ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 965 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 19281 - 19300 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
19281 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการจัดตั้งศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Thailand Industrial Design Center : Thai-idc) | อก | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการจัดตั้งศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Thailand Industrial Design Center : Thai-idc) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบให้ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ออกแบบฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการดำเนินงานในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวกับการออกแบบ และเป็นหน่วยงานกลางที่จะเชื่อมโยงบริการด้านการออกแบบ ตลอดจนห่วงโซ่อุปทาน สร้างรายได้ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเพื่อการพัฒนาออกแบบที่จะนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางการออกแบบระดับอาเซียนต่อไปในอนาคต ๒. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้เป็นประธานเปิดศูนย์ออกแบบฯ ภายใต้แนวคิดรวมพลคนออกแบบ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งภายในงานมีกิจกรรม เช่น นำเสนอกรอบทิศทางและบทบาทของศูนย์ออกแบบฯ ลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานเครือข่าย ๔๖ หน่วยงาน โดยเบื้องต้นศูนย์ออกแบบฯ ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของตึกสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ แบ่งพื้นที่เป็น ๒ ส่วน ได้แก่ (๑) พื้นที่สำหรับการให้คำปรึกษาแนะนำในเรื่องของการออกแบบ การจัดนิทรรศการ และ (๒) พื้นที่สำหรับการคิดค้นงาน แหล่งสืบค้นข้อมูล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19282 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม 2559 | นร11 | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านการใช้จ่าย ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ขยายตัวร้อยละ ๒.๔ ร้อยละ ๐.๘ และร้อยละ ๒๔.๘ ตามลำดับ ในขณะที่การเบิกจ่ายรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนของภาครัฐลดลงร้อยละ ๑๗.๓ และร้อยละ ๑.๖ ตามลำดับ เนื่องจากมีการเร่งรัดเบิกจ่ายไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้า ส่วนมูลค่าการส่งออกยังคงลดลงต่อเนื่องร้อยละ ๔.๕ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะจีน อาเซียน และสหภาพยุโรป ด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ ๗ เดือน ร้อยละ ๒.๓ ในขณะที่ดัชนีราคาสินค้าเกษตรขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ ๑๖.๒ ส่งผลให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๘.๙ ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวเร่งขึ้นเป็นร้อยละ ๑๐.๘ แต่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ ๕.๑ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ โดยรวมยังคงอยู่ในช่วงของการชะลอตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา จีน และประเทศสำคัญอื่น ๆ รวมทั้งการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจยูโรโซน และญี่ปุ่น ซึ่งยังคงเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืด โดยประเทศต่าง ๆ ยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19283 | รายงานผลการจัดงาน "ตลาดคลองผดุง : รวมใจภักดิ์ รักแม่เที่ยงแท้ยุติธรรม" | ยธ | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการจัดงาน “ตลาดคลองผดุง : รวมใจภักดิ์ รักแม่เที่ยงแท้ยุติธรรม” ระหว่างวันที่ ๑-๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. รูปแบบการจัดงาน ได้แก่ (๑) จัดซุ้มเฉลิมพระเกียรติและการลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๗ รอบ ๘๔ พรรษา ๑๒ สิงหาคม (๒) บูรณาการจัดงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจัดการแสดงและจำหน่ายสินค้า และ (๓) นำสินค้าและบริการจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมมาจำหน่าย ๒. กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย (๑) การขายทอดตลาดทรัพย์ (๒) การให้บริการประชาชน เช่น การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชั้นบังคับคดี (๓) การจำหน่ายสินค้าราคาพิเศษ และ (๔) กิจกรรมพิเศษต่าง ๆ เช่น กิจกรรมตอบแทนผู้ซื้อสินค้า โดยซื้อครบทุก ๓๐๐ บาท ได้คูปองลุ้นรับรางวัลทุกสัปดาห์ ๓. ผลการดำเนินงาน (๑) ยอดขายทอดตลาดตามภารกิจกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๑๒๓,๘๒๘,๙๒๐ บาท (๒) ยอดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี ผู้เข้าขอไกล่เกลี่ยสำเร็จ จำนวน ๕๒๓ ราย ยอดเงินที่ไกล่เกลี่ยสะสมสำเร็จ จำนวน ๑๔๘,๕๕๔,๕๗๔.๙๔ บาท (๓) การให้บริการและให้คำปรึกษา ผู้เข้ารับบริการ จำนวน ๒,๖๒๕ ราย (๔) ยอดจำหน่ายสินค้าและบริการ จำนวน ๑๕,๑๘๔,๓๔๗.๕๐ บาท และ (๕) ยอดผู้เข้าชมงาน ๖๐,๑๑๕ คน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19284 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านคมนาคม ระหว่างไทย - ญี่ปุ่น | คค | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านคมนาคม ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ กระทรวงคมนาคม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ความร่วมมือด้านระบบราง มีการตกลงร่วมกัน (๑) ฝ่ายญี่ปุ่นยินดีให้ความช่วยเหลือฝ่ายไทยในการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจตามแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ (๒) ฝ่ายญี่ปุ่นยินดีให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาเส้นทางรถไฟตามแนวเศรษฐกิจด้านใต้ (๓) ทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยในการเร่งรัดการศึกษาการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (๔) การขนส่งสินค้าทางรถไฟอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ และ (๕) ฝ่ายญี่ปุ่นยินดีให้ความช่วยเหลือฝ่ายไทยในการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ ๒. ความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากร ฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นพิจารณาจัดโครงการฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่โรงงานมักกะสันของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นจะรับไปพิจารณา ๓. ความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนน ฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นพิจารณาให้ความช่วยเหลือในการส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนนเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นยินดีให้ความช่วยเหลือ ๔. ความร่วมมือด้านการบิน ฝ่ายไทยขอบคุณสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศญี่ปุ่นที่ส่งผู้เชี่ยวชาญมาประจำที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ๕. ความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมและบริษัทญี่ปุ่นในด้านอื่น ๆ เช่น บริษัท โตโยต้า มีความร่วมมือกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานภาครัฐของไทยในโครงการ “สาทร โมเดล” เพื่อการแก้ปัญหาจราจรอย่างยั่งยืนบนถนนสาทร ๖. การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ฝ่ายไทยขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นพิจารณาสนับสนุนเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนสำหรับโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างชายแดนไทยกับทวาย และขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นเร่งรัดสัญญาร่วมทุนนิติบุคคลเฉพาะกิจ โดยฝ่ายไทยจะพยายามเร่งรัดให้มีการหารือ ๓ ฝ่ายโดยเร็ว ๗. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านระบบราง และบันทึกความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนน ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19285 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ | กห | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๒๙ กันยายน-๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาได้กล่าวชื่นชมอาเซียนที่ให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบระหว่างประเทศ และเห็นด้วยกับความเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในการดำเนินงานด้านความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งสหรัฐฯ ยังคงยืนยันนโยบายปรับสมดุลและพร้อมสนับสนุนอาเซียนอย่างใกล้ชิด ๒. รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้แสดงความคิดเห็น เช่น (๑) การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา โดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลางเป็นสิ่งสำคัญในการเผชิญความท้าทายในอนาคต (๒) ความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting-Plus : ADMM-Plus) เป็นกลไกหลักที่สำคัญในประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (๓) ภัยพิบัติเป็นความท้าทายที่กองทัพของทุกประเทศควรมีการเตรียมความพร้อมร่วมกัน รวมทั้งความสำเร็จของศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน และการฝึกร่วมด้านการแพทย์ทหารกับด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (ADMM-Plus Military Medicine-Humanitarian Assistance and Disaster Relief Joint Exercise 2016 : AM-HEx 2016) ณ ประเทศไทย เป็นแบบอย่างของความร่วมมือเพื่อตอบสนองต่อภัยพิบัติของอาเซียน ๓. กรณีทะเลจีนใต้ สหรัฐฯ มีความเห็นว่า ควรแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี โดยได้พยายามสนับสนุนให้จีนมีส่วนร่วมมากขึ้น ส่วนอาเซียนมีความเห็นว่าควรดำเนินการบนพื้นฐานของความร่วมมือเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกันในภูมิภาค ๔. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาแนวทางในการสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งได้กล่าวถึงบทบาทของประเทศไทยในการสนับสนุนแนวทางดังกล่าวผ่านการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน และการฝึกร่วม AM-HEx 2016 ที่ผ่านมา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19286 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 และขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ สำหรับโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 105 หรือ ทางหลวงหมายเลข 12 (ปรับใหม่) ตอน ตาก - อ. แม่สอด | คค | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ได้รับการผ่อนผันและยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการขอใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สำหรับโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ หรือทางหลวงหมายเลข ๑๒ (ปรับใหม่) ตอน ตาก-อ.แม่สอด เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินงานอยู่ในเขตทางเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น และจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ส่วนการขอเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้และเขตอุทยานแห่งชาติ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย แนวทางปฏิบัติ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยกระทรวงคมนาคมจะต้องดำเนินการปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าไม้ที่สูญเสียไปไม่น้อยกว่า ๓ เท่าของพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกใช้ประโยชน์ (หรือไม่น้อยกว่า ๑,๒๐๐ ไร่) รวมทั้งต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมชี้แจงให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นและประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่และประเทศจะได้รับในการดำเนินโครงการขยายถนนสายดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19287 | (ร่าง) แผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560 - 2564 | สธ | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติ (ร่าง) แผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนำของอาเซียนภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ และมูลค่าของวัตถุดิบสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างน้อย ๑ เท่าตัวภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) ส่งเสริมผลิตผลของสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพตามความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ (๒) พัฒนาอุตสาหกรรมและการตลาดสมุนไพรให้มีคุณภาพระดับสากล (๓) ส่งเสริมการใช้สมุนไพรเพื่อการรักษาโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ และ (๔) สร้างความเข้มแข็งของการบริหารและนโยบายภาครัฐเพื่อการขับเคลื่อนสมุนไพรไทยอย่างยั่งยืน กรอบวงเงินงบดำเนินการและงบลงทุนรวมประมาณ ๑๘,๕๐๐ ล้านบาท ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงหลักทั้ง ๙ กระทรวง กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ เห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนด นโยบายขับเคลื่อน และติดตามผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ รวมถึงให้ข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านสมุนไพรของประเทศ โดยมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ๒. ส่วนเรื่องงบประมาณค่าใช้จ่ายให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดแผนการปฏิบัติงานภายใต้กรอบทิศทางตามแผนแม่บทฯ ให้มีความชัดเจน และปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปีแรก โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน ตลอดจนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประเมินผลเป็นรายปี และควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับนโยบายด้านสาธารณสุขในภาพรวม นโยบายส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ (Medical and Wellness) ความคุ้มค่าด้านงบประมาณ สามารถเข้าถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ส่งเสริมการใช้สมุนไพรเพื่อการรักษาโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ ควรครอบคลุมการพัฒนาระบบการจัดการความเสี่ยงจากผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่อันตรายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค เช่น การสร้างระบบการเฝ้าระวังและเครือข่ายในการจัดการปัญหา และระบบติดตามการตลาดหลังการขายที่เข้มงวดและมีบทลงโทษที่เหมาะสม รวมทั้งควรเพิ่มเติมกิจกรรมที่จะทำให้การขับเคลื่อนแผนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ ๓.๑ เร่งรัดการสรรหาบุคคลผู้ซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ แล้วนำเสนอประธานกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ๓.๒ บูรณาการการทำงานตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทยตามที่เสนอในครั้งนี้กับยุทธศาสตร์ Medical Hub ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ [เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) ระยะ ๑๐ ปี] เพื่อให้การดำเนินการมีความเหมาะสม เป็นปัจจุบัน ไม่ซ้ำซ้อน และสอดคล้องกันต่อไป รวมทั้งกำหนดเป้าหมายการดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมในปี ๒๕๖๐ ด้วย ๓.๓ พิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพร เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมทั้งร่างพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... ให้มีความเหมาะสม เป็นปัจจุบัน ไม่ซ้ำซ้อน และสอดคล้องกันต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19288 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างไทยกับสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ครั้งที่ 2 | พณ | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อท่าทีไทยสำหรับการหารือกับสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ในการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือด้านสาขาการประมง ความร่วมมือด้านสาขาสุขภาพและบริการที่เกี่ยวข้อง ความร่วมมือด้านสาขาการท่องเที่ยว การจัดทำอนุสัญญาภาษีซ้อนและความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน ความร่วมมือด้านแรงงาน การยกเว้นการตรวจลงตราให้มัลดีฟส์ และการจัดตั้งสำนักงานการค้าสาธารณรัฐมัลดีฟส์ในไทย และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) ใช้เป็นกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ ๒ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ ๒ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๒. หากในการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ ๒ มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบอันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับสาธารณรัฐมัลดีฟส์โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ ควรพิจารณาจัดลำดับการเจรจาจัดทำอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ตามความเหมาะสม ควรหาแนวทางในการเชื่อมโยงบริการทางการแพทย์กับบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ได้มาตรฐานของไทย และประชาสัมพันธ์บริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย รวมทั้งควรดำเนินการติดตามและประเมินผลความร่วมมือดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่การพิจารณาขยายผลความร่วมมือในมิติอื่น ๆ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีการรับรองผลการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ ๒ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19289 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 2 ปี 2559 และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกรกฎาคม 2559 | อก | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๙ และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๙ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ ๑๐๖.๕ ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ ๕.๑ แต่ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๘ ร้อยละ ๑.๕ อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๘ ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบสำหรับยานยนต์ แป้งมัน กลูโคส เครื่องสำอางและเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาด ๒. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ ๕.๑ โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ เครื่องยนต์ เครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ ที่มิใช่ยางรถยนต์ การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบขยายตัวร้อยละ ๐.๙ ด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) หดตัวร้อยละ ๕.๔ โรงงานที่เริ่มประกอบกิจการลดลงร้อยละ ๑๑.๑ การจ้างงานลดลงร้อยละ ๒๙.๒ ยอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๐ และมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการลดลงร้อยละ ๓๕ และการใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ลดลงร้อยละ ๑.๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19290 | ร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานให้มีบทบัญญัติที่เหมาะสมกับกาลสมัย ตลอดจนแก้ไขบทกำหนดโทษและปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องในการควบคุมอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ซึ่งกำหนดไว้ในประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อให้กฎหมายในเรื่องนี้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19291 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้กระบวนการช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนครอบคลุมถึงวิสาหกิจภาคการเกษตร กำหนดลักษณะของ SMEs โดยเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การพิจารณาเรื่องรายได้ และแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับการโอนย้ายสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของประธานกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้ครบถ้วนชัดเจน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดลักษณะอื่นของ SMEs และองค์ประกอบคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนรายได้เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา SMEs ควรมีการกำหนดจำนวนรายได้ให้สอดคล้องกับนิยามของ SMEs ที่กรมสรรพากรกำหนดไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19292 | ร่างพระราชบัญญัติการค้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. .... | พณ | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการค้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการการค้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง เพื่อทำหน้าที่กำหนดหรือแก้ไขนโยบายมาตรการและแนวทางเกี่ยวกับการบริหารการค้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง กำหนดมาตรการภายในประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง สินค้าที่ใช้ได้สองทาง และสินค้าทั่วไปที่สามารถนำไปประกอบ พัฒนา เสริมสร้าง และดำเนินการประการอื่นที่เกี่ยวข้องกับอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง โดยให้มีระบบบริหารการส่งออก การผ่านแดน การถ่ายลำ การเป็นคนกลาง และการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานศาลยุติธรรม อาทิ การกำหนดให้ชัดเจนในร่างพระราชบัญญัติฯ เรื่องบทยกเว้นการขออนุญาต กรณีสินค้ามีการกำกับดูแลโดยหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อมิให้มีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวและพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งอาวุธยุทธภัณฑ์และสิ่งที่ใช้ในการสงคราม พ.ศ. ๒๔๙๕ รวมทั้งควรกำหนดบทนิยามของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจนรัดกุมยิ่งขึ้น โดยมีตำแหน่งเทียบเคียงได้กับข้าราชการพลเรือนสามัญระดับสามในทำนองเดียวกับที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19293 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การดำเนินการเพื่อรองรับการโอนเงินจากกองทุน สำรองเลี้ยงชีพไปออมต่อเนื่องในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ) | กค | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งเงินหรือผลประโยชน์นั้นคำนวณจากเงินที่ลูกจ้างโอนจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพแล้วได้คงเงินไว้ในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพจนตาย ทุพพลภาพ หรืออายุไม่ต่ำกว่า ๕๕ ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ไม่ว่าเป็นเงินที่รับโอนมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยตรง หรือรับโอนมาจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพอื่นที่เงินทอดแรกเป็นเงินที่ได้รับโอนมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการสนับสนุนให้นายจ้างทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้มากขึ้น เพื่อให้ลูกจ้างมีช่องทางในการออมเงินเพื่อการเกษียณอายุซึ่งจะช่วยส่งเสริมการออม เพื่อสร้างความมั่นคงของชีวิตภายหลังการเกษียณอายุ และช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐในการดูแลผู้สูงอายุได้ต่อไปในอนาคต ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19294 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเยเมน | กต | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ข้อมติ UNSC ที่ ๒๑๔๐ (ค.ศ. ๒๐๑๔) ที่ ๒๒๐๔ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ที่ ๒๒๑๖ (ค.ศ. ๒๐๑๕) และ ที่ ๒๒๖๖ (ค.ศ. ๒๐๑๖) เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรสาธารณรัฐเยเมนที่จำเป็น ได้แก่ การห้ามการเดินทาง การอายัดทรัพย์สิน และการคว่ำบาตรทางอาวุธ รวมถึงการต่ออายุมาตรการดังกล่าวเพื่อช่วยฟื้นฟูและสนับสนุนการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในสาธารณรัฐเยเมน ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุดถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติ (United Nations : UN) ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19295 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ลาว | คค | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติทั้ง ๔ ข้อ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย-ลาว มีสาระสำคัญเกี่ยวกับคำนิยาม การกำหนดสายการบินและการอนุญาต การปฏิเสธ การเพิกถอน และการพักใช้ใบอนุญาตดำเนินการ ความปลอดภัยการบิน ข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือ/การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน และการมีผลใช้บังคับ และบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-ลาว ฉบับจัดทำวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับสิทธิความจุ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ สำหรับเที่ยวบินรับขนผู้โดยสาร และสายการบินที่กำหนด ๑.๒ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและลาว ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย-ลาว ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ และบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ และบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19296 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม | วท | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้แทนความตกลงฉบับเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๐ เพื่อแสดงถึงการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือในด้านนี้ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งจะมีการลงนามในระหว่างการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในระยะต่อไปควรขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมในสาขาที่จะสนับสนุนการพัฒนา ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19297 | ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 (รัชกาลปัจจุบัน) | กษ | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทต่อไป ดังนี้
๑. ให้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็น “พระบิดาแห่งการปฏิรูปข้าวไทย” ๒. ให้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน เป็น “พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19298 | การจำแนกประเภทที่ดิน จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดน่าน และจังหวัดลำปาง (ขอเปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรีเดิมเฉพาะแห่ง) | กษ | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจำแนกประเภทที่ดินพื้นที่ป่าลุ่มน้ำทา จังหวัดเชียงใหม่ ป่าแม่สาครฝั่งขวา ถนนสายแพร่-น่าน จังหวัดน่าน และป่าแม่ตุ๋ยฝั่งซ้าย (ป่าแม่เมาะแปลง ๒) จังหวัดลำปาง ออกจากป่าไม้ถาวร ตามมติคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แจ้งให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติรับทราบการจำแนกประเภทที่ดินดังกล่าวเพื่อให้เกิดการบูรณาการเกี่ยวกับการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรที่ดินในภาพรวมของประเทศและเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบพื้นที่เพื่อมิให้ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคุ้มครองที่ยังไม่ได้กำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาติ และพื้นที่หวงห้ามที่ดินของกรมป่าไม้ รวมทั้งควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจและรณรงค์ให้เกษตรกรทำการเกษตรแบบผสมผสาน ลดการใช้สารเคมีและลดการเผา เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่อาชีพเกษตรกรรมและลดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของราษฎร และพิจารณาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม ควรทบทวนระบบการจัดการที่ดินที่มีอยู่และชะลอการดำเนินการระบบจัดการที่ดินที่พิจารณาแล้วพบว่ามีความซ้ำซ้อนกับการดำเนินการตามระบบของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และเร่งรัดการออกแบบปรับปรุงให้ระบบที่คาบเกี่ยวกันนั้นให้มีการบูรณาการอย่างแท้จริง เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการที่ดินของประเทศที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19299 | แนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี 2559/60 เพิ่มเติม | พณ | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้เลื่อนระยะเวลาการดำเนินโครงการ ๓ โครงการ ประกอบด้วย (๑) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตและการแปรรูปมันสำปะหลัง และ (๓) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร จากเดิมที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเริ่มดำเนินโครงการวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ และสิ้นสุดระยะเวลาโครงการวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ เป็นเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป โดยอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาในการชดเชยดอกเบี้ยและกรอบวงเงินงบประมาณยังคงเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ อนุมัติโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่เป็นลูกค้าของ ธ.ก.ส. จำนวนประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ราย รายละไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับต้นเงินกู้ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเลื่อนกำหนดชำระคืนต้นเงินเป็นระยะเวลา ๒ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ และให้ ธ.ก.ส. ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แก่เกษตรกรร้อยละ ๓ และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยแทนเกษตรกรแก่ ธ.ก.ส. แทนเกษตรกรร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี ระยะเวลา ๒ ปี สำหรับภาระงบประมาณในการชดเชยดอกเบี้ยไม่เกิน ๑,๒๐๐ ล้านบาท นั้น เห็นควรให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการดังกล่าวไปก่อน เนื่องจากมีสภาพคล่องทางการเงินเพียงพอ และจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยดอกเบี้ยตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ เงื่อนไขในการดำเนินโครงการเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๙/๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ ๑.๓ รับทราบโครงการให้สินเชื่อเพื่อค่าใช้จ่ายฉุกเฉินสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. เป้าหมาย ๕๐๐,๐๐๐ ราย วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท รวมวงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยคิดดอกเบี้ยจากเกษตรกรในอัตราร้อยละ ๐.๕ ต่อเดือน (ร้อยละ ๖ ต่อปี) กำหนดชำระคืนไม่เกิน ๑๒ เดือน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และ ธ.ก.ส. เป็นต้น ในการจัดทำแผนงาน/แนวทางการฟื้นฟูอาชีพให้กับเกษตรกรในช่วงที่มีการพักชำระหนี้ เพื่อให้เกษตรกรสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งการวางแผนการผลิตที่เชื่อมโยงไปถึงตลาด ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้และนำมาชำระหนี้ได้ต่อไปเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. การดำเนินโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังจะต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ ของรัฐบาล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19300 | โครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" | นร11 | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๓) และแนวทางการดำเนินงานตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ของโครงการเมืองต้นแบบฯ เพื่อพัฒนาพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจเฉพาะ ด้วยการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชน เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง โดยนำร่องในพื้นที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ให้เป็นเมืองต้นแบบ ๑.๒ แผนการดำเนินงานโครงการเมืองต้นแบบฯ จำนวน ๖๓ โครงการ กรอบวงเงิน ๕,๑๗๕.๓๘๙ ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่จะสนับสนุนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนโดยเร็ว จำนวน ๓๙ โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๑๗ โครงการ วงเงิน ๓๔๓.๖๔๑ ล้านบาท และโครงการที่ต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๒๒ โครงการ วงเงิน ๑,๑๙๐.๙๕๓ ล้านบาท ๑.๓ จัดตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา รวมทั้งติดตามและประเมินผล ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นต้น นำแนวทางดังกล่าวไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาแนวทางการให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์ในการดำเนินการด้วย ๓. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้โครงการเมืองต้นแบบฯ เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการจำนวน ๖๓ โครงการ จัดทำแผนการปฏิบัติงาน การเตรียมความพร้อม และรายละเอียดค่าใช้จ่าย โดยให้ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาดำเนินงานในส่วนที่จำเป็นเร่งด่วนและมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ก่อน หากไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งประสานงานกับกลุ่มจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส เพื่อพิจารณาบรรจุโครงการไว้ในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ๔ ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด เพื่อให้เกิดการบูรณาการงบประมาณ ส่วนกรณีที่จะให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อเป็นแหล่งทุนในระยะยาวให้กับผู้ประกอบการที่จะลงทุนในพื้นที่ นั้น เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ในการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบฯ ให้เพิ่ม “กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ในองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ ตามความเห็นของประธานกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ |
.....