ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1540 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30781 - 30800 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30781 | การปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบงบประมาณในการดำเนินการปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุ การชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการและเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖,๖๓๔ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการเสนอ ๒. ให้ส่วนราชการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๓.๑ การปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐประเภทอื่น จะส่งผลต่องบประมาณรายจ่ายประจำในส่วนของงบบุคลากรมีจำนวนที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้สัดส่วนของรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นติดต่อกันไปทุก ๆ ปีงบประมาณและจะมีผลกระทบต่อสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่จะนำไปใช้ในการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ ดังนั้นควรจะต้องมีแนวทางในการควบคุมสัดส่วนของจำนวนงบประมาณรายจ่ายประจำไม่ให้สูงเกินไป โดยอาจจะต้องมีการควบคุมรายจ่ายประจำในหมวดอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นให้ลดลงกว่าในปีงบประมาณที่ผ่าน ๆ มา อาทิ งบดำเนินงานหรืองบรายจ่ายอื่นโดยเฉพาะรายจ่ายในการเดินทางเพื่อสัมมนาและดูงานในต่างประเทศ เป็นต้น ๓.๒ ผลกระทบอื่น ๆ จากการปรับปรุงค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น อาจส่งผลให้กำลังคนด้านวิชาชีพที่มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญาสายช่างเทคนิค เช่น ปวช. ปวส. ขาดแคลนมากยิ่งขึ้น เพราะนักเรียนจะเลือกเรียนระดับปริญญาซึ่งมีรายได้สูงกว่ามาก ซึ่งอาจจะเกิดการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านวิชาชีพในโครงสร้างระบบแรงงานของประเทศได้ในระยะยาว ๓.๓ ภาครัฐควรให้ความสำคัญในกระบวนการคัดเลือกบุคลากรเข้ามาปฏิบัติหน้าที่จะต้องมีศักยภาพและสมรรถนะที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน การฝึกอบรมและพัฒนาให้มีทักษะและความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานราชการให้เพิ่มสูงขึ้นตามการปรับอัตราค่าตอบแทนที่ได้รับมากขึ้น รวมถึงเมื่อมีการพิจารณาต่ออายุสัญญาจ้างจะต้องมีการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาอย่างเที่ยงตรง และต้องประเมินความต้องการใช้พนักงานราชการในแต่ละตำแหน่งให้คุ้มค่าอย่างแท้จริง |
|||||||||||||||||||||||||||
30782 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลศาลาครุ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ของวัดท่าอิฐและของวัดบางบัวทอง ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. .... | พศ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลศาลาครุ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ของวัดท่าอิฐและของวัดบางบัวทอง ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลศาลาครุ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ของวัดท่าอิฐและของวัดบางบัวทอง ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อนำมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30783 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดมังกรบุปผาราม ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดมังกรบุปผาราม ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดมังกรบุปผาราม ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓ สายกรุงเทพมหานคร - ตราด ตอนอำเภอเมืองจันทบุรี - อำเภอขลุง ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30784 | ร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... | กก | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดแบบบัตรประจำตัวนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และพนักงานเจ้าหน้าที่ และกำหนดให้อธิบดีกรมการท่องเที่ยวเป็นผู้ออกบัตรดังกล่าว ๒. กำหนดให้บัตรประจำตัวนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ใช้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในบัตร แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันออกบัตร
|
|||||||||||||||||||||||||||
30785 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย - มาบข่า จังหวัดระยอง พ.ศ. .... | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย - มาบข่า จังหวัดระยอง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลนิคมพัฒนา ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา ตำบลหนองละลอก ตำบลบางบุตร ตำบลชากบก ตำบลบ้านค่าย ตำบลหนองตะพาน ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย และตำบลทับมา ตำบลน้ำคอก อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30786 | การขอความเห็นชอบในการยกเลิกข้อสงวนข้อ 16 เรื่องสิทธิทางครอบครัวและการสมรสของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ | พม | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการยกเลิกข้อสงวนข้อ ๑๖ เรื่อง สิทธิทางครอบครัวและการสมรสของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ โดยสาระสำคัญของข้อสงวนข้อ ๑๖ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิทางครอบครัวและการสมรส ซึ่งกำหนดให้ผู้หญิง ผู้ชายมีสิทธิเท่าเทียมกันในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับการสมรส การขาดจากการสมรส การมีบุตร ความรับผิดชอบต่อบุตร การเลือกใช้นามสกุล การประกอบอาชีพ การจัดการทรัพย์สิน ภายหลังจากประเทศไทยได้เสนอรายงานการอนุวัติตาม CEDAW ฉบับที่ ๔ - ๕ (ฉบับรวม) ต่อคณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีของสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ประเทศไทยได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหลายฉบับเพื่อส่งเสริมสิทธิทางครอบครัวและการสมรสของผู้หญิง ผู้ชายให้มีความเท่าเทียมกัน จึงขอยกเลิกข้อสงวนข้อ ๑๖ ของอนุสัญญาฯ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้สตรีได้รับการคุ้มครองสิทธิอย่างแท้จริง เช่น การบังคับค่าเลี้ยงดูจากฝ่ายชายในกรณีหย่าร้างซึ่งฝ่ายชายตกลงหรือศาลสั่งให้ส่งค่าเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30787 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาสุราษฎร์ธานี ปี 2554 | มท | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุน ๙๒๖.๒๐๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) เพื่อลงทุนโครงการโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับสาระสำคัญของโครงการ ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต ระบบส่งน้ำ และระบบจ่ายน้ำประปาในพื้นที่เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลวัดประดู่ เทศบาลเมืองท่าข้าม เทศบาลตำบลท่าทองใหม่ เทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลพุมเรียง เทศบาลตำบลตลาดไชยา เทศบาลตำบลท่าฉาง และชุมชนรอบนอกให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้เพิ่มขึ้นในอีก ๑๐ ปีข้างหน้าอย่างพอเพียง ใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างประมาณ ๓ ปี เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก ๙๖,๐๐๐ ลบ.ม./วัน สามารถให้บริการผู้ใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีก ๔๖,๒๐๐ ราย โดยจะมีการก่อสร้างวางท่อส่งน้ำ ท่อจ่ายน้ำ และท่อบริการขนาดต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนทดแทนท่อเก่าและวางท่อใหม่ในเขตจ่ายน้ำต่าง ๆ และพื้นข้างเคียง รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ ๕๔.๑๕ กม. และก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปาประกอบด้วยระบบสูบน้ำแรงต่ำ - แรงสูง โรงกรองน้ำ ระบบจ่ายสารเคมี ถังน้ำใส และหอถังสูง รวมทั้งก่อสร้างระบบชักน้ำดิบและขุดสระระบายตะกอนเพิ่มด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียรวมกับค่าน้ำประปา โดยเฉพาะในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนและใช้บริการน้ำประปาจาก กปภ. การศึกษาผลกระทบจากการดำเนินงานของประปาในภาวะเหตุฉุกเฉิน ภัยแล้ง และอุทกภัย โดยจัดทำแผนการรองรับในกรณีดังกล่าว การพิจารณาแนวทางการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) การตรวจสอบการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียในระบบให้เหลือในเกณฑ์ที่ยอมรับได้เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำดิบ การพิจารณาขยายเขตจ่ายน้ำไปยังชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดในพื้นที่ใกล้เคียง การเร่งรัดจัดหาที่ดินให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินโครงการฯ เพื่อมิให้การดำเนินโครงการเกิดความล่าช้า และส่งผลกระทบต่อขอบเขตแผนงานโครงการ การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควบคู่กับการเพิ่มรายได้จากการให้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมาย การพิจารณาปรับโครงสร้างและอัตราค่าน้ำประปาที่สะท้อนต้นทุน เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว การเร่งดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ ๒๕ การติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของผู้รับจ้างปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำเสียทั้งระบบ และพิจารณาจัดทำแผนป้องกันและลดผลกระทบต่อการให้บริการน้ำประปาในกรณีเกิดอุทกภัยหรือภัยแล้งในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30788 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การการท่องเที่ยวโลกว่าด้วยการจัดการประชุมร่วมคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกและคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียใต้ ครั้งที่ 24 | กก | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
๑. การจัดทำและลงนามความตกลงระหว่างไทยและองค์การการท่องเที่ยวโลกว่าด้วยการจัดการประชุมร่วมคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก และคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียใต้ ครั้งที่ ๒๔ โดยความตกลงฯ มีเนื้อหาครอบคลุมถึงรูปแบบและสถานที่ของการจัดการประชุม รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกและการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติระหว่างองค์การการท่องเที่ยวโลกกับประเทศเจ้าภาพ ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย - องค์การการท่องเที่ยวโลก (โดยระบุตำแหน่ง) หรือมอบให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามแทนในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาติดภารกิจ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามในการลงนามร่างความตกลงฯ |
|||||||||||||||||||||||||||
30789 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - พม่า | คค | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบบันทึกการหารือและร่างความตกลง รวม ๒ ฉบับ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ บันทึกการหารือ (Agreed Minutes) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพพม่า มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันในการจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฉบับใหม่ เพื่อใช้แทนความตกลงฉบับเดิม ๑.๑.๒ สิทธิความจุความถี่และสายการบินที่กำหนด คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายยืนยันให้คงสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓/๔ และ ๕ ไว้เช่นเดิม ซึ่งกำหนดให้สายการบินที่กำหนดแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ ได้อย่างไม่จำกัดเที่ยวบินและแบบอากาศยาน และมีสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ในสองจุดระหว่างทางใด ๆ และ/หรือสองจุดพ้นใด ๆ โดยมีสิทธิรับขนจุดละไม่เกิน ๗ เที่ยวต่อสัปดาห์ พร้อมทั้งยืนยันการแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดของตน ๑.๑.๓ ข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือ/การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้สายการบินที่กำหนดแต่ละสายสามารถเข้าร่วมจัดทำข้อตกลงร่วมมือทางการตลาดกับสายการบินของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือสายการบินอื่นใดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) โดยมีเงื่อนไขว่า สายการบินทุกสายที่เข้าร่วมต้องได้รับการอนุญาตที่เหมาะสมและปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ใช้โดยทั่วไปในการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือเช่นว่านั้น ๑.๑.๔ การใช้อากาศยานเช่า คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงทั้งสองสามารถใช้อากาศยานเช่า ทั้งแบบเช่าเฉพาะอากาศยานและแบบเช่าอากาศยานพร้อมลูกเรือ ในการดำเนินบริการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศทั้งสอง หรือพ้นไป ข้อตกลงในการเช่าอากาศยานนั้น จะต้องยื่นขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของทั้งสองฝ่าย ๑.๑.๕ เรื่องอื่น ๆ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะส่งเสริมให้สายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายหารือกันเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดทำความร่วมมือระหว่างกันเพื่อเสริมสร้างให้เกิดโอกาสที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกันในตลาดและเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ๑.๒ ร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพพม่า มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๒.๑ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะกำหนดสายการบินสายหนึ่งหรือหลายสาย เพื่อความประสงค์ในการดำเนินบริการที่ตกลงตามความตกลงฉบับนี้ และมีสิทธิเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงการกำหนดสายการบินดังกล่าว โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง การกำหนดสายการบินเช่นว่านั้น จะมีผลเมื่อมีการแจ้งยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของภาคีผู้ทำความตกลงทั้งสองฝ่าย ๑.๒.๒ กฎหมายและข้อบังคับของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่ง ซึ่งใช้บังคับกับการเข้ามาและการออกจากอาณาเขตของตนของอากาศยานซึ่งใช้ในบริการเดินอากาศระหว่างประเทศ หรือการทำการบินและการเดินอากาศของอากาศยานเช่นว่านั้นในขณะที่อยู่ในอาณาเขตนั้น จะใช้บังคับแก่สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ๑.๒.๓ ใบสำคัญสมควรเดินอากาศ ใบสำคัญความสามารถ และใบอนุญาตที่ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่งออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ และยังคงมีผลใช้บังคับจะได้รับการยอมรับนับถือจากภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่า ข้อกำหนดในการออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ซึ่งใบสำคัญหรือใบอนุญาตเช่นว่านั้น จะต้องเท่าเทียมหรือเหนือกว่ามาตรฐานขั้นต่ำซึ่งอาจกำหนดขึ้นตามอนุสัญญา ๑.๒.๔ ห้ามมิให้ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายใดเรียกเก็บค่าภาระจากสายการบินของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งสูงกว่าที่เรียกเก็บจากสายการบินของตนที่ดำเนินบริการเดินอากาศระหว่างประเทศในลักษณะเดียวกัน ๑.๒.๕ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายตกลงกันว่าสายการบินที่กำหนดแต่ละสายจะมีโอกาสที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกันที่จะแข่งขันในการให้บริการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศภายใต้ความตกลง และจะดำเนินการเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบหรือการปฏิบัติที่เกี่ยวกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ๑.๒.๖ ความตกลงฉบับนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบโดยภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย ตามกระบวนการทางกฎหมายของตน และจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่มีหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต เพื่อยืนยันถึงความเห็นชอบเช่นว่านั้น และจะใช้แทนความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศฉบับก่อน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพื่อให้มีการลงนามร่างความตกลงฯ และแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับต่อไป หลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบบันทึกการหารือฯ และร่างความตกลงฯ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
30790 | ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่ คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ออกจากราชการ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕) ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของกรอบระยะเวลาที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด)] ทั้งนี้ หากจะดำเนินตามมาตรการดังกล่าวในอนาคต จะต้องมีการทบทวน ผลการดำเนินการและกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๑.๒ กำหนดประเด็นการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็น ๔ กรณี คือ ๑.๒.๑ กรณีที่ ๑ คณะรัฐมตรีมีมติให้ส่วนราชการปรับเปลี่ยนสถานภาพโดยออกจากระบบราชการ ไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ๑.๒.๒ กรณีที่ ๒ ส่วนราชการประสงค์จะยุบเลิกบางภารกิจ ไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ๑.๒.๓ กรณีที่ ๓ ส่วนราชการที่อัตรากำลังเกิน กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของกลุ่มเป้าหมาย ๑.๒.๔ กรณีที่ ๔ ส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขึ้นไป) มากกว่าร้อยละที่กำหนด โดยส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขึ้นไป) ตั้งแต่ร้อยละ ๒๐ ขึ้นไป กำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้ร่วมมาตรการฯ ได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของกลุ่มเป้าหมาย และส่วนราชการมีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขี้นไป) ตั้งแต่ร้อยละ ๑๐ แต่ไม่ถึงร้อยละ ๒๐ กำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้ร่วมมาตรการฯ ได้ไม่เกินร้อยละ ๓ ของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ กรณีที่ ๑ - ๓ ส่วนราชการต้องยุบเลิกตำแหน่ง ส่วนกรณีที่ ๔ ไม่ต้องยุบเลิกตำแหน่งของผู้ที่ออกจากราชการตามมาตรการฯ ส่วนราชการรายละเอียดการดำเนินมาตรการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เป็นเช่นเดียวกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการคัดกรองข้าราชการที่เข้าร่วมมาตรการฯ ตามความเหมาะสม เพื่อมิให้มีผลกระทบและเกิดความเสียหายแก่ราชการ ๑.๓ ให้ผู้มีเงินได้ที่ออกจากราชการตามมาตรการฯ และได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อน (เงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการฯ) ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินก้อนดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ๑.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดแนวทางหรือแผนการบริหารจัดการอัตรากำลัง เพื่อให้การลาออกตามมมาตรการฯ ของข้าราชการครูไม่กระทบต่อประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาในภาพรวม รวมทั้งให้การเรียนการสอนมีความต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจอนุญาตการลาออกจากราชการตามมาตรการฯ ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประสิทธิภาพการเรียนการสอนประกอบในการพิจารณาอนุญาตให้ข้าราชการครูออกจากราชการตามมาตรการฯ ด้วย ๒. ให้ คปร. และส่วนราชการต่าง ๆ รับข้อเสนอเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีกรณีที่ส่วนราชการจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการการดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ที่ดี คือ จะต้องมีกระบวนการคัดกรองผู้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้รักษาบุคลากรที่มีคุณภาพและมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานมานานให้อยู่ในระบบราชการต่อไป เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติงานขององค์กรในระยะยาว ส่วนการคัดสรรบุคลากรเข้ามาทดแทนควรพิจารณาให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรเพื่อให้องค์กรได้รับประโยชน์คุ้มค่า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้ คปร. รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเร่งนำผลการประเมินผลโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดมาพิจารณาร่วมกับบทบาทภารกิจของภาครัฐในภาพรวม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขยายการดำเนินโครงการในระยะต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณากลุ่มเป้าหมายและสัดส่วนผู้ที่สามารถเข้าร่วมโครงการอย่างเหมาะสมกบสถานการณ์ รวมทั้งการปรับปรุงและพัฒนาระบบราชการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ควรคำนึงถึงการทบทวนบทบาทภารกิจของส่วนราชการให้เชื่อมโยงกับการกำหนดประเด็นการบริหารทรัพยากรบุคคลในกรณีที่ ๒ (ส่วนราชการประสงค์จะยุบเลิกบางภารกิจ) และกรณีที่ ๓ (ส่วนราชการมีอัตรากำลังเกิน) เพื่อให้การกำหนดขนาดกำลังคนรองรับภารกิจในอนาคตได้อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการ ๔. ให้ สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการศึกษาผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการดำเนินงานให้เหมาะสม คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30791 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. .... | มท | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่บางส่วนของตำบลนากอก บางส่วนของตำบลนิคมคำสร้อย และบางส่วนของตำบลโชคชัย อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30792 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ออสเตรเลีย | คค | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งออสเตรเลีย และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยบันทึกความเข้าฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. สิทธิความจุเที่ยวบินผู้โดยสาร ใช้กับเที่ยวบินบริการผู้โดยสารสำหรับสายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย โดยให้มีผลใช้บังคับในทันที เทียบเท่ากับ ๔๐ โบอิ้ง ๗๔๗ - ๔๐๐ ต่อสัปดาห์ และมีผลใช้บังคับตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๕๒ เทียบเท่ากับ ๔๕ โบอิ้ง ๗๔๗ - ๔๐๐ ต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ ในกรณีที่สายการบินของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประสงค์ที่จะดำเนินบริการด้วยความจุที่มีผลทำให้ความจุรวมเกินสิทธิไปเป็นจำนวนเทียบเท่ากับ ๐.๓ โบอิ้ง ๗๔๗ - ๔๐๐ หรือน้อยกว่า ให้เจ้าหน้าที่การเดินอากาศอนุญาตข้อแตกต่างเล็กน้อยดังกล่าวนั้น ๒. สิทธิความจุเที่ยวบินเฉพาะสินค้า ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายดำเนินบริการเที่ยวบินขนส่งเฉพาะสินค้าได้โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องความจุ/ความถี่ หรือแบบอากาศยานตามเส้นทางบินที่ระบุของตน ทั้งนี้ โดยให้มีผลบังคับในทันที ๓. สิทธิรับขนการจราจร ภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งอาจใช้สิทธิรับขนการจราจรได้อย่างเต็มที่ในแต่ละทิศทางได้ทุกจุด รวมถึงจุดระหว่างทางและจุดพ้น ๔. สิทธิรับขนการจราจรพักค้างของตนเอง ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายอาจใช้สิทธิรับขนการจราจรพักค้างของตนเองระหว่างจุดต่าง ๆ ในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง ๕. การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน/ความร่วมมือด้านการบิน ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายอาจเข้าร่วมดำเนินบริการในลักษณะของการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันระหว่างภาคีผู้ทำความตกลงทั้งสอง หรือโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน กับภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายเดียว หรือโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันกับภาคีที่สาม ๖. การกำหนดเงื่อนไข ใช้บังคบกับการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันทั้งหมด ๗. ความคล่องตัวในการดำเนินบริการ สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายอาจดำเนินบริการทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หรือทั้งสองทิศทาง หรือรวมชื่อเที่ยวบินที่แตกต่างกันไว้ภายในการทำการบินของอากาศยาน หรือส่งผ่านการจราจรอากาศยานใด ๆ ของตน ไปยังอากาศยานอื่นใด ๆ ของตน ณ จุดใด ๆ ตามเส้นทางบิน ๘. การมีผลใช้บังคับ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับนับจากวันที่ (๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑) เป็นต้นไป และจะแทนที่บางข้อของบันทึกความเข้าใจ ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
|
|||||||||||||||||||||||||||
30793 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สหราชอาณาจักร | คค | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบบันทึกการหารือ ร่างบันทึกความเข้าใจ และร่างความตกลง รวม ๓ ฉบับ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ บันทึกการหารือ (Agreed Minutes) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในความร่วมมือด้านการบินเรื่องต่าง ๆ อาทิ ร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฉบับใหม่ สิทธิรับขนการจราจร เป็นต้น และได้บรรจุข้อตกลงและลงนามย่อความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศและบันทึกความเข้าใจที่จะต้องขอความเห็นชอบต่อไป ๑.๑.๒ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายตกลงให้ดำเนินการเพื่อให้มีการลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศและบันทึกความเข้าใจและให้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตระหว่างกันต่อไป ๑.๒ ร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๒.๑ ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้จัดทำตัวบทของร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฉบับใหม่ และได้ตกลงให้บทบัญญัติแห่งความตกลงจะมีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต ๑.๒.๒ ความจุและสิทธิรับขนการจราจร คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงว่า จนถึงกำหนดการบินประจำฤดูหนาว ๒๕๕๑ สายการบินของทั้งสองฝ่ายอาจดำเนินบริการได้ถึง ๒๑ เที่ยวต่อสัปดาห์ สำหรับเที่ยวบินรับขนผู้โดยสารหรือเที่ยวบินรับขนผู้โดยสารผสมสินค้า และได้ถึง ๑๔ เที่ยวต่อสัปดาห์ สำหรับเที่ยวบินรับขนเฉพาะสินค้า และเริ่มตั้งแต่กำหนดการบินประจำฤดูหนาว ๒๕๕๑ สายการบินของทั้งสองฝ่ายอาจดำเนินบริการได้ถึง ๒๘ เที่ยวต่อสัปดาห์ สำหรับเที่ยวบินรับขนผู้โดยสารหรือเที่ยวบินรับขนผู้โดยสารผสมสินค้าและไม่มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนเที่ยว สำหรับเที่ยวบินรับขนเฉพาะสินค้า ๑.๒.๓ การใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน สายการบินที่กำหนดสายหนึ่งหรือหลายสายของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย อาจเข้าร่วมจัดทำความร่วมมือในการใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันกับสายการบินอื่นสายหนึ่งหรือหลายสายใด ๆ ทั้งนี้ ภายใต้บังคับของกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการควบคุมการแข่งขันที่ใช้ภายในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงที่แจ้งกำหนดสายการบินนั้น ๑.๒.๔ การบริการเที่ยวบินเช่าเหมา คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันเจตนาของเจ้าหน้าที่การเดินอากาศฝ่ายตนที่จะสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินบริการเที่ยวบินเช่าเหมาแบบเหมาจ่ายระหว่างสหราชอาณาจักรและประเทศไทย การอนุญาตสายการบินที่ให้บริการเที่ยวบินเช่าเหมาแบบเหมาจ่ายของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งให้สามารถขายเฉพาะที่นั่งโดยสารในแต่ละเที่ยวบินได้ถึงร้อยละ ๒๐ ของความจุอากาศยานทั้งหมด และอนุญาตให้รับขนส่งสินค้าบรรทุกไปกับเที่ยวบินเช่าเหมารับขนผู้โดยสารแบบเหมาจ่ายได้ ๑.๒.๕ การมีผลใช้บังคับ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ใช้แทนบันทึกความเข้าใจทุกฉบับก่อนหน้านี้ และจะมีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต ๑.๓ ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๓.๑ กำหนดคำจำกัดความคำว่า “อนุสัญญาชิคาโก” “เจ้าหน้าที่การเดินอากาศ” “สายการบินที่กำหนด” “อาณาเขต” “บริการเดินอากาศ” “บริการเดินอากาศระหว่างประเทศ” “สายการบิน” “การแวะลงมิใช่ความมุ่งประสงค์ทางการค้า” “ความตกลงฉบับนี้” “ค่าภาระ” “ใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ” และ “รัฐสมาชิกประชาคมยุโรป” ๑.๓.๒ การให้สิทธิ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายให้สิทธิแก่ภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งในการดำเนินบริการเดินอากาศระหว่างประเทศของตน เช่น สิทธิในการบินผ่านอาณาเขตของตนโดยไม่แวะลง สิทธิในการแวะลงในอาณาเขตของตนโดยมิใช่เพื่อความมุ่งประสงค์ทางการค้า เป็นต้น ๑.๓.๓ การกำหนดสายการบินและการอนุญาต ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะกำหนดสายการบินหลายสาย เพื่อความมุ่งประสงค์ในการดำเนินบริการที่ตกลงตามเส้นทางบินที่ระบุของแต่ละฝ่าย และมีสิทธิเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงการกำหนดสายการบินดังกล่าว ๑.๓.๔ การปฏิเสธ การเพิกถอน และการพักใช้ใบอนุญาตดำเนินการ กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขกรณีภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจปฏิเสธเพิกถอน พักใช้ หรือจำกัดการให้การอนุญาตประกอบการ หรือใบอนุญาตทางเทคนิคของสายการบินที่กำหนดโดยภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง ๑.๓.๕ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแข่งขันที่เป็นธรรมและการอุดหนุนภาครัฐ พิกัดอัตราค่าขนส่ง และค่าอากรภาษี และค่าธรรมเนียม ๑.๓.๖ การขนส่งหลายรูปแบบ ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายจะได้รับอนุญาตให้ว่าจ้างการขนส่งหลายรูปแบบใดซึ่งเป็นการต่อเนื่องกับการขนส่งทางอากาศมายังหรือไปจากจุดใด ๆ ในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลง หรือประเทศที่สาม ๑.๓.๗ การแก้ไขความตกลง ภาคีผู้ทำความตกลงจะยอมรับการแก้ไขความตกลงใด ๆ ของความตกลงฉบับนี้โดยการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต ๑.๓.๘ การบังคับใช้ความตกลงฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพื่อให้มีการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างความตกลงฯ และแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตเพื่อยืนยันการมีผลใช้บังคับต่อไปหลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบบันทึกการหารือฯ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างความตกลงฯ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
30794 | ร่างกฎกระทรวงการขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย การสอบสวนและการพิจารณาวินิจฉัย และแบบหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตของผู้ทรงสิทธิในการให้บุคคลอื่นใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและการเพิกถอนการอนุญาตให้ใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยโดยนายทะเบียน พ.ศ. .... | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงรวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงการขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย การสอบสวนและการพิจารณาวินิจฉัย และแบบหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการในการสอบสวนและการพิจารณาวินิจฉัยในกรณีที่มีการขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยร่วมกันหลายคน ๑.๓ กำหนดแบบหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ๒. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตของผู้ทรงสิทธิในการให้บุคคลอื่นใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และการเพิกถอนการอนุญาตให้ใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยโดยนายทะเบียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอนุญาตของผู้ทรงสิทธิในการให้ผู้อื่นใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ๒.๒ กำหนดรายละเอียดของหนังสืออนุญาต วิธีการแจ้งการอนุญาต การแก้ไขเปลี่ยนแปลงการอนุญาต และการแจ้งการสิ้นสุดการอนุญาตให้ใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ๒.๓ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเพิกถอนการอนุญาตให้ใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย โดยนายทะเบียน
|
|||||||||||||||||||||||||||
30795 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดส้วมที่ต้องด้วยสุขลักษณะในร้านจำหน่ายอาหารและหรือเครื่องดื่มและสถานีบริการการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหรือก๊าซสำหรับยานพาหนะ พ.ศ. .... | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดส้วมที่ต้องด้วยสุขลักษณะในร้านจำหน่ายอาหารและหรือเครื่องดื่มและสถานีบริการการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหรือก๊าซสำหรับยานพาหนะ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ๒. กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ ๓. กำหนดให้ส้วมต้องมีสุขลักษณะตามที่กำหนด ได้แก่ ขนาดพื้นที่ภายในห้องส้วม ระยะดิ่ง ช่องระบายอากาศ แสงสว่าง ความลาดเอียง น้ำใช้และความสะอาดของน้ำใช้ อุปกรณ์สำหรับชำระล้าง ระบบดักกลิ่นของที่ปัสสาวะ อ่างล้างมือ แบบของโถส้วม ท่อระบายอุจจาระ และท่อระบายก๊าซ รวมทั้งระบบกำจัดสิ่งปฏิกูล ๔. กำหนดให้เจ้าของร้านจำหน่ายอาหารและหรือเครื่องดื่มซึ่งจัดสถานที่ไว้สำหรับบริการลูกค้าได้ในขณะเดียวกันไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน และเจ้าของสถานีบริการการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหรือก๊าซสำหรับยานพาหนะ ต้องจัดให้มีส้วมที่ต้องด้วยสุขลักษณะซึ่งเปิดให้ใช้บริการได้ตลอดระยะเวลาที่ให้บริการ และต้องจัดให้มีเครื่องสุขภัณฑ์ตามจำนวนอันสมควร แต่ต้องไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30796 | ขออนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่ | สธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดสรรตำแหน่งเพิ่มใหม่ เพื่อบรรจุบุคคลตามคำขอของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อบรรจุทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) จำนวน ๒,๖๖๖ อัตรา เป็นการเร่งด่วน ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ยกเว้นหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เป็นการเฉพาะราย ๑.๒ ในระยะเร่งด่วนเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขนำตำแหน่งที่ว่างอยู่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๕๒๑ อัตรา ไปบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) ที่สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ก่อน ส่วนที่เหลือให้จัดสรรตำแหน่งเพิ่มใหม่ จำนวน ๒,๑๔๕ อัตรา เพื่อบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาลดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ที่เห็นว่า อัตรากำลังใหม่ดังกล่าวให้กระทรวงสาธารณสุขกำหนดเป็นอัตราที่ตรึงไว้สำหรับการบรรจุนักเรียนทุนคู่สัญญาเพื่อปฏิบัติงานในสถานบริการสุขภาพในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และสถานบริการสุขภาพทุกระดับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กระทรวงสาธารณสุขรายงานการบรรจุแต่งตั้งนักศึกษาคู่สัญญาที่ได้รับการบรรจุในครั้งนี้ไปยังคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ไปดำเนินการด้วย ๑.๓ ในระยะต่อไปเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบเพื่อวางระบบการบริหารอัตรากำลังและการวางแผนกำลังคนของกระทรวงให้การจัดการภารกิจบริการสุขภาพมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และให้สำนักงาน ก.พ. เร่งรัดผลการศึกษาแนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจการบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐกำหนด |
|||||||||||||||||||||||||||
30797 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพกรณีผู้ที่เคยรับโทษให้จำคุกถูกจำกัดสิทธิในการเข้ารับราชการ) | สม | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพกรณีผู้ที่เคยรับโทษให้จำคุกถูกจำกัดสิทธิในการเข้ารับราชการ โดยกลุ่มองค์กรที่ใช้พระราชบัญญัติหรือระเบียบที่กำหนดให้การต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเป็นลักษณะต้องห้ามในการเข้ารับราชการโดยไม่มีการกำหนดข้อยกเว้น เช่น ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ข้าราชการการเมือง ข้าราชการทหาร เป็นต้น ควรมีการพิจารณาทบทวนปรับปรุงและแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายแต่ละฉบับให้สอดคล้องกับมิติด้านสิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และพันธกรณีระหว่างประเทศ ที่ให้การคุ้มครองและรับรองไว้ โดยไม่เป็นการจำกัดสิทธิของผู้ที่เคยได้รับโทษจำคุกและมีความเป็นธรรม รวมทั้งควรมีการพิจารณาถึงความเหมาะสมในการประกอบอาชีพด้วย โดยในการกำหนดข้อยกเว้นอาจมีการกำหนดกรอบระยะเวลาให้กับผู้ที่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในการสมัครสอบเข้ารับราชการ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกให้สามารถใช้สิทธิในการสมัครเข้ารับราชการและสามารถกลับตนเป็นคนดีเพื่อทำประโยชน์ให้แก่สังคมและประเทศชาติต่อไป ทั้งนี้ ในการพิจารณาดำเนินการดังกล่าวควรที่จะได้มีการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและระเบียบในเรื่องนี้สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น ตลอดจนพนักงานรัฐวิสาหกิจด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดลักษณะต้องห้ามของบุคคลในการข้ารับราชการตามกฎหมายต่าง ๆ ย่อมต้องเป็นไปตามความจำเป็นและเหมาะสมของข้าราชการประเภทนั้น ๆ อันเป็นลักษณะตามข้อยกเว้นตามมาตรา ๒๙ ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่กระทบกระเทือนถึงสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพอันมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไปโดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับกับกรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง และไม่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๐ ของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ การกำหนดลักษณะต้องห้ามดังกล่าวเป็นการกำหนดโดยพระราชบัญญัติซึ่งรัฐสภาได้พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมแล้ว ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
30798 | ร่างยุทธศาสตร์กรุงโตเกียวเพื่อกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น | กต | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างยุทธศาสตร์กรุงโตเกียวเพื่อกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นเอกสารผลการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๔ โดยสาระสำคัญของร่างยุทธศาสตร์ฯ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ๑.๑ ส่วนที่ ๑ ร่างยุทธศาสตร์ฯ ระบุวิสัยทัศน์ร่วมกันเกี่ยวกับการพัฒนาภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รวมถึงระบุแนวทางสู่วิสัยทัศน์ดังกล่าว โดยกำหนดเสาหลักของความร่วมมือในกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นขึ้นมาใหม่ ๓ เสา ได้แก่ เสาหลักที่ ๑ เสริมสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เสาหลักที่ ๒ การพัฒนาไปพร้อมกัน และเสาหลักที่ ๓ สร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงของมนุษย์และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ๑.๒ ส่วนที่ ๒ ประเด็นที่เป็นข้อห่วงกังวลระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขงและญี่ปุ่นแสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่ห่วงกังวลร่วมกัน และสร้างเสริมความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นที่มีอยู่แล้วให้แข็งแกร่งและครอบคลุมขึ้น เพื่อคงไว้ซึ่งสันติภาพ ความสงบสุข และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค ๒. มอบให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||
30799 | การดำเนินการตามพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 | กค | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี ของยอดเงินรับฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดร่างมาตรา ๑๐ ที่กำหนดให้รายได้ของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และร่างมาตรา ๑๔ (๓) ที่กำหนดให้นำเงินกองทุนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นว่ากองทุนมีเงินเพียงพอต่อการดำเนินกิจการแล้ว ให้สอดคล้องกัน เพื่อให้การใช้บังคับกฎหมายเป็นไปแนวทางเดียวกันทั้งฉบับ รวมทั้งกำหนดสาระสำคัญเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพิ่มทุนไว้ในบทเฉพาะกาลของร่างพระราชบัญญัติฯ กล่าวคือ เมื่อมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจในวันก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้ว ก็ให้โอนงบประมาณเพื่อการเพิ่มทุนที่มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับไปเป็นของกองทุนด้วยเพื่อความเป็นเอกภาพในการเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ กำหนดให้จัดตั้งกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการเพิ่มทุนชดเชยความเสียหายในโครงการที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ดำเนินการเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ตลอดจนการนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ๓.๒ กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจนำส่งเงินเข้ากองทุนตามอัตราที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดแต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๑ ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ย ๓.๓ กำหนดให้เงินกองทุนจะนำออกมาใช้ได้ในการจัดสรรเงินให้แก่การเพิ่มทุนของสถาบันเฉพาะกิจ การจ่ายเงินชดเชยให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจเนื่องจากการดำเนินธุรกิจตามมติคณะรัฐมนตรี การนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ฯลฯ ๓.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของกองทุน ๔. ให้กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดกระบวนการปรับปรุงพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยในการขยายหน้าที่การช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันการเงินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และมีการหารืออย่างสม่ำเสมอถึงความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งของสถาบันประกันเงินฝาก และ ธปท. โดยคำนึงถึงปริมาณภาระหนี้ของกองทุน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวม สถานะความมั่นคงของสถาบันการเงิน รวมทั้งความจำเป็นในการขยายภารกิจในการดูแลสถาบันการเงินของกองทุนฯ และเห็นควรกำหนดแนวทางการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ชัดเจนและมุ่งเน้นการพัฒนาการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นสำคัญ ตลอดจนพิจารณาเพิ่มเติมวิธีการในการเรียกเก็บเงินจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม นอกจากนี้ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งรัดการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐออกจากบัญชีการดำเนินการปกติของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้ทราบผลการดำเนินงานที่แท้จริง และในกรณีที่ต้องมีการชดเชยสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง และโปร่งใส ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30800 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ และกำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ พ.ศ. .... (มาตรการคว่ำบาตรอาวุธต่อสาธารณรัฐโกตดิวัวร์) | พณ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์และยานพาหนะเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ และกำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ พ.ศ. ..... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะที่ส่งให้แก่กองกำลังรักษาความมั่นคงของสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ ๑.๒ กำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนทุกชนิดที่ส่งมาจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๓ กำหนดห้ามมิให้นำความในข้อ ๑.๑ ไปใช้บังคับในกรณีการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้หรือสนับสนุนในการดำเนินงานของ United Nations Operation In Cote d’ I voire (UNOCI) หรือใช้ในกองกำลังของประเทศฝรั่งเศสเพื่อสนับสนุน UNOCI ฯลฯ ๑.๔ กำหนดห้ามมิใหนำความในข้อ ๑.๒ ไปใช้บังคับกับการนำเข้ามาเพื่อการวิจัยและวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาข้อมูลเชิงเทคนิคเฉพาะที่เกี่ยวกับการผลิตเพชรของสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประมวลผลการดำเนินการตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโกตดิวัวร์ ของส่วนราชการทั้งหมดที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโกตดิวัวร์) เพื่อรวบรวมและรายงานความคืบหน้าการปฏิบัติตามข้อมติคณะมนตรีฯ ในส่วนของประเทศไทยต่อสหประชาชาติต่อไป และควรประชาสัมพันธ์การบังคับใช้ร่างประกาศกระทรวงฯ ดังกล่าว ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการให้ทราบโดยทั่วถึง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....