ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1538 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 30741 - 30760 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30741 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 และวันที่ 14 มีนาคม 2554 เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด | กษ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ กรณีการร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ชะลอโครงการศึกษาวิจัยผลกระทบจากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดไว้ก่อน ดังนั้น จึงยังไม่สามารถนำข้อเท็จจริงทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงกุ้งขาวและผลกระทบของการใช้ความเค็มที่เกิดขึ้นไปชี้แจงให้เกษตรกรเข้าใจจนเกิดการยอมรับมาตรการเยียวยาได้ ส่วนการจัดเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด สำหรับการกำหนดพื้นที่ จำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ และกรอบวงเงินงบประมาณที่ภาครัฐจะต้องใช้ในการเยียวยาเกษตรกร นั้น เนื่องจากขณะนี้ร่างหลักเกณฑ์การกำหนดพื้นที่น้ำจืด ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ จึงมีผลทำให้ยังไม่มีความชัดเจนของจำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ และกรอบวงเงินงบประมาณที่จะใช้ในการเยียวยาได้ ๑.๒ ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับการพิจารณาความเหมาะสมของข้อกำหนดที่กรมพัฒนาที่ดินเคยใช้ในการกำหนดเขตพื้นที่ระงับการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบความเค็มต่ำในพื้นที่น้ำจืดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๑ กับสภาพของดินและสภาพพื้นที่ กรมประมงและกรมพัฒนาที่ดินได้ร่วมกันร่างหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ และนำเสนอในการประชุม ๕ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงมหาดไทย กรมประมง กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสถาบันการศึกษา) เพื่อพิจารณา แต่การประชุมไม่สามารถสรุปความเห็นได้อย่างเป็นเอกฉันท์ ซึ่งขณะนี้ร่างหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี สำหรับการออกคำสั่งระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดของผู้ว่าราชการจังหวัด ขณะนี้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ๓๔ จังหวัด มีเพียง ๓ จังหวัดเท่านั้นที่มีการเลี้ยงกุ้งขาวในพื้นที่น้ำจืด คือ จังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และนครสวรรค์ ซึ่งมีเกษตรกรขึ้นทะเบียนกับกรมประมง จำนวน ๑๒๕ ราย พื้นที่เลี้ยง ๙๑๙ ไร่ ส่วนบางจังหวัดที่ยังไม่ได้ออกคำสั่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ทำหนังสือขอหารือแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนในการออกคำสั่งดังกล่าวว่า จะต้องเข้าเงื่อนไขตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือไม่ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ และให้รายงานความคืบหน้าในการรายงานครั้งต่อไป ในประเด็นเกี่ยวกับการจัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ การกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ และการกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30742 | การย้ายที่ตั้งสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ทก | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ย้ายที่ตั้งสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union หรือ ITU) จากชั้น ๓ อาคาร ๖ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ ไปยังชั้น ๕ อาคารศูนย์ฝึกอบรม บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ถนนแจ้งวัฒนะ โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในนามของรัฐบาลไทยเป็นผู้รับผิดชอบค่าเช่าพื้นที่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งค่าสาธารณูปโภค ๒. เห็นชอบให้ประเทศไทย โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเจรจาและจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสหภาพ โทรคมนาคมระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ |
|||||||||||||||||||||||||||
30743 | รายงานการเดินทางไปปฏิบัติราชการ ณ สาธารณรัฐเกาหลี | รง | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเดินทางไปปฏิบัติราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะ ณ สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ให้โอวาทแก่แรงงานไทยในระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) จำนวน ๒๔๙ คน ที่เดินทางถึงสาธารณรัฐเกาหลี ณ ศูนย์อบรมแรงงานต่างชาติแรกเข้า (KOILAF) เมืองยอจู เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๕ โดยขอให้แรงงานไทยมีความขยัน อดทน ตั้งใจทำงาน และรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นไทย พร้อมทั้งอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ของไทย ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะได้ประชุมหารือกับรองประธานบริษัทก่อสร้าง SAMHO DEVELOPMENT จำกัด ณ สำนักงานใหญ่กรุงโซล เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับความต้องการจ้างแรงงานไทยและการเสนอขอให้รัฐบาลเกาหลีอนุญาตให้เพิ่มเวลาการจ้างแรงงานต่างชาติ และได้เดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทยในเขตก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมซีฮวา เมืองซีฮวา จังหวัดเคียงกี ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้พบปะพูดคุยกับแรงงานไทยดังกล่าว พร้อมทั้งเยี่ยมชมสถานที่ทำงานและที่พัก ทั้งนี้ แรงงานไทยส่วนใหญ่ทำงานมากกว่า ๔ ปี และยังต้องการทำงานที่บริษัท SAMHO DEVELOPMENT ต่อไป ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานและร่วมงานสงกรานต์ไทย - เกาหลี ประจำปี ๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ณ สวนสาธารณะหน้าเทศบาลอืยจองบู จังหวัดเคียงกี สาธารณรัฐเกาหลี โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้พี่น้องชาวไทยในสาธารณรัฐเกาหลีและพี่น้องชาวเกาหลีได้ร่วมกิจกรรมงานสงกรานต์อันเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีไทย และเชื่อมโยงมิตรภาพ เสริมสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับเกาหลี อีกทั้งเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แรงงานไทยที่อยู่ต่างแดน ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะได้ร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงแรงงานและการจ้างงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงานและการจ้างงาน เมืองควาชอน สาธารณรัฐเกาหลี ทั้งนี้ พิธีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวเป็นการจัดทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจัดแรงงานภายใต้การจัดส่งแรงงานแบบรัฐต่อรัฐ (ระบบ EPS) มีระยะเวลา ๒ ปี โดยรัฐบาลเกาหลีกำหนดโควตาให้มีการจ้างแรงงานต่างชาติ ๑๕ ชาติ ซึ่งแรงงานไทยมีจำนวนเป็นอันดับที่ ๔ ของแรงงานต่างชาติทั้งหมด สำหรับแรงงานแรกเข้าที่จัดส่งมาจากผู้ที่สอบผ่านความสามารถภาษาเกาหลี แรงงานไทยมีจำนวนมากเป็นอันดับที่ ๑ และจะมีการพิจารณาปรับอายุจากเดิม ๔๐ ปี เป็นอายุ ๔๕ ปี โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีโควตาแรงงานไทย จำนวนทั้งสิ้น ๘,๐๐๐ คน
|
|||||||||||||||||||||||||||
30744 | โครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดยใช้มันเส้นตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 | พณ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ระบายมันเส้นจากสต็อกของรัฐบาลที่จำนำไว้ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อนำไปผลิตเอทานอล จำนวนประมาณ ๖๕,๐๐๐ ตัน ในราคาตันละ ๗,๙๔๗.๙๐ บาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งเป็นราคาตามที่คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังได้มีมติเห็นชอบไว้ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ สำหรับการชดเชยต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เป็นส่วนต่างของราคาให้ใช้เงินชดเชยส่วนต่างจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติม โดยให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วดำเนินการต่อไปได้ และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดค่าชดเชยส่วนต่างราคาเอทานอลให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และหาแนวทางอื่นเพิ่มเติมในการระบายมันเส้นและแป้งมันจากสต็อก เช่น การส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศโดยตรง หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งทบทวนระดับราคาที่จะจำหน่ายให้สะท้อนต้นทุนการผลิตมันเส้นที่แท้จริง เพื่อไม่ให้การดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ประสบผลการขาดทุน ตลอดจนเร่งหาช่องทางระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่เก็บสต๊อกไว้ให้มีปริมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีการตรวจสอบสต๊อกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการรั่วไหลเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30745 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ 1 : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง | พน | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติมขอแก้ไขข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน จากเดิม “อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท” เป็น “อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท” โดยข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน มีดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ในวงเงินลงทุนจำนวน ๙,๘๕๐ ล้านบาท โดยดำเนินการปรับปรุงและขยายสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๑๕ แนวสายก่อน (รวม ๑๕ โครงการย่อย) และงานปรับปรุงและขยายสายส่งไฟฟ้าเบ็ดเตล็ด จำนวน ๑ โครงการย่อย รวมทั้งหมด ๑๖ โครงการย่อย ๑.๒ อนุมัติในหลักการเบิกจ่ายเงินงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการพิจารณาจัดโครงสร้างทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของโครงการฯ ให้มีความเหมาะสม การบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสมรอบคอบและมีประสิทธิภาพ การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Environmental Impact Assessment : EIA) รวมทั้งการบริหารและควบคุมการดำเนินโครงการฯ ให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ประหยัดมากที่สุด การศึกษาทางเลือกสำหรับแนวสายส่งที่จะเสนอปรับปรุงในระยะต่อไป และการบูรณาการการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart grids) ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30746 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อจัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรด้านกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2555 | กต | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้จัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อจัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรด้านกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพมหานคร โดยสาระสำคัญของหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีดังนี้ ๑.๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่ออบรมกฎหมายระหว่างประเทศให้กับผู้ที่มีภูมิหลังด้านกฎหมายหรือประสบการณ์ในการทำงานด้านกฎหมายระหว่างประเทศ อายุระหว่าง ๒๔ - ๔๕ ปี จากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยการคัดเลือกจะกระทำโดยสหประชาชาติให้เหลือจำนวนผู้เข้าร่วมไม่เกิน ๓๕ คน ซึ่งประเทศไทยสามารถส่งผู้แทนเข้ารับการฝึกอบรมฯ ได้ ๕ คน ๑.๑.๒ ผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางมายังประเทศไทย โดยสหประชาชาติจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของวิทยากรและเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย ค่าหนังสือ และสื่อการสอนอื่น ๆ ที่ใช้ในการฝึกอบรมฯ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าประกันสุขภาพสำหรับผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ ที่ได้รับการจัดสรรทุนไม่เกิน ๒๐ คน สำหรับรัฐบาลไทยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสถานที่จัดการฝึกอบรม การจัดสถานที่พัก อาหารเช้าและอาหารค่ำ สำหรับผู้เข้าร่วมที่ได้รับทุนไม่เกิน ๒๐ คน ๑.๑.๓ รัฐบาลไทยจะให้เอกสิทธิและความคุ้มกันเท่าที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยเอกสิทธิและความคุ้มกันของสหประชาชาติที่ได้รับรองโดยสหประชาชาติ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๔๖ แก่ผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ผู้เชี่ยวชาญที่ปฏิบัติหน้าที่ให้สหประชาชาติที่เกี่ยวเนื่องกับหลักสูตรการฝึกอบรม และเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติที่เข้าร่วมหรือปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวเนื่องกับหลักสูตรการฝึกอบรมฯ ๑.๒ อนุมัติให้นายนรชิต สิงหเสนี เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทย ๑.๓ หากมีความจำเป็นจะต้องแก้ไขปรับปรุงหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินการในส่วนของประเทศไทย ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรด้านการทูตและการต่างประเทศที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้ ในวงเงินรวม ๓๐ ล้านบาท |
|||||||||||||||||||||||||||
30747 | การเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนแต่งกายด้วยชุดสีขาวในช่วงเทศกาลวิสาขบูชา ประจำปี 2555 งานฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า | พศ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เชิญชวนและรณรงค์ให้พุทธศาสนิกชนทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมแต่งกายด้วยชุดสีขาวในการเข้าร่วมกิจกรรมเนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา งานฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ถึง ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30748 | ขออนุมัติขยายกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ | คค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขยายกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ จากกรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินการเพื่อก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ) จากเดิม ๖๗๕ ล้านบาท เป็น ๑,๓๐๕ ล้านบาท โดยให้รัฐบาลรับภาระค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้ตามที่ใช้จ่ายจริง หากสำนักงบประมาณไม่สามารถจัดสรรงบประมาณดังกล่าวได้ ให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมและค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว และให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณเพื่อชำระเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายทางการเงินอื่นสำหรับการกู้เงินดังกล่าวเป็นรายปีต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติการกู้เงินในประเทศและให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ) ในส่วนของการดำเนินการเรื่องแนวทางการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้า ๑๐ สายทาง และเรื่องการปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ (Business Model) เพื่อปรับแนวทางการบริหารจัดการการเดินรถไฟฟ้าให้เหมาะสม ชัดเจน สามารถเดินรถเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้บริการและมีภาระต่อรัฐบาลน้อยที่สุด รวมทั้งเร่งประสานกับกรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าของโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTS) การพิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงเส้นทางโครงการกับระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTS) กับโครงการรถไฟฟ้า BTS ในด้านเทคนิคของระบบอาณัติสัญญาณและการเดินรถ การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมและการใช้ระบบตั๋วโดยสารร่วม การเร่งศึกษาทางเลือกรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนจัดหาระบบรถไฟฟ้าและตัวรถไฟฟ้าและให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวฯ สำหรับในส่วนของค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้รัฐบาลรับภาระดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30749 | รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 (ผลการศึกษาจัดทำแนวทางและมาตรการในการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกิจการของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) | คค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ [ผลการศึกษาจัดทำแนวทางและมาตรการในการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกิจการของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลแห่งประเทศไทย (รฟม.)] ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยผลการศึกษาได้แบ่งมาตรการดำเนินการเป็น ๒ ระยะ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการดำเนินการระยะสั้น ได้แก่ ๑.๑.๑ การปรับรูปแบบองค์กรและการดำเนินงาน รฟม. ควรปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรภายในและระบบการประเมินประสิทธิภาพภายใน เพื่อแบ่งแยกการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับต้นทุน (Cost Center) และการหารายได้ (Profit Center) เพื่อให้สามารถแยกแยะและประเมินประสิทธิภาพของแต่ละหน่วยงานได้อย่างชัดเจน ๑.๑.๒ การเพิ่มผู้โดยสาร เป้าหมายหลักควรเป็นการพัฒนาและบริหารระบบเพื่อให้สามารถดึงผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลให้มาใช้รถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยสำคัญคือ การให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายในการเดินทางและการเข้าถึงจุดหมายของการเดินทางของผู้รับบริการ ๑.๑.๓ การพัฒนาระบบ Feeder และ Park and Ride รฟม. ควรจัดตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อดำเนินงานการพัฒนาระบบ Feeder และ Park and Ride เช่น การขอใบอนุญาตการให้บริการรถประจำทางในรูปแบบ Feeder และการให้บริการควรเป็นเส้นทางที่มีการกำหนดจุดจอดที่น้อยกว่าเส้นทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการให้ผู้โดยสารในการเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าได้รวดเร็วและมีค่าโดยสารที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ๑.๑.๔ การเพิ่มรายได้จากส่วนภาคธุรกิจ Non-fare Revenue รฟม. ควรเพิ่มประสิทธิภาพและผลักดันให้เกิดวัฒนธรรมในองค์กรในการสร้างรายได้ที่เป็น Non-fare Revenue (รายได้จากการให้เช่าพื้นที่ร้านค้า ค่าโฆษณา และค่ากรรมสิทธิ์ในการให้บริการระบบโทรคมนาคม) โดยสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ และให้ภาคเอกชนที่มีประสบการณ์และเครือข่ายในด้านต่าง ๆ เข้ามาบริหารจัดการ รวมทั้งพัฒนาบุคลากรในด้านดังกล่าวไปพร้อม ๆ กัน ๑.๑.๕ การพัฒนาจุดเชื่อมต่อสถานี รฟม. ควรปรับปรุงกระบวนการในการออกแบบจุดเข้าออกที่เชื่อมต่อกับสถานี โดยเพิ่มการมีส่วนของภาคเอกชนและเจ้าของแหล่งกิจกรรมบริเวณสถานีในช่วงการออกแบบและวางแผนโครงการ และมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการประเมินค่าธรรมเนียมเพื่อให้สอดคล้องกับมูลค่าเพิ่มต่ออาคารภาคเอกชนที่เกิดขึ้นจริงเมื่อมีการพัฒนาจุดเชื่อมต่อ ๑.๒ มาตรการดำเนินการระยะยาว ได้แก่ ๑.๒.๑ การพัฒนาแบบ Transit Oriented Development (TOD) ได้แก่ แนวทางการพัฒนาควบคู่ระหว่างแหล่งกิจกรรม อสังหาริมทรัพย์ และระบบรถไฟฟ้า โดยกลไกสำคัญคือ การพัฒนาแบบควบคู่เพื่อให้องค์กรที่ลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านรถไฟสามารถได้รับผลตอบแทนจากมูลค่าที่ดินและโอกาสในการพัฒนาโดยรอบสถานีและตามแนวเส้นทาง ๑.๒.๒ การพัฒนาบริษัทลูกเพื่อเดินรถ รฟม. ต้องเตรียมความพร้อมต่อภาระหน้าที่ที่เปลี่ยนแปลงและเพิ่มขึ้นในด้านการกำกับบริษัทเดินรถ โดยสร้างองค์ความรู้ในด้านต้นทุนการบริหารและจัดการการเดินรถ รวมทั้งต้นทุนในการบำรุงรักษา ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นความลับทางการค้า ดังนั้น ยุทธศาสตร์สำคัญที่จะสร้างองค์ความรู้เพื่อใช้ในการกำกับดูแลระบบและสร้างอำนาจในการต่อรองกับบริษัทเดินรถในอนาคต คือ รฟม. ดำเนินการเดินรถเอง ๑.๒.๓ การพัฒนาบริษัทลูกเพื่อจัดการระบบจัดเก็บค่าโดยสาร รฟม. ต้องเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บค่าโดยสารเอง และจะสามารถออกแบบโครงสร้างค่าโดยสาร และบูรณาการระบบจัดเก็บค่าโดยสารได้ โดยให้ รฟม. ปรับใช้ยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อบุกเบิกการปรับใช้ระบบ Smart-card บนปัจจัยหลักที่ รฟม. จะเป็นองค์กรที่ให้บริการกับผู้เดินทางในระบบรถไฟฟ้าส่วนใหญ่ ๑.๒.๔ การปรับโครงสร้างองค์กรในระยะยาว จากภาพรวมของมาตรการในด้านต่าง ๆ รฟม. จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานตามมาตรการดำเนินการที่นำเสนอ โดยมีการแบ่งหน่วยงานภายในออกเป็น ๔ กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มกิจกรรมด้านการวางแผนและการพัฒนากลยุทธ์ กลุ่มงานวิศวกรรม กลุ่มบริหารงาน และการเงิน และกลุ่มบริษัทลูก (ประกอบด้วย บริษัทลูกด้านอสังหาริมทรัพย์ บริษัทลูกด้าน Non-fare Revenue บริษัทลูกด้านการบริหารโครงข่ายและเดินรถ บริษัทลูกด้านระบบตั๋ว และบริษัทลูกด้านระบบ Feeder) ซึ่งการปรับเปลี่ยนรูปแบบองค์กรดังกล่าวจะช่วยสร้างระบบประเมินผลงาน และประสิทธิภาพในส่วนต่าง ๆ อย่างชัดเจนตามกลุ่มรายได้และกลุ่มรายจ่ายขององค์กร รวมทั้งเพิ่มความคล่องตัวให้ รฟม. ในการดำเนินงานและสามารถดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในแต่ละส่วนเข้ามาในองค์กรได้ และยังช่วยให้ รฟม. สามารถพัฒนาระบบตอบแทนพนักงานเพื่อสร้างแรงจูงใจได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ รฟม. ดำเนินการเดินรถเอง เพื่อให้มีข้อมูลด้านต้นทุนการบริหารและจัดการการเดินรถ และต้นทุนในการบำรุงรักษา สำหรับใช้ในการกำกับดูแลระบบและสร้างอำนาจต่อรองกับบริษัทเดินรถในอนาคต ควรแสดงให้เห็นถึงข้อดีข้อเสียของรูปแบบการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป การนำนโยบายภาครัฐมาใช้ประกอบการศึกษาเพิ่มเติมและให้มีความสอดคล้องกัน เช่น นโยบายการจัดทำตั๋วร่วม นโยบาย ๒๐ บาท ตลอดสาย เป็นต้น การศึกษาเพิ่มเติมในประเด็นการบริหารจัดการด้านการเงินและความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อให้ครอบคลุมแนวทางและมาตรการในการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกิจการของ รฟม. การให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้ขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของ รฟม. โดยเฉพาะการพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการบริหารจัดการสัญญาการให้บริการในระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของภาคเอกชนภายใต้สัญญาสัมปทานในรูปแบบต่าง ๆ การเร่งปรับโครงสร้างองค์กรในลักษณะหน่วยธุรกิจ (Business Unit) และแยกระบบบัญชีและการเงินเป็นรายโครงการ รวมทั้งการจัดทำแนวทางการพัฒนาธุรกิจเชิงพาณิชย์ที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30750 | แนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย) | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการของแนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และการสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของเมียนมาร์ และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน รับไปประกอบการพิจารณาจัดทำแผนงานและโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับเมียนมาร์ ๑.๑.๑ ระยะเร่งด่วน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนของโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย (โครงการทวายฯ) ได้แก่ ๑.๑.๑.๑ การสร้างความร่วมมือในลักษณะรัฐต่อรัฐเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการทวายฯ ของเมียนมาร์ โดยผลักดันให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเพื่อเป็นกรอบความร่วมมือระดับทวิภาคี ๑.๑.๑.๒ การเร่งเจรจากับทางการของเมียนมาร์เพื่อเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวและถาวรควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อม ณ จุดผ่านแดนบ้านพุน้ำร้อน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายคน และสินค้าข้ามแดนและผ่านแดนให้มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง จัดระบบบริหารจัดการและตรวจปล่อยคนและสินค้า รวมถึงบูรณาการระบบเอกสารและกระบวนการให้บริการให้สอดคล้องกับระบบ National Single Window ๑.๑.๑.๓ การสนับสนุนนักลงทุนไทยไปลงทุนในเมียนมาร์ โดยเร่งออกมาตรการด้านการเงินและการลงทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศ จัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลและให้คำปรึกษาสำหรับนักลงทุนไทย และกำหนดมาตรการลดความเสี่ยงด้านการลงทุนและประกอบธุรกิจ ๑.๑.๑.๔ ความช่วยเหลือทางการเงินโดยรัฐบาลไทย โดยเร่งพิจารณาแนวทางการสนับสนุนเอกชนไทยในการพัฒนาโครงการทวายฯ ๑.๑.๒ ระยะปานกลางช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อกับเมียนมาร์จากบริเวณชายแดนไทย - เมียนมาร์อย่างเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย ระบบถนน รถไฟ สายส่งไฟฟ้า ท่อก๊าซและท่อน้ำมัน รวมทั้งการเตรียมการพื้นที่เศรษฐกิจ ๑.๒ การสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของเมียนมาร์ ๑.๒.๑ การบริการคมนาคมและขนส่ง โดยเฉพาะระบบถนนเชื่อมต่อระหว่างโครงการทวายฯ สู่ด่านพรมแดน รวมทั้งการวางแผนการปรับปรุงสนามบินทวาย การพัฒนาโครงข่ายถนนและรถไฟเชื่อมโยงระหว่างทวายและเมืองสำคัญในเมียนมาร์ และผลักดันการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกการค้าและการขนส่งข้ามพรมแดนภายใต้แผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Sub-region Cooperation : GMS) เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ ๑.๒.๒ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาระบบบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนและระบบสถาบันการเงินตามมาตรฐานสากล เพื่อให้สามารถรองรับธุรกรรมด้านการเงินและการลงทุนขนาดใหญ่ได้ ๑.๒.๓ การวางแผนและยกระดับแรงงานชาวเมียนมาร์ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพให้สามารถรองรับการพัฒนาและขยายฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการค้าของไทยในอนาคต ๑.๒.๔ การวางแผนระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ให้ความช่วยเหลือด้านการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการและการจัดการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติในการลงทุนพัฒนาท่าเรือและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย รวมทั้งบูรณาการแผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้อง โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอเพิ่มเติม ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ จะต้องเป็นนโยบายระดับชาติที่ชัดเจนและเตรียมการให้เป็นระบบครบวงจร โดยเฉพาะเรื่องการจัดทำผังเมืองให้มีการจัดทำเขต (Zoning) ที่ชัดเจนทั้งเขตอุตสาหกรรมและชุมชน และระบบโครงข่ายคมนาคม รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะลงทุนเพิ่มเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ควรดำเนินการด้วยความรอบคอบและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลตอบแทนทางตรงต่อระบบเศรษฐกิจที่ประเทศจะได้รับและผลตอบแทนอื่นของภาครัฐ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30751 | ปฏิญญาคาซานว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค (Kazan Declaration on APEC Food Security) | กษ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาคาซานว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค (Kazan Declaration on APEC Food Security) โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย ๕ ข้อ ดังนี้ ๑.๑.๑ การเพิ่มผลผลิตภาคเกษตรและผลิตภาพ โดยการส่งเสริมการลงทุนภาคเกษตรจากภาคเอกชน การเพิ่มการลงทุนระยะยาวในการวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตร การยอมรับนวัตกรรมเทคโนโลยี การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ และการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๒ การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการพัฒนาตลาดสินค้าอาหาร โดยการติดตามแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการผลิตการบริโภคที่เชื่อถือได้และทันสมัยระหว่างกันเพื่อลดความผันผวนของราคาอาหาร ยกระดับตลาดอาหารให้มีความโปร่งใสและคาดการณ์ได้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการตลาดสินค้าอาหารและสนับสนุนระบบขนส่งที่ดี ๑.๑.๓ การส่งเสริมความปลอดภัยอาหารและคุณภาพอาหาร โดยการพัฒนาและสร้างความเข้าใจระหว่างสมาชิกเอเปคเกี่ยวกับความจำเป็นในการผลิตอาหารให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพอาหารระหว่างประเทศ การปรับปรุงกระบวนการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหารให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๑.๑.๔ การจัดหาอาหารสำหรับกลุ่มคนที่มีความเปราะบางทางสังคม โดยการจัดหาทั้งด้านเศรษฐกิจและกายภาพเพื่อการเข้าถึงอาหารของกลุ่มคนที่มีความเปราะบางทางสังคม การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายสวัสดิการสังคมอย่างยั่งยืน และการแลกเปลี่ยนหลักการปฏิบัติที่เป็นเลิศระหว่างกัน ๑.๑.๕ การสร้างความมั่นใจในการจัดการระบบนิเวศน์ทางทะเลอย่างยั่งยืน และการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมายและการค้าที่เกี่ยวข้อง โดยเสริมสร้างความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม สนับสนุนกฎระเบียบด้านการประมงที่โปร่งใส รวมทั้งการจัดการตลาดสินค้าประมง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้แทนที่เข้าประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ ๒ (The 2nd Ministerial Meeting on Food Security) ระหว่างวันที่ ๓๐ - ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองคาซาน รัสเซีย ให้การรับรองเพื่อประกาศเจตนารมณ์ต่อปฏิญญาดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และให้ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรมีการส่งเสริมการสร้างความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศสมาชิกในการรองรับที่ต้องปฏิบัติตามความตกลงในกฎกติกา/ระเบียบที่จะให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันของสมาชิกเอเปค และเห็นควรมีนโยบายและการลงทุนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของประเทศด้านวิจัยและพัฒนา การสร้างกำลังคน และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านการเกษตรและอาหาร เพื่อให้ประเทศไทยไม่ตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบทั้งในการเจรจาการปรับกฎระเบียบของประเทศสมาชิกให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การร่วมเป็นเครือข่ายวิจัยและการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศสมาชิก รวมถึงการรับความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีผ่านองค์กรนานาชาติด้านเกษตรและอาหารที่เกี่ยวข้องในลักษณะ North - South Cooperation และทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีในลักษณะ South - South Cooperation ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30752 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (ครั้งที่ 10) | วท | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) (ครั้งที่ ๑๐) ช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ - มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการ วมว. จำนวน ๔ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔) รวม ๑๖ ห้องเรียน ใน ๗ โรงเรียน ประกอบด้วย ๑.๑ โรงเรียนที่เป็นมหาวิทยาลัย - โรงเรียนนำร่อง ๔ แห่ง โรงเรียนละ ๓ ห้อง ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โรงเรียนดรุณสิกขาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๑.๒ โรงเรียน - มหาวิทยาลัยที่ขยายเพิ่มเติม ๓ แห่ง ประกอบด้วย โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จำนวน ๒ ห้องเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำนวน ๑ ห้องเรียน และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์) - มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน ๑ ห้องเรียน ๒. จัดสัมมนาการดำเนินโครงการ วมว. ระยะที่ ๒ เพื่อระดมความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงาน และนำผลที่ได้มาจัดทำข้อเสนอโครงการ วมว. ระยะที่ ๒ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการต่อไป ๓. การติดตามและประเมินผลโครงการ วมว. ในส่วนของผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการบรรลุเป้าหมายของโครงการ พบว่า ผลสัมฤทธิ์โครงการ วมว. ในภาพรวมมีความโดดเด่นในด้านความร่วมมือของมหาวิทยาลัยกับโรงเรียน โดยสามารถใช้ทรัพยากรที่มีคุณค่าจากมหาวิทยาลัยในการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และแต่ละมหาวิทยาลัยมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านแตกต่างกันไป ๔. งบประมาณในการบริหารโครงการ วมว. ได้ใช้งบประมาณจากการบริหารโครงการ วมว. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๔๓๓,๖๔๐ บาท และใช้เงินกันเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๕๑๒,๖๖๕ บาท และจะดำเนินการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนแก่มหาวิทยาลัยในโครงการ วมว. จำนวน ๑๑๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท ในช่วงเปิดภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ (เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕)
|
|||||||||||||||||||||||||||
30753 | การพิจารณาแผนงาน/โครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการพิจารณาแผนงาน/โครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ประกอบด้วยแผนงานพัฒนาคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์และเตือนภัย เป็นเงิน ๕๐๒.๐๐๑๓ ล้านบาท การผ่อนปรนยกเว้นอัตราค่าเช่าในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เป็นเงิน ๓๓๒.๐๐๖๐ ล้านบาท การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด เป็นเงิน ๑,๕๕๕.๖๓๓๙ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการแจ้งส่งคืนงบประมาณอย่างเป็นทางการ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ เป็นเงิน ๒,๓๘๙.๖๔๑๒ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. สำหรับวงเงินที่เหลือจำนวน ๒,๐๒๓.๔๐๑๙ ล้านบาท ที่เห็นควรสำรองไว้สำหรับกรณีที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการ แต่ยังมิได้รับการจัดสรร เช่น การฟื้นฟูจากอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคใต้ เป็นต้น ให้สำนักงบประมาณร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ครอบคลุมถึงกรณีจำเป็นอื่น ๆ เช่น การจัดหาและติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และเครื่อง Telemeter ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30754 | ขออนุมัติหลักการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับสนับสนุนการดำเนินการโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) | ทก | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้หน่วยงานต่าง ๆ รับผิดชอบโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับผิดชอบแผนการจัดหาคอมพิวเตอร์พกพาที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทบทวนการปรับเป้าหมายของโครงการจัดตั้งสำนักงานบริหารโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพาให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาระของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพามากกว่ากระบวนการการปฏิบัติงาน ๑.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทบทวนโครงการพัฒนาระบบโครงข่ายไร้สาย (Wi-Fi Network) เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพาอีกครั้ง โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่มาสนับสนุนการดำเนินการโครงการนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับผิดชอบการจัดทำระบบที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ (infrastructure) รวมทั้งการวางระบบความปลอดภัยในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา ๑.๕ ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารระบบและการกำหนดเนื้อหาสาระของหลักสูตร สื่อการเรียนการสอนสำหรับคอมพิวเตอร์พกพา (content) ๑.๖ ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. รับผิดชอบดำเนินโครงการให้บริการ Call Center เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา และโครงการพัฒนาระบบเรียนออฟไลน์สำหรับคอมพิวเตอร์พกพา ซึ่ง สพฐ. กำลังดำเนินการในเรื่องนี้แล้ว ๑.๗ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับผิดชอบโครงการพัฒนาระบบงานโปรแกรมและระบบฐานข้อมูลของระบบ Tablet สร้างชาติ โดยดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ ๑.๔ ๑.๘ ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำสื่อในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาแก่ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง ๑.๙ ให้สำนักนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำสื่อในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาแก่ประชาชนทั่วไป ๒. อนุมัติหลักการค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้จัดสรรให้แล้ว มาดำเนินการโครงการฯ ให้มากที่สุดเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๔๐๐ ล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายโครงการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาเพื่อการศึกษาของเด็กไทย วงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท โดยให้ตั้งงบประมาณไว้ที่สำนักนายกรัฐมนตรี) ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและกระทรวงศึกษาธิการขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
30755 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... | ปง | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติรวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปตรวจพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน ๗ วัน ทั้งนี้ บทบัญญัติของร่างกฎหมายดังกล่าวจะต้องไม่เป็นการสร้างภาระให้แก่ภาคเอกชนเกินสมควร และจะต้องไม่เกินกว่าข้อกำหนดที่คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (Financial Action Task Force : FATF) กำหนดไว้ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงบทนิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” “ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด” “ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย” เพิ่มบทนิยามคำว่า “ผู้มีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรม” และยกเลิกบทนิยามคำว่า “สถาบันการเงิน” ๑.๒ ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการได้มาซึ่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๓ ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ๑.๔ ปรับปรุงอำนาจของกรรมการธุรกรรม เลขาธิการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ๑.๕ ปรับปรุงอำนาจของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ๑.๖ ปรับปรุงให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมีหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งราชการของสำนักงานโดยอิสระและเป็นกลางขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และปรับปรุงฐานะและวาระการดำรงตำแหน่งของเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ๒. ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้มีมาตรการเฉพาะที่ใช้ดำเนินการกับผู้ที่ให้การสนับสนุนทางการเงินหรือทรัพย์สินแก่การก่อการร้าย และใช้ดำเนินการกับเงินหรือทรัพย์สินที่ใช้หรือจะใช้ในการสนับสนุนแก่การก่อการร้าย เพื่อให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ค.ศ. ๑๙๙๙ และข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๑๓๗๓ เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑ |
|||||||||||||||||||||||||||
30756 | ผลการพิจารณามาตรฐานการรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลตามแนวนโยบายของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ | ทช | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ในการประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการรับรองให้มาตรฐาน DVB-T2 เป็นมาตรฐานการรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ระบบดิจิตอลภาคพื้นดิน (Digital Terrestrial Television) ของประเทศไทย เพื่อนำไปกำหนดในแผนการปรับเปลี่ยนระบบการรับส่งวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล ซึ่งจะเป็นหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนระบบรับส่งวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ของประเทศไทยต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เสนอ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางรองรับการเปลี่ยนผ่านระบบการรับส่งวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอล ๓. ให้สำนักงาน กสทช. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์จากการปรับเปลี่ยนโทรทัศน์เป็นระบบดิจิตอล รวมทั้งสนับสนุนการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโทรทัศน์ระบบดิจิตอล โดยผ่านกลไกของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาฐานการผลิตของประเทศในระยะยาว ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30757 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นเงิน ๑๑๙,๕๐๓.๓๙๔ ล้านบาท มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงพฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๐,๒๐๗.๘๙๓ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕๗,๕๐๗.๙๗๒ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๓,๔๓๒.๐๖๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖.๓๕ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๔,๕๙๙.๗๕๕ ล้านบาท (ร้อยละ ๗๙.๑๖ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔,๔๙๘.๗๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔.๙๙ ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๔ จังหวัด เป็นเงิน ๔๔,๓๖๕.๒๕๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๕.๓๑ ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและการส่งคืนเงินงบประมาณ ๓.๑ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๔,๔๑๓.๐๔๓ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๓.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจรายงานสถานภาพของการดำเนินงาน ณ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ว่า ยังมิได้จัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนประกวดราคา จำนวน ๑๑ รายการ วงเงิน ๓๒๖.๓๗๗ ล้านบาท และงานดำเนินการเองที่ยังมิได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๖๘ รายการ วงเงิน ๔๔๖.๓๔๘ ล้านบาท รวมทั้งสิ้น ๗๙ รายการ วงเงิน ๗๗๒.๗๒๖ ล้านบาท ซึ่งอยู่ในข่ายที่ต้องส่งคืนงบประมาณ ๔. ข้อเสนอ ๔.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับ/เร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทำการแจ้งส่งคืน กรณีเงินงบประมาณเหลือจ่ายหรือคาดว่าจะเหลือจ่ายจากการลงนามสัญญาหรือการดำเนินการเองที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ภายในวันพุธที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๔.๒ กรณีเงินงบประมาณของโครงการ/รายการซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคาหรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ที่อยู่ในข่ายต้องส่งคืนงบประมาณ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทำการตรวจสอบ และหากต้องส่งคืนงบประมาณ ก็ให้แจ้งคืนมายังสำนักงบประมาณ ภายในวันพุธที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เช่นเดียวกัน เพื่อให้สำนักงบประมาณดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30758 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของสำนักงาน ปปง. | ปง | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งให้ พันตำรวจเอก สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30759 | รายงานผลการปฏิบัติงานของ กสทช. และ กทช. ปฏิบัติหน้าที่ กสทช. ประจำปี 2554 | ทช | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ปฏิบัติหน้าที่ กสทช. ประจำปี ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ความเป็นมาของ กสทช. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) กทช. ปฏิบัติหน้าที่ กสทช. และสำนักงาน กสทช. ผลการปฏิบัติงานที่สำคัญ และผลการปฏิบัติงานด้านการบริหารคลื่นความถี่และการกำกับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมของ กสทช. ที่ได้รับการแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่เข้าปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ และ กทช. ปฏิบัติหน้าที่ กสทช. ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม-๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงาน กสทช. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30760 | การดำเนินการโครงการตามมติ ครม. นอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี และภูเก็ต | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการจัดสรรงบประมาณของโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี และภูเก็ต ณ วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กรณีโครงการเร่งด่วน (ใช้เงินงบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) กระทรวงที่ได้รับอนุมัติโครงการ ๗ กระทรวง ขอรับการจัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๓๗ โครงการ (จาก ๗๑ โครงการ) รวมเป็นเงิน ๑,๗๐๙.๗๕ ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ ๕๕.๕๙ ของวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ จำนวน ๓,๐๗๕.๖๖๔ ล้านบาท) สำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรแล้ว ๑๔ โครงการ (จาก ๓๗ โครงการ) วงเงิน ๗๓๗.๑๕ ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดสรร ๒๓ โครงการ วงเงิน ๙๗๒.๖ ล้านบาท คงเหลือโครงการที่ยังไม่ขอรับการจัดสรร จำนวน ๓๔ โครงการ วงเงิน ๑,๒๗๔.๔๖ ล้านบาท ๒. โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการและกรอบวงเงิน รวม ๓๘๗ โครงการ วงเงินรวม ๖๖๕,๐๒๓.๙๖ ล้านบาท มีโครงการที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๒ กระทรวง และ ๒ ส่วนราชการไม่สังกัดฯ รวมทั้งสิ้น ๔๘ โครงการ (จาก ๓๘๗ โครงการ) วงเงิน ๑๐,๕๙๗.๒๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๕๙ ของกรอบวงเงิน และได้เสนอตั้งให้รวมจำนวน ๓๒ โครงการ วงเงิน ๒,๒๘๕.๘๖ ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๕๗ ของวงเงินที่ขอรับการจัดสรร) และโครงการที่ขอใช้งบประมาณจากเงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นโครงการในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม/เกษตร เพียงด้านเดียวโดยขอใช้เงินกู้ จำนวน ๔๖ โครงการ วงเงิน ๔๗,๔๗๗.๑๓ ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ ๗.๑๔ ของกรอบวงเงิน)
|
.....