ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1537 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 30721 - 30740 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30721 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน | กห | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนในการให้ความเห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเป็นเอกภาพของอาเซียนเพื่อการเป็นประชาคมที่มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Draft Joint Declaration of the ASEAN Defence Ministers on Enhancing ASEAN Unity for a Harmonised and Secure Community) และให้สามารถพิจารณาดำเนินการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของร่างปฏิญญาร่วมฯ ได้ตามความเหมาะสม ในกรณีที่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะไม่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย หรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงชื่อฝ่ายไทยในร่างปฏิญญาฯ
|
|||||||||||||||||||||
30722 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 หรือคำเตือน หรือข้อควรระวังการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 พ.ศ. .... | สธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ หรือคำเตือน หรือข้อควรระวังการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ๒. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้าหรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องจัดให้มีฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษที่ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุยาเสพติดให้โทษตามที่กำหนด เว้นแต่กรณีผลิตเพื่อส่งออก ให้เอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษเป็นไปตามข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า ทั้งนี้ ฉลากและเอกสารกำกับดังกล่าวต้องจัดทำให้แล้วเสร็จก่อนจำหน่ายหรือส่งออก ๓. กำหนดให้ฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องเป็นไปตามที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้ และให้ฉลาก ฉลากของยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ผลิตหรือนำเข้าเพื่อใช้สำหรับสัตว์ ผลิตเพื่อส่งออก ต้องมีรายการตามที่กำหนด ๔. กำหนดให้เอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ให้มีคำว่า “เอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓” ที่เห็นได้ชัดเจน และเอกสารกำกับดังกล่าวต้องมีรายการตามที่กำหนด ๕. กำหนดให้ข้อความเตือนหรือข้อควรระวังการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องเป็นการเตือนให้ระมัดระวังเกี่ยวกับข้อควรระวัง ข้อห้ามใช้ อาการไม่พึงประสงค์ โดยให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๖. กำหนดให้ฉลาก เอกสารกำกับ คำเตือน หรือข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องใช้ข้อความภาษาไทย ในกรณีมีภาษาต่างประเทศรวมอยู่ด้วย ต้องไม่ขัดกับภาษาไทย ๗. กำหนดบทเฉพาะกาลให้ฉลาก เอกสารกำกับ คำเตือน หรือข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ สิ้นอายุ แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
|
|||||||||||||||||||||
30723 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับ การออก การกำหนดอายุ และการขอต่ออายุใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ พ.ศ. .... | คค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอรับ การออก การกำหนดอายุ และการขอต่ออายุใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคำนิยามคำว่า “ใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์” ๒. กำหนดให้ผู้ใดที่ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ต้องจัดให้มีสถานที่และวิธีการผลิตสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ตามแบบที่ประสงค์จะทำการผลิต และให้ยื่นคำขอต่ออธิบดีตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่กำหนด ๓. กำหนดให้อธิบดีมีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตแบบผลิตภัณฑ์ ตลอดจนสถานที่และวิธีการผลิต หากเห็นว่ามีความถูกต้องครบถ้วน และผู้ขอมีคุณสมบัติ รวมทั้งมีแบบผลิตภัณฑ์ และสถานที่และวิธีการผลิตเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ให้อธิบดีประทับตรารับรองในคู่มือการบริหารจัดการการผลิตและออกใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้ขอ ในกรณีที่คำขอรายใดไม่ถูกต้อง หรือมีเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน หรือสถานที่หรือวิธีการผลิตไม่ถูกต้อง ให้อธิบดีแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องครบถ้วนภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด ๔. กำหนดให้ใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์มีอายุ ดังนี้ ใบอนุญาตผลิตอากาศยาน มีอายุ ๓๐ ปี ใบอนุญาตผลิตส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน มีอายุ ๒๐ ปี ใบอนุญาตผลิตชิ้นส่วนรับรองคุณภาพ มีอายุ ๑๐ ปี และใบอนุญาตผลิตบริภัณฑ์ มีอายุ ๑๐ ปี ๕. กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาตให้ยื่นคำขอต่ออธิบดีตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมด้วยสำเนาใบอนุญาตฉบับเดิมและเอกสารและหลักฐานตามที่กำหนด ในกรณีที่คำขอรายใดไม่ถูกต้อง หรือมีเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน ให้อธิบดีแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องครบถ้วนภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด ๖. กำหนดให้กรณีที่ใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์สูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนต่ออธิบดี ตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานการรับแจ้งความ หรือใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ฉบับเดิมที่ถูกทำลายหรือชำรุด
|
|||||||||||||||||||||
30724 | ความคืบหน้าการดำเนินการกรณี FATF ระบุชื่อประเทศไทยใน Public Statement | ปง | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการกรณีคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force : FATF) ระบุชื่อประเทศไทยไว้ในกลุ่มเดียวกับประเทศที่มีความเสี่ยงในการทำธุรกรรมใน Public Statement FATF ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) เสนอ โดยสำนักงาน ปปง. ได้ดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการของ FATF โดยเสนอแก้ไขและออกกฎหมายเพิ่มเติม ดังนี้
๑. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๔) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อเพิ่มการกำกับดูแลสถาบันการเงินให้เป็นไปตามข้อแนะนำที่ ๒๓ โดยภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ จะจัดการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเอกชนผู้จะได้รับผลกระทบ และจะเสนอต่อรัฐสภาได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่ระหว่างเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ๓. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เพื่อให้มีมาตรการสอดคล้องตามข้อแนะนำพิเศษที่ ๒ และ ๓ โดยจะจัดการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ และเสนอต่อรัฐสภาในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เช่นกัน
|
|||||||||||||||||||||
30725 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมีนาคม พ.ศ. 2555 | ทก | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในวัยกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๙๖ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๑๙ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๘๕ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๔.๗๕ แสนคน ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๕.๓ แสนคน (จาก ๓๘.๔๓ ล้านคน เป็น ๓๘.๙๖ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ ๓๘.๑๙ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓.๘ แสนคน (จาก ๓๗.๘๑ ล้านคน เป็น ๓๘.๑๙ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๐ โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการเกษตร ๔.๔ แสนคน สาขาการผลิต ๓.๔ แสนคน สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และการประกันสังคมภาคบังคับ ๑.๙ แสนคน สาขากิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดและซักแห้ง เป็นต้น ๑.๐ แสนคน สาขาการก่อสร้าง ๘.๐ หมื่นคน สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ๕.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ ๒.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย ๑.๐ หมื่นคน ตามลำดับ สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๕.๐ แสนคน สาขาการศึกษา ๑.๕ แสนคน สาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๑.๓ แสนคน สาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ ๒.๐ หมื่นคน ตามลำดับ ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศมีจำนวน ๒.๘๕ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๙.๐ พันคน เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔) ประกอบด้วยผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ๘.๘ หมื่นคน และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน ๑.๙๗ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ๙.๗ หมื่นคน ภาคการผลิต ๗.๒ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๒.๘ หมื่นคน ในส่วนของระดับการศึกษา ผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๘.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๖.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๔.๘ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๒.๔ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๑ หมื่นคน ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๒๗ แสนคน ภาคเหนือ ๕.๑ หมื่นคน ภาคกลาง ๔.๗ หมื่นคน ภาคใต้ ๓.๖ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๔ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||
30726 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น (กระทรวงศึกษาธิการ) | ศธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายกิตติรัตน์ มังคละคีรี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านระบบการศึกษา (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30727 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2555 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และเห็นชอบตามมติที่ประชุม กนร. โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม กนร. ที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการดำเนินงานให้ประธาน กนร. ทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธาน กนร. เสนอ โดย กนร. มีมติ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าการจัดทำแผนปรับบทบาท (พลิกฟื้น) ขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) องค์การสะพานปลา (อสป.) องค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาด (อต.) องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) และบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด (บอท.) และให้กระทรวงการคลังและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหาแนวทางการดำเนินกิจการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของแต่ละรัฐวิสาหกิจทั้ง ๖ แห่ง และให้ บอท. พิจารณาและศึกษาความเป็นไปได้ในการนำแผนการดำเนินงานและภารกิจของ บอท. มารวมเป็นส่วนเดียวกับการพัฒนาพื้นที่สถานประกอบการเดิม (บริเวณยานนาวา) ให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา ๑.๒ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาการดำเนินธุรกิจของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท) โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ประสานงานกับประธานคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งชาติเพื่อนำเรื่องการลงทุนโครงข่าย Fiber Optic เข้าสู่การหารือในที่ประชุมคณะกรรมการคณะดังกล่าวต่อไป ๑.๓ เห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติยุบเลิกบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด (มอท.) และให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์สวนป่าของ มอท. จำนวน ๓๒,๗๒๘.๕๕ ไร่ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจกำกับติดตามการดำเนินงานตามมติ กนร. อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว และรายงานผลการดำเนินงานให้ประธาน กนร. ทราบเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับการอนุมัติยุบเลิก มอท. และให้ อ.อ.ป. เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์สวนป่าของ มอท. นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ อ.อ.ป. ดำเนินการให้สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอความเห็นชอบการแก้ไขปัญหาของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
30728 | การต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของสำนักงานธนานุเคราะห์ | พม | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของสำนักงานธนานุเคราะห์เพื่อเป็นเงินทุนสำรองหมุนเวียนรับจำนำและสำหรับใช้จ่ายในการบริหารการเงินให้เกิดสภาพคล่องในกิจการ จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ออกไปอีกเป็นเวลา ๒ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30729 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจัดงานเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ | มท | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยจัดงานเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เนื่องในโอกาสที่ครบ ๑๕๐ ปี วันประสูติ และครบ ๕๐ ปี ที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมสหประชาชาติ (UNESCO) ถวายพระเกียรติให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในนามรัฐบาล โดยจัดทำโครงการเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณ จำนวน ๑๙ โครงการ ในวงเงิน ๑๒๗,๘๐๗,๙๑๖ บาท แต่เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น มีจำนวนจำกัด จึงเห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีไปดำเนินการในโอกาสแรกก่อน และหากไม่เพียงพอก็สมควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
30730 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... | มท | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่ ๓ งาน ๑๓ ตารางวา เพื่อมอบให้กรมที่ดินใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานที่ดินจังหวัดพิษณุโลก สาขานครไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
30731 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553 และ 2552 | พน | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองการเงินแล้ว และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ งบแสดงฐานะการเงิน กองทุนฯ มีสินทรัพย์หมุนเวียนรวม ๑๘,๓๗๘,๒๙๖,๗๙๘.๐๖ บาท มีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนรวม ๔,๕๐๒,๗๖๐,๙๗๑.๙๓ บาท มีสินทรัพย์รวม ๒๒,๘๘๑,๐๕๗,๗๖๙.๙๙ บาท มีหนี้สินหมุนเวียนรวม ๖๗,๗๔๓,๐๒๓.๘๗ บาท มีสินทรัพย์สุทธิรวม ๒๒,๘๑๓,๓๑๔,๗๔๖.๑๒ บาท ๑.๒ งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน กองทุนฯ มีรายได้จากการดำเนินงานรวม ๔,๗๖๙,๙๑๒,๘๑๓.๘๐ บาท มีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวม ๓,๒๘๐,๖๑๔,๓๐๓.๑๖ บาท มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิรวม ๑,๔๘๙,๒๙๘,๕๑๐.๖๔ บาท ๑.๓ งบกระแสเงินสด กองทุนฯ มีเงินสดรับรวม ๖,๒๒๗,๖๕๕,๕๕๗.๒๒ บาท มีเงินสดจ่ายรวม ๕,๓๖๙,๗๗๐,๖๒๕.๕๗ บาท มีเงินสดและรายการเทียบเท่า เงินสดคงเหลือ ณ วันปลายงวดรวม ๑๖,๓๘๖,๑๘๑,๒๑๘.๓๙ บาท ๒. ให้กระทรวงพลังงานจัดส่งรายงานในเรื่องนี้ไปลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภารับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
30732 | สรุปผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 20 ณ กรุงพนมเปญ | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๐ ของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๓ - ๔ เมษายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในประเด็นที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปผลการประชุมในประเด็นต่าง ๆ ได้ ดังนี้
๑. การสร้างประชาคมอาเซียน ได้แก่ ๑.๑ เสาการเมืองและความมั่นคง ที่ประชุมสนับสนุนปฏิญญาอาเซียนปลอดยาเสพติด ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นเอกสารที่ไทยและกัมพูชาได้ริเริ่มขึ้น และยินดีต่อข้อเสนอของไทยในการจัดตั้งเครือข่ายหน่วยงานด้านการกำกับดูแลนิวเคลียร์ในอาเซียน ๑.๒ เสาเศรษฐกิจ ที่ประชุมพิจารณาเห็นควรเร่งรัดการเปิดเสรีด้านการค้าบริการและการให้สัตยาบันความตกลงทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว และการขยายการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ (ASEAN++ FTA) ให้ได้ตามแผนในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งได้ย้ำถึงความสำคัญของการลดช่องว่างด้านการพัฒนาเพื่อนำไปสู่การรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน ๑.๓ เสาสังคมและวัฒนธรรม ไทยได้ต่อยอดความร่วมมือของอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัย ซึ่งได้เสนอให้อาเซียนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ และเสนอให้มีเครือข่ายบริหารจัดการน้ำข้ามประเทศ รวมทั้งเสนอให้อาเซียนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาหมอกควันอย่างใกล้ชิด ๒. ที่ประชุมให้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน โดยกล่าวถึงโครงการต่าง ๆ ที่ควรได้รับความสนใจ ทั้งนี้ ไทยได้ย้ำความสำคัญของการเสริมสร้างความเชื่อมโยงทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนไปพร้อมกัน และเสนอให้อาเซียนคัดเลือกโครงการนำร่องที่น่าจะเป็นที่สนใจของประเทศคู่เจรจาและภาคเอกชนเพื่อดำเนินการให้เป็นรูปธรรม ๓. ที่ประชุมแสดงความยินดีต่อการเลือกตั้งซ่อมในเมียนมาร์ และเห็นว่าอาเซียนควรร่วมกันเรียกร้องให้ประเทศตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเมียนมาร์ ซึ่งไทยได้แจ้งความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือด้านโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนา ตลอดจนการเตรียมเป็นประธานอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ของเมียนมาร์ ๔. ที่ประชุมได้รับรองเอกสาร ๔ ฉบับ ได้แก่ ปฏิญญาพนมเปญว่าด้วยอาเซียน : หนึ่งประชาคม หนึ่งจุดมุ่งหมาย (Phnom Penh Declaration on ASEAN : One Community, One Destiny) วาระพนมเปญว่าด้วยการสร้างประชาคมอาเซียน (Phnom Penh Agenda for ASEAN Community Building) ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาเซียนปลอดยาเสพติด ค.ศ. ๒๐๑๕ (ASEAN’s Declaration on a Drug-Free ASEAN 2015) และเอกสารแนวคิดเรื่องกลุ่มผู้มีแนวคิดสายกลาง (ASEAN’s Concept Paper on Global Movement on Moderates)
|
|||||||||||||||||||||
30733 | รายงานความคืบหน้ากรณีเกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ภายในบริเวณโรงงานบริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด และกรณีเกิดอุบัติเหตุก๊าซรั่วในบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัล (ประเทศไทย) จำกัด | อก | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้ากรณีเกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ภายในบริเวณโรงงานบริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด ณ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และกรณีเกิดอุบัติเหตุก๊าซรั่วในบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัล (ประเทศไทย) จำกัด ณ นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้เดินทางไปที่สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เพื่อเป็นสักขีพยานการมอบเงินช่วยเหลือพิเศษแก่ครอบครัวของพนักงานบริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเพลิงไหม้ภายในบริเวณโรงงานของบริษัทฯ จำนวน ๗ ราย ๆ ละ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งรับผิดชอบบุตรของพนักงานผู้เสียชีวิตให้ได้รับการศึกษาจนจบระดับปริญญาตรี ในส่วนของเงินประกันชีวิตอุบัติเหตุ จำนวน ๓๖ เท่าของเงินเดือน และเงินชดเชยส่วนอื่น ๆ จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และได้มอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวของพนักงานของบริษัทผู้รับเหมาปฏิบัติงานในพื้นที่โรงงานของบริษัทฯ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว จำนวน ๔ ราย ๆ ละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้มอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง ๑๑ ราย ๆ ละ ๒๐,๐๐๐ บาท สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลที่เกิดจากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ของบริษัทฯ ขณะนี้มีผู้ที่ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลมาบตาพุด ๑ ราย และโรงพยาบาลกรุงเทพ - ระยอง ๑ ราย ส่วนผู้ได้รับผลกระทบจากก๊าซรั่วของบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ทั้งหมดแล้ว ๒. กระทรวงอุตสาหกรรมได้ประชุมร่วมกับ กนอ. สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ แผนระยะเร่งด่วน ให้มีคณะกรรมการไตรภาคีร่วมระหว่างกรมควบคุมมลพิษ กนอ. และตัวแทนภาคประชาชน ตรวจพื้นที่เกิดเหตุเพื่อยืนยันว่าไม่มีสารมลพิษตกค้าง และให้กระทรวงสาธารณสุขเข้าไปให้บริการตรวจสุขภาพประชาชนผ่านหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ใน ๑๐ ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งดำเนินการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ และจัดให้มีอุปกรณ์ดับเพลิงและป้องกันภัยสำหรับหน่วยงานภายนอกที่เข้าช่วยเหลือ ๒.๒ แผนระยะสั้น โดยจัดตั้งศูนย์บัญชาการประมวลข้อมูลข่าวสารระหว่าง กนอ. ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ไปยังชุมชนเช่นเดียวกับแผนจัดการน้ำ พร้อมทั้งมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบโดยตรง เพื่อชี้แจงให้กับภาคประชาชนรับทราบข้อมูลได้ทันท่วงทีและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยให้เริ่มจากระดับพื้นที่ก่อนและขยายไปสู่ระดับจังหวัด และให้มีการเชื่อมข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Environmental Monitoring and Control Center : EMC2) ของ กนอ. ไปยังศูนย์ข้อมูลของสำนักนายกรัฐมนตรี ๒.๓ แผนระยะยาว โดยจัดตั้งศูนย์ป้องกันภัยพิบัติ ซึ่งมีกระทรวงมหาดไทยดูแลในภาพรวม (แผน ๒) โดยเชื่อมโยงศูนย์ประมวลข้อมูล ณ จุดเดียว ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนและประชาชนในการแจ้งข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที และให้ทุกนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม สอบทานแผนความเสี่ยง การเข้าซ่อมบำรุง โดยเฉพาะสารพิษและสารไวไฟ มีการตรวจคุณภาพที่เข้มข้นทุกไตรมาส และจัดทำแผนป้องกันความเสี่ยงเสนอเพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติในการต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน การจัดฝึกอบรมแก่พนักงานผู้ปฏิบัติของบริษัท และการออกใบรับรองหรือใบอนุญาตในการปฏิบัติหน้าที่ที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งการจัดตั้ง Critical Quick Check ภายในพื้นที่มาบตาพุดคอมเพล็กซ์ การจัดรถลาดตระเวน (Patrol) เข้าตรวจสอบเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในพื้นที่ การจัดทำฐานข้อมูลสารเคมีที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกัน การตรวจสอบและสอบทานมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย (Standard Operation Prodecure) ตลอดจนให้ชุมชนมีส่วนในการจัดทำแผนฉุกเฉินสำหรับชุมชน โดยให้ผู้ประกอบการจัดทำกระบวนการแสดงความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม
|
|||||||||||||||||||||
30734 | การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง (พ.ศ. 2548 - 2553) | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๓) กำหนดเป็นนโยบายรัฐบาล โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๔๒ (๑๗) แห่งประมวลรัษฎากร ตราเป็นกฎกระทรวง เพื่อกำหนดให้เงินช่วยเหลือเยียวยาและประโยชน์อย่างอื่นซึ่งอาจคิดคำนวณเป็นเงินที่ได้รับจากรัฐ เป็นเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยด่วนต่อไป โดยให้ครอบคลุมถึงผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองทุกกลุ่ม ทุกเหตุการณ์ รวมถึงเหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน
|
|||||||||||||||||||||
30735 | การกู้เงินเพื่อการบริหารหนี้เงินกู้ตามโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร ปีการผลิต 2551/52 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กู้เงินในประเทศ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๑,๐๖๐ ล้านบาท เพื่อ Roll Over เงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระคืนในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน ๒. ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้งได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||
30736 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. เห็นชอบข้อเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุงองค์การมหาชน จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ และศูนย์คุณธรรม ตามมติ ก.พ.ร. เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ส่วนองค์การมหาชนอีก ๒ แห่ง ให้ดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ ๒.๑ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (สคพ.) มอบให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปเร่งรัดจัดทำแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ให้มีความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แล้วเสนอ ก.พ.ร. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๒.๒ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) มอบให้ ก.พ.ร. รับไปพิจารณาทบทวนข้อเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุง อพท. อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะการมอบภารกิจของ อพท. ไปให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการมอบการบริหารจัดการโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีและพื้นที่เชื่อมโยง ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) เพื่อประเมินความคุ้มค่าในการจัดตั้งเมื่อดำเนินการครบ ๓ ปี การกำหนดกรอบการประเมินองค์การมหาชนโดยรวมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกแห่ง การแบ่งกลุ่มองค์การมหาชนโดยพิจารณาบทบาทและภารกิจหลักขององค์กรที่มีลักษณะใกล้เคียงกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกันเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลการประเมินในแต่ละกลุ่มได้ชัดเจน และการให้ความสำคัญต่อการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
30737 | แผนยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | สช | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นตามที่คณะกรรมการภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพเสนอ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้คณะกรรมการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพแห่งชาติประสานงานเพื่อขับเคลื่อน ผลักดันการดำเนินงาน ติดตาม กำกับ ประเมินผล แผนยุทธศาสตร์ชาติ และการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น รายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบูรณาการการทำงานจากทุกภาคส่วนโดยร่วมกันจัดทำแผนงาน/โครงการ แผนเงิน และผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน มีการติดตามและประเมินผลเป็นระยะ มีแนวทางการส่งเสริมและการสร้างหลักฐานที่น่าเชื่อถือในด้านความปลอดภัย ศักยภาพ คุณประโยชน์ และการรักษาจากการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก มีการพัฒนากำลังคนด้านการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกให้มีสมรรถนะที่เหมาะสม รวมทั้งการกำหนดเรื่องการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทยในเชิงพาณิชย์อย่างชัดเจน การเร่งรัดจัดทำระบบข้อมูลภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์แผนไทยในระดับประเทศ และการสนับสนุนทางด้านวิชาการ เทคโนโลยี และนักวิชาการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยาสมุนไพรไทยให้ได้มาตรฐานสากล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
30738 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุวัติการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน The GMS Agreement) | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยาม “พื้นที่ควบคุมร่วมกัน” หมายความว่า พื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุมร่วมกันตามกฎหมายว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน ๑.๒ กำหนดให้กรมศุลกากรมีอำนาจในทางศุลกากรทั้งปวงในพื้นที่ควบคุมร่วมกันเช่นเดียวกับในเขตศุลกากร และการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานศุลกากรในพื้นที่ควบคุมร่วมกันนอกราชอาณาจักร ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติงานในราชอาณาจักร ๑.๓ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรที่พนักงานศุลกากรตรวจพบในพื้นที่ควบคุมร่วมกันในราชอาณาจักร ๑.๔ กำหนดให้การดำเนินการในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรที่พนักงานศุลกากรตรวจพบในพื้นที่ควบคุมร่วมกันนอกราชอาณาจักรให้พนักงานศุลกากรของรัฐบาลไทยร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศภาคีตามความตกลงให้ส่งบุคคล สัตว์ พืช ของ ตลอดจนยานพาหนะ ผู้ควบคุมพาหนะ และคนประจำพาหนะที่ใช้ขนส่งสิ่งดังกล่าวกลับมายังราชอาณาจักร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปฏิบัติพิธีการศุลกากรว่าด้วยการผ่านแดน) รวม ๒ ฉบับ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย |
|||||||||||||||||||||
30739 | แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 | สธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ซึ่งได้นำกรอบและทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างวิถีชีวิตที่มีเหตุผล รู้จักพอประมาณ หลีกเลี่ยงและลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ส่งเสริมการประกอบกิจการและอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม เน้นมาตรการเชิงรุกและหลักการป้องกันไว้ก่อน รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมและภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนให้สามารถจัดการสภาพแวดล้อมให้ปลอดมลพิษเพื่อการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์และแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยครอบคลุมทั้งภาครัฐทุกระดับและภาคเอกชนให้สอดคล้องกับบริบท ปัญหาและสถานการณ์ พัฒนาบุคลากรด้านงานอนามัยสิ่งแวดล้อม จัดทำระบบและการเชื่อมโยงฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พัฒนากลไกทางด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยเร่งรัดการดำเนินงานโครงการที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและพื้นที่ ตลอดจนข้อตกลงตามนัยแห่งบทบัญญัติของกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และประชาชนในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยระดมศักยภาพและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ร่วมคิด ร่วมสร้างสรรค์งานอนามัยสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการบูรณาการและเสริมพลังระหว่างภาคีเครือข่าย และขับเคลื่อนผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างจิตสำนึกสาธารณะ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมบทบาทของ อปท. ภายใต้หลักคิดการกระจายอำนาจ เสริมสร้างศักยภาพบุคลากร สนับสนุนและผลักดันการพัฒนาระบบงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่นให้เชื่อมโยงกับส่วนภูมิภาคและส่วนกลางอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยให้เหมาะสมกับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน สร้างฐานการเรียนรู้ที่เชื่อมโยง แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง พัฒนาและถ่ายทอดนวัตกรรมองค์ความรู้และเทคโนโลยี รวมทั้งพัฒนาระบบให้บริการทางวิชาการเพื่อการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการรณรงค์ปลอดการเผา (Zero burn) ในพื้นที่เกษตรกรรมทุกประเภท การส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าสารเคมีในการดูแลผลิตภัณฑ์ทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะและเชื้อเพลิงที่มีมลพิษต่ำโดยการส่งเสริมการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในเขตเมือง การพิจารณาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายความเข้มงวดในการปฏิบัติตามและบทลงโทษให้มีความเหมาะสมต่อประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น การให้ความสำคัญกับการป้องกันความเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากผลกระทบด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม การส่งเสริม และฟื้นฟูสุขภาพจากการเจ็บป่วยดังกล่าว การให้คำจำกัดความที่ชัดเจนระหว่าง “ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม” และปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม” การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมีการวิจัยที่ครอบคลุมทุกด้านทั้งอนามัยสิ่งแวดล้อมในน้ำ ดิน และอากาศ รวมทั้งเทคโนโลยีการป้องกันมลพิษ (Pollution Prevention Technology) การสร้างความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพในการพัฒนาผลิตบัณฑิตและนักวิจัยในด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการสารเคมี และศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการกำหนดรายละเอียดกลไกการขับเคลื่อนและแนวทางการติดตามประเมินผลอย่างชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทของ อปท. ในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยให้กระทรวงสาธารณสุขถ่ายโอนสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) รวมทั้งบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ อปท. เพื่อให้ อปท. มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติม |
|||||||||||||||||||||
30740 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2553 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานสำคัญในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๓ มีดังนี้ ๑.๑ การจัดทำแผนและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาระบบงานยุติธรรม ได้แก่ แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ -๒๕๕๕ และแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๕ ๑.๒ การประสานข้อมูล เครือข่ายการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ได้แก่ โครงการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมในเขตเมืองด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม โครงการคืนคนดีสู่สังคม โครงการศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม และการส่งเสริมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ๑.๓ การศึกษา วิจัยและพัฒนากฎหมาย และระบบงานยุติธรรม ได้แก่ การพัฒนาการกำหนดความผิด โทษ และมาตรการทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย การพัฒนาระบบราชทัณฑ์ การพัฒนางานด้านนิติวิทยาศาสตร์ โครงการสำรวจข้อมูลการกระทำผิดด้วยการรายงานตนเอง (Self Reported Crime Survey) และการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ ๘ เรื่อง “นิติรัฐและพลเมือง : ทางออกประเทศไทย” ๑.๔ การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้สู่สังคม ได้แก่ การเสวนาทางวิชาการ “ยุติธรรม : ความสำเร็จของกระบวนการยุติธรรมระดับพื้นที่” โครงการยกย่องผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกระบวนการยุติธรรม “รางวัลยุติธรรมธร” การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม และการเผยแพร่ข้อมูลคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ๑.๕ การพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ การจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม และการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับสูง (ยธส.) ๒. รายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ประกอบด้วย ด้านการจัดทำแผนและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารงานยุติธรรม ด้านการส่งเสริมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ด้านการวิจัย พัฒนากฎหมาย และการบริหารงานยุติธรรม ด้านการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรม ด้านการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ด้านการส่งเสริมพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับพื้นที่ และภารกิจด้านงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแหงชาติ รวมค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน ๔๗,๐๑๗,๙๗๕.๐๑ บาท
|
.....