ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1531 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30601 - 30620 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30601 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายขาดดุล จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิ จำนวน ๒,๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๒. การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นดำเนินการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เป็นไปตามขั้นตอนการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณฯ และหลักเกณฑ์การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณฯ ๔. ให้สำนักงบประมาณนำเสนอวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และผลการพิจารณาปรับปรุงงบประมาณฯ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่ได้รับอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีไปจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และเอกสารประกอบงบประมาณ โดยให้ส่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรงก่อนนำไปพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
30602 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ ๘ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันอังคารที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๙ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพุธที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑๐ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพฤหัสบดีที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
30603 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง | ทส | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๗ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายวิจารย์ สิมาฉายา ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมควบคุมมลพิษ ๓. นางอรพินท์ วงศ์ชุมพิศ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๔. นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๕. นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ๖. นายนพพล ศรีสุข ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๗. นายสันติ บุญประคับ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||
30604 | การดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ตามที่ประธานกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) เสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุม ปคอป. ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ พิจารณาเห็นควรจัดให้มี “เวทีประชาเสวนา” โดยกำหนดประเด็นที่จะนำไปสู่การพูดคุย คือ “ประเด็นที่เป็นรากเหง้าของความขัดแย้งและแนวทางในการสร้างความปรองดองเพื่อมิให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก” และมีแนวทางการดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ขอความร่วมมือคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เพื่อขอผลศึกษาวิจัยรากเหง้าที่เป็นปัญหาของความขัดแย้ง และแนวทางในการสร้างความปรองดอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก เพื่อนำไปสู่การพูดคุยสร้างความเข้าใจร่วมกันในระดับประชาชนทั่วไปในรูปแบบ “ประชาเสวนา” ๑.๒ ขอความร่วมมือสถาบันพระปกเกล้า เพื่อขอคู่มือและแนวทางปฏิบัติในการจัดทำเวทีประชาเสวนา ตลอดจนการอบรมบุคลากรเพื่อทำหน้าที่เป็นวิทยากร เพื่อที่รัฐบาลจะได้นำไปเป็นแนวทางการดำเนินการต่อไป ๑.๓ ให้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการจัดให้มีเวทีประชาเสวนา โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงาน องค์กร หรือสถาบันการศึกษาที่มีความสนใจสามารถเข้าร่วมโครงการโดยนำเอาผลการศึกษาของ คอป. และแนวทางปฏิบัติในการจัดทำเวทีประชาเสวนาของสถาบันพระปกเกล้า ไปดำเนินการได้ด้วย ๒. ปคอป. ได้เห็นชอบในหลักการดำเนินการจัดทำเวทีประชาเสวนา และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับทิศทางการจัดทำเวทีประชาเสวนา โดยให้คณะอนุกรรมการเสนอผลดำเนินการและข้อเสนอแนะภายในเวลา ๖๐ วัน
|
||||||||||||||||||||||||
30605 | ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | กค | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ) ในส่วนของข้อ ๑. “๑. เห็นชอบการปรับแก้ไขหลักเกณฑ์และแนวทางในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ” นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีส่วนราชการหลายแหล่งได้มีการสอบราคาและ/หรืออยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการการจัดซื้อจัดจ้าง หรือที่สำนักงบประมาณได้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้เช่ารถยนต์เป็นระยะเวลา ๓ ปี ไปก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน ดังนั้น เพื่อให้การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการของส่วนราชการต่าง ๆ ที่ได้เริ่มดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างไปแล้วก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕) รวมทั้งเพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อการดังกล่าวเป็นไปด้วยความรวดเร็ว จึงเห็นควรเพิ่มเติมข้อความมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ) ในส่วนของข้อ ๑. เป็นว่า “๑. เห็นชอบการแก้ไขหลักเกณฑ์และแนวทางในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ยกเว้นกรณีการเช่ารถยนต์ของส่วนราชการที่ได้เริ่มดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือที่สำนักงบประมาณได้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้เช่ารถยนต์เป็นระยะเวลา ๓ ปี ไปก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้ตามหลักเกณฑ์เดิม”
|
||||||||||||||||||||||||
30606 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2555 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐ โครงการ วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๔,๙๒๔.๐๒๔ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ประกอบด้วย ๑.๑ โครงการที่มีแหล่งเงินรองรับการดำเนินโครงการ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายระบบประปาภูเก็ต และสามพราน วงเงินลงทุน ๗๗๔.๐๐๘ ล้านบาท ให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) เพื่อลงทุนโครงการ โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ๑.๒ โครงการที่ยังไม่มีแหล่งเงินรองรับ และไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑๘ โครงการ วงเงินรวม ๔,๑๕๐.๐๑๖ ล้านบาท โดยให้ กปภ. บรรจุไว้ในกรอบแผนการลงทุนระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) เพื่อให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปี ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางเลือกเพิ่มเติมในการดำเนินโครงการพัฒนาปี ๒๕๕๕ ของ กปภ. ได้แก่ การพิจารณาปรับโครงสร้าง และอัตราค่าน้ำประปาที่สะท้อนต้นทุนในแต่ละพื้นที่ และที่เป็นธรรมต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ให้บริการ การบูรณาการฐานข้อมูลตั้งแต่ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีผู้ใช้น้ำ การจัดทำแผนที่แหล่งน้ำ การจัดทำแผนที่ระบบท่อประปาเดิม และแผนที่ระบบท่อประปาที่จะวางแนวท่อบริการใหม่ให้สอดคล้องกัน การประเมินผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานของ กปภ. โดยใช้แหล่งอ้างอิงจากผลการดำเนินงานของบริษัทประปาต่างประเทศที่มีระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำประปาของ กปภ. และพิจารณาความคุ้มค่าจากการลงทุนทางด้านการเงิน โดยการควบคุมค่าใช้จ่ายการผลิตและเพิ่มรายได้จากการให้การบริการ และลดอัตราการสูญเสียน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยประสานความร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาโครงสร้างการบริหารกิจการการประปาของประเทศในภาพรวม การผลักดันการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลกิจการประปาของประเทศเพื่อกำหนดมาตรฐานประกอบกิจการประปา โครงสร้างและอัตราค่าบริการ และการติดตามและเร่งปรับลดการใช้น้ำบาดาลของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่ กปภ. สามารถขยายเขตการให้บริการน้ำประปาทดแทนได้แล้ว ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30607 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ 10) | กค | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จนสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ทั้งนี้ การดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายตามมาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย ๑.๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง : ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๑,๒๐๘ ล้านบาท ๑.๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ : ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๔๕๘ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางที่มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ ขสมก. และ รฟท. กู้เงินเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และสำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นให้แก่ ขสมก. และ รฟท. สำหรับการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณร่วมกันหารือเพื่อเร่งจัดหาเงินชดเชยให้แก่ ขสมก. และ รฟท. ตามขั้นตอน โดยเฉพาะในส่วนที่ยังไม่มีแหล่งเงิน ทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุมัติเงินกู้และไม่ได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณ เพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาตรวจสอบและติดตามการกำหนดเส้นทางและช่วงเวลาการปล่อยขบวนรถของ รฟท. และ ขสมก. ตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนผู้ใช้บริการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30608 | การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มเติมตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และข้อเสนอของกระทรวงการคลัง สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แยกบัญชีการดำเนินงานและบัญชีธนาคารของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ โดยเฉพาะ เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีชำระคืน ธ.ก.ส. ภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้เสร็จสิ้นทุกสิ้นปีงบประมาณหรือไม่เกินปีงบประมาณถัดไปตามผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงจากการจำหน่ายข้าว โดยไม่ต้องรอให้มีการระบายผลิตผลเสร็จสิ้นก่อน เพื่อให้มีการรับรู้กำไร/ขาดทุนจากการจำนำข้าวในปีนั้น ๆ การชดเชยต้นทุนเงินและค่าใช้จ่ายดำเนินงาน รวมทั้งเงินที่ใช้ในการดำเนินงานโครงการทั้งในส่วนของ ธ.ก.ส. และส่วนที่กู้จากสถาบันการเงิน เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณด้านดอกเบี้ยจ่ายจากหนี้คงค้างโครงการเป็นเวลานาน รวมทั้งเพื่อให้ ธ.ก.ส. สามารถนำเงินไปหมุนเวียนเพื่อใช้ในโครงการอื่นในปีต่อ ๆ ไป หากมีกำไรเกิดขึ้นจากการดำเนินงานหลังจากการระบายผลผลิตหรือสิ้นสุดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ ธ.ก.ส. นำเงินส่งคลังทันที ๑.๒ ให้หน่วยงานดำเนินการที่ได้จำหน่ายสินค้าตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ได้แก่ องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เมื่อได้รับชำระค่าสินค้าแล้วให้นำส่งเงินดังกล่าวแก่ ธ.ก.ส. ทันที และ/หรือภายใน ๓๐ วันนับจากวันที่ได้รับเงิน หากล่าช้าให้ชำระเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี สำหรับดอกผลที่เกิดขึ้นจากการเก็บรักษาเงินค่าชำระสินค้า ให้หน่วยงานดำเนินการนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินทันที เนื่องจากเป็นโครงการที่รัฐบาลรับภาระและเป็นรายได้ที่ อคส. และ อ.ต.ก. ไม่พึงได้ ทั้งนี้ เพื่อ ธ.ก.ส. จะได้นำไปชำระหนี้และลดภาระหนี้เงินกู้ต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศรายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินงาน ระบายข้าว ปริมาณและมูลค่าสินค้าคงเหลือ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นครั้งคราวตามความเห็นชอบของ กขช. หรือตามที่เห็นเหมาะสม โดยไม่น้อยกว่า ๓ ครั้ง ต่อปี เพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีข้อมูลในการตัดสินใจได้ทันที ๑.๔ ให้ อคส. และ อ.ต.ก. จัดทำเอกสาร/หลักฐานสำหรับเก็บข้อมูลปริมาณข้าวสารที่ได้จากการสีข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร คุณภาพ และปริมาณข้าวสารที่นำออกจากโกดังเป็นรายเดือน แล้วแจ้งให้ ธ.ก.ส. ทราบปริมาณข้าวสารและจำนวนเงินที่ได้รับสำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และเป็นหลักฐานในการตรวจสอบต่อไป ๑.๕ สำหรับโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๑/๕๒ ให้ อคส. และ อ.ต.ก. สำรวจปริมาณสินค้าในสต็อกของรัฐบาลที่เหลืออยู่พร้อมทั้งประเมินมูลค่าของสินค้าที่เหลืออยู่และรายงานให้คณะรัฐมนตรีและกระทรวงการคลังทราบตามความเหมาะสม สำหรับการชำระค่าสินค้าในสต็อกรัฐบาลให้ดำเนินการเช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ๑.๖ ให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อบริหารจัดการหนี้เงินกู้ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันสำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท จนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น โดยรัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๑.๗ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ที่เกิดจากการกู้เงินและการบริหารจัดการหนี้ของ ธ.ก.ส. โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้ง ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ จำนวนไม่เกิน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งการบริหารจัดการหนี้ร่วมกับ ธ.ก.ส. ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันจนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๒. ในส่วนของการให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีชำระคืน ธ.ก.ส. ภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้เสร็จสิ้นทุกสิ้นปีงบประมาณหรือไม่เกินปีงบประมาณถัดไปตามผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงจากการจำหน่ายข้าว โดยไม่ต้องรอให้มีการระบายผลิตผลเสร็จสิ้นก่อนนั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนและเร่งระบายผลผลิตให้เสร็จสิ้นในปีการผลิตโดยเร็วเพื่อมิให้ผลผลิตเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ราคาผลผลิตตกต่ำ และเมื่อทราบผลกำไร/ขาดทุนของผลผลิตแล้ว หากมีความจำเป็นต้องชำระผลขาดทุนและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระคืนต้นทุนและดอกเบี้ยตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน พัฒนาคุณภาพและคุณค่าของสินค้า เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพการเกษตรได้อย่างยั่งยืน ภายใต้กลไกตลาดที่จะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้ ธ.ก.ส. เร่งรัดดำเนินการตรวจสอบการออกใบประทวนในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม แล้วให้จัดทำรายงานเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30609 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 | กษ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๒/๕๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การค้ำประกันเงินกู้ตามประกันเงินกู้โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๒/๕๓ อยู่ระหว่างการดำเนินการลงนามในหนังสือเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาค้ำประกันออกไปถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการฯ ให้แก่องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จำนวน ๑๒๑,๖๑๙,๙๘๑.๑๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย จากเดิมครบกำหนดชำระภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ เป็นครบกำหนดชำระภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๓ อ.ต.ก. ได้รับจัดสรรเพื่อชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๑๒๖,๐๒๔,๙๐๐ บาท ซึ่ง อ.ต.ก. ได้นำไปชำระหนี้เงินกู้ (บางส่วน) จำนวน ๑๒๑,๒๓๔,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน ๔,๗๙๐,๖๕๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว คงเหลือหนี้เงินกู้จำนวน ๓๘๕,๗๓๑.๑๘ บาท (๑๒๑,๖๑๙,๙๘๑.๑๘ - ๑๒๑,๒๓๔,๒๕๐) ๑.๔ เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ซึ่ง อ.ต.ก. ไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการฯ ได้ทันในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่ง อ.ต.ก. จะได้ขอตั้งงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพิ่มเติมในส่วนที่ขาดเพื่อชำระหนี้เงินกู้คืนให้แก่ ธ.ก.ส. เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๔๐๙,๗๖๔.๗๖ บาท (หนี้เงินกู้จำนวน ๓๘๕,๗๓๑.๑๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยจ่าย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒๔,๐๓๓.๕๘ บาท) ๑.๕ การดำเนินการตามโครงการฯ ของ อ.ต.ก. สรุปผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดย อ.ต.ก. รับซื้อข้าวเปลือกได้จำนวน ๔๖,๔๖๑.๑๑๑๘๐๗ ตัน มูลค่า ๔๑๔,๖๒๙,๒๙๗.๔๓ บาท จำนวนเกษตรกร ๕,๙๐๔ ราย จำนวนจุดรับซื้อ ๒๔ จุดใน ๑๐ จังหวัด รับมอบข้าวสารเข้าคลังสินค้าจำนวน ๒๖,๖๔๘.๑๗๕๐๑๕ ตัน เก็บรักษาข้าวสารในคลังสินค้า ๔ คลังใน ๓ จังหวัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย อ.ต.ก. กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาการชำระหนี้เงินกู้ที่เหลือของ อ.ต.ก. การเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขยายระยะเวลาการค้ำประกันเงินกู้สำหรับโครงการฯ การเร่งดำเนินการระบายข้าวสารที่เหลืออยู่ของ อ.ต.ก. เพื่อไม่ให้ข้าวเสื่อมสภาพมากขึ้น และช่วยลดภาระงบประมาณในการเก็บรักษา การจัดทำแผนธุรกิจและแผนการชำระหนี้เพื่อใช้ประกอบการวางแผนชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวให้ชัดเจน การเร่งรัดการระบายข้าวในคลังสินค้าภายใต้โครงการฯ และการให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน พัฒนาคุณภาพและค่าของข้าวไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30610 | การปรับเพิ่มเงินเดือนครูโรงเรียนเอกชนวุฒิปริญญาตรีให้ได้รับ เดือนละ 15,000 บาท | ศธ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการปรับเพิ่มเงินเดือนครูโรงเรียนเอกชนวุฒิปริญญาตรีให้ได้รับเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ โดยรัฐบาลรับภาระครึ่งหนึ่ง และให้ผู้ประกอบการสถานศึกษาภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการรับผิดชอบครึ่งหนึ่ง ตามแนวทางที่เคยปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การช่วยเหลือครูโรงเรียนเอกชนเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว) ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ) พิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยพิจารณาทบทวนโครงการที่มีความจำเป็นในลำดับต่ำหรือใช้เงินเหลือจ่าย รวมถึงเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีมาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณตรวจสอบข้อมูลจำนวนครูโรงเรียนเอกชนที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน และการนำเงินอุดหนุนที่ได้รับไปสมทบเป็นเงินเดือนครูอย่างแท้จริง ทั้งนี้ เพื่อให้ทราบจำนวนงบประมาณที่จะใช้จ่ายในแต่ละปี ๒.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับปรุงวิธีการและเงื่อนไขในการจัดสรรเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายให้แก่สถานศึกษาต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับต้นทุนในการจัดการศึกษาที่แท้จริง เพื่อไม่ให้มีผลผูกพันต่องบประมาณในระยะยาว |
||||||||||||||||||||||||
30611 | การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน และการประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ วิสัยทัศน์ “น่าน เมืองเก่ามีชีวิต” ๑.๑.๒ เป้าหมายการดำเนินงานในระยะที่ ๑ ภายในช่วงเวลา ๓ ปี ได้แก่ ประกาศเมืองเก่าน่านให้เป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และปรับปรุงการจัดบริการให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล (ระยะที่ ๑) เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) รวมทั้งเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติในพื้นที่เมืองเก่าน่าน ภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) ทำให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก ๙๙๓ ล้านบาท และจำนวนนักท่องเที่ยว ๑.๓๕ แสนคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้นเป็น ๑,๒๐๐ ล้านบาท และ ๑.๕๓ แสนคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามลำดับ ๑.๑.๓ ขอบเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน ครอบคลุมพื้นที่ ๕ ตำบล ประกอบด้วย ตำบลในเวียง (เขตเทศบาลเมืองน่านทั้งตำบล) ตำบลดู่ใต้ (เขตเทศบาลตำบลดู่ใต้ทั้งตำบล) ตำบลนาซาว ตำบลบ่อสวก อำเภอเมืองน่าน และตำบลม่วงตึ๊ด อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เนื้อที่ ๑๓๙.๓๗ ตารางกิโลเมตร หรือ ๘๗,๑๐๖.๒๕ ไร่ ๑.๒ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๒.๑ วิสัยทัศน์ “อู่ทองเมืองโบราณ ต้นกำเนิดประวัติศาสตร์ อารยธรรมสุวรรณภูมิ” ๑.๒.๒ เป้าหมายการดำเนินงานในระยะที่ ๑ ภายในช่วงเวลา ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) ได้แก่ ประกาศเมืองโบราณอู่ทองให้เป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และปรับปรุงการบริการให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล (ระยะที่ ๑) เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) รวมทั้งเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ร้อยละ ๕๐ ของปัจจุบันภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) ๑.๒.๓ ขอบเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง ครอบคลุมพื้นที่ทั้งตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ ๓๘.๑๖ ตารางกิโลเมตร หรือ ๒๓,๘๕๐ ไร่ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในการจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่านาน และพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง เพื่อให้การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษฯ บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย อย่างมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับชุมชน ท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และเห็นควรมีการสืบค้นและศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองเก่าน่านและเมืองโบราณอู่ทองอย่างถูกต้อง โดยให้มีหลักฐานอ้างอิงที่ชัดเจนเพื่อประกอบการถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า (Story to tell) ให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว และอนุชนรุ่นหลังสืบไป รวมทั้งเร่งดำเนินการจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการในพื้นที่ที่ได้ประกาศเป็นเขตพื้นที่พิเศษแล้วกำหนดกลไกการบริหารจัดการให้ชัดเจน และดำเนินการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สามารถใช้เป็นต้นแบบการบริหารจัดการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งประเภทแหล่งท่องเที่ยงทางธรรมชาติ โบราณสถาน ศิลปวัฒนธรรม และที่มนุษย์สร้างขึ้น พร้อมทั้งใช้เป็นแนวทางการปรับบทบาทของ อพท. ในระยะยาวต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้บูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30612 | ขอเปลี่ยนชื่อโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่และแต่งตั้งคณะกรรมการทำหน้าที่บริหารโครงการดังกล่าว | ศธ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเพิ่มเติมว่า การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการผลิตครูมืออาชีพ กระทรวงศึกษาธิการ ควรพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าร่วมโครงการโดยเน้นในเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ มีจิตวิญญาณของความเป็นครูที่แท้จริง เอื้ออาทรต่อเด็กนักเรียน สามารถจัดการเรียนการสอนในแนวใหม่โดยยึดเด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลาง มีการเปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนได้แสดงออกซึ่งความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นของเด็กนักเรียนด้วย ๒. เห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ เป็น “โครงการผลิตครูมืออาชีพ” และแต่งตั้งคณะกรรมการทำหน้าที่บริหารโครงการครูมืออาชีพ เพื่อเป็นกลไกในการบริหารและขับเคลื่อนการดำเนินโครงการให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ จำนวน ๒ ชุด คือ คณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูมืออาชีพ และคณะกรรมการคัดเลือกสถาบันฝ่ายผลิตและนักศึกษาทุนโครงการผลิตครูมืออาชีพ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของนายกรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดรายละเอียดกระบวนการ วิธีการ ขั้นตอนการดำเนินงานโครงการผลิตครูมืออาชีพให้มีความชัดเจน เช่น แผนการดำเนินงาน หลักเกณฑ์ ขั้นตอนการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสถาบันฝ่ายผลิต และนักเรียน/นักศึกษา เงื่อนไขและข้อผูกพันสำหรับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกรับทุน เป็นต้น รวมทั้งควรเร่งประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการให้มีความครอบคลุม ทั่วถึง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจการดำเนินโครงการ และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30613 | รายงานผลการพิจารณากรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | กค | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษางานระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ได้พิจารณาแล้วตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง เป็นวงเงิน ๖๖๕,๔๔๑,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ (PMC) วงเงิน ๒๖๕,๓๙๙,๐๐๐ บาท และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า (MESC) จำนวน ๔๐๐,๐๔๒,๕๐๐ บาท ซึ่งต่ำกว่ากรอบวงเงินที่กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓,๕๕๘,๕๐๐ บาท ๑.๒ เห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลัง โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณากู้เงินในประเทศและให้กู้เงินต่อแก่ รฟม. สำหรับค่าจ้างที่ปรึกษางานระบบรถไฟฟ้าฯ เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกับค่าจ้างที่ปรึกษางานโยธา โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่แหล่งเงินกู้โดยตรง และเมื่อ รฟม. มีรายได้จากการเดินรถไฟฟ้าในอนาคต เห็นควรให้นำเงินรายได้ดังกล่าวมาชำระเงินลงทุนในส่วนนี้คืนให้แก่รัฐบาล เพื่อให้เป็นไปตามหลักการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ (เรื่อง โครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ซึ่งรัฐบาลรับภาระการลงทุนเฉพาะในส่วนค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานงานโยธาเท่านั้น ๑.๓ ให้ รฟม. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการในขั้นตอนการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อให้เกิดความรอบคอบใน ๓ ประเด็น คือ พิจารณาจำนวน Man - Month ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินโครงการ พิจารณาอัตราค่าตอบแทนบุคลากรให้เป็นไปตามแนวทางการใช้อัตราค่าตอบแทนที่ปรึกษาของศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทย กระทรวงการคลัง และหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ และให้ รฟม. ดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาให้เป็นไปอย่างประหยัดและถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องของทางราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานเพื่อให้การเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชำระหนี้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยในอนาคตเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ เห็นควรเร่งจัดทำแผนพัฒนาเชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้าและตัวรถไฟฟ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินดังกล่าว โดยการจัดทำแผนควรมีความชัดเจนในเรื่องการใช้ประโยชน์พื้นที่ รูปแบบการพัฒนาธุรกิจและกลยุทธ์ทางการตลาด รวมทั้งประมาณการรายรับและรายจ่ายจากการดำเนินการตามแผนธุรกิจดังกล่าวเพื่อเพิ่มรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของ รฟม. และลดภาระในการสนับสนุนทางการเงินของภาครัฐต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องตัว กระทรวงคมนาคมควรประสานงานและหารือแนวทางหรือปัญหาอุปสรรคอันอาจจะเกิดขึ้นร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นการล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเตรียมการงบประมาณและแหล่งเงินรองรับโครงการ ทั้งนี้ ในการกำหนดรายละเอียดสายทางของโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการเชื่อมต่อกับสายทางของโครงการอื่นและเครือข่ายการขนส่งต่าง ๆ ทั้งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
30614 | การสมัครเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริดของไทย ภายใต้มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | พณ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริดของไทย เพื่อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยและส่งผู้ออกของไทยในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศ รวมทั้งจะช่วยยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ตลอดจนสร้างบรรยากาศในการลงทุนที่ดีให้กับธุรกิจต่างประเทศ และเห็นชอบพิธีสารเกี่ยวกับความตกลงกรุงมาดริดเกี่ยวกับการจดทะเบียนระหว่างประเทศของเครื่องหมาย เพื่ออำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศของประเทศสมาชิก โดยผู้ขอจดทะเบียนสามารถยื่นคำขอเพียงฉบับเดียวก็จะมีผลเท่ากับยื่นคำขอในหลายประเทศพร้อมกัน เจ้าของเครื่องหมายการค้าสามารถขอรับความคุ้มครองในประเทศอื่น ๆ ซึ่งเป็นสมาชิกพิธีสารในภายหลังได้ เจ้าของเครื่องหมายการค้าสามารถต่ออายุเครื่องหมายการค้าพร้อมกันได้ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่พิธีสารมาดริดมีข้อเสนอให้รัฐภาคีเลือกดำเนินการใน ๒ กรณี ตาม Article 5 (2) (b) และ Article 8 (7) โดยให้แสดงเจตนา (declaration) ไปพร้อมกับสัตยาบันสารหรือภาคยานุวัติสาร ดังนั้น ในชั้นการพิจารณาของรัฐสภา เห็นสมควรให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาทางเลือกดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐสภาด้วย และเห็นควรให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของบุคลากรและการพัฒนาระบบสืบค้นและฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อรองรับการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศ รวมทั้งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจในการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริดให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญา และส่งเสริมการจดทะเบียนเพื่อให้ได้มาซึ่งการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศ ตลอดจนติดตามและประเมินผลลัพธ์การเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด เพื่อนำไปสู่แนวทางการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทยต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30615 | การกำหนดค่าตอบแทนของกรรมการบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทในเครือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดอัตราเบี้ยประชุมกรรมการของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทในเครือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยกำหนดให้บริษัทฯ อยู่ในรัฐวิสาหกิจกลุ่มที่ ๓ ได้รับเบี้ยประชุมกรรมการในอัตราไม่เกินคนละ ๖,๐๐๐ บาทต่อเดือน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงอัตราเบี้ยกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||
30616 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับงานที่ทำเป็นโครงการ จำนวน 19 โครงการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินในประเทศเพื่อลงทุนในโครงการ จำนวน ๑๙ โครงการ ของ กฟภ. ตามกรอบวงเงินกู้ภายใต้แผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๔,๖๙๕.๕๐๖ ล้านบาท ซึ่งไม่เกินกรอบวงเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ โดยให้ กฟภ. ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ที่กำหนดให้การกู้เงินในประเทศดังกล่าวในแต่ละปี กฟภ. จะต้องเสนอความต้องการกู้เงินให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อบรรจุโครงการเงินกู้ไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||
30617 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 [เรื่อง โครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิระวดี - แม่โขง - เจ้าพระยา (ACMECS) ประจำปี 2555] | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ [เรื่อง โครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิระวดี - แม่โขง - เจ้าพระยา (ACMECS) ประจำปี ๒๕๕๕] “เห็นชอบและอนุมัติทั้ง ๕ ข้อ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ” เป็นว่า “เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ยกเว้นการจำกัดผู้มีสิทธิ์นำเข้าและรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองภายในประเทศ ให้กระทรวงพาณิชย์นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพืชน้ำมันและน้ำมันพืชพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการด้วย”
|
||||||||||||||||||||||||
30618 | การดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต | กค | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามผลการประชุมหารือของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นายนิรุตติ คุณวัฒน์) ในการดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยที่ประชุมได้มีข้อยุติหลักการของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ดังนี้ ๑.๑ ระยะเวลาดำเนินการ เริ่มตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ รูปแบบการดำเนินการ ๑.๒.๑ โครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ครอบคลุมเฉพาะนักเรียน นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าเฉพาะหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคน โดยผู้เข้าร่วมโครงการฯ เป็นนักเรียน/นักศึกษารายใหม่ ที่มิใช่ผู้กู้ยืมรายเก่าของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ยกเว้นกรณีผู้กู้ยืมรายเก่าของ กยศ. ที่เปลี่ยนระดับจาก ม.๖ หรือเทียบเท่า เป็นระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าในปีการศึกษา ๒๕๕๕ โดยผู้กู้ยืมที่เปลี่ยนระดับนี้ อาจเลือกที่จะกู้ยืม กยศ. หรือเข้าร่วมโครงการฯ ก็ได้ ๑.๒.๒ สำหรับในปีการศึกษา ๒๕๕๕ การกำหนดหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนในเบื้องต้น ให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปพลางก่อน ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการฯ พิจารณาปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นก็ได้ โดยมีรายละเอียดของหลักสูตร/สาขาวิชาไม่ต่ำกว่าเดิม ๑.๒.๓ กรณีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ที่มีฐานะยากจนมีสิทธิได้รับค่าครองชีพเพิ่มเติมจากค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษาที่สถานศึกษาเรียกเก็บตามกฎหมาย โดยใช้อัตราเดียวกับของ กยศ. ๑.๒.๔ สำหรับรายละเอียดการดำเนินการโครงการฯ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ใช้แนวทางเช่นเดียวกับ กยศ. ยกเว้นกรณีหลักเกณฑ์การชำระคืนเงินกู้ของโครงการฯ ที่ควรต้องให้เหมาะสมสอดคล้องกับหลักการของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ที่มุ่งเน้นในหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักฯ ดังนั้น การชำระคืนเงินกู้จะยึดโยงกับความสามารถในการหารายได้ในอนาคตเป็นสำคัญก่อนเริ่มให้มีการชำระคืนเงินกู้ยืมของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ๑.๒.๕ ให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พิจารณาจัดเตรียมรายละเอียดรูปแบบการดำเนินการและโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ โดยให้ทันต่อการเปิดภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ เช่น คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ การปรับปรุงรายละเอียดสาขา/วุฒิขาดแคลนเดิมจากที่ใช้ในปีการศึกษา ๒๕๕๑ ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน กรอบวงเงินและการจัดสรร เอกสารหลักฐานต่าง ๆ การประชาสัมพันธ์เสริมสร้างความเข้าใจ และการบริหารงานด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ๑.๒.๖ เพื่อให้การดำเนินการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีการบูรณาการครอบคลุมการดำเนินงานของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ และ กยศ. ในระยะต่อไป เห็นควรให้คณะกรรมการ กยศ. และคณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาเร่งจัดทำร่างกฎหมายรองรับการดำเนินการโครงการฯ ในระยะยาว โดยให้ควบรวมกฎหมาย กยศ. เป็นส่วนหนึ่ง และให้มีผลบังคับใช้ภายในปีการศึกษา ๒๕๕๖ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาหาแนวทางการปล่อยสินเชื่อและการกำกับดูแลการชำระเงินคืน โดยอาจเปิดโอกาสให้ธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ฯลฯ เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้ให้มากขึ้น ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับนิสิตหรือนักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการนี้ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30619 | การกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศ | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๐๐/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๒ และกรรมการอื่นอีก ๑๔ คน โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทยเพื่อการฟื้นฟูประเทศ เสริมสร้างเกียรติภูมิของชาติ สร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน นักท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกำหนดกลไกในการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนประสานงาน ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศ ๒. ให้เพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมในคำสั่งต่อไป ๓. อนุมัติหลักการให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์และรณรงค์เสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทยระยะที่ ๒ เพื่อยกระดับการรับรู้และตระหนักถึงภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทย (Brand Preference) ไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๔๑,๘๐๙,๒๘๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
30620 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถานว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและกีฬา | กต | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) เป็นผู้ลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถานว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและกีฬา (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Uzbekistan on Cooperation in the Fields of Culture and Sports) โดยร่างความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมความร่วมมือในสาขาวัฒนธรรม ศิลปะ การศึกษาและวิจัย ภาพยนตร์ และการกีฬา ตลอดจนการส่งเสริมแลกเปลี่ยนกิจกรรมและการเยือนของบุคลากรด้านวัฒนธรรมและกีฬา และการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างกัน และจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ในระดับประชาชนต่อประชาชนของทั้งสองประเทศแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) ไม่สามารถลงนามได้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามแทน ๒. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามต่อไป
|
.....