ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1539 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 30761 - 30780 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30761 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในราชการ | พณ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี จำนวน ๒ คัน ระยะเวลาสัญญา ๓ ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในวงเงินทั้งสิ้น ๒,๘๒๒,๔๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๙๒,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘ เป็นเงิน ๒,๔๓๐,๔๐๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการและแนวทางการขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในราชการ โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30762 | การติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ในการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30763 | รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 170 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - 2552 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ โดยภาพรวมของเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินทั้ง ๕ กลุ่ม ประกอบด้วย ทุนหมุนเวียน เงินฝากกระทรวงการคลัง รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐอื่นที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ปรากฏว่า สินทรัพย์รวม หนี้สินรวม และสินทรัพย์สุทธิ มีสัดส่วนปรับเพิ่มสูงขึ้นอันเป็นผลมาจากรัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียน โดยสินทรัพย์รวมมีจำนวนประมาณ ๑๐.๔๙ ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ร้อยละ ๑๔.๐๕ โดยสินทรัพย์รวมเป็นส่วนของรัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียน ร้อยละ ๗๓.๘๘ และ ๒๒.๐๙ ตามลำดับ ยกเว้นสินทรัพย์รวมขององค์การมหาชน ซึ่งมีขนาดลดลง ร้อยละ ๒๖.๒๕ ทั้งนี้ สถานะเงินคงเหลือปลายปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ เท่ากับประมาณ ๑.๓๙ และ ๑.๖๖ ล้านล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์สุทธิ เท่ากับ ๑.๙๔ และ ๑.๙๓ เท่า ตามลำดับ และนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป ๒. รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำรายงานฯ ได้แก่ ๒.๑ ความชัดเจนของคำนิยาม “หน่วยงานของรัฐ” และความหลากหลายของประเภทหน่วยงาน ตามนัยมาตรา ๑๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญ ทำให้มีข้อจำกัดในการพิจารณาว่าครอบคลุมถึงหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานฯ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ได้รับอุดหนุนเงินงบประมาณแผ่นดินประจำปี หรือกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานนั้น ๆ กำหนดให้รัฐจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุน ขณะที่กฎหมายจัดตั้งหน่วยงานกำหนดให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลแต่ไม่มีสถานะเป็น “ส่วนราชการ” หรือ “รัฐวิสาหกิจ” หรือ “องค์การมหาชน” ทำให้ขาดความชัดเจนในการกำหนดการจัดทำรายงานฯ ๒.๒ ความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล เนื่องจากมีข้อจำกัดในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะส่วนของเงินรายได้กลุ่มเงินฝากในส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ที่อาจมีส่วนที่อยู่นอกเหนือจากการฝากไว้ที่กระทรวงการคลัง และอาจไม่ได้รับรายงานข้อมูล ประกอบกับรายงานทางการเงินบางส่วนยังไม่ได้รับการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จึงอาจจะทำให้ไม่ได้รับข้อมูลการรายงานที่ถูกต้องครบถ้วนทุกประเภทเงินอย่างชัดเจน ๓. เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐที่ไม่ได้จัดทำรายงานฯ ตามสรุปรายการข้อมูลที่ไม่จัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ และ ๒๕๕๒ ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๗๐ ดังกล่าว โดยเคร่งครัดเป็นกรณีพิเศษ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30764 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย และการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๖๐๕ ราย คิดเป็นร้อยละ ๗๒.๑๑ ของโรงงานทั้งหมด ๘๓๙ ราย ๒. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัย ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้มีโรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดดำเนินการแล้ว ๗,๓๑๐ ราย คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๗๐ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๗,๘๘๖ ราย ๓. มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน อาทิ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบที่นำมาทดแทนเครื่องจักรและอุปกรณ์แก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมที่นำมาทดแทนเครื่องจักรและอุปกรณ์เดิมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย การอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริม การเพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราวหรือลงทุนใหม่เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ การยกเว้นค่าบริการในการออกใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่สูญหาย การยกเว้นค่าบริการในการต่อใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และการยกเว้นค่าบริการในการออกหนังสือรับรองสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-PP & Paperless) เป็นต้น ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย อาทิ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งภายในและภายนอกนิคม โครงการศูนย์สารพัดช่างเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โครงการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัย โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อการฟื้นฟูสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เป็นต้น ๕. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗ กิโลเมตร อยู่ระหว่างการรออนุมัติสินเชื่อจากธนาคารออมสิน เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗๗.๖ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๑๔.๖๕ นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๑ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๒๘ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๔ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๒๗ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๑๘ และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๕ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๒๐.๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||
30765 | การจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่หนึ่ง | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำหนดประเด็นสำคัญและเจ้าภาพหลักในการจัดทำข้อมูลรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีที่หนึ่ง (วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕) ตามที่คณะกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ความสำคัญของการจัดทำรายงานและข้อมูลรายงาน รายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เป็นรายงานผลการดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ หมวด ๕ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา ๗๕ ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีเสนอรายงานและปัญหาอุปสรรคต่อรัฐสภาในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้น ส่วนราชการต้องจัดทำข้อมูลรายงานให้มีความถูกต้อง มีความชัดเจนในผลสัมฤทธิ์ของงานที่ดำเนินการ โดยเฉพาะต้องชัดเจนว่าสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปเกิดประโยชน์ต่อประชาชน และต่อส่วนรวมของประเทศอย่างไร ๒. รูปแบบการจัดทำรายงาน ๒.๑ ในหมวด ๕ ของรัฐธรรมนูญได้บัญญัติเป็นรายมาตรา (มาตรา ๗๗ - ๘๗) ประกอบด้วยแนวนโยบาย ๙ ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคงของรัฐ ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านศาสนา สังคม การสาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม ด้านกฎหมายและการยุติธรรม ด้านการต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านวิทยาศาสตร์ ทรัพย์สินทางปัญญา และพลังงาน และด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนั้น การจัดทำรายงานเสนอรัฐสภาจึงแบ่งตามมาตราโดยจัดกลุ่มเป็นด้านตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ๒.๒ รายงานที่จัดทำมี ๒ ฉบับ คือ รายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ และรายงานฉบับประชาสัมพันธ์ประชาชน ๓. การกำหนดหน่วยงานเจ้าภาพหลัก โดยที่ประเด็นตามนโยบายรัฐบาลและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐหลายเรื่อง มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือร่วมดำเนินการ การบูรณาการข้อมูลเข้าด้วยกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ จึงได้มีการมอบหมายหน่วยงานเป็นเจ้าภาพในแต่ละเรื่องเพื่อทำหน้าที่บูรณาการข้อมูลเพื่อให้เห็นภาพรวมของผลงานในเรื่องนั้น ๆ โดยส่วนราชการอื่น ๆ จะต้องให้ความร่วมมือจัดส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้หน่วยงานเจ้าภาพหลักภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อหน่วยงานเจ้าภาพหลักจะได้ส่งข้อมูลให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ยกร่างรายงานต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30766 | ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่ในระยะเริ่มแรกเพื่อให้การดำเนินการจัดตั้งและบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการดำเนินการให้แล้วเสร็จ และเมื่อการดำเนินการดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินการของกองทุนฯ ดังกล่าวด้วย ๒. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ เป็นการแก้ไขในส่วนบทเฉพาะกาล เพื่อให้การบริหารและการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความต่อเนื่องในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารกองทุน และผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โดยมีรายละเอียดของการปรับปรุงดังนี้ ๒.๑ ในระหว่างที่ยังมิได้แต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะกรรมการบริหารกองทุนตามระเบียบนี้ ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ทำหน้าที่คณะกรรมการหรือคณะกรรมการบริหารกองทุน แล้วแต่กรณี จนกว่าคณะกรรมการหรือคณะกรรมการบริหารกองทุนที่ได้รับแต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ในการประชุมครั้งแรก ซึ่งต้องไม่เกินสามร้อยวันนับแต่วันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ๒.๒ ในระหว่างที่ยังมิได้แต่งตั้งผู้อำนวยการตามระเบียบนี้ ให้อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนทำหน้าที่ผู้อำนวยการตามระเบียบนี้ จนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการตามระเบียบนี้ ซึ่งต้องไม่เกินสามร้อยวันนับแต่วันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ๒.๓ บรรดาระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับ หรือคำสั่งของคณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่ยังมีผลใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ จนกว่าจะได้มีระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับ หรือคำสั่งที่ออกตามความในระเบียบนี้ใช้บังคับ ซึ่งต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30767 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเรื่อง การยื่นแผนงานการรื้อถอนและประมาณการค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 | พน | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเรื่อง การยื่นแผนงานการรื้อถอนและประมาณการค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดบทนิยามคำว่า “รื้อถอน” “สิ่งติดตั้ง” “สิ่งปลูกสร้าง” “อุปกรณ์” “สิ่งอำนวยความสะดวก” “ปริมาณสำรองปิโตรเลียมทั้งหมด” เป็นต้น ๑.๒ กำหนดให้แผนงานการรื้อถอนต้องประกอบด้วยรายละเอียดตามหัวข้อที่กำหนดในเอกสารแนบท้ายกฎกระทรวง ๑.๓ กำหนดหลักเกณฑ์และระยะเวลาให้ผู้รับสัมปทานยื่นแผนงานการรื้อถอนเพื่อขอความเห็นชอบจากอธิบดี กำหนดหลักเกณฑ์การอุทธรณ์หนังสือแจ้งของอธิบดีและผลของการอุทธรณ์ และกำหนดกรอบเวลาการพิจารณาแผนงานการรื้อถอนของอธิบดีและอำนาจของอธิบดีในการสั่งให้แก้ไขแผนงานการรื้อถอน ๑.๔ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานมีหน้าที่ปฏิบัติตามกระบวนการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมจากการรื้อถอน (Decommissioning Environmental Management Process) ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด โดยจัดทำรายงานผลการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมจากการรื้อถอน (Decommissioning Environmental Assessment Report) รายงานการพิจารณาวิธีการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่เหมาะสมที่สุดจากวิธีการรื้อถอนที่กำหนดไว้ในรายงานผลการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมจากการรื้อถอน รวมทั้งแผนการจัดการสิ่งแวดล้อม (Decommissioning Environmental Management Plan) และแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายหลังการรื้อถอน (Post Decommissioning Monitoring Plan) ๑.๕ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานจะต้องดำเนินการรื้อถอนตามแผนงานการรื้อถอนโดยละเอียดตามที่ได้รับความเห็นชอบ โดยผู้รับสัมปทานต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักเทคนิคและวิธีการปฏิบัติงานปิโตรเลียมที่ดี และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในห้าปีนับจากวันที่สิ้นสุดระยะเวลาผลิตปิโตรเลียม หรือสิ้นสุดระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมที่ได้รับการต่อ แล้วแต่กรณี ๑.๖ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานที่ถูกเพิกถอนสัมปทานปิโตรเลียมตามมาตรา ๕๑ หรือมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ เริ่มดำเนินการรื้อถอนหรือดำเนินการอื่นใดภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน และรื้อถอนให้แล้วเสร็จภายในห้าปีนับจากวันที่ถูกเพิกถอนสัมปทานปิโตรเลียม ๑.๗ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานยื่นรายงานผลการปฏิบัติการรื้อถอน (Closeout Report for Decommissioning) และรายงานผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายหลังการรื้อถอน (Closeout Report for Post - decommissioning) ต่ออธิบดีเพื่อขอความเห็นชอบ ๑.๘ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานมีหน้าที่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ชีวิต ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่นใด หากพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เหลืออยู่ภายหลังจากการรื้อถอนนั้นก่อให้เกิดความเสียหายหรือเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำรายงานการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมจากการรื้อถอน แผนการจัดการสิ่งแวดล้อม และแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายหลังการรื้อถอน ซึ่งผู้รับสัมปทานเสนอประกอบแผนงานรื้อถอนให้สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมพิจารณาเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะประกอบการพิจารณาของอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30768 | ขอความเห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้น | สธ | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข (องค์การเภสัชกรรม) จ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้น ตามผลการประเมินการปฏิบัติงานเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ตามมติคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนหนึ่งขั้น ให้ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๒ ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง ๑.๒ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนหนึ่งขั้นครึ่ง ให้ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๔ ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง ๑.๓ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนสองขั้น ให้ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๖ ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง ๑.๔ กำหนดวงเงินสำหรับจ่ายค่าตอบแทนพิเศษสำหรับพนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้นไม่เกินร้อยละ ๔ ของจำนวนเงินเดือนรวมของผู้มีอัตราเงินเดือนเต็มขั้น ๑.๕ การจ่ายเงินตอบแทนพิเศษนี้ไม่ถือเป็นค่าจ้างและมีลักษณะการจ่ายเป็นการชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่พนักงาน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข (องค์การเภสัชกรรม) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดตัวชี้วัดการประเมินผลงานที่ให้สะท้อนถึงผลลัพธ์การทำงานของพนักงานอย่างแท้จริง และเพื่อไม่ก่อให้เกิดเป็นภาระผูกพันแก่องค์การเภสัชกรรมในระยะยาว เห็นควรให้คงสัดส่วนของรายจ่ายด้านบุคลากรต่อรายได้ให้คงอยู่ในอัตราเดิม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30769 | ขออนุมัติในหลักการให้ก่อหนี้ผูกพันวงเงินเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปี | มท | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๒ รายการ ดังนี้ ๑.๑ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาสมุทรสาคร อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร จากภายในวงเงินภาระผูกพันทั้งสิ้น ๑,๒๖๐,๓๕๓,๓๐๐ บาท (วงเงินตามผลประกวดราคาไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน ๑,๒๐๐,๓๓๖,๕๐๐ บาท รวมเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๖๐,๐๑๖,๘๐๐ บาท) เป็นภายในวงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ๑,๓๔๑,๓๑๑,๙๘๔ บาท ๑.๒ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาลพบุรี อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี จากภายในวงเงินไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ๓๘๒,๒๙๐,๐๐๐ บาท เป็นภายในวงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ๓๙๐,๖๗๗,๕๘๕ บาท ๒. ในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันวงเงินตามสัญญาโดยระบุวงเงินไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30770 | การรับรองผลการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review โดยการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 19 | กต | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การรับรองผลการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) โดยที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council - HRC) สมัยที่ ๑๙ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ได้รับรองรายงานคณะทำงาน UPR เกี่ยวกับผลการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยโดยฉันทามติ ๒. การรับข้อเสนอแนะมาปฏิบัติของไทยรวมทั้งหมด จำนวน ๑๓๔ ข้อ โดยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว หัวหน้าคณะผู้แทนไทยกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม HRC ครั้งที่ ๑๙ ว่า ไทยสามารถรับข้อเสนอแนะบางส่วนหรือทั้งหมด จำนวน ๓๔ ข้อ จาก ๗๒ ข้อที่ไทยยังไม่ได้แสดงท่าที ทำให้ไทยรับข้อเสนอแนะภายใต้กลไก UPR ทั้งหมด จำนวน ๑๓๔ ข้อ โดยไทยให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ได้ให้การรับรอง และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในกระบวนการ UPR พร้อมทั้งแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการตามข้อเสนอแนะและคำมั่นของไทย อาทิ การลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ และการเชิญผู้เสนอรายงานพิเศษของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ HRC เยือนไทย ๓ คน ได้แก่ ผู้เสนอรายงานพิเศษว่าด้วยสิทธิในการเข้าถึงน้ำดื่มที่ปลอดภัยและสุขอนามัย ผู้เสนอรายงานพิเศษว่าด้วยการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และผู้เสนอรายงานพิเศษว่าด้วยการขายเด็ก โสเภณีเด็ก และสื่อลามกที่เกี่ยวกับเด็ก ทั้งนี้ ในการรับรองผลการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยในการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการนำเสนอรายงานของไทยภายใต้กลไก UPR รอบแรก การดำเนินการต่อไปคือ การขับเคลื่อนการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยให้การรับรองให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม |
|||||||||||||||||||||||||||
30771 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ญี่ปุ่น | คค | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่น รวมถึงร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและญี่ปุ่น และนำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยสาระสำคัญของบันทึกการหารือฯ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ ใบพิกัดเส้นทางบิน ใบพิกัดใหม่จะมีผลบังคับใช้เมื่อได้รับการยืนยันโดยการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของญี่ปุ่นสามารถกระทำการบินเชื่อมจุดสองจุดในประเทศไทย ตามเส้นทางที่ระบุของตนได้ และสายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของประเทศไทยสามารถทำการบินเชื่อมจุดสองจุดในญี่ปุ่นตามเส้นทางที่ระบุของตนได้ ๑.๒ สิทธิความจุ บริการต่อไปนี้สามารถทำการบินโดยใช้อากาศยานแบบขนส่งผู้โดยสาร ผู้โดยสารผสมสินค้า และ/หรือเฉพาะสินค้า ยกเว้นอากาศยานแบบ A380 ๑.๒.๑ สายการบินที่กำหนดหลายสายของแต่ละประเทศอาจใช้สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่สามและสี่ ระหว่างจุดใด ๆ ในประเทศไทยและจุดใด ๆ ในญี่ปุ่นโดยไม่จำกัดความถี่ ๑.๒.๒ จำนวนการแวะลงจุดระหว่างทางทั้งหมดจะต้องไม่เกินกว่ายี่สิบเอ็ดเที่ยวต่อสัปดาห์ในแต่ละทิศทาง สำหรับสายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย เป็นที่เข้าใจว่า ภายในจำนวนยี่สิบเอ็ดเที่ยวต่อสัปดาห์ของการแวะลงที่กล่าวถึงข้างต้น สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของประเทศไทย เมื่อใช้ไทเปเป็นจุดระหว่างทาง จำนวนครั้งที่แวะพักที่ไทเปทั้งหมดในแต่ละทิศทางจะต้องไม่เกินหกครั้งต่อสัปดาห์ ๑.๒.๓ สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายอาจจะดำเนินบริการที่ตกลงตามเส้นทางที่ระบุพ้นอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งรวมทั้งสิ้นได้ถึงยี่สิบเอ็ดความถี่ต่อสัปดาห์สำหรับแต่ละฝ่าย ๑.๓ พิกัดอัตราค่าขนส่ง เจ้าหน้าที่การเดินอากาศของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่กำหนดให้สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ปรึกษาหารือสายการบินอื่นเกี่ยวกับพิกัดอัตราค่าขนส่งซึ่งสายการบินเหล่านั้นเรียกเก็บหรือเสนอจะเรียกเก็บสำหรับบริการที่ตกลง และเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจกำหนดให้มีการยื่นขอใช้พิกัดอัตราค่าขนส่งที่เรียกเก็บหรือเสนอจะเรียกเก็บไปยังหรือมาจากอาณาเขตของตนโดยสายการบินของอีกฝ่ายหนึ่ง ๑.๔ การมีผลใช้บังคับ ข้อกำหนดของบันทึกการหารือนี้จะนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้นับจากวันที่เจ้าหน้าที่การเดินอากาศของประเทศไทยแจ้งเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของญี่ปุ่นว่ากระบวนการทางกฎหมายที่จำเป็นได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกการหารือฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30772 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - คูเวต | คค | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจลับระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐคูเวต และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและรัฐคูเวต และนำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจลับฯ มีดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ๑.๑.๑ แก้ไขคำจำกัดความ คำว่า “สายการบินที่กำหนด” ซึ่งเดิมระบุเป็น “สายการบินสายหนึ่งที่ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่งแจ้งแต่งตั้ง ....” แก้ไขเป็น “สายการบินใด ๆ ที่ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่งแจ้งแต่งตั้ง ....” ๑.๑.๒ ข้อบทว่าด้วยการกำหนดสายการบิน ปรับปรุงจำนวนสายการบินที่กำหนด ซึ่งเดิมภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดของตนได้เพียงสองสายการบิน แก้ไขเป็นภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดของตนได้หลายสายการบิน ๑.๑.๓ ข้อบทว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตและใบสำคัญ ใบสำคัญสมควรเดินอากาศ ใบสำคัญความสามารถ และใบอนุญาตที่ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่งออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ และยังมีผลใช้บังคับ จะได้รับการยอมรับนับถือจากภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินบริการที่ตกลงตามที่จัดไว้ในความตกลงฉบับนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า ข้อกำหนดในการออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ ซึ่งใบสำคัญหรือใบอนุญาตเช่นว่านั้นจะต้องเท่าเทียมหรือเหนือกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ ซึ่งได้กำหนดหรืออาจกำหนดขึ้นตามอนุสัญญา ๑.๑.๔ ข้อบทว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยการบิน ปรับปรุงข้อบทดังกล่าวเพื่อให้ทันสมัยและเป็นไปตามข้อบทมาตรฐานที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศแนะนำ ๑.๒ สิทธิความจุความถี่และสิทธิรับขนการจราจร สายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายจะได้รับอนุญาตให้ทำการบินอย่างไม่จำกัดทั้งในเรื่องจำนวนความจุความถี่และแบบอากาศยาน พร้อมทั้งมีสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓/๔ และ ๕ ได้อย่างเต็มที่ ๑.๓ การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินรวมกัน ตกลงให้ในการดำเนินบริการเดินอากาศตามเส้นทางบินที่ตกลง สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเข้าร่วมดำเนินบริการกับสายการบินที่กำหนดอื่นใด ๆ สายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ที่มีเส้นทางบินและสิทธิรับขนการจราจรที่เหมาะสม ๑.๔ การมีผลใช้บังคับ บันทึกความเข้าใจลับฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตแล้ว และบันทึกความเข้าใจลับฉบับนี้จะแทนที่บันทึกความเข้าใจลับและบันทึกการหารือฉบับก่อนหน้านี้ทั้งหมด ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจลับฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30773 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 รวม 4 ฉบับ | พน | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ รวม ๔ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตปลอดภัยและเครื่องหมายในบริเวณที่มีสิ่งติดตั้งและกลอุปกรณ์ที่ใช้ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ผู้รับสัมปทานต้องกำหนดเขตปลอดภัยและจัดให้มีเครื่องหมายในบริเวณที่มีสิ่งติดตั้งและกลอุปกรณ์ที่ใช้ในการเจาะหลุมปิโตรเลียมบนบก การผลิตและทดสอบหลุมปิโตรเลียมบนบก การเจาะหลุมและทดสอบหลุมปิโตรเลียมในทะเล และการผลิตปิโตรเลียมในทะเล ๑.๒ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานต้องแจ้งการกำหนดเขตปลอดภัยและจุดที่ตั้งของเขตดังกล่าวเป็นหนังสือให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติทราบล่วงหน้าก่อนกำหนดเขตปลอดภัยไม่น้อยกว่าสามสิบวัน และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องแจ้งให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติทราบทันที ๑.๓ กำหนดให้ในกรณีที่อธิบดีพิจารณาว่าการกำหนดเขตปลอดภัยและเครื่องหมายอาจไม่เพียงพอต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หรืออาจยังไม่เหมาะสมต่อสภาพการเจาะหลุม ทดสอบหลุม และผลิตปิโตรเลียมในบริเวณใด ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งให้ผู้รับสัมปทานกำหนด แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงระยะของเขตปลอดภัยหรือเครื่องหมายเท่าที่ไม่ขัดกับกฎกระทรวงนี้ ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดแบบคำขอสัมปทานปิโตรเลียมให้เป็นไปตามแบบท้ายกฎกระทรวง ๒.๒ กำหนดให้ผู้ขอสัมปทานต้องเป็นบริษัท โดยมีหลักฐานและโครงการประกอบคำขอสัมปทานตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ๒.๓ กำหนดให้ผู้ขอสัมปทานต้องเสนอข้อผูกพันในด้านปริมาณเงินและปริมาณงานสำหรับการสำรวจปิโตรเลียมในแปลงสำรวจแต่ละแปลง คือ ในช่วงข้อผูกพันช่วงที่หนึ่ง ให้เสนอข้อผูกพันเป็นรายปี และในช่วงข้อผูกพันช่วงที่สอง ให้เสนอข้อผูกพันเป็นจำนวนรวม สำหรับระยะเวลาของช่วงข้อผูกพันทั้งช่วง และจะเสนอให้ผลประโยชน์พิเศษนอกเหนือไปจากเงื่อนไขที่ทางราชการได้กำหนดให้เป็นผลประโยชน์พิเศษไว้ในการประกาศยื่นคำขอสัมปทานก็ได้ โดยผู้ขอสัมปทานต้องยื่นคำขอสัมปทาน หลักฐาน โครงการ และข้อเสนอตามที่กำหนดต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๑ กำหนดแบบสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมให้เป็นไปตามแบบท้ายกฎกระทรวง ๓.๒ กำหนดแบบสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มเติมที่ทำขึ้นภายหลังให้สัมปทานให้เป็นไปตามแบบท้ายกฎกระทรวง ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำรวจ ผลิต และอนุรักษ์ปิโตรเลียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๔.๑ กำหนดให้ก่อนดำเนินการสำรวจปิโตรเลียมในบริเวณใด ผู้รับสัมปทานต้องแจ้งรายการตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงเป็นหนังสือให้อธิบดีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน ๔.๒ กำหนดให้ก่อนดำเนินการสำรวจปิโตรเลียมโดยวิธีวัดคลื่นไหวสะเทือน ผู้รับสัมปทานต้องจัดทำรายงานแผนการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมสำหรับการสำรวจปิโตรเลียมโดยวิธีวัดคลื่นไหวสะเทือนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด โดยยื่นต่ออธิบดีล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกสิบวันเพื่อขออนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติแล้วจึงจะดำเนินการได้ ๔.๓ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีปฏิบัติของผู้รับสัมปทาน ในการเจาะหลุมเพื่อการสำรวจปิโตรเลียม และในการเจาะหลุมเพื่อการผลิตปิโตรเลียมหรือหลุมอัดน้ำสำหรับกิจการปิโตรเลียม |
|||||||||||||||||||||||||||
30774 | การให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA) | พณ | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA) เต็มจำนวน ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ในครั้งเดียว โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๑,๕๕๐,๐๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๑ บาท หรือตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการส่งเสริมให้นักวิจัยของไทยทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาได้มีส่วนร่วมในการทำงานวิจัยกับ ERIA เพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้และความเข้าใจในการรวมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและนำมาใช้ในการเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานวิจัยเหล่านั้นให้สาธารณชนรับทราบอย่างแพร่หลาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30775 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การจัดการอันตรายจากแร่ใยหินไครโซไทล์เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค | สสป | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การจัดการอันตรายจากแร่ใยหินไครโซไทล์เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค ตามที่สำนักงานสภาทึ่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค การประปาส่วนภูมิภาค กรมชลประทาน และสภาที่ปรึกษาฯ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งด่วน รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรี ๑.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการยกเลิกการนำเข้า ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินที่สามารถใช้วัตถุดิบอื่นทดแทนได้ โดยยกเลิกการนำเข้าภายใน ๓ เดือน หรือภายในกรอบเวลาเร็วที่สุดที่สามารถปฏิบัติได้ รวมทั้งยกเลิกการผลิตและการจำหน่ายสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินที่สามารถใช้วัตถุดิบอื่นทดแทนได้ภายใน ๑ ปี ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังกำหนดมาตรการทางภาษี มาตรการยกเลิกภาษีของวัตถุดิบทดแทนแร่ใยหิน โดยวัตถุดิบที่นำมาทดแทนจะต้องไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งนี้ ให้มีการขึ้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบแร่ใยหินและสินค้าที่มีแร่ใยหิน ตลอดจนขึ้นภาษีสินค้าที่มีแร่ใยหินที่ผลิตในประเทศในระยะก่อนการยกเลิกการนำเข้าและผลิตแร่ใยหิน ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสร้างมาตรการที่จะทำให้ผู้บริโภครับรู้ประกาศ และข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน ตลอดจนตระหนักถึงอันตรายที่เกิดจากแร่ใยหิน โดยมีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อมวลชนทุกประเภท รวมถึงหอกระจายข่าวในระดับชุมชน ครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ๑.๔ ให้สำนักนายกรัฐมนตรีจัดทำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในเรื่องการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างและการจัดจ้าง ที่กำนหดสาระสำคัญไม่อนุญาตให้ใช้วัสดุที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ ๒. มาตรการต่อเนื่อง รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการ ดังต่อไปนี้ ๒.๑ มาตรการรื้อถอนวัสดุที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน โดยจัดดำเนินการโดยมาตรฐานสากลและให้มีการจัดทำเป็นประกาศหรือข้อบังคับของกระทรวงอุตสาหกรรม ๒.๒ มาตรการกำหนดค่ามาตรฐานการฟุ้งกระจายของฝุ่นแร่ใยหิน ๐.๑ เส้นใยต่อ ลบ.ซม. เพื่อสอดคล้องกับมาตรฐาน Occupational Exposure Limits (OELs) ๒.๓ มาตรการห้ามการนำเข้าหรือส่งออกขยะที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน ๒.๔ มาตรการควบคุมการนำเข้า หรือการจำหน่ายสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่มีอันตรายต่อสุขภาพ โดยยึดหลักประเทศผู้ผลิตต้องมีการใช้สินค้านั้นด้วย (Certificate of free Sale) ๒.๕ มาตรการกองทุนชดเชยความเสียหายและสวัสดิการแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแร่ใยหิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
30776 | การปรับปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในขั้นตอนที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วาระที่ ๑ เป็น วันจันทร์ที่ ๒๑ - วันพุธที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30777 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นเงิน ๑๑๙,๑๓๕.๖๐๗ ล้านบาท มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงพฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๐,๖๑๓.๙๗๒ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๔,๐๗๕.๙๐๙ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๑,๔๑๕.๘๗๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒.๖๙ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๐,๑๐๑.๐๐๑ ล้านบาท (ร้อยละ ๗๕.๖๓ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓,๓๙๖.๗๘๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๙๒ ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗๔ จังหวัด เป็นเงิน ๓๗,๐๙๓.๓๓๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๐๑
|
|||||||||||||||||||||||||||
30778 | การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กำหนดจำนวนคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๖๓ คน ประกอบด้วย กรรมาธิการที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อ จำนวน ๑๕ คน และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลือก จำนวน ๔๘ คน ๒. เห็นชอบในหลักการรายชื่อกรรมาธิการในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรี จำนวน ๖ คน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๒.๑ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๒.๒ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ๒.๓ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ๒.๔ นายวรวิทย์ จำปีรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ๒.๕ นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ๒.๖ นายวีระยุทธ ปั้นน่วม รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ๓. สำหรับกรรมาธิการในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีอีก ๙ คน ให้ผู้แทนพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลประสานกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เพื่อแจ้งรายชื่อให้สำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30779 | ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่สำนักงบประมาณได้ปรับปรุงแก้ไขตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว พร้อมเอกสารงบประมาณรายจ่าย มีสาระสำคัญคือ กำหนดโครงสร้างงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับรายการปรับปรุงระบบชลประทานของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงินงบประมาณ ๔,๕๐๐ ล้านบาท ซึ่งปกติจะปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี สำหรับปีนี้สำนักงบประมาณได้กำหนดให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาโครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เร่งรัดการพิจารณาโครงการตามรายการฯ ของกรมชลประทาน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30780 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ | กต | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ (Cultural Co-operation Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the State of Qatar) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี ภาษา และบรรณารักษ์ระหว่างกัน ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๓. หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
|
.....