรจาที่แน่นแฟ้นระหว่างกัน รวมถึงการเสริมสร้างและขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การรับมือกับปัญหาภัยคุกคาม การเพิ่มการค้าการลงทุนระหว่างกัน การศึกษา วัฒนธรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน ๑.๑.๒ ร่างแผนงานกรุงเทพฯ เพื่อยกระดับความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป จากหุ้นส่วนที่เพิ่มพูนไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (๒๕๕๙-๒๕๖๐) [Bangkok Roadmap for Elevating the ASEAN-EU Enhanced Partnership to a Strategic Level (2016-2017)] เป็นการวางแนวทางการดำเนินงานและกำหนดทิศทางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในอนาคต โดยแบ่งเป็นหัวข้อสำคัญ ได้แก่ ภาพรวมด้านการเมืองความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม วัฒนธรรม และอื่น ๆ โดยจัดลำดับภารกิจที่สำคัญและให้การสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม กำหนดโครงการหรือการดำเนินงานที่ทั้งสองฝ่ายประสงค์จะดำเนินการภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ในการยกระดับทางยุทธศาสตร์ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักข่าวกรองแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ขอเพิ่มเติมและปรับแก้ถ้อยคำบางประการในร่างปฏิญญากรุงเทพฯ และร่างแผนงานกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ประเทศไทยและอาเซียนควรแสวงประโยชน์จากองค์ความรู้และความชำนาญของสหภาพยุโรปด้านการบริหารจัดการชายแดนเพื่อเสริมสร้างระบบการบริหารจัดการชายแดนระหว่างประเทศอาเซียนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19213 | ร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG SPA) ระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับบริษัท SHELL EASTERN TRADING (PTE) LTD และบริษัท BP SINGAPORE PTE. LIMITED | พน | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG SPA) ระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับบริษัท SHELL EASTERN TRADING (PTE) LTD และบริษัท BP SINGAPORE PTE. LIMITED ซึ่งระบุราคาที่ตกลงใหม่ในร่างสัญญา LNG SPA ลดลงจากราคาเดิมในร่างสัญญา LNG SPA ร้อยละ ๑๘ ในปริมาณรายละ ๑ ล้านตันต่อปี (รวมสองสัญญา ๒ ล้านตันต่อปี) และปรับกำหนดการส่งมอบในแต่ละสัญญา ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขสัญญาฯ ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เสนอสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีแนวทางบริหารความเสี่ยงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่ชัดเจน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการที่สัมปทานก๊าซธรรมชาติในแหล่งอ่าวไทยกำลังจะหมดอายุ หรือกรณีที่ไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากแหล่งเชื้อเพลิงอื่นตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ LNG มากขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19214 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2559 | กษ | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๙ ซึ่งมีมติเกี่ยวกับ (๑) การขยายระยะเวลาโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง (๒) การทบทวนเงื่อนไขการกำหนดราคาขายยางโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และ (๓) การปรับปรุงองค์ประกอบ กนย. ตามที่ กนย. เสนอ ๒. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ออกไปตามระยะเวลาการขยายชำระเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ย FDR+1 ตามที่ กนย. เสนอ ๓. รับทราบการทบทวนเงื่อนไขการกำหนดราคาขายยางโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการกำหนดราคาขายยาง จากเดิมกำหนดให้ขายในราคาไม่ต่ำกว่า ๖๐ บาท/กิโลกรัม (ยางแผ่นรมควันชั้น ๓) เป็นขายในราคาตลาด การระบายยางในช่วงเวลาที่เหมาะสม ๔. เห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบ กนย. จาก “กรรมการและผู้จัดการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย” เป็น “กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” ตามที่ กนย. เสนอ ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางนั้น การยางแห่งประเทศไทยควรมีการบริหารจัดการสต็อกยางให้บรรลุผลตามที่ กนย. ได้วางไว้ และชำระคืนเงินกู้ให้ทันตามเวลาที่กำหนดไว้คือ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ โดยไม่ควรขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้อีก และให้การยางแห่งประเทศไทยเร่งคัดแยกคุณภาพของยางพาราที่จัดเก็บไว้ และนำออกจำหน่ายให้ได้ราคาดีที่สุดสำหรับยางพาราในระดับคุณภาพนั้น ๆ โดยเร็ว เพื่อป้องกันความเสียหายและเสื่อมสภาพที่อาจเกิดกับยางที่จัดเก็บในโกดังทั่วประเทศมากขึ้นตามระยะเวลาที่ล่วงเลยไป และจำหน่ายยางในสต็อกออกให้หมดภายในกำหนดระยะเวลาโครงการที่ขออนุมัติขยายในครั้งนี้ รวมถึงมีการตรวจสอบตัวเลขสต็อกยางอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมข้อมูลเพื่อดำเนินการปิดบัญชีทั้ง ๒ โครงการ ตามระยะเวลาที่กำหนด และรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นระยะ ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19215 | การทบทวนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2559/60 ด้านการตลาด | พณ | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ โดยให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นควรคงหลักเกณฑ์การจ่ายค่าเก็บรักษาข้าวเปลือก โดยจ่ายค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกเมื่อมีการไถ่ถอนหลังจากเข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ ๑.๒ การขอทบทวนการระบายข้าวเปลือก ในกรณีที่เกิดภาระส่วนต่างระหว่างราคาที่โครงการกำหนดในการให้สินเชื่อกับราคาที่ขายได้จากการระบาย ทำให้มีภาระขาดทุนจากการดำเนินโครงการ โดยขอให้รัฐบาลชดเชยภาระขาดทุนที่เกิดขึ้นแทนผู้เข้าร่วมโครงการนั้น ข้อกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือกเดิมที่กำหนดไว้ร้อยละ ๙๐ ของราคาตลาด จะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรชำระคืนสินเชื่อผ่านการไถ่ถอนข้าวเปลือกหลังจากเข้าร่วมโครงการ ทำให้ภาระขาดทุนของโครงการลดลง อย่างไรก็ดี กรณีที่ราคาตลาดปรับตัวลดลง อาจทำให้ภาระขาดทุนของโครงการสูงขึ้น เห็นควรให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) บริหารวงเงินสินเชื่อที่ปล่อยกู้ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละรายให้สอดคล้องกับร้อยละ ๙๐ ของราคาตลาด ณ ช่วงเวลานั้น ๆ หรือบริหารจัดการให้วงเงินสินเชื่อที่ปล่อยกู้ต่ำกว่ามูลค่าของข้าวเปลือกที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงินจาก ธ.ก.ส. ณ เวลานั้น ๆ อันจะเป็นการป้องกันการเกิดผลขาดทุนของโครงการและลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในการชดเชยภาระขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ๒. เห็นชอบการทบทวนโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ในส่วนของอัตราการชดเชยดอกเบี้ย โดยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวเฉพาะที่เป็นสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน โดยไม่รวมโรงสี ได้รับชดเชยดอกเบี้ยในอัตราที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๓ เป็นร้อยละ ๔ เพื่อเก็บสต็อกข้าวตั้งแต่วันที่ ๙๑-๑๘๐ วัน นับแต่วันที่เบิกจ่ายหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เพื่อเป็นการสร้างมาตรการจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวซึ่งเป็นสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ในการเก็บสต็อกข้าวเป็นเวลานานขึ้น อันจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรโดยตรง ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการเกินกรอบเป้าหมายและวงเงินที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีกระบวนการติดตามการดำเนินโครงการและระบบป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดภาระทางคลังน้อยที่สุด และควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่กลุ่มเป้าหมายที่เพิ่มเติมอย่างทั่วถึง รวมทั้งควรคัดเลือกกลุ่มที่มีความพร้อมในการเข้าร่วมโครงการ เช่น มีสถานที่เก็บรักษาข้าวเปลือกที่มีมาตรฐาน ไม่เกิดการรั่วไหลหรือข้าวเปลือกเสื่อมคุณภาพก่อนเวลาอันควร เป็นต้น ตลอดจนพิจารณาผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผนและเตรียมความพร้อม หากเกิดกรณีภาระขาดทุนจากการดำเนินโครงการ นอกจากนี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบควรให้ความสำคัญกับการติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าได้มีการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรอย่างแท้จริง นอกเหนือจากการตรวจสอบสต็อกข้าวทุกเดือน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19216 | แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2560 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ๑.๒ เห็นชอบแผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ วงเงินงบประมาณรายจ่าย ๘๕๖.๙๙ ล้านบาท และประมาณการรายได้ ๘๕๗.๐๗ ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ๑.๓ รับทราบกรอบการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการส่งเสริมกิจการพลังงานให้มีประสิทธิภาพและเสริมสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม ควรมีการระบุถึงการกำหนดมาตรฐานและคำนึงถึงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า ในเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าหรือการออกใบอนุญาต และควรพิจารณาเพิ่มการศึกษาวิจัยเชิงนโยบาย การดำเนินงานด้านการส่งเสริมการศึกษา วิจัย พัฒนา การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน การประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์พลังงาน การส่งเสริมการศึกษา วิจัยและพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า และควรพิจารณาใช้มาตรการกำหนดให้ผู้ผลิตและผู้ขายไฟฟ้ารายใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องมีมาตรการส่งเสริมให้ลูกค้าผู้ใช้ไฟฟ้า เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้า (Energy Effciency Resource Standards, EERS) โดยกำหนดเป็นสัดส่วนกับปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตและหรือขายให้กับลูกค้าในช่วงเวลาที่กำหนด ในส่วนของงบลงทุนควรจะมีการเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนโดยคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และแล้วเสร็จทันตามแผนที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ ควรกำกับดูแลการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นการถาวรอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ และไม่ส่งผลกระทบต่อกรอบวงเงินงบประมาณโครงการฯ ในกรณีที่ดำเนินงานล่าช้า รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดสำคัญ ๆ รายยุทธศาสตร์ที่จำเป็นต้องขับเคลื่อนในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อใช้ตัวชี้วัดดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงานหารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานในการกำกับดูแลการบริหารงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานให้เกิดความคุ้มค่าและเหมาะสมทั้งในส่วนของการหารายได้และการใช้จ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและการจัดการและบริหารสำนักงาน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19217 | โครงการทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ระยะที่ 1 | พน | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ระยะที่ ๑ ในวงเงินลงทุนรวม ๓๓,๕๙๐ ล้านบาท ทั้งนี้ กฟผ. จะดำเนินโครงการฯ ได้ เมื่อรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๑.๒ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ สำหรับโครงการฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๑๖.๘๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นควรบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยน โดยอาจพิจารณากำหนดแผนการบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ผลการดำเนินงานทางด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ และให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว เพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาจพิจารณาผสมผสานรูปแบบ วิธีการ และเครื่องมือทางการเงินสำหรับการระดมทุนเพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม รวมทั้งควรพิจารณาเรื่องคุณภาพและมาตรฐานอุปกรณ์จากต่างประเทศที่จะจัดซื้อตามมาตรฐานสากล รวมถึงผู้เสนอราคา อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินบาทกับเงินสกุลต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ประกอบการจัดซื้อ อีกทั้งควรมีการกำกับดูแลโครงการฯ ให้แผนดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายลงทุนเป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติไว้อย่างเคร่งครัด และเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายงบลงทุนในทิศทางที่สอดคล้องกับมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายและการลงทุนของรัฐบาล การจัดส่งแผนการดำเนินงานโครงการฯ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานทราบ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการรักษาประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานได้ตลอดอายุการใช้งาน และบริหารจัดการต้นทุนทั้งในช่วงก่อสร้างและดำเนินโครงการฯ อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ควรพิจารณาแหล่งเงินทุนโครงการฯ อย่างรอบคอบ โดยอาจพิจารณาให้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายเพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม การวางแผนในเรื่องการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรัดกุม และระยะเวลาในการจัดหาเงินให้สอดคล้องกับแผนการเบิกจ่ายเงิน เพื่อให้วงเงินของโครงการฯ อยู่ภายใต้กรอบที่ได้รับอนุมัติไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19218 | การปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ | มท | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ ในอัตราขั้นละ ๒๐๐ บาทต่อปี รวม ๒๕ ขั้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กรมการปกครองจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐและสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำหลักเกณฑ์กรณีผู้ดำรงตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ ในปัจจุบันลาออกไป แล้วต่อมาได้กลับมาดำรงตำแหน่งใหม่ จะให้ได้รับเงินตอบแทนตำแหน่งในอัตราใด รวมทั้งศึกษาข้อดีข้อเสียของการปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทนดังกล่าว หรือกำหนดทางเลือกเป็นการปรับเพิ่มในลักษณะร้อยละของอัตราเงินตอบแทนตำแหน่งดังกล่าวให้เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19219 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจ่ายเป็นค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่เดือดร้อนและเสียโอกาสจากการก่อสร้างฝายห้วยละห้า | มท | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๗,๖๘๘,๒๖๘ บาท เพื่อจ่ายเป็นค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่เดือดร้อนและเสียโอกาสจากการก่อสร้างฝายห้วยละห้า จำนวน ๑๕ ราย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19220 | ขอความเห็นชอบในหลักการเพื่อประกาศเป็นนโยบาย "ปี 2559 ปีแห่งความร่วมมือด้านการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ" | ศธ | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบหลักการของนโยบาย “ปี ๒๕๕๙ ปีแห่งความร่วมมือด้านการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ” และผลการดำเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ให้ปี ๒๕๕๙ เป็นปีแห่งความร่วมมือด้านการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษมาตั้งแต่วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๙ และได้ดำเนินการตามแนวนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลสัมฤทธิ์การบริการความช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) สำหรับบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
|
.....