ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1521 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30401 - 30420 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30401 | มาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เรื่อง การกำกับดูแลสถาบันการเงินและผู้มีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรม | ปง | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เรื่อง การกำกับดูแลสถาบันการเงินและผู้มีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรม ตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยมาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานสากลด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (Anti-Money Laundering and Combating the Financing of Terrorism : AML/CFT) เพื่อใช้ในการกำกับดูแลสถาบันการเงินและผู้มีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรม ไม่น้อยกว่า ๖๐,๐๐๐ แห่ง และจำนวนรายงานการทำธุรกรรมตั้งแต่วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวนทั้งสิ้น ๑๒,๑๖๒,๑๙๐ รายงานธุรกรรม ให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประกอบด้วย การดำเนินงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ในการกำกับดูแลสถาบันการเงินและผู้มีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรม และแนวทางกำกับดูแลสถาบันการเงินและผู้มีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรม ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงาน ปปง. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับอำนาจของสำนักงาน ปปง. ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังไม่มีบทบัญญัติชัดเจนที่ให้อำนาจในการกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายของสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ ซึ่งมีหน้าที่ในการรายงานธุรกรรม ดังนั้น หากต้องการดำเนินการกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เห็นควรให้แก้ไขอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ปปง. ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ให้ครอบคลุมถึงการกำกับดูแลการปฏิบัติงานเสียก่อน รวมทั้งดำเนินมาตรการให้มีความครอบคลุมธุรกิจและผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยหรือธุรกิจสุ่มเสี่ยงต่อการฟอกเงิน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
30402 | การกู้เงินเพื่อเป็นค่ารับซื้อสับปะรดโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ปี 2555 | กษ | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อรับซื้อสับปะรดสดจากเกษตรกรตามโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้ อ.ต.ก. กู้ยืมเงินจาก ธ.ก.ส. โดยใช้จากวงเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ในกรอบวงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรับซื้อสับปะรดสดจากเกษตรกรตามปริมาณการรับซื้อจริง โดยมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (ต้นทุนเงิน) FDR + 1 ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ที่สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รองรับไว้แล้ว โดยรัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยจากการกู้เงินที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีการดำเนินงานให้ชัดเจน การตรวจสอบสินค้าที่ได้จากการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์กระป๋อง การบริหารจัดการสินค้าและการระบายสินค้าให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การเร่งรัดดำเนินการจำหน่ายสับปะรดกระป๋องที่ผลิตได้และนำรายได้จากการขายส่งคืนคลังเพื่อเป็นรายได้แผ่นดิน การรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกไตรมาส จนกว่าการระบายจำหน่ายสับปะรดกระป๋องจะเสร็จสิ้น การเตรียมความพร้อมตั้งแต่การกำหนดจุดรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร การขนส่ง และการจัดหาโรงงานผลิตแปรรูป การจัดทำแผนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สับปะรดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการกำหนดเขตการผลิตที่เหมาะสมและมีศักยภาพของพื้นที่เพาะปลูก โรงงาน และตลาดรองรับในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) หารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดกลไกและกระบวนการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ มีราคาตกต่ำให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบและความเดือดร้อนแก่เกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
30403 | การส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ | วท | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) และโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) เป็นกรอบนโยบายสำหรับการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีทิศทางชัดเจน และตอบสนองนโยบายของประเทศที่มุ่งเน้นการตอบสนองต่อความต้องการของภาคการผลิตและบริการในแต่ละภูมิภาค ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนา ทรัพยากรในพื้นที่ และความต้องการที่แตกต่างกัน โดยมีแนวทางการพัฒนากิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย ๗ ประเด็นหลัก ได้แก่ การมุ่งเน้นส่งเสริมให้ภาคเอกชนลงทุนทำวิจัยและพัฒนาแบบก้าวกระโดด การส่งเสริมให้ประเทศเป็นฐานการลงทุนวิจัยและพัฒนาของบริษัทข้ามชาติ และบริษัทไทย การส่งเสริมและเปิดกว้างให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนจัดตั้งและพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ การนำทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานวิจัยและพัฒนาในภาครัฐมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเชื่อมโยงอุทยานวิทยาศาสตร์กับการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ การสร้างให้เกิดการพัฒนาเครือข่ายของอุทยานวิทยาศาสตร์เชิงบูรณาการ และนโยบายการสนับสนุนจากรัฐที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ๑.๒ โครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) ดำเนินการโดยใช้ศักยภาพของมหาวิทยาลัยในพื้นที่เป็นฐานในการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นแกนหลัก อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีมหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นแกนหลัก และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ มีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นแกนหลัก โดยทั้งสามมหาวิทยาลัยจะพัฒนาและดำเนินงานอุทยานวิทยาศาสตร์ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยและหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ ให้บริการใน ๒ รูปแบบ คือ รูปแบบที่ ๑ เป็นการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกิจกรรมวิจัยพัฒนาของภาคเอกชน เช่น อาคารอำนวยการกลาง พื้นที่บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ พื้นที่ให้เช่าเพื่อทำวิจัยและพัฒนา การให้บริการห้องปฏิบัติการและเครื่องมือวิเคราะห์ทดสอบ และโรงงานต้นแบบ เป็นต้น และรูปแบบที่ ๒ เป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีของภาคเอกชนโดยผ่านกิจกรรมการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี และกิจกรรมการส่งเสริมให้ภาคเอกชนทำวิจัยและพัฒนา เช่น การร่วมวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการใหม่ ๆ สู่เชิงพาณิชย์ การให้คำปรึกษาและบริการด้านทรัพย์สินทางปัญญา และการประสานงานอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี ทั้งนี้ ได้กำหนดจุดมุ่งเน้นของอุทยานวิทยาศาสตร์ในแต่ละพื้นที่ โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือมุ้งเน้น “โครงการนวัตกรรมข้าวไทยเพิ่มมูลค่าสู่ตลาดโลก” อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมุ่งเน้น “โครงการยุทธศาสตร์สร้างมูลค่าเพิ่มในโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมไก่เนื้อในประเทศไทย” และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้มุ่งเน้น “โครงการยกระดับและการเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมยางพารา” ๒. สำหรับงบประมาณรองรับการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รองรับการดำเนินงานตามแผนงาน จำนวน ๒๗๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการศึกษาความเหมาะสมโครงการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ จำนวน ๓ แห่ง วงเงิน ๗๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไว้ด้วยแล้ว ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ควรเพิ่มประเด็นเกี่ยวกับการให้อุทยานวิทยาศาสตร์มีการบริหารจัดการที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความร่วมมือและการบูรณาการจากประชาชนในท้องถิ่น และควรจัดทำรายละเอียดในส่วนของแนวทางการดำเนินการพัฒนาส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ แนวทางการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนและการลงทุนในลักษณะความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ และแนวทางการติดตามประเมินผลในแต่ละระดับพร้อมระยะเวลาดำเนินการ สำหรับโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ เห็นควรให้บูรณาการการดำเนินงานของกิจกรรมภายใต้โครงการที่มุ่งเน้นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ และให้ความสำคัญกับการบูรณาการในระดับพื้นที่ระหว่างส่วนราชการ จังหวัด และกลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีความชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน สอดคล้องเชื่อมโยงกัน และเป็นการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเพิ่มเติมแนวทางความร่วมมือ/เชื่อมโยงการทำงานกับมหาวิทยาลัยที่เป็นเครือข่าย และแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
30404 | ข้อเสนองบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าประจำปีงบประมาณ 2556 | สช | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันคุณภาพถ้วนหน้าประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินทั้งสิ้น ๑๐๙,๗๑๘,๕๘๑,๓๐๐ บาท ประกอบด้วย งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงิน ๑๐๘,๕๐๗,๔๖๑,๐๐๐ บาท โดยจัดสรรงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว ในอัตรา ๒,๗๕๕.๖๐ บาท ต่อหัวประชากร ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่ตั้งในปีงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๕ และงบบริหารจัดการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงิน ๑,๒๑๑,๑๒๐,๓๐๐ บาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รองรับไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติม ให้คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลัง ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพิจารณาก่อน โดยในการพิจารณาให้คำนึงถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานหลักประกันสุขภาพประกอบด้วย และหากคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติม ก็ให้ประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อเสนอขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางการรับภาระค่าใช้จ่ายร่วมกันระหว่างรัฐและผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยให้ผู้ป่วยที่มีศักยภาพทางการเงินเพียงพอร่วมจ่ายค่าบริการ (Copayment) หรือรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนแรกก่อน (Deductible) แล้วจึงให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือ รวมทั้งเร่งรัดการจัดสรรเงินงบประมาณสู่หน่วยบริการสาธารณสุขในระดับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
30405 | ขออนุมัติโครงการอุทยานดาราศาสตร์ (Astro Park) | วท | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการอุทยานดาราศาสตร์ (Astro Park) และเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณดำเนินการก่อสร้างอุทยานดาราศาสตร์ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ อุทยานดาราศาสตร์ (Astro Park) เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในแผนที่นำทาง (Road Map) ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ซึ่งจะเป็นศูนย์เชื่อมโยงการดำเนินงานตามพันธกิจของสถาบันฯ ให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาสถาบันฯ ไปสู่ความเป็นศูนย์กลางด้านดาราศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และศูนย์กลางความร่วมมือทางดาราศาสตร์ในประชาคมอาเซียน และจะเป็นศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการ และการให้บริการข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่เชื่อมระหว่างหอดูดาวแห่งชาติ กับหอดูดาวภูมิภาคสำหรับประชาชนทั้ง ๖ แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งเชื่อมโยงกับหอดูดาวของสถาบันที่ตั้งอยู่ที่ Cerro Tololo International Observatory (CTIO) ประเทศสาธารณรัฐชิลี ภายใต้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย North Carolina โดยผ่านเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งเป็นศูนย์ความร่วมมือกับหอดูดาวเครือข่ายในต่างประเทศ เช่น ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี เป็นต้น ซึ่งจะสนับสนุนการดำเนินภารกิจของสถาบันฯ ทั้งในด้านการวิจัย การสนับสนุนการจัดการศึกษาในระดับต่าง ๆ การสร้างความตระหนักและความตื่นตัวทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยใช้ดาราศาสตร์ รวมทั้งการสร้างและสนับสนุนเครือข่ายดาราศาสตร์ทั้งในและต่างประเทศ และการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีทางดาราศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ๑.๒ กรอบวงเงินงบประมาณดำเนินการก่อสร้างอุทยานดาราศาสตร์ ที่ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๔๐๖,๑๗๕,๐๐๐ บาท แบ่งการดำเนินงานออกเป็น ๒ ระยะ คือ ๑.๒.๑ ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) วงเงินงบประมาณ ๒๐๓,๕๒๕,๐๐๐ บาท ประกอบด้วยค่าควบคุมงาน ค่าปรับพื้นที่ สร้างรั้ว ถนน ที่จอดรถ สาธารณูปโภคและปรับภูมิทัศน์ และค่าก่อสร้างอาคาร [อาคารศูนย์วิจัยและบริการทางดาราศาสตร์ อาคารฉายดาว อาคารหอดูดาว และลานกิจกรรมอเนกประสงค์กลางแจ้ง (amphitheater)] ๑.๒.๒ และระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๕๙) วงเงินงบประมาณ ๒๐๒,๖๕๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วยค่าควบคุมงาน ค่าก่อสร้างอาคาร (อาคารพิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์ไทยและส่วนนิทรรศการ อาคารหอประชุมและสัมมนา และงานตกแต่งภายในส่วนนิทรรศการทางดาราศาสตร์) และอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ ๒. ส่วนเรื่องงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าก่อสร้างอุทยานดาราศาสตร์ ระยะที่ ๑ จำนวน ๒๐๓,๕๒๕,๐๐๐ บาท สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รองรับไว้แล้ว จำนวน ๔๐,๗๐๕,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๘ จำนวน ๑๖๒,๘๒๐,๐๐๐ ส่วนการดำเนินการระยะที่ ๒ ให้สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของโครงการฯ ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความสนใจของผู้ใช้บริการในพื้นที่ ความพร้อมด้านบุคลากร แนวทางการทำงานร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายในพื้นที่ แผนการหารายได้และแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน รวมทั้งควรมีการประเมินความคุ้มค่า รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคของหอดูดาวภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ฉะเชิงเทรา และนครราชสีมา ภายหลังการให้บริการไปแล้วในระยะหนึ่ง เพื่อใช้เป็นแนวทางดำเนินงานโครงการฯ ให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
30406 | โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ระยะที่ 2 | วท | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินโครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ระยะที่ ๒ ระยะเวลา ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๕) โดยมีเป้าหมายรวม ๑๗๔ ห้องเรียน เพื่อสนับสนุนนักเรียนรวมทั้งสิ้น ๕,๒๒๐ คน กรอบวงเงินงบประมาณของโครงการ วมว. ตลอดโครงการเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๒๒๗ ล้านบาท ๑.๒ องค์ประกอบของคณะกรรมการระดับนโยบายและระดับบริหาร ได้แก่ ๑.๒.๑ คณะกรรมการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลโครงการ เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย กรอบและทิศทางการดำเนินโครงการในภาพรวม และเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานให้บรรลุตามนโยบาย วัตถุประสงค์ และเป้าหมาย ๑.๒.๒ คณะกรรมการบริหารโครงการ เพื่อทำหน้าที่กำหนดหลักการ แนวทาง และหลักเกณฑ์การบริหารจัดการ ให้คำแนะนำ ส่งเสริมและติดตามผลการดำเนินงานของโครงการในภาพรวม ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณตามข้อเสนอโครงการ วมว. ระยะที่ ๒ ต่อไป ๒. ยกเว้นในส่วนของงบประมาณของโครงการ วมว. ระยะที่ ๒ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวรองรับไว้ จำนวน ๗๗ ล้านบาท สำหรับในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เกี่ยวกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายเงินทุก ๆ ๓ ปี เพื่อปรับปรุงรูปแบบของโครงการหรือการบริหารจัดการให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงการประชาสัมพันธ์โครงการให้แพร่หลาย และส่งเสริมการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ การวางระบบการบริหารจัดการในระดับต่าง ๆ ให้สอดรับกัน เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ การวางแผนและกำหนดแนวทางการดำเนินงานจัดการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพและสามารถนำไปสู่การจัดการเรียนการสอนในระบบปกติในระยะยาว รวมทั้งความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เกี่ยวกับการดำเนินโครงการควรเน้นเนื้อหาให้สอดคล้องสัมพันธ์กับชีวิตความเป็นอยู่ การสร้างงาน สร้างอาชีพ และโอกาสในการทำงานในอนาคตของนักเรียน โดยไม่มุ่งเน้นศึกษาแต่เพียงวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure Science) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
30407 | ขอความเห็นชอบแผนปรับปรุงถนนในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555 - 2559) ของกรมทางหลวงชนบท | คค | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนปรับปรุงถนนในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) วงเงิน ๓,๖๔๗.๙๓๐ ล้านบาท ของกรมทางหลวงชนบท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญของแผนการปรับปรุงถนนในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงฯ ได้ ดังนี้ ๑.๑ พื้นที่ดำเนินการ โครงการปรับปรุงถนนในพื้นที่โครงการหลวง จำนวน ๓๔ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง และ ๔ สถานีวิจัยเกษตรหลวง ในพื้นที่ ๕ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน และพะเยา ๑.๒ การจัดลำดับความสำคัญของโครงการ โดยพิจารณาจากสภาพความเดือดร้อนของประชาชน ความยากลำบากในการเดินทาง การใช้ประโยชน์เส้นทางของโครงการหลวง ความสำคัญของผลผลิตตามยุทธศาสตร์โครงการหลวง ความเป็นโครงข่ายการคมนาคมของสายทาง ผลประโยชน์ที่ได้รับ ความสอดคล้องของยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และการกระจายงบประมาณลงสู่พื้นที่ จำแนกลักษณะโครงการ จำนวน ๓ กลุ่ม ตามลำดับความสำคัญ คือ ๑.๒.๑ กลุ่มที่ ๑ เป็นสายทางเข้าที่ทำการศูนย์พัฒนาโครงการหลวง สถานีวิจัยเกษตรหลวง หรือหมู่บ้านหลักของโครงการหลวง จำนวน ๒๔ สายทาง ระยะทาง ๒๑๙.๔๔๙ กิโลเมตร วงเงิน ๑,๓๐๖.๙๗๐ ล้านบาท มีความจำเป็นเร่งด่วนลำดับต้น ดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ๑.๒.๒ กลุ่มที่ ๒ เป็นสายทางเข้าหมู่บ้านบริวารของโครงการหลวง จำนวน ๓๔ สายทาง ระยะทาง ๓๙๐.๔๓๕ กิโลเมตร วงเงิน ๒,๐๔๔.๖๕๐ ล้านบาท มีความจำเป็นเร่งด่วนลำดับกลาง ดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๙ ๑.๒.๓ กลุ่มที่ ๓ เป็นสายทางเข้าพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ปฏิบัติงานของโครงการหลวง จำนวน ๑๘ สายทาง ระยะทาง ๗๖.๙๕๐ กิโลเมตร วงเงิน ๒๙๖.๓๑๐ ล้านบาท มีความจำเป็นเร่งด่วนลำดับสุดท้าย ดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๒. ในส่วนของงบประมาณเพื่อการดำเนินการตามแผนปรับปรุงถนนฯ ดังกล่าว ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในการดำเนินการตามแผนปรับปรุงถนนฯ ในแต่ละปี มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมจากที่ได้รับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงชนบท) พิจารณาปรับแผนการดำเนินการและแผนการใช้จ่ายเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปรับปรุงถนนฯ อย่างครบถ้วนด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงชนบท) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแผนการปรับปรุงถนนในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงฯ บางแห่งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และบางแห่งอยู่ในป่าอนุรักษ์ ซึ่งเข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ในการขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
30408 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการโอนย้ายเงินออมในระบบการออมระยะยาวสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) | กค | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยไม่ต้องอิงกับการเกษียณอายุ ภายใต้หลักการ ดังต่อไปนี้
๑. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากลูกจ้างออกจากงานเพราะตาย ทุพพลภาพ หรือเมื่ออายุครบ ๕๕ ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปี ๒. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่มีสิทธิได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากลูกจ้างออกจากงานในกรณีอื่นนอกจากข้อ ๑ แต่เมื่อออกจากงานแล้วได้คงเงินหรือผลประโยชน์นั้นไว้ทั้งจำนวนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและต่อมาได้รับเงินหรือประโยชน์หลังจากลูกจ้างผู้นั้นตาย ทุพพลภาพ หรือเมื่อมีอายุครบ ๕๕ ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ๓. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักการข้างต้นให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
30409 | ขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok's Institute | กค | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการที่กำหนดไว้ในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก (Standard Conditions) สำหรับโครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok’s Institute เพื่อกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ จากธนาคารโลกในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับบุคคลที่จะลงนามตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๕ (เรื่อง การทำความตกลงกับต่างประเทศ การทำอนุสัญญา และสนธิสัญญาต่าง ๆ) ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการจัดให้มีหน่วยงานหรือระบบการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อสัญญา เพื่อให้การปฏิบัติตามข้อสัญญามีความต่อเนื่องและถูกต้องตามสัญญา รวมทั้งการพิจารณาคัดเลือกบุคคลเพื่อทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นกลางและเป็นอิสระ มีความรอบรู้และเชี่ยวชาญในสัญญาภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
30410 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารราชการในต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารราชการในต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงตารางกำหนดวันลาในหัวข้อลาพักผ่อนท้ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารราชการในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้สอดคล้องกับข้อ ๒๕ แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
30411 | ขออนุมัติให้ข้าราชการ/เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าร่วมโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา วันวิสาขบูชา ประจำปี 2555 ฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า | นร | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ข้าราชการ/เจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการอุปสมทบเฉลิมพระเกียรติ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา วันวิสาขบูชา ประจำปี ๒๕๕๕ ฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่หน่วยงานราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจัดขึ้น ลาอุปสมบทได้โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ทั้งนี้ ให้ลาได้ตามกำหนดเวลาที่กำหนด แต่ไม่เกิน ๑๕ วัน ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30412 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2554 และเรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2554 มติ 1 ความปลอดภัยทางอาหาร : การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ | สช | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔ รวม ๔ มติ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้อยู่ภายในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๑ มติ ๒ การจัดการปัญหาการฆ่าตัวตาย (สุขใจ...ไม่คิดสั้น) ๑.๒ มติ ๓ การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ๑.๓ มติ ๔ การบริหารจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำขนาดเล็กอย่างยั่งยืนโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของเครือข่ายและภาคีทุกภาคส่วน ๑.๕ มติ ๕ การจัดการปัญหาโฆษณาที่ผิดกฎหมายของยา อาหาร และผลิตภัณฑ์สุขภาพทางวิทยุกระจายเสียง สื่อโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ๑.๖ มติ ๖ การเข้าถึงบริการอาชีวอนามัยเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของคนทำงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับมติ ๓ การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ที่เห็นว่า การจัดตั้งกองทุนระดับชาติเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ควรพิจารณาขยายอำนาจหน้าที่ของกองทุนการประกันภัยพิบัติซึ่งมีอยู่แล้วให้ครอบคลุมการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างรอบด้านโดยไม่จำเป็นต้องให้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้นใหม่ และเน้นการใช้กองทุนบริหารจัดการภัยพิบัติในระดับชาติแทนการจัดตั้งกองทุนในระดับท้องถิ่นเพื่อป้องกันปัญหาความไม่ยั่งยืนในเชิงการคลังของกองทุน โดยส่งเสริมให้ชุมชนมีบทบาทในการสนับสนุนการดำเนินงานของกองทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าร่วมประเมินและบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติในพื้นที่ และการลำเลียงความช่วยเหลือไปสู่ผู้ประสบภัย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔ มติ ๑ ความปลอดภัยทางอาหาร : การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้อยู่ภายในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การจัดการน้ำมันทอดซ้ำที่เสื่อมสภาพ เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการอาหารทอดมีความรู้ ความเข้าใจ เกิดการเฝ้าระวังการใช้น้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพไปสู่การผลิตไบโอดีเซล เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายพลังงานทดแทน รวมทั้งการให้ความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักเกี่ยวกับความเป็นพิษของการใช้น้ำมันทอดซ้ำ โดยการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ พร้อมทั้งพัฒนาวิธีวิเคราะห์สารประกอบโพลาร์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ ๒๘๓ พ.ศ. ๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดปริมาณสารโพลาร์ในน้ำมันที่ใช้ทอดหรือประกอบอาหารเพื่อจำหน่าย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
30413 | แนวทางการจัดสรรเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา | นร | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแนวทางการจัดสรรเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์และแนวทางในการจัดสรรเงินรางวัลดังกล่าวให้เหมาะสมกับสถานะเงินเหลือจ่ายที่มีอยู่และเกิดความเป็นธรรมระหว่างหน่วยงาน โดยประสานกับกรมบัญชีกลางในการตรวจสอบสถานะเงินเหลือจ่ายที่แต่ละหน่วยงานจะสามารถนำไปใช้ได้ให้ถูกต้องและครบถ้วน และให้สำนักงาน ก.พ.ร. นำเสนอหลักเกณฑ์และแนวทางในการจัดสรรเงินรางวัลดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||
30414 | ร่างกฎกระทรวงถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด พ.ศ. .... | พน | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคำนิยามต่าง ๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติอัด ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด กิจการขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด รถขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด รถไฟขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด รถบรรทุกก๊าซธรรมชาติอัด ผู้รับใบอนุญาต ระบบท่อก๊าซ อุปกรณ์ส่วนควบ โกร่งกำบัง เป็นต้น ๒. กำหนดให้การประกอบกิจการขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และกฎหมายว่าด้วยการรถไฟ ๓. กำหนดให้การออกแบบ การทดสอบและตรวจสอบถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ระบบท่อก๊าซและอุปกรณ์ส่วนควบ การตรวจสอบระบบไฟฟ้า ต้องกระทำโดยวิศวกรที่เกี่ยวข้อง และการปฏิบัติงานต่าง ๆ ให้กระทำโดยผู้ปฏิบัติงาน ๔. กำหนดคุณลักษณะของถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ระบบท่อก๊าซและอุปกรณ์ส่วนควบ พร้อมเงื่อนไขด้านความปลอดภัยในการนำมาใช้งาน ๕. กำหนดให้วิธีการติดตั้งถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ระบบท่อก๊าซและอุปกรณ์ส่วนควบ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๖. กำหนดให้ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด และระบบท่อก๊าซและอุปกรณ์ส่วนควบเมื่อติดตั้งเสร็จแล้วก่อนการใช้งาน หรือเมื่อได้รับความเสียหายที่อาจก่อให้เกิดอันตราย หรือที่ต้องทดสอบตามวาระระหว่างการใช้งานต้องได้รับการทดสอบและตรวจสอบ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๗. กำหนดให้วิธีการติดตั้งระบบไฟฟ้า วิธีการรับหรือจ่ายก๊าซธรรมชาติอัด และวิธีการปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๘. กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดต้องจัดให้มีการป้องกันและการระงับอัคคีภัย ๙. กำหนดห้ามติดตั้งถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดบนยานพาหนะขนส่งทางบกประเภทรถพ่วงตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ๑๐. กำหนดให้การยกเลิกใช้งานถังขนส่งก๊าซธรรมชาติอัด ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๑๑. กำหนดบทเฉพาะกาลแก่ผู้ที่ประกอบกิจการขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ |
|||||||||||||||||||||
30415 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าล้อ อำเภอท่าม่วง และตำบลปากแพรก ตำบลบ้านใต้ ตำบลบ้านเหนือ ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... | คค | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าล้อ อำเภอท่าม่วง และตำบลปากแพรก ตำบลบ้านใต้ ตำบลบ้านเหนือ ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๓ (ตอนเลี่ยงเมือง) กับถนนแสงชูโต ซอย ๕๔ รวมทั้งถนนต่อเชื่อม ในท้องที่ตำบลท่าล้อ อำเภอท่าม่วง และตำบลปากแพรก ตำบลบ้านใต้ ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ๒. กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๓ (ตอนเลี่ยงเมือง) กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๓๐๕ ในท้องที่ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
|
|||||||||||||||||||||
30416 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าน้าว อำเภอภูเพียง และตำบลดู่ใต้ ตำบลไชยสถาน ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน พ.ศ. .... | คค | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าน้าว อำเภอภูเพียง และตำบลดู่ใต้ ตำบลไชยสถาน ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าน้าว อำเภอภูเพียง และตำบลดู่ใต้ ตำบลไชยสถาน ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เพื่อสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๑ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๘๐ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
30417 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตะกุด และตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พ.ศ. .... | คค | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตะกุด และตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตะกุด และตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี เพื่อสร้างทางหลวงชนบทตามโครงการผังเมืองรวมเมืองสระบุรี และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
30418 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ | พณ | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๐ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๘,๖๔๐,๐๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๒๗๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ ๓๒ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๕๗๖,๐๐๐ บาท สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้แล้ว จำนวน ๑,๘๖๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออกรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังที่เห็นควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเช่าพื้นที่อาคาร โดยคำนึงถึงขนาดพื้นที่ที่เหมาะสมกับอัตรากำลังและประโยชน์ในการใช้สอย ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา รวมทั้งศึกษากฎหมายและ/หรือประเพณีของการเช่าอาคารในแต่ละประเทศเกี่ยวกับการจัดทำสัญญาเช่าและเงื่อนไขหรือข้อตกลงอื่น เพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ นอกจากนี้ เปรียบเทียบอัตราค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีขนาดและสภาพใกล้เคียงกับที่จะเช่ากับผู้ให้เช่ารายอื่น โดยอัตราค่าเช่าครั้งหลังสุดต้องไม่สูงกว่าอัตราตามท้องตลาดและบันทึกเหตุผลที่ต้องเบิกจ่ายในอัตรานั้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
30419 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... | นร | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” “ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย” และ “ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด” ๑.๒ กำหนดให้คณะกรรมการ ปปง. มีอำนาจกำหนดนโยบายในการประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับการฟอกเงินที่อาจเกิดจากธุรกรรมบางประเภท ๑.๓ กำหนดมาตรการคุ้มครองพยานสำหรับผู้ให้ถ้อยคำหรือผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ๑.๔ กำหนดให้สำนักงาน ปปง. มีอำนาจเกี่ยวกับการกำกับ ตรวจสอบ และประเมินการรายงานการทำธุรกรรม และวิเคราะห์ความเสี่ยงเกี่ยวกับการฟอกเงินหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ๑.๕ กำหนดให้ข้าราชการซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้เป็นตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน ๑.๖ กำหนดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสนับสนุนการดำเนินการของสำนักงาน ปปง. ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดหรือเพื่อดำเนินการกับทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิด ๑.๗ กำหนดให้มีคณะกรรมการเปรียบเทียบซึ่งมีอำนาจเปรียบเทียบปรับคดีความผิดตามมาตรา ๖๒ มาตรา ๖๓ และมาตรา ๖๔ ๒. ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดบทนิยามคำว่า “ผู้มีหน้าที่รายงาน” “ระงับการดำเนินการกับทรัพย์สิน” เป็นต้น ๒.๒ กำหนดให้คณะกรรมการ ปปง. โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ก่อการร้าย เพื่อแจ้งให้ผู้มีหน้าที่รายงานดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ๒.๓ กำหนดหน้าที่ของผู้มีหน้าที่รายงาน ซึ่งได้แก่ สถาบันการเงิน และผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ดำเนินการระงับการดำเนินการกับทรัพย์สินของผู้มีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อก่อการร้าย ๒.๔ กำหนดสิทธิของผู้ถูกระงับการดำเนินการกับทรัพย์สิน ๒.๕ กำหนดหลักเกณฑ์การเข้าถึงทรัพย์สินของผู้ถูกระงับการดำเนินการกับทรัพย์สิน
|
|||||||||||||||||||||
30420 | ขออนุมัติในหลักการเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าแห่งภูมิภาคอาเซียน ครั้งที่ 8 ณ ประเทศไทย และเป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการอนุวัติอนุสัญญา CITES ในคราวประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 (CITES CoP16) | ทส | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดประชุมเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าแห่งภูมิภาคอาเซียน ครั้งที่ ๘ ณ ประเทศไทย ประมาณเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการอนุวัติอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ในคราวประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Conference of the Parties to the CITES Convention) ครั้งที่ ๑๖ (CITES CoP16) ประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ๒. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินการจัดประชุมเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าแห่งภูมิภาคอาเซียน ครั้งที่ ๘ วงเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท และการจัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการอนุวัติอนุสัญญา CITES ในคราวประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ (CITES CoP16) วงเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แผนงานอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ผลผลิต พื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้รับการบริหารจัดการ งบรายจ่ายอื่น รายการโครงการจัดประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Conference of the Parties to the CITES Convention) ครั้งที่ ๑๖ (CITES CoP16) ซึ่งได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ หน่วยงานสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว และการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ผู้เข้าร่วมประชุม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....