ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1536 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30701 - 30720 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30701 | ข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน เพื่อสนับสนุนหน่วยงานภาคราชการให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการปรับตัวของระบบราชการให้สามารถรองรับต่อยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและสร้างอนาคตของประเทศ ตลอดจนการตอบสนองความต้องการของประชาชนตามสภาพแวดล้อมและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอันจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความสำเร็จในการสร้างคุณค่าแก่ประชาชน ยกระดับธรรมาภิบาลของประเทศ และทำให้ประชาชนมีความเชื่อถือไว้วางใจในการทำงานของภาคราชการ โดยครอบคลุมระยะเวลาดำเนินการรวมทั้งสิ้นประมาณ ๓ ปี เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๕ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ การดำเนินงานแยกออกเป็น ๓ ส่วน ประกอบด้วย ๘ โครงการสำคัญ ๆ ดังนี้ ๑.๑.๑ ส่วนที่ ๑ การส่งเสริมและพัฒนาการบริหาร/ธรรมาภิบาลในภาคราชการผ่านการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ประกอบด้วย ๒ โครงการ คือ โครงการส่งเสริมและพัฒนาความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน และโครงการส่งเสริมและยกระดับธรรมาภิบาลในส่วนราชการ ๑.๑.๒ ส่วนที่ ๒ การพัฒนากลไกการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลในระบบราชการแบบยั่งยืน ประกอบด้วย ๕ โครงการ คือ โครงการทบทวนบทบาทและโอนถ่ายภารกิจของภาครัฐให้แก่ภาคส่วนอื่น ๆ โครงการส่งเสริมให้ภาคส่วนอื่น ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารกิจการบ้านเมือง โครงการจัดวางระบบความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โครงการพัฒนาระบบการบริหารงานแบบบูรณาการ และโครงการออกแบบและวางระบบบริหารราชการรูปแบบใหม่ ๑.๑.๓ ส่วนที่ ๓ การพัฒนาระบบสนับสนุนการพัฒนาธรรมาภิบาล ประกอบด้วย ๑ โครงการ คือ โครงการวัดระดับความเชื่อถือและไว้วางใจในการบริหารงานภาครัฐ ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการตามแผนงาน ให้ใช้จากส่วนที่เหลือจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาแผนการใช้เงินในรายละเอียดก่อนโอนเงินให้ดำเนินการต่อไป และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอรายละเอียดแต่ละโครงการตามแนวทางและหลักเกณฑ์ของการใช้จ่ายเงินกู้ SAL ตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณา แล้วเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแผนการใช้เงินในรายละเอียดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
30702 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างโอกาสการมีงานทำของผู้สูงอายุ" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างโอกาสการมีงานทำของผู้สูงอายุ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการขยายโอกาสการจ้างงาน ๑.๑ ภาครัฐ เช่น ควรกำหนดเป้าหมายในการเพิ่มการจ้างงานผู้สูงอายุ รวมทั้งการกำหนดอายุเกษียณที่เหมาะสมตามประเภทอาชีพ ควรเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีประสบการณ์ ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญซึ่งได้เกษียณอายุไปแล้วให้สามารถทำงานต่อไปได้ เป็นต้น ๑.๒ ภาคเอกชน เช่น ควรมีมาตรการจูงใจแก่ธุรกิจภาคเอกชนที่มีคนทำงานในวัยสูงอายุ กำหนดแผนงาน โครงการ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักในการออกเกณฑ์ต่าง ๆ สำหรับการจ้างงานผู้สูงอายุ และทำให้บริษัทต่าง ๆ เกิดการยอมรับการจ้างงานผู้สูงอายุ เป็นต้น ๑.๓ ภาครัฐและเอกชน เช่น ควรเปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าสู่วัยเกษียณและมีความสมัครใจจะทำงานต่อทั้งภาครัฐและเอกชนได้รับการพิจารณา จัดโครงการแนะแนวการจ้างงานผู้สูงอายุ ควรรณรงค์ ส่งเสริม ให้ความรู้ต่อสังคมในการปฏิบัติต่อผู้สูงอายุและการปฏิบัติตนของผู้สูงอายุ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ตลอดจนการเตรียมตัวเข้าสังคม การให้คำปรึกษาเพื่อการจ้างงาน และการเปิดโอกาสให้มีทางเลือกที่ยืดหยุ่นในตำแหน่งงานได้ เป็นต้น ๒. ด้านการส่งเสริมการแข่งขันลดต้นทุนของแรงงานสูงอายุ เช่น ควรมีการปรับเปลี่ยนการขึ้นค่าจ้างตามอายุงานมาใช้ในการปรับค่าจ้างตามผลงาน ควรส่งเสริมให้สถานประกอบการ บริษัท และโรงงาน มีนโยบายการจัดทำโครงสร้างบุคลากรและการจ้างงานผู้สูงอายุ เป็นต้น ๓. ด้านการเพิ่มทักษะและมูลค่าของแรงงานสูงอายุ เช่น กำหนดคุณสมบัติทางทักษะของกำลังแรงงาน และระบบการจ้างงานตามทักษะ ให้ความช่วยเหลือแรงงานสูงอายุ สำหรับผู้ที่ยังหางานไม่ได้ มุ่งเน้นส่งเสริมความสามารถในการจ้างงานผู้สูงอายุให้มากขึ้น เป็นต้น ๔. ด้านการปรับทัศนคติในทางบวกต่อการจ้างงานผู้สูงอายุ เช่น รณรงค์ ส่งเสริม ให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนทัศนคติเพื่อให้เกิดการจ้างงานผู้สูงอายุ รณรงค์ให้มีการดำเนินโครงการที่มีเป้าหมายให้ลูกจ้างอายุ ๕๐ ปีขึ้นไป ได้เข้าร่วมการสร้างประชาคม เครือข่ายผู้สูงอายุที่คล่องแคล่วกระตือรือร้น และรัฐควรปรับทัศนคติ ให้คนในสังคมเห็นคุณค่าของผู้สูงอายุ และนำภูมิปัญญาของผู้สูงอายุกลับมาพัฒนาสังคม เป็นต้น ๕. ด้านกฎหมาย เช่น ควรมีแนวทางหรือมาตรการในการปรับแก้อายุเกษียณของภาคราชการ จาก ๖๐ ปีให้สูงขึ้น โดยเป็นไปตามความเหมาะสม รวมทั้งการกำหนดอายุการทำงานภาคเอกชนจาก ๕๕ ปี ควรเป็น ๖๐ ปี หรือมากกว่านั้นตามความเหมาะสม ควรมีการปรับแก้ เพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุด้านต่าง ๆ เช่น การจ่ายเงินชดเชย การจ้างงาน การจัดสวัสดิการช่วยเหลือในกรณีต่าง ๆ เป็นต้น ๖. ด้านการดูแลด้านคุณภาพชีวิตและให้บริการสังคมแก่ผู้สูงอายุ เช่น สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีด้านร่างกายและจิตใจ โดยให้ความรู้ด้านสุขภาพ พัฒนาด้านจิตใจให้ผู้สูงอายุในสังคมเป็นคนที่มีคุณค่าอยู่เสมอ ควรส่งเสริมให้มีการเก็บออมเงิน ตั้งแต่เริ่มต้นเข้าทำงาน เพื่อไม่ต้องรอเงินหลังเกษียณอายุ และภาครัฐควรสนับสนุนงบประมาณด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในวัย ๕๐ ปีขึ้นไป ให้เข้ารับการตรวจสุขภาพ เพื่อเป็นการป้องกันโรคมากกว่าการรักษาโรค เป็นต้น ๗. ด้านอื่น ๆ เช่น ควรเปิดโอกาสให้มีการเข้าถึงกองทุนผู้สูงอายุได้ง่ายขึ้น ควรจัดให้มีศูนย์การให้คำปรึกษางานกับผู้สูงอายุ เป็นศูนย์ให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่มีทุกภาค ในระดับจังหวัด ควรมีการคัดกรองผู้สูงอายุที่มีความเดือดร้อนแต่ละชุมชนหรือที่อยู่ตามชนบทเพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือในเบื้องต้น และเสนอให้แรงงานที่มีอายุตั้งแต่ ๔๕ ปีขึ้นไป สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนต่าง ๆ ของผู้สูงอายุได้ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
30703 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ และพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ๒. กำหนดนิยามคำว่า “อาหารสัตว์” “อาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ” “ผลิต” “ขาย” “นำเข้า” “ส่งออก” “ภาชนะบรรจุ” “ฉลาก” “ผู้รับใบอนุญาต” “ผู้อนุญาต” เป็นต้น ๓. กำหนดให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศกำหนดเพื่อประโยชน์ในการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ เช่น ชื่อ ประเภท ชนิด ลักษณะ คุณภาพหรือมาตรฐานของอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ หรือที่มิใช่อาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ ตลอดจนหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการผลิตเพื่อขาย นำเข้าเพื่อขาย หรือขายอาหารสัตว์นั้น เป็นต้น ๔. กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๕. กำหนดให้ผู้ใดประสงค์จะผลิตเพื่อขาย หรือนำเข้าเพื่อขาย หรือจะขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะตามมาตรา ๖ (๑) ให้ยื่นคำขออนุญาต และเมื่อผู้อนุญาตออกใบอนุญาตให้แล้วจึงจะผลิตเพื่อขาย หรือนำเข้าเพื่อขาย หรือจะขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะนั้นได้ และกำหนดให้ใบอนุญาตมี ๓ ประเภท ได้แก่ ใบอนุญาตผลิตอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะให้ใช้ได้สามปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต ใบอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะให้ใช้ได้หนึ่งปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต และใบอนุญาตขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะให้ใช้ได้จนถึงวันสิ้นปีปฏิทินแห่งปีที่ออกใบอนุญาต ๖. กำหนดหน้าที่ให้ผู้รับใบอนุญาตผลิต หรือนำเข้า หรือขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะปฏิบัติ เช่น จัดให้มีป้ายไว้ในที่เปิดเผยซึ่งเห็นได้ง่ายจากภายนอกอาคารแสดงว่าเป็นสถานที่ผลิต หรือนำเข้า หรือขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ เป็นต้น ๗. กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๕ ที่ประสงค์จะผลิต หรือนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะใด ต้องนำอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะนั้นมาขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ และเมื่อได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะนั้นแล้วจึงจะผลิตหรือนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะนั้นได้ ๘. กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการ กรณีผู้ขอรับใบอนุญาตประสงค์จะเลิกกิจการที่ได้รับอนุญาต กรณีผู้รับใบอนุญาตไม่ต่ออายุใบอนุญาตหรือผู้อนุญาตไม่อนุญาตให้ต่อใบอนุญาต ๙. กำหนดให้ผู้อนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมีอำนาจสั่งพักใบอนุญาตในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ สั่งเพิกถอนใบอนุญาต กรณีผู้รับใบอนุญาตกระทำความผิดตามมาตรา ๕๖ (๑) และกรณีผู้รับใบอนุญาตฝ่าฝืนคำสั่งพักใช้ใบอนุญาต ๑๐. กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์จะขอให้ผู้อนุญาตออกใบรับรองระบบการประกันคุณภาพอาหารสัตว์หรือใบรับรองอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับอาหารสัตว์ก็ได้ โดยผู้ร้องขอจะต้องเสียค่าธรรมเนียม ๑๑. กำหนดห้ามผลิตเพื่อขาย นำเข้าเพื่อขาย หรือขายอาหารสัตว์ปลอมปน เสื่อมคุณภาพ ผิดมาตรฐาน อาหารสัตว์ที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน หรือที่อธิบดีสั่งเพิกถอนทะเบียนหรือที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา ๖ (๓) ๑๒. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการโฆษณาอาหารสัตว์ ๑๓. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และกำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ๑๔. กำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ๑๕. กำหนดให้ใบอนุญาตผลิต นำเข้า หรือขายอาหารสัตว์ที่ออกตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้คงใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุใบอนุญาตนั้น หรือจนกว่าผู้อนุญาตจะมีคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ที่ออกตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คงใช้แทนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ |
||||||||||||||||||||||||
30704 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "สังคมเข้มแข็ง ประเทศมั่นคง" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "สังคมเข้มแข็ง ประเทศมั่นคง" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันพระปกเกล้า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล เช่น รัฐบาลควรกำหนดเป็นนโยบายว่า จะให้ความสำคัญเรื่องความสุขของประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง รัฐบาลควรสร้างสังคมให้เข้มแข็ง ประเทศให้มั่นคง ภายใน พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญาชี้นำการบริหารและพัฒนาประเทศ ชี้นำการดำรงชีวิตและการปฏิบัติตนของคนไทยทุกระดับ เป็นต้น ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสังคมเข้มแข็ง เช่น รัฐบาลและทุกภาคส่วนในสังคมควรสร้างสังคมแห่งเศรษฐกิจพอเพียง สังคมแห่งศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม สังคมแห่งภูมิปัญญา และการเรียนรู้ สังคมสมานฉันท์และเอื้ออาทรต่อกันให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ทำนุบำรุงส่งเสริมศาสนา ส่งเสริมวัฒนธรรมซึ่งเป็นมรดกที่มีค่าของชาติ และการปฏิรูปการปกครอง เพื่อให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงและสมบูรณ์ เป็นต้น ๓. ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ รัฐบาลและทุกภาคส่วนในสังคมควรดำเนินการส่งเสริมสถาบันหลักแห่งความมั่นคงของชาติ ได้แก่ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ให้สถิตสถาพรตลอดไป ขจัดค่านิยมที่ไม่พึงประสงค์ที่ทำลายความมั่นคงของชาติ อาทิ ค่านิยมธนาธิปไตย เห็นเงินเป็นใหญ่ เห็นเงินเป็นพระเจ้า ยกย่องนับถือคนที่มีเงิน มีอำนาจ มีตำแหน่งสูง แม้ว่าผู้นั้นจะได้เงินมาโดยทางทุจริต โดยทางมิชอบ ป้องกันแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดซึ่งมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และเป็นปัญหาที่บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
30705 | ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี ครั้งที่ 1/2554 | คค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๔ โดยที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าของการดำเนินการตามมติที่ประชุมที่ผ่านมา และเห็นชอบในหลักการให้ยุติบทบาทโดยยุบเลิกบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) ส่วนการดำเนินการให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ถือหุ้น คือ กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังรับไปดำเนินการต่อไป และการแก้ไขปัญหาโพงพางกีดขวางทางเดินเรือ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง เป็นเจ้าภาพ และให้กองทัพเรือ ตำรวจน้ำ และกรมเจ้าท่าร่วมกันพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาโพงพางกีดขวางทางเดินเรือ บริเวณปากอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดสมุทรปราการ บริเวณร่องน้ำสงขลา จังหวัดสงขลา และบริเวณแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม โดยเร็ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ยกเว้นในส่วนของเรื่อง การแก้ไขปัญหาโพงพางกีดขวางทางเดินเรือ มอบให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานเจ้าภาพร่วมกับกระทรวงกลาโหม (กองทัพเรือ) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) กระทรวงมหาดไทย (ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้อง) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบังคับการตำรวจน้ำ) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวและเร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ปัญหาโพงพางกีดขวางทางเดินเรือ โดยให้นำข้อมูลเกี่ยวกับความจำเป็นพื้นฐานของชาวประมง และทางเลือกอื่นหากต้องเลิกใช้โพงพางเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพมาประกอบการพิจารณา เพื่อให้ชาวประมงมีรายได้ที่เพียงพอและบรรเทาความเดือดร้อนจากการปฏิบัติตามกฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30706 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์ และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรองและใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับหนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกนอกราชอาณาจักร เป็นวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นไปอย่างราบรื่นในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลไทยในการส่งกลับแรงงานต่างด้าว ในระหว่างนี้ ก่อนที่ร่างกฎกระทรวงฯ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหารืออย่างใกล้ชิดกับประเทศต้นทาง (เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา) และประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการ และแรงงานต่างด้าว เข้าใจในการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อไม่ให้เป็นการบั่นทอนแรงจูงใจของแรงงานต่างด้าวในการเข้าสู่ระบบการทำงานในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30707 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2553 พ.ศ. .... | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันมีคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณรับผิดชอบดำเนินการอยู่แล้ว โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30708 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวที่เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนทั้งประเภทผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยใน โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวางแนวทางในการกำกับและติดตาม เพื่อไม่ให้เกิดการรักษาพยาบาลที่เกินความจำเป็น จนนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของภาระค่าใช้จ่ายในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30709 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (การแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทยและคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย) | สธ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย และคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. คณะกรรมการอำนวยการยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม มีอำนาจหน้าที่ กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับแนวนโยบายระดับชาติ เสนอแนะนโยบายแก่คณะรัฐมนตรี อำนวยการ สั่งการ เร่งรัด สนับสนุน กำกับติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการ ส่วนราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางและมาตรการที่ได้กำหนดไว้ รวมทั้งบูรณาการแผน งบประมาณ และการปฏิบัติการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและสุขภาพพอเพียง ๒. คณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีไทย ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นรองประธานกรรมการ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับมอบหมาย รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้รับมอบหมาย และผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม มีอำนาจหน้าที่วิเคราะห์สถานการณ์ปัญหา กลุ่มเป้าหมาย ทรัพยากร และความต้องการสนับสนุนของภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จัดทำข้อเสนอนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ แนวทางและมาตรการดำเนินงาน ทั้งในระดับส่วนกลางและระดับพื้นที่ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายให้สอดคล้องกันในทุกระดับ นำนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากคณะกรรมการอำนวยการฯ ไปสู่การปฏิบัติการ รวมทั้งอำนวยการ สั่งการ เร่งรัด สนับสนุน ติดตามกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติงานขององค์กรและหน่วยปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบาย แผน และแนวทางการดำเนินงานที่กำหนดไว้ ตลอดจนให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ ดำเนินการด้านวิชาการ และสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการฯ
|
||||||||||||||||||||||||
30710 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 (ผลคืบหน้าเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการส่งเสริมและให้สินเชื่อแก่เกษตรกร) | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลความคืบหน้าเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการส่งเสริมและให้สินเชื่อแก่เกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ โดยกระทรวงการคลังได้พิจารณาแนวทางดังกล่าวร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงพาณิชย์ โดยมีแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกร ๓ แนวทาง ดังนี้
๑. มาตรการรับจำนำมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อยกระดับราคามันสำปะหลังตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง โดย ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการรับจำนำมันสำปะหลังตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จนถึงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งรับจำนำมันสำปะหลังแล้ว จำนวน ๒๕,๐๙๘ ตัน เป็นจำนวนเงิน ๖๙ ล้านบาท ๒. ธ.ก.ส. ชะลอการเร่งรัดชำระหนี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยการเปลี่ยนแปลงกำหนดชำระคืนเงินกู้กรณีเกษตรกรมีหนี้เงินกู้ที่ถึงกำหนดชำระคืนภายในปีบัญชี ๒๕๕๔ คือ หากไม่สามารถชำระหนี้ได้เพราะยังไม่สามารถขุดมันสำปะหลังขายหรือจำนำได้ให้เปลี่ยนแปลงกำหนดชำระคืนเป็นวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๓. ธ.ก.ส. กำหนดมาตรการจ่ายสินเชื่อชะลอขุดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรกรณีที่ยังไม่สามารถขุดมันสำปะหลังขายหรือจำนำได้ โดย ธ.ก.ส. จะจ่ายสินเชื่อเพื่อชะลอขุดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ แก่เกษตรกร ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้เตรียมพร้อมในการดำเนินการโดยได้เสนอคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว |
||||||||||||||||||||||||
30711 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานรายงานฐานะของกองทุนพลังงานทั้งหมดให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน
|
||||||||||||||||||||||||
30712 | การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) | พณ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ดำเนินการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามแผนการนำเข้าและระบายผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามที่ อคส. เสนอ โดยเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (เมล็ด) ชนิดดีจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปริมาณ ๓๐,๐๐๐ ตัน ระยะเวลานำเข้า เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕ เพื่อจำหน่ายให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รายย่อยภายในประเทศในราคาต่ำกว่าราคาหน้าฟาร์มของเกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อยที่ซื้ออยู่ โดยให้ อคส. เร่งนำเข้าก่อนผลผลิตฤดูกาลใหม่จะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรขายได้ในประเทศตกต่ำ ๒. ให้ อคส. กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยใช้วงเงินกู้จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของ อคส. (จ่ายขาด) ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ตั้งไว้แล้วสำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และหากไม่เพียงพอ ให้ อคส. ขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้จ่ายจากเงินงบกลางเพิ่มเติมต่อไป รวม ๓๗.๕๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
30713 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๖๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑๑๘,๕๗๑.๘๑๔ ล้านบาท มีการจัดสรรเพิ่มเติม โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๖๗,๕๕๗.๑๘๓ ล้านบาท เปรียบเทียบกับแผนฯ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๕,๙๖๐.๘๔๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑๑,๕๙๖.๓๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๐.๗๒ เนื่องจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในบางส่วน ๑.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการแล้วมีการเบิกจ่ายสะสม ณ วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๗,๔๖๐.๓๓๙ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๔,๓๔๐.๖๗๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๓,๑๑๙.๖๖๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๐๔ ๑.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาฯ แล้ว เป็นเงิน ๗๒,๒๘๖.๙๙๙ ล้านบาท (ร้อยละ ๖๐.๙๖ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้น ๔,๑๘๙.๗๖๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖.๑๕ และยังไม่ลงนามในสัญญาฯ เป็นเงิน ๔๖,๒๘๔.๘๑๕ ล้านบาท (ร้อยละ ๓๙.๐๔ ของวงเงินจัดสรร) ลดลง ๓,๙๖๑.๐๕๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๘๘ เนื่องจากมีการทำสัญญาฯ เพิ่มเติม แต่ส่วนราชการยังไม่มีการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๓ กลุ่ม ดังนี้ ๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่าย ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ จำนวน ๕ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๕๔.๗๑๒ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๑ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒๒.๔๐๙ ล้านบาท (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ แล้ว แต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย จำนวน ๑๐ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๔,๒๘๒.๗๙๘ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๓๖๑.๓๙๖ ล้านบาท ๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการใช้จ่ายสะสม ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ จำนวน ๒๐ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓๔,๒๓๓.๓๔๐ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๒๐ หน่วยงาน เป็นเงิน ๖,๔๒๗.๕๒๓ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๑,๒๕๐.๖๐๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๓๕ ของแผนการใช้จ่ายสะสม (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ จำนวน ๕ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓๑,๘๘๔.๕๓๒ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๕ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒๑,๓๗๙.๖๓๖ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๕,๐๒๑.๑๑๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๒.๓๒ ของแผนการใช้จ่ายสะสม และ (๓) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๕๐ ถึง ๘๐ จำนวน ๘ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓,๖๑๐.๓๗๘ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๘ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒,๒๗๑.๙๗๗ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๒,๑๖๖.๔๘๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๖.๔๓ ของแผนการใช้จ่ายสะสม ๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๖ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๔๔,๕๐๖.๐๕๕ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๑๖ หน่วยงาน เป็นเงิน ๔๑,๘๒๔.๐๕๙ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๓๙,๐๒๒.๑๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๐๖.๐๖ ของแผนการใช้จ่ายสะสม เนื่องจากบางหน่วยงานเบิกจ่ายก่อนแผนฯ ที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||
30714 | การแต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา | ศธ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา ประกอบด้วยกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชน กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพ กรรมการที่เป็นพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์ กรรมการที่เป็นผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔๑ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
30715 | การแต่งตั้งประธานกรรมการ กรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ | สบร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการ กรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อทำหน้าที่กำหนดทิศทาง เป้าหมาย นโยบาย ตลอดจนการควบคุมกิจการทั่วไปของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ อำนาจหน้าที่ ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๗ และตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เสนอ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ดังนี้
๑. นายทรงศักดิ์ เปรมสุข ประธานกรรมการ ๒. เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กรรมการ ๓. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กรรมการ ๔. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ ๕. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ ๖. นางสิริกร มณีรินทร์ กรรมการ ๗. นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา กรรมการ ๘. นายไชยยง รัตนอังกูร กรรมการ ๙. นายสมชัย ส่งวัฒนา กรรมการ ๑๐. นาายอนุพร อรุณรัตน์ กรรมการ ๑๑. ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ กรรมการและเลขานุการ
|
||||||||||||||||||||||||
30716 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๖ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันอังคารที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๗ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพุธที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ รวมทั้งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๓๑ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
30717 | การแก้ไขปัญหาระบบการสื่อสารขัดข้องในภาวะวิกฤต | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเมื่อมีเหตุการณ์วิกฤตฉุกเฉินทั้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ประเทศไทยหรือนอกประเทศอันอาจมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย เช่น กรณีการเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ เป็นต้น ระบบการสื่อสารและโทรคมนาคมที่มีใช้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบโทรศัพท์มักเกิดปัญหาขัดข้อง ใช้การไม่ได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการติดต่อสื่อสารระหว่างกันของประชาชน รวมทั้งการแจ้งเตือนภัยและการบริหารจัดการต่าง ๆ เพื่อรองรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที จึงให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยด่วน โดยอาจพิจารณาขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายระบบการสื่อสารต่าง ๆ ให้เพิ่มช่องทางการสื่อสารในช่วงที่เกิดภาวะวิกฤตเป็นการเฉพาะแยกออกจากช่องทางการสื่อสารในภาวะปกติ และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
30718 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวง | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ว่ากรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ มอบหมายเป็นหลักการให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการของกระทรวงนั้น เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการของกระทรวงไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้รักษาราชการแทนรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการของกระทรวงนั้นเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||
30719 | การเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย) โดยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เร่งรัดติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย และรายงานความคืบหน้าในภาพรวมให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ นั้น โดยที่ปัจจุบันการดำเนินโครงการฯ หลายส่วนยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายเท่าที่ควร จึงขอให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการ จังหวัด กลุ่มจังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ โดยใช้ฐานข้อมูลและแผนที่ในการประกอบการดำเนินงานที่มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และ กบอ. สามารถรวบรวมและประมวลข้อมูลในภาพรวมในฐานะหน่วยงานศูนย์กลาง (centre) ในการบริหารจัดการในเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป สำหรับโครงการในระดับจังหวัด ให้รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการเป็นรายจังหวัด โดยจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่บริเวณต้นน้ำให้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ บริเวณกลางน้ำภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ และบริเวณปลายน้ำภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ตามลำดับ ทั้งนี้ โครงการต่าง ๆ ที่ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เช่น โครงการการติดตั้งกล้องวงจรปิด การติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำและเครื่องสูบน้ำบริเวณคูคลองต่าง ๆ เป็นต้น ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการจัดทำระบบการตรวจสอบติดตาม โดยประสานงานกับ กบอ. ต่อไปด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ที่มีโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) และอยู่ในกรอบบูรณาการการบริหารจัดการน้ำของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕] เร่งรัดจัดทำรายละเอียดและคำของบประมาณโครงการที่เกี่ยวข้อง แล้งส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วน โดยคำขอดังกล่าวจะต้องเสนอโดยรัฐมนตรีต้นสังกัด และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพหลักในการพิจารณากลั่นกรองรายละเอียด ความสมบูรณ์ของเอกสาร และความพร้อมของโครงการต่าง ๆ ในเบื้องต้นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก่อนนำเสนอ กบอ. พิจารณาตามขั้นตอนตามระเบียบและอำนาจหน้าที่ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30720 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... | ทส | 17/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็บชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดคำนิยาม “ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง” “เขตอนุรักษ์” “คณะกรรมการ” “พนักงานเจ้าหน้าที่” ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ โดยมีหน้าที่ในการเสนอนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็น ข้อเสนอแนะ และคำปรึกษา ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐเพื่อให้ดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายและแผนฯ เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามีมติตามที่เห็นสมควรในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ปฏิบัติตามนโยบายและแผนฯ และพิจารณาให้ความเห็นชอบในการออกกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์และพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๑.๓ กำหนดให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงานธุรการทั่วไปของคณะกรรมการ การเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการเพื่อการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ฯลฯ ๑.๔ กำหนดให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอาจพิจารณาให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนชุมชนในเขตพื้นที่ชายฝั่ง ทะเล หรือเกาะ ในการบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน การให้คำปรึกษาแก่ชุมชนในการบริหารจัดการ ฯลฯ ๑.๕ กำหนดให้อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจสั่งให้บุคคลที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งระงับการกระทำดังกล่าวเป็นการชั่วคราวและแนวทางในการดำเนินการ ตลอดจนมีอำนาจแก้ไขหรือบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น ๑.๖ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่บริเวณหนึ่งบริเวณใดเป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๑.๗ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อควบคุมและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอาจถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเข้าขั้นวิกฤติ รวมทั้งกำหนดหน่วยงานของรัฐที่จะเป็นผู้ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ๑.๘ กำหนดอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่หรือตรวจค้นสถานที่หรือยานพาหนะเพื่อตรวจสอบและควบคุม ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งสั่งให้บุคคลออกจากพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ฯลฯ ๑.๙ กำหนดบทกำหนดโทษกรณีไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายในการระงับการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามที่กำหนดในพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ฯลฯ รวมทั้งกำหนดโทษสำหรับกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นนิติบุคคล โดยให้กรรมการ ผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนการคงไว้ซึ่งคณะกรรมการระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่น โดยให้มีองค์ประกอบจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานของรัฐ ภาคประชาสังคม เครือข่ายชุมชน นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้าน และผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจและให้เป็นไปตามเจตนารมณ์พื้นฐานของการยกร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ นอกจากนี้ ในมาตรา ๑๕ ให้อำนาจรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเล ในการกำหนดพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณหนึ่งบริเวณใดเป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ จึงควรเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นหลังจากการกำหนดพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....