ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1539 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30761 - 30780 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30761 | การจัดทำบันทึกความตกลงด้านการศึกษาไทย - จีน (ฉบับใหม่) | ศธ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเดินทางร่วมไปกับคณะของนายกรัฐมนตรี ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นผู้ลงนามในบันทึกความตกลงด้านการศึกษาไทย - จีน (ฉบับใหม่) แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการซึ่งติดภารกิจจำเป็นเร่งด่วน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30762 | ระบบการรายงานและเตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนามิ | นร | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปกำกับติดตามและบูรณาการระบบการรายงานและเตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนามิของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรธรณี) เป็นต้นไป ให้เป็นระบบ มีเอกภาพ และถูกต้อง รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ รวมทั้งให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติดำเนินการจัดทำกระบวนการและขั้นตอน (flow chart) การติดตามรายงานข้อมูลและแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนามิ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30763 | การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี | นร | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี โดยให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องเร่งจัดทำเรื่องที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนที่สุด โดยอย่างช้าสุดให้ส่งถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในเวลา ๑๘.๐๐ น. ของแต่ละวัน หากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับเรื่องหลังจากเวลา ๑๘.๐๐ น. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะดำเนินการในวันถัดไป ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่เป็นเจ้าของเรื่องถือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30764 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2554 | ผผ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องต่าง ๆ พร้อมทั้งข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ๑.๑ ผลการดำเนินงานด้านการสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน มีเรื่องร้องเรียนที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณาดำเนินการทั้งสิ้น ๓,๖๑๕ เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๓๕๔ เรื่อง โดยมีตัวอย่างเรื่องร้องเรียน ได้แก่ เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เรื่องร้องเรียนกรณีกฎ คำสั่งหรือการกระทำมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย เรื่องร้องเรียนกรณีการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เรื่องร้องเรียนกรณีการปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียน และเรื่องร้องเรียนกรณีการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียน ๑.๒ ผลการดำเนินงานด้านการตรวจสอบองค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนเชิงระบบ ได้แก่ การศึกษาเรื่อง “การบริหารจัดการน้ำท่วมและอุทกภัยของประเทศไทย” การศึกษาเรื่อง “ตัวแทนอำพราง” การศึกษาเรื่อง “การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีหญิงมีสามี” และการศึกษาเรื่อง “การบริหารจัดการปัญหาจราจรของกรุงเทพมหานครในเชิงระบบ” ๒. ผลการปฏิบัติของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ดำเนินการ หรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ดำเนินการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน และมีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงาน จำนวนทั้งสิ้น ๑๕๘ เรื่อง และมีการติดตามเพื่อให้หน่วยงานปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ๓. การไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๕ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๒ ของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๔. ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ การเสนอแนะหรือให้คำแนะนำในการจัดทำหรือปรับปรุงประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท การส่งเสริมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีจิตสำนึกในด้านจริยธรรม และการรายงานการกระทำที่มีการฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมเพื่อให้ผู้ที่รับผิดชอบในการบังคับการให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรม ๕. ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ติดตามผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในเรื่องกฎหมายที่ต้องดำเนินการ มาตรการที่ต้องดำเนินการ และการไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ๖. อุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินและข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหา ได้แก่ ปัญหาการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับผู้ตรวจการแผ่นดินอย่างถูกต้อง ความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชน และงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30765 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2553 | พม | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๓ ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อมูลประชากรผู้สูงอายุไทย ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัย (Aging Society) ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๙ ในระยะเวลา ๑๐ - ๒๐ ปีข้างหน้า ในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ เพิ่มมากกว่า ๒ เท่าตัว ประชากรของประเทศไทยจะยิ่งมีอายุเพิ่มสูงขึ้น วัยแรงงาน ๖ คน ที่ให้การดูแลเกื้อหนุนผู้สูงอายุ ๑ คน อีก ๒๐ ปีข้างหน้าจะมีคนในวัยแรงานเหลือเพียง ๒ คน ที่ต้องรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุ ๑ คน ประชากรผู้สูงอายุของไทยมีประมาณ ๘ ล้านคน และจะเพิ่มเป็นเท่าตัวคือ ประมาณ ๑๗ ล้านคนในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า ประชากรผู้สูงอายุวัยปลาย (อายุ ๘๐ ปีขึ้นไป) จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุก ๆ ช่วง ๑๐ ปี ๒. สถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจของผู้สูงอายุไทย ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพ การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ๖ ลำดับ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมองตีบ อัมพาต/อัมพฤกษ์ และโรคมะเร็ง โดยผู้สูงอายุหญิงมีสัดส่วนการเจ็บป่วยสูงกว่าเพศชาย ผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว และมีแนวโน้มทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๖.๖ โดยเฉพาะผู้สูงอายุเพศชายทำงานมากกว่าผู้สูงอายุเพศหญิง ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อ่านออกเขียนได้ จำนวน ๕.๓ ล้านคน จากจำนวนผู้สูงอายุทั่วประเทศ หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๖.๑๐ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จบการศึกษาในระดับประถมศึกษา ร้อยละ ๖๘.๙๒ ๓. ระบบสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ การสร้างหลักประกันด้านรายได้สำหรับผู้สูงอายุ เป็นสวัสดิการด้านการประกันชราภาพภายใต้กองทุนต่าง ๆ อาทิ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสวัสดิการชุมชน การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การบริการทางสังคม เป็นการดำเนินงานภายใต้พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่กำหนดสิทธิในด้านต่าง ๆ ให้ผู้สูงอายุ อาทิ ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา ด้านการส่งเสริมการมีงานทำ ด้านที่อยู่อาศัย ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และด้านบริการสาธารณะและนันทนาการ การช่วยเหลือทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่ การช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาด้านปัจจัยสี่ การให้คำปรึกษาปัญหาต่าง ๆ และการสร้างเครือข่ายและภาคีหุ้นส่วนทางสังคม โดยการสนับสนุนพัฒนาศักยภาพชมรมผู้สูงอายุให้มีความเข้มแข็ง สามารถดำเนินกิจกรรม พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30766 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย ในท้องที่ตำบลปง ตำบลควร ตำบลขุนควร อำเภอปง ตำบลบ้านถ้ำ ตำบล หนองหล่ม ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้ และตำบลสระ ตำบลเชียงม่วน ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง) | ทส | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย ในท้องที่ตำบลปง ตำบลควร ตำบลขุนควร อำเภอปง ตำบลบ้านถ้ำ ตำบลหนองหล่ม ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้ และตำบลสระ ตำบลเชียงม่วน ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย ในท้องที่ตำบลปง ตำบลควร ตำบลขุนควร อำเภอปง ตำบลบ้านถ้ำ ตำบลหนองหล่ม ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้ และตำบลสระ ตำบลเชียงม่วน ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง) เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30767 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินประจำปี พ.ศ. 2553 | ปง | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการปราบปรามการฟอกเงิน ๑.๑.๑ สำนักงาน ปปง. ได้รับรายงานการทำธุรกรรม จำนวนทั้งสิ้น ๒,๓๒๔,๘๗๙ ธุรกรรม ได้แก่ ธุรกรรมเงินสด จำนวน ๖๙๓,๓๘๑ ธุรกรรม ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน จำนวน ๗๕๐,๒๕๒ ธุรกรรม ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย จำนวน ๘๗๖,๙๘๒ ธุรกรรม การรับเรื่อง/การแจ้งเบาะแส จำนวน ๒๙๙ ธุรกรรม และเงินสดข้ามแดน จำนวน ๓,๙๖๕ ธุรกรรม ๑.๑.๒ การดำเนินการตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับแจ้งแยกตามความผิดมูลฐาน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๕๒๑ เรื่อง ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ ๑.๑.๓ การดำเนินคดีตามที่คณะกรรมการธุรกรรมได้มีคำสั่งยึดและ/หรืออายัดทรัพย์สิน ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ มูลค่าทรัพย์สินรวม ๔,๑๒๖,๘๐๑,๗๑๘.๙๗ บาท โดยศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน ๕๔๐ คดี มูลค่าทรัพย์สิน ๒,๔๓๙,๘๙๖,๒๗๒.๐๕ บาท และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำนวน ๕๓ คดี มูลค่าทรัพย์สิน ๕๖๐,๔๑๓,๙๓๙.๖๖ บาท ๑.๑.๔ การบริหารจัดการทรัพย์สินที่ได้จากการยึดและ/หรืออายัดทรัพย์สิน โดยขายทอดตลาดทรัพย์สิน จำนวน ๓๙ รายการ มูลค่า ๑,๖๖๓,๗๕๐ บาท ส่งคืนทรัพย์สินแก่เจ้าทรัพย์ในกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินสามารถแสดงให้ศาลเห็นว่าตนเป็นเจ้าของแท้จริงและทรัพย์สินนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน ๒ คดี มูลค่า ๒,๐๑๖,๖๕๘.๔๓ บาท ๑.๑.๕ นำทรัพย์สินที่ศาลสั่งตกเป็นของแผ่นดินส่งกระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒ คดี มูลค่า ๑๕,๑๖๓,๙๘๒.๓๗ บาท ๑.๒ ด้านการป้องกันการฟอกเงิน สำนักงาน ปปง. ได้ร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนทั่วไป ดังนี้ ๑.๒.๑ ส่งเสริมและประสานความร่วมมือกับภาคประชาชน ได้แก่ โครงการสายลับ ปปง. โครงการเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแก่ประชาชน เป็นต้น ๑.๒.๒ ส่งเสริมและประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ ได้แก่ จัดทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมมือในฐานะสมาชิกกลุ่มองค์กรระหว่างประเทศ/ความร่วมมือในภูมิภาค ฝึกอบรม/ดูงาน เป็นต้น ๒. เห็นชอบให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลที่มีจำนวนบุคลากรไม่เพียงพอที่จะรองรับภารกิจสำคัญที่จะต้องปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เห็นควรให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] ในส่วนของมาตรการบริหารจัดการกำลังคนเชิงยุทธศาสตร์ โดยทบทวนบทบาทภารกิจและเกลี่ยอัตรากำลังเพื่อให้การใช้กำลังคนเหมาะสมกับลักษณะงานและปริมาณงานของหน่วยงานในสังกัดก่อน หากดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้วอัตรากำลังไม่เพียงพอ ก็ให้นำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับการกำหนดเงินเพิ่มพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ปปง. ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำหนดตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษและการกำหนดอัตราเงินเพิ่มของข้าราชการพลเรือนในภาพรวม เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำและมีความเป็นธรรมในภาคราชการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบให้นำความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดอัตรากำลังและการกำหนดเงินพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ปปง. รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างใหม่ของสำนักงาน ปปง. เป็นข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และให้นำรายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
30768 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี และผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ ประธานผู้แทนการค้าไทย และผู้แทนการค้าไทย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30769 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐ ประชาชนจีน | กต | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน (Memorandum of Understanding Concerning Feasibility Study For Cooperation on a Comprehensive Water Management System between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ สองฝ่ายจะร่วมมือพัฒนาระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการบนหลักการของผลประโยชน์ร่วมกัน ๑.๑.๒ สองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีเพื่อดูแล เสนอแนะ และประสานความร่วมมือในด้านการจัดการน้ำแบบบูรณาการ ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานรัฐ องค์กรทางการเงิน และบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องจากฝ่ายไทยและฝ่ายจีน ๑.๑.๓ สองฝ่ายจะหารือรูปแบบสำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมมือในระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการ ซึ่งรวมถึงครอบคลุมการวางแผนการอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำ การวางแผนควบคุมน้ำท่วมและลดความเสียหาย การวางแผนการใช้ทรัพยากรน้ำ การวางแผนเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกับทรัพยากรน้ำ การวางแผนการบริหารลุ่มน้ำ และการวางแผนเพื่อป้องกันน้ำทะเลท่วมในอ่าวไทย ๑.๑.๔ ผลการศึกษาความเป็นไปได้จะนำไปเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการต่อไปโดยให้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของทั้งสองฝ่าย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว ๑.๓ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอให้จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็มให้แก่ผู้ลงนามเพื่อแสดงแก่ฝ่ายจีนในโอกาสที่มีการลงนาม โดยฝ่ายจีนจะต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจเต็มแก่ฝ่ายไทยในลักษณะเดียวกัน ๑.๔ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกร่างความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้ดุลพินิจพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้ตัดข้อความในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนของบทที่ ๓ Areas of Cooperation ย่อหน้าที่ ๔ ความว่า “The outcome of … by both sides” ออกทั้งย่อหน้า ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติม ๓. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดหลักการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริเป็นหลักในการพิจารณาวางระบบการบริหารจัดการน้ำของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30770 | เอกสารสำหรับการลงนามในช่วงการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | พณ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารสำหรับการลงนามในช่วงการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๓ ฉบับ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก โดยเอกสารดังกล่าวประกอบด้วย ๑.๑.๑ ร่างแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี ไทย - จีน (๒๐๑๒ - ๒๐๑๖) ภายใต้ความตกลงการขยายความร่วมมือทวิภาคีทางเศรษฐกิจและการค้าในเชิงกว้างและเชิงลึกระหว่างไทยและจีน ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าในเชิงกว้างและเชิงลึกระหว่างไทย - จีน โดยแผนพัฒนาฯ จะเป็นยุทธศาสตร์กำหนดทิศทางและเป้าหมายความร่วมมือระหว่างไทย - จีน ในระยะ ๕ ปีข้างหน้าที่ชัดเจน และกำหนดรายละเอียดความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการค้าที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน อาทิ เกษตร ภาคการผลิต สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และการท่องเที่ยว เป็นต้น ตลอดจนกลไกการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาระยะ ๕ ปี ๑.๑.๒ ร่าง MOU ความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคการค้าสินค้าเกษตรร่วมกัน โดยกำหนดกลไกการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคการค้าสินค้าเกษตร ตลอดจนกิจกรรมส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกัน ๑.๑.๓ ร่าง MOU ความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับ State Administration for Industry and Commerce (SAIC) มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความร่วมมือที่มีอยู่ในระดับกรมปฏิบัติ เป็นความร่วมมือภาพรวมในระดับกระทรวง สาระสำคัญของ MOU คือ การกำหนดกลไกการหารือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกิจกรรมการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การจดทะเบียนธุรกิจ และการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนของทั้งสองฝ่าย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในเอกสารทั้ง ๓ ฉบับ หรือหากติดภารกิจ ให้มอบหมายผู้อื่นลงนามแทนต่อไป ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ทั้งนี้ เอกสารความร่วมมือฯ ที่กระทรวงพาณิชย์จะไปลงนามทั้ง ๓ ฉบับ จะต้องไม่มีผลเป็นการลบล้าง (overrule) ข้อตกลงหรือความร่วมมือใด ๆ ระหว่างไทย - จีน ที่มีอยู่ก่อนแล้ว และหากข้อตกลงหรือความร่วมมือเรื่องใดเกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น (Sectoral Ministries) ให้กระทรวงพาณิชย์เชิญผู้แทนของหน่วยงานนั้น ๆ มาร่วมเป็นคณะทำงาน (sub working group) เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30771 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | คค | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Memorandum of Understanding Concerning Feasibility Study For Cooperation on Railway Development between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ การจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ เป็นผลสืบเนื่องจากการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยเป็นบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน ๑.๑.๒ การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ เป็นไปตามหลักการของผลประโยชน์ร่วมกันและการจัดการภายใต้กรอบระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทั้งสองประเทศ ๑.๑.๓ ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการร่วมในระดับรัฐมนตรี เพื่อควบคุม แนะนำ และประสานงานความร่วมมือตามที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๑.๔ ทั้งสองฝ่ายจะหารือเกี่ยวกับวิธีการสำหรับการศึกษาความเป็นไปได้สำหรับความร่วมมือด้านการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง รวมถึงเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมโดยเฉพาะการเชื่อมต่อเส้นทางกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ และระบบรางต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมต่อ สปป.ลาว ไทย และประเทศกลุ่มอาเซียนอื่น ๑.๑.๕ ฝ่ายจีนจะดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ ๑.๑.๖ กำหนดให้เสนอรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟต่อคณะกรรมการร่วมภายในระยะเวลา ๓ เดือน ภายหลังการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนามและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้โดยประสานกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย)
|
|||||||||||||||||||||||||||
30772 | การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) | พณ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการรับเรื่อง การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้นำความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในครั้งนี้ อคส. ควรมีการวางแผนการนำเข้าและระบายผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ชัดเจนและเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รายย่อยได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และไม่เกิดภาระการขาดทุนจากการดำเนินการ และควรเร่งนำเข้าก่อนผลผลิตฤดูกาลใหม่ที่จะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรขายได้ภายในประเทศให้ตกต่ำ รวมทั้งควรมีกลไกในการติดตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดด้วย ในขณะเดียวกันต้องเร่งดำเนินการปิดบัญชีโครงการโดยเร็ว เพื่อลดภาระงบประมาณเงินแผ่นดินที่จะต้องนำไปชำระดอกเบี้ยเงินกู้และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นอกจากนี้ ควรเร่งสนับสนุนการดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ซึ่งจะเป็นการช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรรายย่อยจากการรวมกลุ่มเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30773 | โครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี 2554/55 | พณ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยการให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) รับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมัน/โรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ด้วยวิธีการประมูล ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขให้ลานมัน/โรงแป้งที่ขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้ อคส. ต้องเร่งดำเนินการรับจำนำหัวมันสดจากเกษตรกรโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ในส่วนของค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการฯ วงเงินรวม ๑๑,๓๔๑.๒๓ ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย วงเงินหมุนเวียนรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมัน/โรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการฯ ระหว่างเมษายน - พฤษภาคม ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นเงินจ่ายขาดเป็นค่าดอกเบี้ยเงินทุนหมุนเวียน ๓.๗๕% ระยะเวลา ๑ ปี วงเงิน ๓๗๕ ล้านบาท และค่าใช้จ่าย อคส. เป็นค่าดำเนินการรับซื้อ ค่า Overhead ค่าฝากเก็บ ค่าพลิกกอง ค่าตรวจสอบคุณภาพ และค่าแรงงานกรรมกร รวม ๙๖๖.๒๓ ล้านบาท ให้กระทรวงพาณิชย์ตกลงในรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์รายงานข้อมูลการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมันและโรงแป้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ และให้เร่งระบายมันเส้นและแป้งมันจากสต็อกของรัฐบาลที่รับจำนำไว้ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ด้วย และเมื่อจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังดังกล่าว ให้กระทรวงพาณิชย์นำข้อมูลราคาจำหน่ายเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการจำหน่าย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดมาตรการควบคุมและตรวจสอบการดำเนินงานของผู้ประกอบการลานมัน/โรงแป้งที่ขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้แก่ อคส. ในการรับจำนำผลผลิตหัวมันสดจากเกษตรกรเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่รัฐได้ช่วยระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของโรงงานไปบางส่วนแล้ว รวมทั้งพิจารณามาตรการแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ที่ยังไม่มีผู้ประกอบการลานมัน/โรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อรับจำนำผลผลิตหัวมันสดจากเกษตรกรได้อย่างทั่วถึงต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30774 | แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม | กษ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากโรงงานผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมประสบปัญหาอุทกภัย โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินไม่เกิน ๗๓ ล้านบาท โดยใช้วงเงินงบกลางฯ ส่วนที่เหลือที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย) และมีวงเงินส่วนที่เหลืออยู่จำนวน ๘๘.๓๘ ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย) จัดซื้อผลิตภัณฑ์นม ยู.เอช.ที. และนมพาสเจอร์ไรส์ จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาน้ำนมดิบไม่มีที่จำหน่าย โดยรับซื้อนมดิบรวมประมาณ ๒,๐๐๐ ตัน และให้กระทรวงพาณิชย์รับไปบริหารจัดการด้านการตลาดและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมดังกล่าวผ่านช่องทางต่าง ๆ แล้วนำเงินรายได้ส่งคืนคลังต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาในรายละเอียดในการดำเนินการต่าง ๆ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยยึดหลักการใช้จ่ายอย่างประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด แล้วเร่งดำเนินการโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30775 | การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) | ทก | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดหาในคราวเดียวกันด้วย สำหรับงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ เพิ่มเติมให้ครบตามจำนวน ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องปรับแผนจากการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับจัดสรรแล้วไปดำเนินการ รวมทั้งดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย และที่ดเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า การเสนอเรื่องของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติในหลักการไว้แล้ว และสอดคล้องกับความเห็นของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบในรายละเอียดการดำเนินการตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอได้ ๒. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ๒.๒ อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้นักเรียน และครูผู้สอน รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ สำรองกรณีจำเป็น ของโรงเรียนในสังกัดส่วนราชการต่าง ๆ รวมจำนวนประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ เครื่อง วงเงินงบประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ และวงเงินงบประมาณที่จะจัดซื้อจะสูงกว่าที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้แล้ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และงบประมาณเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ได้ตามจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ ใหม่ สำหรับการจัดหาดังกล่าวให้รวมกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เพิ่มเติมจากหน่วยงานที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) ๒.๓ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) เฉพาะการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามความตกลง/สัญญาซื้อขายเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาตรวจสอบแล้วกับบริษัทจีนที่ได้รับคัดเลือก โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒.๔ เห็นชอบให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผูกพันสัญญาฯ ได้ตามวงเงินงบประมาณที่ส่วนราชการได้ดำเนินการโอนเบิกจ่ายแทนกันให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเรียบร้อยแล้ว สำหรับเงินงบประมาณที่โอนมาภายหลังให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษแบบ Repeat Order ตามความเหมาะสมต่อไป ๓. ให้แก้ไขข้อความว่า “ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕” เป็น “ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕”
|
|||||||||||||||||||||||||||
30776 | การดำเนินงานของสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ขณะนี้สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) มีที่ตั้งของสำนักงาน ณ อาคารสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (เดิม) ทำเนียบรัฐบาล ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการของ สบอช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอให้ทุกหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของ สบอช. เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น จัดส่งเจ้าหน้าที่มาประจำที่ สบอช. เพื่อทำหน้าที่ประสานงานด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้ทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำข้อมูลเรื่องน้ำ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น รายงานข้อมูลดังกล่าวแบบเป็นปัจจุบัน (real time) มายัง สบอช. เป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30777 | การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) และคณะกรรมการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาพืชผลและผลิตภัณฑ์การเกษตรชนิดต่างๆ | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่จะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาพืชผลและผลิตภัณฑ์การเกษตรชนิดต่าง ๆ ถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันอย่างเคร่งครัด ดังนี้
๑. กรณีเป็นการเสนอเรื่องเกี่ยวกับพืชผลหรือผลิตภัณฑ์การเกษตรชนิดที่มี “คณะกรรมการเฉพาะ” เรื่องนั้น ๆ ซึ่งแต่งตั้งขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรี ให้มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนวทาง นโยบาย หรือมาตรการในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา หรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรีอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช และคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องนำเรื่องเสนอคณะกรรมการเฉพาะที่เกี่ยวข้องนั้น ๆ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ หากเรื่องดังกล่าวมีประเด็นข้อเสนอเกี่ยวข้องกับการขออนุมัติใช้เงินงบประมาณหรือเงินกองทุนคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ก็ให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอ คชก. พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีด้วย ๒. กรณีเป็นการเสนอเรื่องเกี่ยวกับพืชผลหรือผลิตภัณฑ์การเกษตรที่ “ไม่มีคณะกรรมการเฉพาะ” ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องนั้น ๆ เสนอ คชก. พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30778 | ขอความเห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | สธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เกี่ยวกับการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษและทำประกันภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยคณะกรรมการฯ เห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยให้แก่พนักงานและลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้ใช้เงินงบประมาณขององค์การเภสัชกรรมและเบิกเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและเงินทำประกันภัยหลังจากที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ดังนี้
๑. จ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือน กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่เต็มเดือน แต่มีระยะเวลาตั้งแต่ ๑๕ วันขึ้นไปให้จ่ายในอัตราคนละ ๒,๕๐๐ บาทต่อเดือน หากปฏิบัติงานในพื้นที่น้อยกว่า ๑๕ วันคำนวณเงินเฉลี่ยตามสัดส่วนจำนวนวันที่ผู้นั้นไปปฏิบัติงาน ๒. ทำประกันภัย กรณีเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวร สูญเสียอวัยวะ ๒ ชิ้น ค่าสินไหมทดแทน ไม่เกินรายละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๓. หากกระทรวงการคลังมีประกาศยกเลิกพื้นที่พิเศษจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ให้ยกเลิกการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยในพื้นที่ดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30779 | การจัดทำบันทึกความตกลงด้านการศึกษาไทย - จีน | ศธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามร่างบันทึกความตกลงด้านการศึกษาไทย - จีน (Agreement on Educational Cooperation between the Ministry of Education of the People’s Republic of China and the Ministry of Education of the Kingdom of Thailand) ฉบับใหม่ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนที่จะร่วมมือกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางด้านการศึกษาและวิชาการ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ และนักวิชาการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศทุกด้านบนพื้นฐานของความเท่าเทียม และต่างตอบแทน โดยเนื้อหาสาระระบุกรอบความร่วมมือทางการศึกษาและการฝึกอบรมอย่างกว้าง ๆ ครอบคลุมความร่วมมือทุกระดับ และการดำเนินงานจะเป็นไปภายใต้กฎหมายและระเบียบของแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีคณะทำงานร่วม (Joint Working Group) เป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแลและการดำเนินงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความตกลงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความตกลงฯ ฉบับใหม่ ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหารือร่วมกันเพื่อดำเนินการให้เหมาะสมตามข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาไทย - จีน ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ ยังมีผลใช้บังคับอยู่ กล่าวคือ ข้อ ๖ ของความตกลงฯ ระบุให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้เป็นเวลา ๓ ปี นับจากวันที่ลงนาม และหลังจากนั้นความตกลงฯ จะต่ออายุโดยอัตโนมัติอีกคราวละ ๓ ปี เว้นแต่ภาคีฝ่ายหนึ่งจะแจ้งภาคีอีกฝ่ายหนึ่งถึงเจตนาที่จะให้ความตกลงฯ สิ้นสุด เป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางทางการทูตอย่างน้อย ๖ เดือน ก่อนวันที่ประสงค์ให้ความตกลงฯ สิ้นสุด ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่ปรากฏว่ามีภาคีฝ่ายใดได้มีหนังสือบอกเลิกความตกลงฯ สำหรับร่างความตกลงฯ ฉบับใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาสาระเช่นเดียวกับความตกลงฯ ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ กระทรวงศึกษาธิการจึงอาจทบทวนถึงความจำเป็นในการจัดทำความตกลงฯ ฉบับใหม่ เพื่อมิให้เกิดปัญหาความตกลงที่ซ้ำซ้อนกัน อย่างไรก็ดี หากเป็นนโยบายที่จะส่งเสริมความร่วมมือกับฝ่ายจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ก็อาจพิจารณาจัดทำความตกลงย่อยซึ่งมีเนื้อหาเฉพาะเรื่องภายใต้กรอบความตกลงฯ ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ อาทิ ความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือในการจัดการฝึกอบรมเฉพาะเรื่อง การจัดทำโครงการแลกเปลี่ยนบุคลากร โครงการสอนภาษา หรือโครงการให้ทุนการศึกษา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
30780 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งงบประมาณสำหรับดำเนินการตามมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางดำเนินการ ๑.๑.๑ ส่วนของข้าราชการพลเรือนสามัญ ๑.๑.๑.๑ กำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาลในอีก ๒ ปีถัดไป โดยให้อัตราเงินเดือนแรกบรรจุขั้นต่ำของวุฒิปริญญาตรีในปีที่ ๒ เท่ากับ ๑๕,๐๐๐ บาท ปีที่ ๑ เท่ากับ ๑๓,๐๐๐ บาท วุฒิ ปวส. ปีที่ ๒ เท่ากับ ๑๑,๕๐๐ บาท ปีที่ ๑ เท่ากับ ๑๐,๒๐๐ บาท (วุฒิ ปวส. คงความแตกต่างของเงินเดือนกับวุฒิปริญญาตรี) และวุฒิ ปวช. ปีที่ ๒ เท่ากับ ๙,๔๐๐ บาท และปีที่ ๑ เท่ากับ ๘,๓๐๐ บาท (วุฒิ ปวช. คงความแตกต่างของเงินเดือนกับวุฒิ ปวส.) และกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุขั้นต่ำของคุณวุฒิอื่นให้สอดคล้องกับอัตราความแตกต่างระหว่างคุณวุฒิต่าง ๆ ที่กำหนดไว้เดิม ๑.๑.๑.๒ ปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รบผลกระทบ ๒ ครั้ง ให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุในปีที่ ๑ และปีที่ ๒ โดยปรับเงินเดือนชดเชยให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายผู้เข้ารับราชการในตำแหน่งระดับแรกบรรจุก่อนวันที่อัตราเงินเดือนแรกบรรจุที่ปรับใหม่มีผลใช้บังคับอย่างน้อย ๑๐ ปี (มีอายุราชการตั้งแต่ ๑ วัน ถึง ๑๐ ปี โดยประมาณ) ๑.๑.๒ ส่วนของข้าราชการประเภทอื่นและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทบรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหลักการ เดียวกัน โดยมีความเป็นธรรมไม่เหลื่อมล้ำกัน และให้มีผลใช้บังคับภายใน ๒ ปี ในทำนองเดียวกัน โดยให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท นำเสนอคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นชอบในรายละเอียดก่อน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ใช้งบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ ก่อนที่จะดำเนินการบังคับใช้ต่อไป ๑.๒ การมีผลใช้บังคับ ให้การปรับเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีผลใช้บังคับในปีที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ และปีที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา คาดว่าจะใช้งบประมาณเพื่อปรับเงินเดือนแรกบรรจุและปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการทุกประเภทและเจ้าหน้าที่ของรัฐ สำหรับดำเนินการในปีที่ ๑ (ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖) เพิ่มขึ้นประมาณ ๕,๐๑๐ ล้านบาท และสำหรับดำเนินการในปีที่ ๒ (ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗) เพิ่มขึ้นประมาณ ๗,๑๓๕ ล้านบาท ๒. ให้ส่วนราชการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรมีแนวทางในการควบคุมงบประมาณรายจ่ายประจำไม่ให้สูงเกินกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ หรือให้ต่ำกว่า โดยอาจมีการควบคุมรายจ่ายประจำในหมวดอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นให้ลดลงกว่าในปีงบประมาณที่ผ่าน ๆ มา อาทิ งบดำเนินงานหรืองบรายจ่ายอื่นโดยเฉพาะรายจ่ายในการเดินทางเพื่อสัมมนาและดูงานในต่างประเทศ เป็นต้น และเพื่อควบคุมรายจ่ายในส่วนของรายจ่ายประจำโดยเฉพาะในหมวดค่าใช้จ่ายบุคลากรไม่ให้สูงขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป อาจใช้มาตรการเกษียณอายุก่อนกำหนดควบคู่การจำกัดจำนวนข้าราชการใหม่ รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้สะท้อนถึงค่าตอบแทนที่ได้รับสูงขึ้นจากการปรับปรุงค่าตอบแทนในครั้งนี้ โดยอาจดำเนินการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการประเมินผลการปฏิบัติราชการให้เข้มข้นขึ้น และเพื่อความเป็นธรรม และลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้นจากการปรับฐานเงินเดือน ควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนเงื่อนไขการจ้างและสวัสดิการบางประการของข้าราชการที่เข้ารับการบรรจุใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ให้เหมาะสม ส่วนผลกระทบอื่น ๆ จากการปรับปรุงค่าตอบแทนดังกล่าว อาจส่งผลให้กำลังคนด้านทักษะวิชาชีพที่มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญา สายช่างเทคนิค เช่น ปวช. ปวส. ขาดแคลนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากนักเรียนจะเลือกเรียนระดับปริญญาซึ่งมีรายได้สูงกว่ามาก ดังนั้น ในช่วงที่ผลตอบแทนในวิชาชีพอื่นยังไม่ปรับตัวขึ้นตามกลไกตลาด ควรมีมาตรการส่งเสริมหรือกระตุ้นให้นักเรียนเข้าเรียนในสาขาวิชาชีพดังกล่าวไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ควรมีนโยบายหรือมาตรการให้แก่กลุ่มข้าราชการที่ไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งได้แก่ กลุ่มข้าราชการที่มีอายุราชการมากกว่า ๑๐ ปี ด้วย เช่น การจัดให้มีเงินรางวัลประจำปีตามผลงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....