ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1535 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30681 - 30700 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30681 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 | สว | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรมีการแก้ไขบทบัญญัติของพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยเฉพาะคำนิยามที่มีความบกพร่อง ไม่ชัดเจน คลุมเครือ ๒. ต้องมีการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อบัญญัติและกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงานขึ้นมา และควรจัดทำคู่มือของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนสรุปข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานช่วยเหลือผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๓. ต้องออกกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานและบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมที่ปฏิบัติงานคุ้มครองช่วยเหลือบุคคลที่ได้รับความรุนแรงในครอบครัวหรือทีมสหวิชาชีพ มีบทบาทที่ชัดเจน และควรมีการจัดฝึกอบรมผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงาน ๔. ต้องมีกฎหมาย ระเบียบวิธีปฏิบัติหรือคำสั่งที่บังคับหรือส่งเสริมและสนับสนุนให้ศาลออกคำสั่งกำหนดการมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ตามมาตรา ๑๐ ๕. ควรปฏิรูปบุคลากรในหน่วยงานของกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ให้มีความเข้าใจในกฎหมายและให้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย อีกทั้งนำกฎหมายไปบังคับใช้อย่างจริงจัง รวมทั้งต้องทำงานให้สอดคล้องกันและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๖. รัฐต้องส่งเสริมศักยภาพโดยเฉพาะด้านงบประมาณให้แก่หน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชนให้ทำงานกันอย่างใกล้ชิดในการป้องกันและยุติปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยการรณรงค์ปรับเปลี่ยนทัศนคติและการเลือกปฏิบัติของประชาชน ๗. พนักงานสอบสวนควรทำความเข้าใจกฎหมาย ปรับปรุงรูปแบบการทำงานทัศนคติและวิธีการดำเนินคดี ๘. สำนักงานอัยการสูงสุดต้องออกระเบียบการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ขึ้นมาบังคับใช้ ๙. สำนักงานศาลยุติธรรมต้องมีการคัดเลือกและอบรมผู้พิพากษาให้มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ๑๐. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ควรมีการจัดอบรมเผยแพร่และให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง กว้างขวาง และครอบคลุมทุกพื้นที่เท่าที่สามารถทำได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30682 | ผลการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ปี 2555 | กต | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ปี ๒๕๕๕ (2012 Nuclear Security Summit : NSS) ซึ่งนายกรัฐมนตรีและคณะได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโซล และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมเต็มคณะ มีเนื้อหาโดยสรุปเกี่ยวกับการดำเนินการของไทยเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์ในฐานะหนึ่งในประเทศที่เป็นศูนย์กลางด้านการค้าและการขนส่งของภูมิภาค ได้แก่ การเข้าร่วมความริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายที่ใช้นิวเคลียร์ (Global Initiative to Combat Nuclear Terrorism - GICNT) ภายหลังจากการประชุม NSS ครั้งแรก การเตรียมการเข้าร่วมความริเริ่มด้านความมั่นคงเกี่ยวกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Proliferation Security Initiative - PSI) การให้ความสำคัญกับการสืบค้นร่องรอยทางนิวเคลียร์ และการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านนี้ของไทย พร้อมทั้งได้เสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเตรียมการ (Sherpa meeting) สำหรับการประชุม NSS ครั้งต่อไปที่กรุงเฮกในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยจะเป็นเจ้าภาพต่อจากการประชุม Sherpa ครั้งแรก ซึ่งตุรกีได้เสนอจะจัดการประชุมดังกล่าวแล้ว ๒. ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์กรุงโซลเป็นผลลัพธ์ของการประชุม โดยแถลงการณ์ดังกล่าวมีเนื้อหาเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางนิวเคลียร์ โดยเฉพาะการคุ้มครองทางกายภาพต่อวัสดุนิวเคลียร์ และการป้องกันการลักลอบค้าวัสดุนิวเคลียร์ บทบาทของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์ การลดการใช้แร่ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูง การสร้างศักยภาพด้านการตรวจพิสูจน์หาร่องรอยวัสดุนิวเคลียร์ และการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้ระบุว่าจะมีการจัดการประชุม NSS ครั้งต่อไปที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ๓. การประชุม NSS ครั้งนี้ เป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์และการต่อต้านการก่อการร้ายที่ใช้นิวเคลียร์ แต่อาจเกี่ยวพันกับรัฐบาลไทยในเชิงนโยบายและเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของหลายหน่วยงานของไทย เพื่อให้บรรลุตามเจตนารมณ์ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการทำงานที่มีความเชื่อมโยงและบูรณาการกันของหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องและการส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยหน่วยงานของไทยที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าว ได้แก่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ) กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก กรมเจ้าท่า กรมการบินพลเรือน) กระทรวงกลาโหม (กรมยุทธการทหารบก กรมยุทธการทหารเรือ กรมยุทธการทหารอากาศ กรมยุทธการทหาร) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล การท่าเรือแห่งประเทศไทย และบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) |
||||||||||||||||||||||||||||||
30683 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาหลังภัยพิบัติอุทกภัย" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาหลังภัยพิบัติอุทกภัย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือและเยียวยา ระยะเร่งด่วน ดำเนินการโดยใช้ระยะเวลาไม่เกิน ๖ เดือน เช่น ควรเร่งรัดการให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามมาตรการที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ โดยด่วนที่สุด อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และควรมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาประชาชนผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ประสบอุทกภัยแต่ไม่มีบ้านเลขที่ โดยให้ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้นำชุมชน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ลงนามรับรองว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจริง เป็นต้น ๒. การฟื้นฟู ระยะสั้น-ปานกลาง ดำเนินการโดยใช้ระยะเวลาอย่างน้อย ๑-๕ ปี เช่น กระทรวงการคลังควรกำหนดนโยบายให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินนโยบายด้านการเงิน โดยการผ่อนปรนการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับกิจการที่ได้รับผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้มีการรีไฟแนนซ์ หรือพิจารณาเงินกู้พิเศษสำหรับฟื้นฟูธุรกิจ และควรมีมาตรการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชน หรือแรงงานตกงานจากอุทกภัย เป็นต้น ๓. การพัฒนา ระยะยาว ดำเนินการโดยใช้ระยะเวลามากกว่า ๕ ปี เช่น ควรเพิ่มอำนาจหน้าที่และประสิทธิภาพขององค์กรด้านการอำนวยการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติระดับชาติที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้น และมีการบริหารจัดการอย่างมีเอกภาพ รับผิดชอบในการอำนวยการช่วยเหลือ เยียวยาผู้ประสบภัย ให้ข้อมูลข่าวสารแก่สาธารณะอย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ ควรปรับปรุงผังเมืองรวมของประเทศให้รองรับต่อการจัดการอุทกภัย ควรตั้งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัย การช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบอุกทกภัย ควรให้มีผู้แทนของภาคประชาสังคม หรือประชาชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และควรมีกระบวนการกำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกการปฏิบัติงานฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย เป็นต้น ๔. ควรดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากอุทกภัย การช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบภัยอย่างโปร่งใส ทั่วถึง ปราศจากการคอร์รัปชั่น และรัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจดำเนินการในภาวะวิกฤติ ๕. ควรให้มีผู้แทนของภาคประชาสังคม หรือประชาชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการตั้งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัย การช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ๖. ควรมีกระบวนการกำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกการปฏิบัติงานฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ๗. ควรจัดเวทีให้ทุกภาคส่วนในสังคมมาร่วมกันสรุปบทเรียนจากมหาอุทกภัยในครั้งนี้ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในปัจจุบัน และที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งระหว่างผู้ประสบภัยในแต่ละพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30684 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทากาศ จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... | มท | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทากาศ จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่บางส่วนของตำบลทาขุมเงิน ตำบลทาทุ่งหลวง และตำบลทากาศ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30685 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลคูหาสวรรค์ ตำบลท่ามิหรำ ตำบลตำนาน และตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลคูหาสวรรค์ ตำบลท่ามิหรำ ตำบลตำนาน และตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลคูหาสวรรค์ ตำบลท่ามิหรำ ตำบลตำนาน และตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทนเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์และส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30686 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ พ.ศ. .... | ศธ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาเทคโนโลยีและสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น ๑.๒ กำหนดสีประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีและสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีสาระสำคัญเป็นเพียงการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และกำหนดสีประจำสาขาวิชาเพิ่มเติมเท่านั้น เห็นควรจัดทำเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับแก้ไขเพิ่มเติมแทนการปรับปรุงทั้งฉบับ ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30687 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร | รง | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร จำนวน ๗ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. พลโท มงคล จิวะสันติการ ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน ๒. นายไกรจักร แก้วนิล ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน ๓. นายวนิชย์ ปักกิ่งเมือง ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน ๔. นายวัชระ แววดำ ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน ๕. นางรัตนา ร่มไทรทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ๖. นายธีรัชฌานนท์ เจียมวิจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม ๗. นายอภิชาติ ถนอมทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30688 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 3 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... | ลต | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ ๓ แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยกำหนดให้วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นวันเลือกตั้ง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30689 | สรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2555 กระทรวงคมนาคม | คค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปจำนวนอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ ๑.๑ การเกิดอุบัติเหตุทางถนน เปรียบเทียบระหว่างช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี ๒๕๕๔ มีจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน ๗๙๙ ครั้ง ลดลงร้อยละ ๔.๓๑ ผู้เสียชีวิต ๑๘๒ คน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๖๔ และจำนวนผู้บาดเจ็บ ๙๐๘ คน ลดลงร้อยละ ๗.๓๕ ตามลำดับ มูลเหตุสันนิษฐานของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓ อันดับแรก คือ ขับรถเร็วเกินกำหนด เมาสุราหรือยาบ้า และคนหรือรถตัดหน้ากระชั้นชิด ประเภทของยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓ อันดับแรก คือ รถจักรยานยนต์ รถปิคอัพบรรทุก ๔ ล้อ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล/รถยนต์นั่งสาธารณะ ๑.๒ การเกิดอุบัติเหตุทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ มีการเกิดอุบัติเหตุทางรถไฟ จำนวน ๗ ครั้ง ผู้เสียชีวิต ๒ คน และผู้บาดเจ็บ ๓ คน และการเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ จำนวน ๒ ครั้ง ผู้เสียชีวิต ๔ คน และผู้บาดเจ็บ ๔ คน สำหรับทางอากาศ ไม่มีรายงานการเกิดอุบัติเหตุ ๑.๓ การเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากรถโดยสารสาธารณะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ มีรถโดยสารสาธารณะเกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น ๔ คัน (รถโดยสารขนาดใหญ่ จำนวน ๒ คัน และรถสองแถว ๒ คัน) ผู้เสียชีวิต ๓ คน และผู้บาดเจ็บ ๒๓ คน ๒. แนวทางการแก้ไขปัญหา ๒.๑ ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทศึกษาและพิจารณาหาแนวทางในการควบคุมความเร็วบนทางหลวงและทางหลวงชนบทให้เพิ่มมากขึ้น ๒.๒ ให้กรมการขนส่งทางบกศึกษาและพิจารณาขยายผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี RFID (Radio Frequency Identification) ในการควบคุมความเร็วอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งหาแนวทางในการควบคุมการใช้รถจักรยานยนต์และรถปิคอัพที่ปลอดภัย เนื่องจากเป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30690 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงวุฒิในคณะกรรมการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ (จำนวน 6 คน) | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ (จำนวน ๖ คน) แทนกรรมการชุดเดิมที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายพนัส สิมะเสถียร ๒. นายหิรัญ รดีศรี ๓. นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ๔. นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ๕. นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม ๖. นายสมชัย ฤชุพันธุ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30691 | การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต และงบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ประกอบด้วย ๒ ระยะ ๔ ขั้นตอน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ระยะเร่งด่วน ดำเนินการในช่วงเดือนมีนาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๑.๑.๑.๑ ขั้นตอนที่ ๑ สร้างความรู้ ความเข้าใจ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕) ได้แก่ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง “การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต” ให้แก่ส่วนราชการ การกำหนดแบบประเมินความพร้อมของการบริหารจัดการในสภาวะวิกฤต (Checklist) และการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยตนเองให้แก่ส่วนราชการ และพัฒนาช่องทางการเรียนรู้ผ่าน e-learning หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักงาน ก.พ.ร. ๑.๑.๑.๒ ขั้นตอนที่ ๒ การเตรียมความพร้อมให้ส่วนราชการ (เดือนมีนาคม - เมษายน ๒๕๕๕) ได้แก่ การทบทวนแผนสำรองฉุกเฉินของส่วนราชการเพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ซึ่งการจัดทำแผนดังกล่าวต้องพิจารณาให้ครอบคลุมในประเด็นสำคัญ เช่น การระบุงานสำคัญที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งมอบงานบริการ การประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่งานสำคัญจะหยุดชะงัก การวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเพื่อประเมินความเสียหายของงานสำคัญที่จะหยุดชะงัก กำหนดลำดับความสำคัญ และจัดสรรทรัพยากร เป็นต้น การกำหนดมาตรการการเตรียมความพร้อมของส่วนราชการ ได้แก่ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านกระบวนการ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล และมาตรการการเตรียมความพร้อมด้านสถานที่และงบประมาณ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๑.๓ ขั้นตอนที่ ๓ ซักซ้อมแผนและนำไปปฏิบัติจริง (เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕) ได้แก่ ส่วนราชการจัดให้มีการอบรมและประชาสัมพันธ์แผนรองรับการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก การจัดให้มีการสื่อสารเพื่อป้องกันและลดความตระหนกของผู้ที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชน รวมทั้งสามารถแจ้งเหตุแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างทันท่วงที การกำหนดสถานที่สำรองเพื่อทำการทดสอบ การทดสอบกับสถานการณ์จริงอย่างน้อยปีละครั้ง โดยบุคลากรของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกระดับต้องมีส่วนร่วมในการทดสอบ การทดสอบและประเมิน รวมทั้งการปรับปรุงแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๒ ระยะยาว ขั้นตอนที่ ๔ ส่งเสริมให้มีการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตอย่างยั่งยืน ดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ได้แก่ การส่งเสริมส่วนราชการให้มีระบบรองรับภาวะวิกฤตที่ยั่งยืน โดยส่วนราชการต้องติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามระบบที่วางแผนไว้ การปรับปรุง สื่อสารสร้างความเข้าใจ และซักซ้อมแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้ครอบคลุมทั้งกระบวนการตามพันธกิจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้านระบบงานต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๒ งบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ได้แก่ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการในส่วนของการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ส่วนราชการผนวกรวมเข้าไปกับแผนการฝึกอบรมที่ส่วนราชการต้องดำเนินการอยู่แล้ว และงบประมาณในส่วนของการนำไปสู่การปฏิบัติ เช่น การจัดหาสถานที่สำรอง การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อให้การบริการไม่หยุดชะงัก เป็นต้น ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตควรคำนึงถึงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจภายใต้ทรัพยากรและงบประมาณที่มีอย่างจำกัดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของแต่ละส่วนราชการควรมีการเชื่อมโยงให้เกิดการบริหารจัดการในภาวะวิกฤตในระดับประเทศ รวมทั้งกรอบระยะเวลาดำเนินการควรพิจารณาปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมและสามารถปฏิบัติงานตามกรอบเวลาได้จริง และควรมีแนวทางการจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตเพื่อให้ทุกส่วนราชการนำไปจัดทำแผนการดำเนินงานตามแต่ภารกิจของแต่ละหน่วยงาน พร้อมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจให้ทุกส่วนราชการที่ต้องจัดทำแผน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานในภาพรวมกรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ภาคราชการ และภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ และจัดทำแผนบูรณาการในเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
30692 | การปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักการปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ดังนี้ ๑.๑.๑ ปรับปรุงเงื่อนไขการดำเนินงานโครงการพักหนี้ฯ ที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการพักหนื้ฯ ซึ่งมีลูกหนี้ที่ต้องเข้ากระบวนการฟื้นฟูศักยภาพต้องเร่งรัดการจัดทำแผนฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้และเริ่มฟื้นฟูลูกหนี้อย่างเป็นรูปธรรมภายหลังสิ้นสุดการรับยื่นแบบแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ตามแผนงานที่คณะทำงานฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้โครงการพักหนี้ฯ กำหนด พร้อมจัดทำแผนการชำระหนี้ใหม่ร่วมกับลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้เริ่มชำระหนี้คืนได้หลังจาก ๑๒ เดือนนับแต่วันที่สิ้นสุดการฟื้นฟูลูกหนี้แต่ละราย หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ตามแผนชำระหนี้ใหม่ได้ หรือไม่สามารถแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีขึ้นจากก่อนเข้าโครงการ ลูกหนี้ดังกล่าวจะยังคงมีสถานะเป็นลูกหนี้พักหนี้ในโครงการพักหนี้ฯ แต่รัฐบาลจะไม่ต่อระยะเวลาชดเชยต้นทุนเงินสำหรับการพักหนี้ในอัตราร้อยละ ๔ ต่อปี ๑.๑.๒ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการซึ่งได้รับการชดเชยต้นทุนเงินจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ ๔ ต่อปี สามารถนำเงินชดเชยที่ได้ไปขยายการให้สินเชื่อพัฒนาภาคเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีการขยายวงเงินสินเชื่อใหม่สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากเงินชดเชยที่ได้รับ ๑.๑.๓ ขยายกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มเติมรูปแบบการช่วยเหลือ โดยเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สถานะปกติของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ โดยมีคุณสมบัติคือ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ และมีสถานะหนี้ปกติ ณ วันที่มายื่นความจำนงเข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ต้องไม่เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อ/ลิสซิ่ง และสินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้ประจำ และต้องไม่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับการลดอัตราดอกเบี้ย หรือได้รับอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษตามข้อตกลงจากสถาบันการเงินนั้น ๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกติตามเงื่อนไขดังกล่าว สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยลูกหนี้สามารถสมัครใจเลือกพักเงินต้นและลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรือลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีโดยไม่พักเงินต้น เป็นระยะเวลา ๓ ปี และลูกหนี้สามารถมีสิทธิ์ขอกู้เพิ่มจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้นตามความสามารถในการชำระหนี้ได้ทั้ง ๒ กรณี โดยการกู้ยืมเพิ่มจะชำระดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ณ วันที่ได้รับการอนุมัติให้กู้เพิ่ม ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาและดำเนินการในรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้าพักหนี้หรือลดภาระหนี้ และเงื่อนไขโครงการสำหรับการเกษตร ตามที่เสนอ ๑.๓ แนวทางเบื้องต้นสำหรับการบรรเทาผลกระทบทางการเงินให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๔ กรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจจากการดำเนินโครงการที่ปรับปรุงใหม่ ในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อปี คิดเป็นวงเงินในช่วงโครงการพักหนี้ ๓ ปี รวมเป็นเงิน ๒๒,๘๕๑.๘๒ ล้านบาท โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอเพิ่มเติมว่า เห็นควรปรับปรุงคุณสมบัติของลูกหนี้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการ จากเดิม “๔.๒.๑ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ ...” เป็น “๔.๒.๑ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ...” ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้กับสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรด้วย เพื่อให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้กับสมาชิกต่อเนื่องได้ และในการจัดทำแผนฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ ควรให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน การออม การลงทุน การบริหารความเสี่ยง และการสร้างวินัยทางการเงิน รวมทั้งการเพิ่มรายได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพและมูลค่าของสินค้าและผลิตภัณฑ์ การลดรายจ่ายและต้นทุนในการประกอบอาชีพ และการสร้างความมั่นคงด้านอาหารในครัวเรือนควบคู่ไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
30693 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 5 นโยบายสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ | สช | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ มติ ๕ นโยบายสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้การสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ เป็นนโยบายสำคัญ โดยมอบให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นแกนประสานการดำเนินงานโดยขอความร่วมมือจากสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย เพื่อให้เกิดคณะกรรมการที่เป็นกลไกการดำเนินการ ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการชุมชนท้องถิ่น ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาชน โดยให้มีผู้แทนชุมชน ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ๑.๒ ขอให้สมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติพิจารณากำหนดเรื่องพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะเป็นหนึ่งในระเบียบวาระของสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อติดตาม ประเมินผลแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ทุกระดับภายในจังหวัด ๑.๓ ขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นองค์กรหลักในการสนับสนุนงบประมาณ และประสานการดำเนินงานร่วมกับสภาองค์กรชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน เครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัด เครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัดใช้เงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๖ มาตรา ๗๘(๓) มาตรา ๘๗(๑) และ (๔) และมาตรา ๑๖๓ ดำเนินการออกแบบและผลักดันให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดการตนเองตามรูปแบบที่เหมาะสม ๒. ให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณสนับสนุนจากท้องถิ่น ไม่ควรกำหนดสัดส่วนไว้เป็นการเฉพาะ แต่ควรขึ้นอยู่กับศักยภาพ ความพร้อมและสถานการณ์คลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และเห็นควรระบุเจ้าภาพหลักในการประสานการจัดตั้งแกนประสานการดำเนินการเพื่อให้เกิดคณะกรรมการที่มีหน้าที่พัฒนากลไกการจัดการตนเองและพัฒนาศักยภาพชุมชนท้องถิ่นให้จัดการตนเองในทุกระดับ ส่วนการให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนงบประมาณ ต้องขึ้นอยู่กับศักยภาพและสถานะทางการคลังของ อปท. เป็นหลัก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๓.๑ การเข้าไปมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติดังกล่าวให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานและอยู่ภายในกรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๓.๒ กรณีเรื่องงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กฎหมายหรือระเบียบกำหนด ๓.๓ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้รัฐต้องให้ความเป็นอิสระแก่ อปท. และให้ อปท. มีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหาร การเงินการคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ ดังนั้น การดำเนินการตามมติดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อความเป็นอิสระของ อปท. |
||||||||||||||||||||||||||||||
30694 | ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการปรับแก้ไขหลักเกณฑ์และแนวทางในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดระยะเวลาการทำสัญญาเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ จาก ๓ ปี เป็น ๕ ปี เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในส่วนของรายการค่าเช่ารถยนต์ เนื่องจากผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์จะเสนอราคาค่าเช่าในอัตราที่ต่ำกว่าการทำสัญญาเช่ารถยนต์เป็นระยะเวลา ๓ ปี ประกอบกับมีข้อเสนอแนะของส่วนราชการหลายแห่งที่เห็นว่า รถยนต์ที่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานที่มีระยะเวลาการใช้ ๕ ปี หากมีการบำรุงรักษาที่ดีอย่างต่อเนื่องจะมีสภาพและสมรรถนะที่สามารถรองรับการปฏิบัติงานตามภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒ ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์จากอัตราเดิม ปรับลดลงประมาณร้อยละ ๑๐ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและประหยัดงบประมาณของทางราชการสูงสุด โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๒.๑ ปรับลดรายการค่ากำไร จากเดิมร้อยละ ๘ เป็นร้อยละ ๕ เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารปัจจุบันที่ปรับลดลงซึ่งอัตราที่ปรับลดดังกล่าวยังคงสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ๑.๒.๒ ปรับลดค่าซ่อมบำรุงรักษาและน้ำมันหล่อลื่น ให้ปรับลดลงในภาพรวมร้อยละ ๑๐ จากที่กำหนดไว้เดิม เนื่องจากการคำนวณอัตราค่าเช่าเดิมกำหนดให้มีค่าซ่อม ๒ รายการ คือ ค่าซ่อมปกติ ค่าซ่อมกลางและค่าน้ำมันหล่อลื่น ๑.๒.๓ ปรับค่าอำนวยการและค่ารถทดแทน จากเดิมร้อยละ ๑๒ เป็นร้อยละ ๘ เนื่องจากข้อเท็จจริงพบว่า การใช้รถยนต์ของส่วนราชการมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นน้อยมาก โอกาสที่ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์ต้องจัดรถทดแทนให้ส่วนราชการจึงมีน้อย ๑.๒.๔ ปรับลดค่าเบี้ยประกันภัยชั้น ๑ จากเดิมร้อยละ ๒.๔ ของราคารถยนต์ เป็นร้อยละ ๑.๒ เนื่องจากสูตรการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์ได้กำหนดค่ากำไรให้ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์แล้ว จึงเห็นควรให้ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์ร่วมรับผิดชอบค่าเบี้ยประกันภัยกับรัฐในอัตราส่วนที่เท่ากัน จากการปรับสูตรการคำนวณตามรายการข้างต้นจะทำให้อัตราค่าเช่ารถยนต์ประเภทต่าง ๆ มีอัตราลดลงประมาณร้อยละ ๑๐ ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์ดังกล่าว ให้ใช้กับการทำสัญญาเช่ารถยนต์ใหม่เท่านั้น ส่วนสัญญาเช่ารถยนต์ที่ทำไปแล้วก่อนที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์เดิมต่อไปจนกว่าสัญญาเช่าจะสิ้นสุด ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ที่นำมาใช้ในราชการ เช่น การจ้างพนักงานขับรถ การเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการของพนักงานขับรถที่จ้างจากภายนอก (outsource) และการดำเนินการสำหรับรถราชการที่มีอายุใช้งานนาน เช่น ใช้งานมาเกินกว่า ๑๐ ปี และยังไม่สามารถจัดหารถยนต์ใหม่ทดแทน เป็นต้น และหากจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องก็ให้ดำเนินการ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30695 | รายงานผลการดำเนินงานเพื่อรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมของประเทศ | ทก | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานเพื่อรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมของประเทศ ประกอบด้วย ตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ ๑๒๐ ๑๒๖ และ ๑๔๒ องศาตะวันออก ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานเพื่อรักษาสิทธิของตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ และ ๑๒๐ องศาตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ประสานความถี่สำหรับตำแหน่งวงโคจรที่ ๑๒๐ องศาตะวันออก กับหน่วยงานกำกับดูแลของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Office of the Telecommunications Authority : OFTA) เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถจัดหาดาวเทียม THAICOM-120E มาวางที่ตำแหน่งดังกล่าวเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ และต่อมาในวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๕ กสทช. ได้แจ้งการนำดาวเทียม THAICOM-120E ขึ้นใช้งาน (Bringing Satellite Network into Use) ต่อสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) เพื่อเป็นการรักษาสิทธิการใช้งานในวงโคจรดาวเทียมที่ตำแหน่ง ๑๒๐ องศาตะวันออก ตามกฎข้อบังคับวิทยุคมนาคม (Radio Regulations) ของ ITU แล้ว สำหรับตำแหน่งวงโคจร ๕๐.๕ องศาตะวันออก จะรายงานให้ทราบอีกครั้งหนึ่งหากมีผลความคืบหน้าในเรื่องนี้ ๑.๒ การดำเนินงานเพื่อรักษาสิทธิของตำแหน่งวงโคจรที่ ๑๒๖ และ ๑๔๒ องศาตะวันออก เนื่องจากตำแหน่งที่ ๑๒๖ มีดาวเทียมต่างประเทศใกล้เคียง ได้แก่ ตำแหน่ง ๑๒๕ องศาตะวันออก มีดาวเทียม Sinosat-6 ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และตำแหน่ง ๑๒๔ ๑๒๗.๙ และ ๑๒๘ องศาตะวันออก มีดาวเทียม Jcsat-6 Jcsat-12 และ Jcsat-10 ของประเทศญี่ปุ่น ตามลำดับ รวมทั้งตำแหน่งที่ ๑๔๒ องศาตะวันออก มีดาวเทียมต่างประเทศใกล้เคียงที่ใช้งานจริงอย่างหนาแน่น ได้แก่ ตำแหน่ง ๑๔๐ องศาตะวันออก มีดาวเทียม Express-AM3 ของประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย ตำแหน่ง ๑๔๒ องศาตะวันออก มีดาวเทียม Apstar-1 ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และตำแหน่ง ๑๔๐.๑ ๑๔๓ และ ๑๔๔ องศาตะวันออก มีดาวเทียม MTSAT-1 Kizuna Winds และ Superbird-7 ของประเทศญี่ปุ่น ตามลำดับ โดยดาวเทียมทั้งหมดเป็นดาวเทียมที่มีการใช้งานจริงภายใต้เอกสาร Filing ที่มีลำดับสิทธิ (Priority) สูงกว่าเอกสาร Filing ของประเทศไทย ดังนั้น ยังไม่มีแนวโน้มหรือความชัดเจนที่ประเทศไทยจะสามารถประสานงานความถี่กับข่ายสื่อสารดาวเทียมต่างประเทศใกล้เคียงดังกล่าวได้เป็นผลสำเร็จ ๑.๓ การดำเนินการในระยะต่อไป เนื่องจากตำแหน่งวงโคจรที่ ๑๒๐ องศาตะวันออก ประเทศไทยสามารถรักษาไว้ได้แล้ว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะประสานกับ กสทช. เพื่อเร่งรัดการออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลและการอนุญาตการใช้คลื่นความถี่ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานงานกับ กสทช. เพื่อเร่งรัดจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงเป็นหนังสือหรือลายลักษณ์อักษรจากการประชุมประสานงานความถี่ระดับหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) ระหว่าง กสทช. กับหน่วยงานกำกับดูแลของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Office of Telecommunications Authority - OFTA) เมื่อวันที่ ๒๔ - ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง อันเกี่ยวข้องกับกระบวนการหรือขั้นตอนของการรักษาตำแหน่งวงโคจร ๑๒๐ องศาตะวันออก รวมทั้งเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย |
||||||||||||||||||||||||||||||
30696 | ร่างยุทธศาสตร์แก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติร่างยุทธศาสตร์แก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ย่อยรองรับ ๔ ยุทธศาสตร์ย่อย ได้แก่ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองที่อยู่ในประเทศไทย ครอบคลุม ๔ กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ ๑.๑.๑.๑ กลุ่มที่อพยพเข้ามานานและกลับประเทศต้นทางไม่ได้ จำนวนประมาณ ๖.๘ แสนคน ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติไว้แล้ว โดยให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบทะเบียนประวัติและความถูกต้องของตัวบุคคล นำไปสู่การพิจารณากำหนดสถานะให้เป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายหรือให้ได้รับสัญชาติไทยภายใต้กฎหมายและหลักเกณฑ์ที่กำหนด ๑.๑.๑.๒ กลุ่มที่มีความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ได้แก่ แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ๓ สัญชาติ (พม่า ลาว และกัมพูชา) ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า ๒ ล้านคน มุ่งเน้นการนำแรงงานเข้าสู่ระบบการจ้างงานอย่างถูกต้อง รวมทั้งการนำเข้าอย่างเพียงพอโดยร่วมมือกับประเทศต้นทางเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานระดับล่างที่คนไทยไม่ทำ รวมถึงการร่วมมือกับผู้ประกอบการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางสาขาโดยเฉพาะประมง เพื่อลดปัญหาการค้ามนุษย์และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตลอดจนมีการกำหนดทิศทาง/นโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่ชัดเจนในการลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือในระยะยาว ๑.๑.๑.๓ กลุ่มที่มีปัญหาความมั่นคงเฉพาะ จำนวนประมาณ ๑ แสนคน ได้แก่ ผู้หนีภัยการสู่รับจากพม่า ผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงยา ชาวเกาหลีเหนือ จะอำนวยความสะดวกให้เดินทางกลับประเทศต้นทางเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวยหรือพิจารณาส่งไปประเทศที่สามโดยร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ แล้วแต่กรณี ๑.๑.๑.๔ กลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมืองอื่น ๆ ซึ่งเข้ามาอย่างถูกต้องหรือเข้ามาโดยการปลอมแปลงเอกสารเดินทางแล้วไม่กลับออกไป ให้ระมัดระวัง เข้มงวดในการตรวจลงตรา เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบตัวบุคคลและการเข้าออก รวมถึงพัฒนาระบบการเข้าออกบริเวณชายแดนและการติดตามเฝ้าระวัง และให้มีการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองโดยเคร่งครัด ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์การป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้ามาใหม่ มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและสกัดกั้นกลุ่มที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านและใกล้เคียง การพัฒนาระบบสารสนเทศการตรวจคนเข้าเมืองและฐานข้อมูลประวัติบุคคลให้ทันสมัยและเป็นปัจจุบัน สามารถเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานได้ เพื่อสนับสนุนการติดตามตรวจสอบตัวกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อทุกภาคส่วน และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนบริเวณชายแดนและชายฝั่งทะเลให้ร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมือง เน้นการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกระดับต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั้งในระดับทวิภาคและพหุภาคี รวมทั้งให้องค์กรระหว่างประเทศ กลุ่มประเทศอาเซียน และประชาคมโลกเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากร สภาพเศรษฐกิจและสังคมในประเทศต้นทางเพื่อลดการโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทย ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ ประกอบด้วย ๑.๑.๔.๑ ในระยะเร่งด่วน ให้จัดตั้งองค์กรบริหารจัดการรองรับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ ทั้งในระดับนโยบายและปฏิบัติ โดยระดับชาติมีคณะกรรมการอำนวยการบริหารยุทธศาสตร์แก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ (กอ.ปร.) เป็นกลไกขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในภาพรวม มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นเลขานุการ ระดับปฏิบัติมีคณะกรรมการ ๕ คณะ เป็นกลไกสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของ กอ.ปร. อย่างบูรณาการ ได้แก่ คณะกรรมการบริหารการแก้ปัญหาสถานะสิทธิของบุคคล คณะกรรมการบริหารฐานข้อมูลผู้หลบหนีเข้าเมือง คณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง คณะกรรมการบริหารการแก้ปัญหาผู้หลบหนีเมืองเมืองกลุ่มเฉพาะ และคณะกรรมการบริหารฐานข้อมูลคนเข้าเมือง ๑.๑.๔.๒ ในระยะต่อไป กำหนดให้มีการจัดทำนโยบายรองรับการโยกย้ายถิ่นฐานและการเคลื่อนย้ายประชากร ทั้งแบบปกติและแบบไม่ปกติภายในประเทศและภูมิภาคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒ อนุมัติการยกเลิกชั้นความลับ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ฯ ๑.๓ อนุมัติการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๘ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๗ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การบริหารแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ ๑.๔ เห็นชอบแนวทางดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ใหม่ โดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจะได้ประสานหารือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ ในระยะเร่งด่วนในการจัดตั้ง กอ.ปร. และกลไกที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ รวมทั้งกำหนดแผนงานรองรับการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ รายงานต่อ กอ.ปร. โดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ในระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่าน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแนวทางปฏิบัติเดิมไปพลางก่อนเพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรปฏิบัติตามร่างยุทธศาสตร์ฯ บนพื้นฐานของความสมดุลระหว่างหลักการความมมั่นคงกับหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งอาจรวมถึงความจำเป็นของไทยในการช่วยเหลือบุคคลในบางกรณีเป็นการพิเศษตามหลักมนุษยธรรม รวมทั้งคำนึงถึงมิติความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้อง การทบทวนยุทธศาสตร์และการดำเนินงานของไทยในเรื่องนี้เป็นระยะ โดยคำนึงถึงพัฒนาการระดับภูมิภาคและระดับระหว่างประเทศ อาทิ ในกรอบอาเซียนที่จะมีผลกระทบต่อการโยกย้ายถิ่นฐาน รวมถึงการตอบสนองต่อปัจจัยภายในของไทยในด้านแรงงาน การพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดทำทะเบียนตรวจสอบตัวบุคคลหรือการจัดทำทะเบียนประวัติเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการดำเนินการได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนและส่งเสริมให้ประเทศเพื่อนบ้านได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะการศึกษา เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขี้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งอาจจะช่วยแก้ไขปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองได้ในระดับหนึ่ง และให้ความสำคัญกับกลไกการบริหารจัดการเพื่อนำไปสู่การบูรณาการร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
30697 | มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภาพการผลิต การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการลดภาระต้นทุนค่าแรง รวมทั้งเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ผ่านมาตรการทางการเงินและมาตรการภาษี ดังนี้ ๑.๑ มาตรการทางการเงิน ประกอบด้วย ๑.๑.๑ โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยสินเชื่อ ๒ ประเภท คือ สินเชื่อเพื่อพัฒนาเครื่องจักรและสินเชื่อเพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน โดยมีวงเงินโครงการ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ ๒ ปี นับจากวันที่มีมติคณะรัฐมนตรี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนไม่เกิน ๑,๘๐๕ ล้านบาท ๑.๑.๒ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ (PGS ระยะที่ ๔) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมีวงเงินค้ำประกันรวม ๒๔,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๕ ปี และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างค่าประกันชดเชยตามจริงแต่ไม่เกิน ๒,๒๒๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start - up) ของ บสย. สำหรับ SMEs ที่มีอายุกิจการไม่เกิน ๒ ปี มีวงเงินค้ำประกันรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชย (Coverage ratio) ให้กับสถาบันการเงินในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๔๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๗ ปี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนรวม ๓,๓๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๔ กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ SMEs กู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๑ ต่อปี วงเงินกู้ยืมสูงสุด ๔๒,๐๐๐ บาท ระยะเวลาชำระคืน ๔ ปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝึกอบรม ๑.๑.๕ โครงการสินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน (กองทุนประกันสังคม) ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โดยอาศัยแหล่งเงินทุนจากกองทุนประกันสังคมให้แก่ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นเงินทุนในการเสริมสภาพคล่องหรือเพิ่มผลิตภาพการผลิต มีวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการภาษี ประกอบด้วย ๑.๒.๑ มาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายเครื่องจักรเก่าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการขายเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ มาตรการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร โดยให้หักค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรใหม่ได้ร้อยละ ๑๐๐ ในปีแรก แทนการทยอยหักค่าเสื่อมภายใน ๕ ปี ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยให้ผู้ประกอบการทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ ๑.๕ เท่าของส่วนต่างค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ตั้งแต่วันที่เริ่มใช้ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ตามที่รัฐบาลประกาศกำหนด (๑ เมษายน ๒๕๕๕) จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. อนุมัติให้จัดสรรงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ เป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๕,๒๐๕ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายตามจริง โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ประกอบด้วย ๓.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของกรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเงื่อนไขและอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่ได้มีการจ่ายเป็นค่าจ้างเฉพาะส่วนต่างของค่าจ้างที่ได้มีการจ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันตามที่กำหนดในแต่ละเขตจังหวัดกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นเงินวันละสามร้อยบาท ให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของ SMEs กลุ่มเป้าหมาย โดยให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรายสาขาที่ได้รับผลกระทบจากภาระค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษก่อน และมีการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพและขีดความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อไม่ให้การดำเนินงานประสบภาวะขาดทุนและเป็นภาระของรัฐในอนาคต รวมทั้งมีระบบการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๕. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานหาแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยการลดต้นทุนทางด้านพลังงานและวิธีการอื่นเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
30698 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการดาวเทียมไทย | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการดาวเทียมไทย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะด้านความมั่นคงทางการสื่อสาร ๑.๑ เร่งผลักดันให้มีหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมและกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยเฉพาะ รวมทั้งดูแลและผลักดันให้เกิดการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และการส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ๑.๒ สร้างความรู้ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เรื่องดาวเทียมไทยต่อภาคประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและตระหนักถึงประโยชน์ดาวเทียมไทยและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสทุกภาคส่วน ๑.๓ ไม่ควรซื้อดาวเทียมคืนจากภาคเอกชน เนื่องจากดาวเทียมดังกล่าวมีหน่วยงานภาครัฐกำกับดูแลอยู่แล้ว ๑.๔ สนับสนุนการเตรียมการในการยิงดาวเทียมดวงใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับความต้องการใช้งานในอนาคต โดยพิจารณาถึงปริมาณเงินลงทุน อายุของดาวเทียมเดิมที่มีอยู่และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ จึงควรมีนโยบายและการเตรียมการล่วงหน้าที่ชัดเจนตั้งแต่ปัจจุบันเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด ๒. ข้อเสนอแนะการบริหารจัดการทั่วไป ๒.๑ ไม่ควรบริหารกิจการดาวเทียมเอง เนื่องจากกิจการดาวเทียมเป็นกิจการที่มีการแข่งขันในตลาดระหว่างประเทศด้วย แต่ควรเข้ามากำหนดนโยบายตรวจสอบการดำเนินกิจการดาวเทียมอย่างเคร่งครัด ๒.๒ สนับสนุนให้มีการแข่งขันเสรีเรื่องดาวเทียม โดยยกเลิกระบบสัมปทาน (Concessions) เป็นใบอนุญาต (License) ๒.๓ มีการปรับปรุงกฎหมาย/ระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือกำกับดูแลเรื่องดาวเทียม ๒.๔ วางระเบียบกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาต (License) และการอนุญาตให้ดำเนินการ เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุด ๒.๕ สนับสนุนให้ภาคเอชนแข่งขันทางการตลาดภายในประเทศอย่างเป็นธรรม และมีศักยภาพเพื่อแข่งขันกับตลาดโลกได้ ๒.๖ พัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจประกันภัยที่ควรครอบคลุมถึงการประกันภัยวัตถุอวกาศ และอุปกรณ์เคลื่อนที่ กฎหมายอวกาศเกี่ยวกับเรื่องความรับผิดทางแพ่งและอาญา รวมทั้งการละเมิดทางการปกครอง และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอวกาศ รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ อันเป็นการขัดต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการใช้อวกาศส่วนนอกภายใต้ UNCOPOUS ที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญา
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30699 | ผลการเจรจาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 เรื่อง รายงานปัญหาอุปสรรคของการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXXI - 1 | คค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการเจรจาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง รายงานปัญหาอุปสรรคของการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXXI - 1 เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ แนวทางการย้ายแนวท่อน้ำมันของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด ทางด้านเทคนิค ให้มีการรื้อย้ายลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ ๑๓ จุด เหลือเพียง ๒ จุด คือ บริเวณสถานีบางซื่อ มีทางเลือกในการรื้อย้ายจำนวน ๒ ทางเลือก โดยทางเลือกที่ ๑ ระยะทาง ๒.๙ กิโลเมตร วงเงินดำเนินการ ๒๑๗ ล้านบาท และทางเลือกที่ ๒ ระยะทาง ๔.๔ กิโลเมตร วงเงินดำเนินการ ๒๔๕ ล้านบาท ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับบริษัทฯ จะได้พิจารณาทางเลือกที่มีความเหมาะสมที่สุดทางด้านเทคนิคเมื่อถึงเวลารื้อย้ายต่อไป และบริเวณสถานีดอนเมือง วงเงินค่ารื้อย้าย ๙๖ ล้านบาท ทำให้วงเงินค่ารื้อย้ายทั้งหมดรวม ๓๔๑ ล้านบาท สำหรับบริเวณแนวท่อน้ำมันอีก ๑๑ จุดที่เหลือ ผู้รับเหมาก่อสร้างจะต้องใช้ความระมัดระวังและจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการดำเนินการ ๑.๑.๒ สำหรับประเด็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้าย รฟท. ยืนยันให้บริษัทฯ รับภาระค่าใช้จ่าย ตามเงื่อนไขข้อ ๘ วรรคหนึ่ง ของสัญญาเช่าที่ดิน เพื่อให้การดำเนินการรื้อย้ายเป็นไปในมาตรฐานเดียวกันกับหน่วยงานด้านสาธารณูปโภคอื่น ๆ ที่ยินยอมรับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้ายแล้ว ส่วนบริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือในการรื้อย้ายแต่คงยืนยันว่าไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้ายได้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งการรับภาระค่ารื้อย้ายดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ มีความเสี่ยงที่จะเกิดสภาพล้มละลาย ๑.๒ รับทราบแนวทางการดำเนินการต่อไป รฟท. จะแจ้งให้องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ทราบว่า รฟท. จะดำเนินการรื้อย้ายท่อขนส่งน้ำมันของบริษัทฯ ไปก่อน เนื่องจาก บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือในการรื้อย้ายทางด้านเทคนิค ส่วนการรับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้าย รฟท. จะดำเนินการฟ้องร้องตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๑.๓ รับทราบหลักการการพิจารณาให้หน่วยงานด้านสาธารณูปโภคเช่าพื้นที่ของ รฟท. ในอนาคต กระทรวงคมนาคมได้กำหนดเป็นหลักการการให้หน่วยงานด้านสาธารณูปโภคเช่าพื้นที่ของ รฟท. ว่า “รฟท. จะสงวนสิทธิ์พื้นที่ของ รฟท. เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการระบบรถไฟทางคู่ เป็นลำดับแรก จึงจะพิจารณาให้หน่วยงานสาธารณูปโภคอื่น ๆ เช่าที่ดินต่อไป” ๑.๔ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการให้ รฟท. ใช้กรอบวงเงินกู้ของโครงการฯ สำหรับการรื้อย้ายท่อน้ำมันไปก่อน และในกรณีที่แหล่งเงินกู้ JICA ไม่อนุญาต ให้กระทรวงการคลังพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการรื้อย้ายท่อน้ำมันของบริษัทฯ ตามแนวการก่อสร้างโครงการตามแผนที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเร่งดำเนินการเรียกร้องภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากปัญหาการรื้อย้ายท่อน้ำมันดังกล่าวทั้งในส่วนของภาระค่ารื้อย้ายท่อน้ำมัน ๒ แห่ง คือ บริเวณสถานีบางซื่อ และบริเวณสถานีดอนเมือง รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างการก่อสร้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากกระทรวงคมนาคม โดย รฟท. จำเป็นต้องขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณหรือกู้เงินเพื่อการดำเนินการรื้อย้ายท่อน้ำมันของบริษัทฯ ให้ รฟท. เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของการดำเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อลดภาระงบประมาณที่จะต้องจ่ายเป็นค่าชดเชย รื้อถอน โยกย้ายสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในพื้นที่ หรือในสายทางที่จะดำเนินโครงการลงทุนดังกล่าว ให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการเร่งสำรวจความพร้อมของพื้นที่หรือในสายทางของโครงการ และดำเนินการรื้อย้ายสาธารณูปโภค สิ่งปลูกสร้าง และผู้บุกรุกพื้นที่ที่ผิดกฎหมายให้แล้วเสร็จก่อนขออนุมัติดำเนินโครงการและประกวดราคา และสำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ ให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการเร่งสำรวจและติดตามดูแล รวมทั้งมีมาตรการป้องกันมิให้มีการก่อสร้างสาธารณูปโภค สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เพิ่มเติม หรือมีการบุกรุกพื้นที่ที่ผิดกฎหมายอันจะเป็นอุปสรรคและก่อให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินโครงการนั้น ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
30700 | ขอความเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๒,๐๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ มอบหมายการดำเนินการให้หน่วยงานรับผิดชอบเป็นไปตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๙๗/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ข้อ ๒ (๔) ได้แก่ มอบหมายให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จังหวัด หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามข้อ ๑.๑ ๑.๔ เมื่อวาระการดำเนินการของคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้สิ้นสุดลง (วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕) ให้อำนาจหน้าที่ และการดำเนินการของคณะกรรมการดังกล่าว เป็นของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒. ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้คณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการให้ความช่วยเหลือเยียวยาให้มีความเหมาะสมกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และให้ความช่วยเหลือเยียวยาต่อผู้เสียหายทั้งประชาชนทั่วไปและเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง รวมทั้งการตรวจสอบข้อเท็จจริงควรมีความรอบคอบและมีมาตรฐานเพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ได้รับการช่วยเหลือดังกล่าวจากภาครัฐเป็นผู้ได้รับความเสียหายและได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้จริง ไปดำเนินการด้วย ๓. การพิจารณาให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ตรวจสอบข้อมูลผู้มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือเยียวยาฯ ให้ชัดเจน มิให้ผู้ใดแอบอ้างการใช้สิทธิดังกล่าวหรือใช้สิทธิซ้ำซ้อน และมีความเป็นธรรม สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินสำหรับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองของคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาฯ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน |
.....