ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 960 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 19181 - 19200 จากข้อมูลทั้งหมด 123969 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
19181 | งานพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช | นร | 13/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า รัฐบาลได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคต เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐและสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา เป็นเวลา ๓๐ วัน ตั้งแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป และให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์มีกำหนด ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป สำหรับประชาชนทั่วไป ขอให้พิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ขอความร่วมมือสถานบันเทิงและสถานบริการต่าง ๆ งดหรือลดกิจกรรมเพื่อความบันเทิง ตามความเหมาะสม เป็นระยะเวลา ๓๐ วัน ๒. เพื่อให้การดำเนินการจัดพระราชพิธีพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นไปอย่างสมพระเกียรติตามโบราณขัตติยราชประเพณี จึงให้มีการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นวันหยุดราชการ เพื่อเป็นการไว้อาลัย และให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระบรมศพ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายสักการะ สำหรับรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน นั้น ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาตามความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายต่อไป ในกรณีหน่วยงานใดที่มีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการและประชาชน ๒.๒ มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดงานพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ และกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ที่ปรึกษา รวมทั้งให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ เช่น ฝ่ายอำนวยการจัดงานพระราชพิธี ฝ่ายจัดการพระราชพิธี ฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้าง ราชรถ พระยานมาศ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายรักษาความปลอดภัย เป็นต้น ๒.๓ มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมศิลปากร) ดูแลรับผิดชอบในเรื่องรูปแบบ พิธีการและการจัดสร้างพระเมรุมาศ โดยขอรับพระราชวินิจฉัยจากองค์ที่ปรึกษาตามข้อ ๒.๒ ๒.๔ มอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดผลัดเวรเฝ้าฯ ของคณะรัฐมนตรีและข้าราชการไปเฝ้าฯ ในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมทุกวันตลอดระยะเวลาของพระราชพิธี และแจ้งส่วนราชการให้จัดข้าราชการไปร่วมเฝ้าฯ ในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม เป็นประจำทุกวันด้วย ๒.๕ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครจัดกิจกรรมเป็นพระบรมราชานุสรณ์หรือถวายเป็นพระราชกุศลเพื่อให้ประชาชนร่วมในการถวายสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ๒.๖ มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์รับไปดำเนินการเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ อย่างต่อเนื่อง และประสานความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศในการจัดทำคำแปลภาษาอังกฤษด้วย ๒.๗ เห็นชอบหลักการให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ โดยให้ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าศูนย์ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นรองหัวหน้าศูนย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เป็นเลขานุการศูนย์ โดยมีเลขาธิการคณะรักษาความความสงบแห่งชาติ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นรองเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง และดำเนินการด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย รวมทั้งประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมงานพระราชพิธีพระบรมศพ โดยให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานในเรื่องต่าง ๆ ของศูนย์ฯ สำหรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของศูนย์ฯ ให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๒.๘ มอบหมายให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดให้มีบริการสายด่วน (Hotline) เพื่อให้ประชาชนใช้เป็นช่องทางในการแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือสอบถามข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของรัฐบาล ๒.๙ มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการจัดเตรียมแผนรองรับเหตุฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้น โดยจัดให้มีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และประสานความร่วมมือกับอาสาสมัครหรือมูลนิธิภาคเอกชน รวมทั้งสถานพยาบาลต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉินตลอด ๒๔ ชั่วโมง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19182 | ขออนุมัติหลักการกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ | นร07 | 13/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ โดยให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19183 | ผลการจัดประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางการส่งเสริมสนับสนุนการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) เพื่อรองรับการแข่งขัน ของ คณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | พณ | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาแนวทางการส่งเสริมสนับสนุนการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) เพื่อรองรับการแข่งขัน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยกระทรวงพาณิชย์มีความเห็นว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มีหลายฉบับ ซึ่งแต่ละฉบับมีวัตถุประสงค์แตกต่างกัน การที่จะมอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานเดียวในการรับจดทะเบียนและกำกับดูแลจำเป็นต้องมีการศึกษาในเชิงลึก ซึ่งจะต้องหารือและรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก่อนดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19184 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2558 | กค | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี ๒๕๕๘ ซึ่งมีผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนทั้งหมด ๑๑๑ ทุน ได้แก่ (๑) ทุนหมุนเวียนในระบบประเมินผลการดำเนินงาน จำนวน ๙๙ ทุน ในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยรวม ๔ ด้าน (ด้านการเงิน ด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้านการปฏิบัติการ และด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน) ดีกว่าเป้าหมายปกติและดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๗ และคะแนนเฉลี่ย ๔ ปี (ปีบัญชี ๒๕๕๕-๒๕๕๘) มีคะแนนเฉลี่ยด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสูงที่สุด และมีคะแนนเฉลี่ยด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียนต่ำที่สุด และ (๒) ทุนหมุนเวียนที่ไม่เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ จำนวน ๑๒ ทุน แบ่งเป็นทุนหมุนเวียนที่กฎหมายเฉพาะบัญญัติให้มีการประเมินผลการดำเนินงาน จำนวน ๖ ทุน และทุนหมุนเวียนที่มีสถานะไม่พร้อมเข้าสู่ระบบประเมินผล จำนวน ๖ ทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19185 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย ราชภัฏเลย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับ.สาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19186 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดเชียงคำ พ.ศ. .... | ศย | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดเชียงคำ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เปิดทำการศาลจังหวัดเชียงคำ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19187 | ร่างกฎกระทรวงระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. .... | พน | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาทิ การกำหนดให้มีการอ้างอิงเฉพาะมาตรฐานระดับชาติ หรือระดับนานาชาติที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกและมีสิทธิ์ร่วมในการกำหนดมาตรฐาน การกำหนดให้มีหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนหน่วยรับรองเพิ่มเติม การแยกรายละเอียดทางด้านเทคนิคออกจากร่างกฎกระทรวงนี้ และความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า การกำหนดให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมีอำนาจประกาศกำหนดมาตรฐานอื่น ๆ เกี่ยวกับการออกแบบ การเดินสายไฟฟ้า การติดตั้งสายไฟฟ้า และการติดตั้งระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่านอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ แห่งร่างกฎกระทรวง เป็นกรณีเกินอำนาจกฎหมายแม่บทที่มิอาจจะกำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงนี้ได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้รับทราบหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติอย่างทั่วถึงและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งตรวจสอบสถานที่ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19188 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... | ศย | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... โดยสำนักงานศาลยุติธรรมเห็นว่าการกำหนดประเภทของคดีสำหรับบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ นั้น ต้องสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และควรให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ สำหรับการเปิดศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาคนั้น มีนโยบายที่จะเปิดทำการประมาณเดือนเมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ เพื่อให้การเปิดทำการศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นไปอย่างเรียบร้อย ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19189 | รายงานผลการพัฒนาระบบคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการด้วยอิเล็กทรอนิกส์ | กค | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพัฒนาระบบคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการด้วยอิเล็กทรอนิกส์ และการทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพัฒนาระบบคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการด้วยอิเล็กทรอนิกส์ กำหนดให้ผู้มีหน้าที่คำนวณราคากลางต้องถอดแบบก่อสร้างให้ได้รายการและปริมาณงานเพื่อนำเข้าไปคำนวณราคากลางในระบบ จากนั้นระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลราคาวัสดุก่อสร้างจากกระทรวงพาณิชย์ และข้อมูลรายละเอียดประกอบการคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง เช่น ค่าแรงงานจากบัญชีค่าแรงงาน ค่าดำเนินการจากตารางค่า Operating Cost และค่าขนส่งจากตารางค่าขนส่งวัสดุก่อสร้าง มาใช้ในการคำนวณ ส่วนงานก่อสร้างที่ต้องคำนวณค่างานต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ระบบจะประมวลผลโดยใช้สูตรที่กำหนดไว้แล้วในระบบมาคำนวณค่างานต้นทุนต่อหน่วยตามที่หลักเกณฑ์กำหนดให้โดยอัตโนมัติ และเมื่อรวมค่างานต้นทุนทั้งโครงการก่อสร้างแล้ว ระบบจะประมวลและนำค่า Factor F มาคำนวณเป็นราคากลางงานก่อสร้างของโครงการนั้น ๆ และเมื่อคำนวณได้ราคากลางเรียบร้อยแล้ว ระบบจะส่งข้อมูลราคากลางและรายงานการคำนวณราคากลางไปยังระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) เพื่อดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างต่อไป โดยจะใช้นำร่องกับ ๔ หน่วยงาน ได้แก่ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมชลประทาน ในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ สำหรับส่วนราชการอื่น ๆ จะเริ่มใช้งานตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ๒. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังได้กำหนดให้หน่วยงานที่จะมีการจัดจ้างก่อสร้างต้องประกาศเปิดเผยข้อมูลราคากลางทางเว็บไซต์ของหน่วยงาน และเว็บไซต์การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของกรมบัญชีกลาง (www.gprocurement.go.th) รวมทั้งได้ทบทวนและปรับปรุงข้อกำหนดต่าง ๆ ได้แก่ บัญชีค่าแรงงาน ข้อกำหนดเกี่ยวกับราคาและแหล่งวัสดุก่อสร้าง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าดอกเบี้ย ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายพิเศษ ค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็น และโครงสร้างค่าใช้จ่าย รวมถึงได้จัดทำตาราง Factor F เพื่อให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานก่อสร้างที่เป็นปัจจุบัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19190 | การขยายระยะเวลาการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) | ยธ | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการขยายกรอบระยะเวลาในการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) จากเดิมคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๙ เป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ เนื่องจากการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐดังกล่าวยังคงเหลือการดำเนินการในอีก ๓ ขั้นตอน ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาวิเคราะห์ รวบรวมข้อมูล จัดทำและจัดพิมพ์เอกสารที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ตามที่คณะกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19191 | ผลการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา สมัยที่ 14 | กต | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) สมัยที่ ๑๔ (อังค์ถัด ๑๔) ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา มีประเด็นสำคัญ อาทิ ที่ประชุมฯ ได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ซึ่งเป็นเอกสารที่วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ และบทบาทของอังค์ถัดในอีก ๔ ปีข้างหน้า โดยเอกสารผลลัพธ์นี้ถือเป็นความสำเร็จของกลุ่ม ๗๗ ในการผลักดันประเทศที่ประเทศกำลังพัฒนาให้ความสำคัญในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการพัฒนา โดยส่วนหนึ่งมาจากแรงผลักดันจากวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ และวาระปฏิบัติการแอดดิส อาบาบา ที่ได้รับการรับรองเมื่อปี ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ประเทศไทยในฐานะประเทศรายได้ปานกลางได้รับประโยชน์จากอาณัติของอังค์ถัดที่จะช่วยเหลือประเทศในกลุ่มดังกล่าวในการรับมือกับความท้าทายเฉพาะของกลุ่มประเทศนี้ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19192 | ผลการประชุมหารือร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ กรอ. ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน เมื่อวันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2559 | นร11 | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมหารือร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ตรัง) เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๙ ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ได้แก่ ยกระดับเมืองสปาน้ำพุร้อนเค็มและพัฒนาเส้นทางอันดามัน โรแมนติกโรด อ.คลองท่อม จ.กระบี่ การสนับสนุนโครงการยกระดับเส้นทางเชื่อมโยงท่องเที่ยวอันดามัน โครงการ Phuket Smart City โครงการก่อสร้างสะพานลันตา โครงการเคลือบผิวจราจรลดการลื่นไหล เส้นทางหลวงหมายเลข ๔ และ ๔๓๑๑ จ.พังงา โครงการก่อสร้างถนนและสะพานแหล่งท่องเที่ยวเกาะคอเขา อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา โครงการศึกษาเส้นทางรถไฟชุมพร-ท่าเรือน้ำลึก จ.ระนอง และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานตรัง รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรกก่อน โดยหากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วนในการขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ สำหรับการดำเนินโครงการในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสม นอกจากนี้ควรมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีหน่วยงานหลักจากกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19193 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะแรก (6 พื้นที่) | มท | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบทั้ง ๒ ข้อ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะแรก (๖ พื้นที่) ในวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๓,๑๔๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ในประเทศ จำนวน ๒,๓๕๕ ล้านบาท และเงินรายได้จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน ๗๘๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๓๕๕ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรแบ่งแผนการดำเนินโครงการฯ เป็น ๒ ระยะ และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานวิเคราะห์ผลกระทบค่าไฟฟ้าที่เกิดจากการลงทุนอย่างรอบคอบและไม่เป็นภาระต่อผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งควรมีการติดตามและประเมินผลโครงการในระยะแรก เพื่อให้การดำเนินงานโครงการระยะที่ ๒ มีความเหมาะสมและเกิดผลลัพธ์ได้ตรงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ตลอดจนควรลงทุนเป็นระยะโดยการเปรียบเทียบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าตามช่วงเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ควรกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าตามประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับพื้นที่อุตสาหกรรมอื่นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม รวมทั้งควรเร่งดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งและสถานีไฟฟ้า ระยะที่ ๙ ที่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะแรก ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคปรับระยะเวลาการดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะแรก (๖ พื้นที่) ให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่จะสามารถเริ่มดำเนินการได้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19194 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2559) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๙) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วยเนื้อหา ๒ ส่วน ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๙ ขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้ว่าการส่งออกสินค้ายังคงซบเซาและอุปสงค์ในประเทศยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แต่เศรษฐกิจไทยยังคงมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการท่องเที่ยว เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในประเทศในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาเป็นบวกตั้งแต่เดือนเมษายน และอัตราการว่างงานทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดีและเอื้อให้ตลาดการเงินไทยสามารถรองรับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศ ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องและไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ เนื่องจากนโยบายการเงินอยู่ในระดับที่ผ่อนปรนเพียงพอและเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเปราะบางต่อปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้จำเป็นต้องรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) ไว้เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. ได้ติดตามและประเมินความเสี่ยงที่มีต่อเสถียรภาพระบบการเงินอย่างต่อเนื่อง และได้ปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับฝากเงินหรือการรับเงินจากประชาชนเพื่อรองรับแนวโน้มการทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนได้เสนอกระทรวงการคลังพิจารณาร่างหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Special Financial Institutions : SFIs) ระยะที่ ๑ รวม ๒๔ ฉบับ ๒.๓ ด้านนโยบายระบบการชำระเงิน ธปท. ได้ผลักดันการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ National e-Payment โดยรับผิดชอบ ๒ โครงการ คือ โครงการระบบพร้อมเพย์ และโครงการขยายการใช้บัตร รวมทั้งได้ส่งเสริมการโอนเงินและการเชื่อมโยงเอทีเอ็มระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน และได้เพิ่มความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคในการใช้บริการบัตรอิเล็กทรอนิกส์ โดยกำหนดให้สถาบันการเงินเปลี่ยนบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มให้เป็นชิปการ์ดทดแทนบัตรแถบแม่เหล็ก นอกจากนี้ ธปท. ได้ยกร่างกฎหมายเพื่อกำกับดูแลระบบการชำระเงิน (Payment Systems Act) เพื่อยกระดับการกำกับดูแลระบบการชำระเงินของประเทศให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องตามมาตรฐานสากล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19195 | ข้อมูลความคืบหน้าการดำเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศของคณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) | นร | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อมูลความคืบหน้าการดำเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศของคณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) ระหว่างวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ในฐานะประธานกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่ายฯ เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19196 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 บังคับในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเนิน และองค์การบริหารส่วนตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... | มท | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเนิน และองค์การบริหารส่วนตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเนิน และองค์การบริหารส่วนตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมอาคารเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19197 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 61/2559 เรื่อง การแก้ไขปัญหาบุคลากรด้านการบิน และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 62/2559 เรื่อง การปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ | สลธ.คสช. | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖๑/๒๕๕๙ เรื่อง การแก้ไขปัญหาบุคลากรด้านการบิน สั่ง ณ วันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖๒/๒๕๕๙ เรื่อง การปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ สั่ง ณ วันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19198 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชน รวม 4 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ) (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ) | ทส | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ โดยให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างขององค์การ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรปรับแก้ไขข้อความในร่างพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับการบัญชีเพื่อให้มีความชัดเจนในการเลือกใช้มาตรฐานการบัญชี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานดังกล่าว เห็นควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19199 | ขอความเห็นชอบในหลักการในการจัดสรรเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายบุคลากรที่ปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้จัดสรรเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายบุคลากรเพิ่มแก่สถาบันอุดมศึกษาที่เดิมเป็นส่วนราชการ และได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ รวมถึงสถาบันอุดมศึกษาที่จะเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐในอนาคต ในอัตราร้อยละ ๖๐ ของอัตราเงินเดือนในขณะที่เปลี่ยนสถานภาพ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า อัตราที่จัดสรรดังกล่าวควรครอบคลุมสวัสดิการของรัฐทุกประเภท ควรจัดทำแผนการปรับเปลี่ยนสถานภาพของบุคลากรเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยในแต่ละปี โดยกำหนดจำนวนคนที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดภาระงบประมาณจำนวนมากในคราวเดียว นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สภามหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยควรกำกับดูแลการปฏิบัติภารกิจทั้งการผลิตบัณฑิต การวิจัย การบริการวิชาการ และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพ มีมาตรฐาน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและทิศทางการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว ตลอดจนควรรายงานผลงานประจำปีโดยตรงต่อรัฐบาล และนำระบบการติดตามประเมินผลมาใช้อย่างจริงจัง เพื่อให้นักศึกษา ประชาชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้เห็นถึงคุณภาพการศึกษาที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปในทิศทางที่พึงประสงค์และสอดคล้องกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายบุคลากรที่ปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ๔ แห่งใหม่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายบุคลากรเพิ่มเติม ตามจำนวนบุคลากรที่เปลี่ยนสถานภาพแล้ว จำนวน ๔,๒๕๕ คน เป็นเงิน ๑,๑๒๑.๖๔๔๕ ล้านบาท หากไม่เพียงพอให้มหาวิทยาลัยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาดำเนินการก่อน และหากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้จัดทำข้อมูลรายละเอียด จำนวนบุคลากร อัตราเงินเดือนของบุคลากร ซึ่งเปลี่ยนสถานภาพตามความจำเป็นและเหมาะสมเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามขั้นตอนต่อไป สำหรับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐอีก ๓ แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ไม่ได้ตั้งงบประมาณรองรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวไว้ เห็นควรให้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19200 | รายงานผลการเข้าร่วมประชุมสมัชชาองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) สมัยสามัญ ครั้งที่ 39 | คค | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมประชุมสมัชชาองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) สมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๙ ระหว่างวันที่ ๒๕-๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ณ สำนักงานใหญ่ของ ICAO เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางไปเข้าร่วมประชุมฯ และการประชุมกับกลุ่มความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยการบิน รวมทั้งได้นัดพบหารือระดับทวิภาคีกับประเทศที่มีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ผลการเข้าร่วมประชุมสมัชชา ICAO สมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศสมาชิกได้เข้าใจถึงนโยบายและแนวทางการแก้ไขข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยและการคืนสถานะ Category I ของประเทศไทย รวมทั้งได้ประกาศเข้าร่วมมาตรการสิ่งแวดล้อมในการลดผลกระทบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรมการบิน ๒. ผลการประชุมกับกลุ่มความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยการบิน ประเทศไทยและผู้เชี่ยวชาญจาก ICAO ได้ประชุมหารือร่วมกันเกี่ยวกับการเตรียมการเพื่อรองรับการตรวจสอบด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนในปีหน้า ตามโครงการ Universal Security Audit Programme (USAP) ซึ่งมีกำหนดการโดยประมาณในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ๓. ผลการหารือทวิภาคีกับองค์กรกำกับดูแลการบินพลเรือนต่าง ๆ ซึ่งทุกองค์กรรับทราบความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาและพร้อมให้ความร่วมมือและช่วยเหลือประเทศไทย โดยมีผลการหารือที่สำคัญ เช่น การนัดประชุมหารือทางด้านเทคนิคร่วมกับสำนักงานบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกาเพื่อกำหนดแผนงานและระยะเวลาที่จะปรับเลื่อนชั้นจาก Category II เป็น Category I การแจ้งความประสงค์การเจรจาสิทธิการบินใหม่กับเกาหลีเพื่อให้สามารถใช้สิทธิการบินเสรีภาพที่ห้าได้ การขอความร่วมมือจากสำนักงานการบินพลเรือนของออสเตรเลียในการพิจารณาอนุญาตให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สามารถนำเครื่องบินรุ่นใหม่บินเข้าออสเตรเลียได้ การขอความร่วมมือจากญี่ปุ่นในการพิจารณาผ่อนปรนมาตรการเข้มงวดการเพิ่มเที่ยวบินและจุดบินปลายทาง สำหรับกรณีความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างอาเซียน-สหภาพยุโรป กระทรวงคมนาคมจะพิจารณากำหนดท่าทีของประเทศไทยให้ชัดเจนก่อนจะนำไปสู่การกำหนดท่าทีของอาเซียนในการเจรจากับสหภาพยุโรปต่อไป
|
.....