ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1523 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 30441 - 30460 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30441 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ โดยหลักการของโครงการฯ มีดังนี้ ๑.๑.๑ กำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย ๑๒๐ บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) อัตราเบี้ยประกันภัยสุทธิเท่ากับ ๑๒๙.๔๗ บาทต่อไร่ เท่ากับการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมา วงเงินความคุ้มครอง ๑,๑๑๑ บาทต่อไร่ ตลอดช่วงการเพาะปลูก สำหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด ๖ ภัย ได้แก่ อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บ และอัคคีภัย และขยายเพิ่มเติมความคุ้มครองรวมถึงภัยศัตรูพืชและโรคระบาด โดยมีวงเงินความคุ้มครอง ๕๕๕ บาทต่อไร่ ๑.๑.๒ กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติจะเป็นผู้รับประกันภัยต่อในกรณีที่บริษัทประกันวินาศภัยในประเทศ (ผู้รับประกันภัย) รับประกันภัยที่อัตราเบี้ยประกันภัย ๑๒๐ บาทต่อไร่ และไม่สามารถเอาประกันภัยต่อกับบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศได้ ๑.๑.๓ เกษตรกรผู้เอาประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเมื่อพื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหาย (ใช้เกณฑ์การประเมินความเสียหายที่รัฐดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน) เพิ่มเติมจากเดิมที่จะได้รับเฉพาะเงินช่วยเหลือจากรัฐตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับเฉพาะเงินช่วยเหลือจากรัฐเท่านั้น ๑.๑.๔ กำหนดจำนวนไร่ที่เอาประกันภัยสูงสุดไม่เกิน ๘ ล้านไร่ จากพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งหมดของประเทศโดยเฉลี่ยในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๕๔ จำนวน ๕๗.๔๗ ล้านไร่ เป็นระดับพื้นที่เหมาะสม และอยู่ในวิสัยที่จะปฏิบัติได้ เนื่องจากการตัดสินใจทำประกันภัยหรือไม่เป็นความสมัครใจของเกษตรกร และกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติสามารถรองรับความเสียหายในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด (Worst case scenario) ได้ ๑.๑.๕ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้บริหารโครงการ โดยเป็นตัวกลางระหว่างเกษตรกรผู้เอาประกันภัยและบริษัทผู้รับประกันภัย เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมา ๑.๒ อนุมัติวงเงินงบประมาณ จำนวน ๕๕๕,๗๖๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจัดส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้กับ ธ.ก.ส. ประกอบด้วย ข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว และข้อมูลการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยของรัฐรายบุคคลที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) แล้ว เพื่อความรวดเร็วในการจ่ายสินไหมทดแทน ๒. ยกเว้นหลักการที่กำหนดว่า “กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติจะเป็นผู้รับประกันภัยต่อในกรณีที่บริษัทประกันวินาศภัยในประเทศ (ผู้รับประกันภัย) รับประกันภัยที่อัตราเบี้ยประกัน ๑๒๐ บาทต่อไร่ และไม่สามารถเอาประกันภัยต่อกับบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศได้” ให้ตัดออก และยกเว้นในส่วนของการเบิกเงินชดเชย ให้ ธกส. เบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดา ของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) + 1 ในปีงบประมาณถัดไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30442 | รายงานติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัย | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยในส่วนของ PMOCFLOOD และปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะของรัฐมนตรีที่ได้สั่งการในการตรวจพื้นที่ จากข้อมูลระบบ PMOC ณ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ มีจำนวน ๓๑ จังหวัด มีผลการเบิกจ่าย ความก้าวหน้าการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๑ จำนวน ๓ จังหวัด (จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง) ผลการเบิกจ่ายร้อยละ ๖๐.๔๔ ความก้าวหน้าดำเนินงานร้อยละ ๗๑.๔๔ ๑.๒ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๒ จำนวน ๔ จังหวัด (จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน และแพร่) ผลการเบิกจ่ายร้อยละ ๓๘.๓๔ ความก้าวหน้าดำเนินงานร้อยละ ๕๘.๗๕ ๑.๓ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนกลาง จำนวน ๔ จังหวัด (จังหวัดตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก) ผลการเบิกจ่ายร้อยละ ๔๘.๒๕ ความก้าวหน้าดำเนินงานร้อยละ ๖๗.๗๕ ๑.๔ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง จำนวน ๔ จังหวัด จังหวัดกำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ และอุทัยธานี) ผลการเบิกจ่ายร้อยละ ๗๔.๔๑ ความก้าวหน้าดำเนินงานร้อยละ ๖๖.๕๐ ๑.๕ กลุ่มจังหวัดภาคกลาง และ กทม. จำนวน ๑๖ จังหวัด (จังหวัดชัยนาท อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร และส่วนกลาง) ผลการเบิกจ่ายร้อยละ ๕๓.๒๕ ความก้าวหน้าดำเนินงานร้อยละ ๕๙.๑๓ ๒. เร่งรัดการดำเนินงานของหน่วยงานที่ยังไม่มีการรายงานฯ และให้มีการดำเนินการตามที่รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบพื้นที่ได้สั่งการไว้แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30443 | การรับโอนและให้โอนข้าราชการ (สลน.) | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอให้แก้ไขคำนำหน้าชื่อของนายภราดร พัฒนถาบุตร ให้ถูกต้องเป็น พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร ๒. อนุมัติให้รับโอนนายสมเกียรติ บุญชู รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหารระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี และให้โอน พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหารระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30444 | การรับโอนและให้โอนข้าราชการ (สมช.) | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอให้แก้ไขคำนำหน้าชื่อของนายภราดร พัฒนถาบุตร ให้ถูกต้องเป็น พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร ๒. อนุมัติให้รับโอนนายสมเกียรติ บุญชู รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหารระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี และให้โอน พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหารระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30445 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ ในวงเงิน ๙๕.๔๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีขอบเขตการดำเนินโครงการ แหล่งเงินทุน และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย งานปรับปรุงบึงหนองด้วงน้อยให้เป็นแก้มลิงย่อย งานปรับปรุงร่องระบายน้ำหนองด้วงน้อย (Drainage Channel) และงานก่อสร้างทางบริการ (Service Road) และระบบระบายน้ำชั่วคราว ๑.๒ แหล่งเงินทุน ใช้เงินทุนจากเงินสะสมของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ๑.๓ รายละเอียดเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ๑.๓.๑ วงเงินให้ความช่วยเหลือ ๙๕.๔๐ ล้านบาท (เงินกู้ทั้งจำนวน) ๑.๓.๒ อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ๑.๓.๓ อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) ๑.๓.๔ ค่าบริหารจัดการของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ร้อยละ ๐.๑๕ ของวงเงินกู้ ๑.๓.๕ กำหนดชำระดอกเบี้ย ปีละ ๒ ครั้ง ๒. ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลตัวเลขหรือสถิติที่เกี่ยวกับปริมาณน้ำฝน และศึกษาความสามารถในการระบายน้ำเพื่อวิเคราะห์ว่าโครงการสามารถช่วยลดปัญหาอุทกภัยบริเวณนครหลวงเวียงจันทน์และพื้นที่ใกล้เคียงได้มากน้อยเพียงใด โดยการเปรียบเทียบสภาพก่อนและหลังดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30446 | การลงนามในร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและทาจิกิสถานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของทาจิกิสถาน | พณ | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในสารัตถะของร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและทาจิกิสถานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของทาจิกิสถาน และให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ โดยสาระสำคัญของสารัตถะของร่างพิธีสารฯ มีดังนี้
๑. ทาจิกิสถานตกลงเปิดตลาดทวิภาคีให้สินค้าของไทย ๔ รายการ ตามที่ไทยเรียกร้อง ได้แก่ สินค้าพิกัด ๗๓๒๑๑๑๑๐๐๐ เครื่องใช้ไฟฟ้าในการหุงต้ม และแผ่นใช้สำหรับอุ่นอาหารที่ใช้ก๊าซเชื้อเพลิง หรือที่ใช้ได้ทั้งก๊าซเชื้อเพลิงและเชื้อเพลิงอื่น ๆ สินค้าพิกัด ๘๔๑๘๑๐๑๐๐๐ ตู้เย็นที่มีตู้แช่แข็งประกอบอยู่ด้วยกันโดยมีประตูนอกแยกกัน ชนิดที่ใช้ในเครื่องบินพลเรือน สินค้าพิกัด ๘๕๑๔๑๐๐๕๐๐ เตาเผาและเตาอบแบบทำความร้อนโดยใช้ความต้านทาน สำหรับการผลิตอุปกรณ์กึ่งตัวนำซึ่งเป็นส่วนประกอบสำหรับวัสดุกึ่งตัวนำแบบเวเฟอร์ และสินค้าพิกัด ๘๕๑๖๑๐๑๑๐๐ เครื่องทำน้ำร้อนด้วยไฟฟ้าแบบทำน้ำร้อนชั่วขณะที่ใช้หรือแบบทำน้ำร้อนเก็บสะสม และเครื่องทำความร้อนด้วยไฟฟ้าแบบจุ่ม โดยทาจิกิสถานยอมรับข้อเรียกร้องของไทย โดยลดอัตราภาษีที่จะผูกพันเป็นอัตราเดียวกับที่จัดเก็บในปัจจุบัน (ร้อยละ ๕) สำหรับสินค้าพิกัด ๗๓๒๑๑๑๑๐๐๐ ขอเวลาลดภาษี ๓ ปี ส่วนอีก ๓ รายการที่เหลือจะลดทันที ๒. ไทยได้แจ้งให้ทาจิกิสถานเพิ่มถ้อยคำเพื่อให้ไทยสามารถรักษาสิทธิที่จะขอหารือทวิภาคีกับทาจิกิสถานในอนาคตหากมีข้อเรียกร้องเพิ่มขึ้น โดยที่ทาจิกิสถานได้ปรับถ้อยคำดังกล่าวลงในร่างพิธีสารฯ เรียบร้อยแล้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||
30447 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันว่าด้วยการพัฒนาและปรับปรุงบัญชีเศรษฐกิจเงินทุนของประเทศไทย ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กับสถาบันที่ปรึกษาระบบการเงินและความยากจนแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (Consortium on Financial System and Poverty/University of Chicago) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาปรับปรุงบัญชีเศรษฐกิจเงินทุนของประเทศไทย ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กับสถาบันที่ปรึกษาระบบการเงินและความยากจนแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (Consortium on Financial System and Poverty/University of Chicago) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาปรับปรุงบัญชีเศรษฐกิจเงินทุนให้มีความถูกต้องตามมาตรฐานสากลและมีความสมบูรณ์สามารถตอบสนองต่อการใช้ประโยชน์มากขึ้น และส่งเสริมการประยุกต์ใช้บัญชีเศรษฐกิจเงินทุนเชิงลึกให้แพร่หลาย ๑.๒ ผลที่คาดว่าจะได้รับ มีข้อมูลบัญชีเศรษฐกิจเงินทุนที่มีคุณภาพและมีความครบถ้วนสมบูรณ์สนองต่อการใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่องานวิจัยและการวางแผนและการจัดทำนโยบาย ได้รับความรู้ความเข้าใจธุรกรรมต่าง ๆ ในตลาดการเงินอย่างลึกซึ้ง สามารถนำผลการศึกษาเสนอแนะเป็นนโยบายพัฒนาประเทศได้ ๑.๓ กรอบระยะเวลา ๓ ปี เริ่ม ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ สิ้นสุด ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ๒. อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือผู้แทนลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่เนื้อหาสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||||||||
30448 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. .... | พณ | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดคำนิยามคำว่า “ทรัพย์สินทางปัญญา” “คณะกรรมการ” และ “กรรมการ” ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “คทป.” ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยภาคราชการ จำนวน ๑๘ คน ภาคเอกชน จำนวน ๕ คน โดยมีอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นกรรมการและเลขานุการ ๑.๓ ให้คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ เช่น ๑.๓.๑ กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา และด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ รวมถึง สั่งการ ตรวจสอบ และติดตามการปฏิบัติงานของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม ๑.๓.๒ ติดตามการดำเนินการของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ๑.๓.๓ กำหนดแนวทางและมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพบุคลากร งบประมาณ อำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๓.๔ รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ๑.๔ ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ โดยมีอำนาจหน้าที่ เช่น รับผิดชอบในงานวิชาการและงานเลขานุการของคณะกรรมการฯ ตลอดจนศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล ประเมินผลการปฏิบัติงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานตามระเบียบนี้ต่อคณะกรรมการฯ ๑.๕ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือและสนับสนุนในการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ รวมทั้งแผนปฏิบัติการและมาตรการต่าง ๆ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (ลสวทน.) เป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา จาก “กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา” เป็น “กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้มีการสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญาและการนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” นอกจากนี้ เห็นควรให้คณะกรรมการฯ มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและรูปแบบการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาประเภทใหม่ที่สมควรได้รับการคุ้มครองนอกเหนือจากสิ่งที่กฎหมายให้การคุ้มครองไว้แล้ว โดยกำหนดนโยบายเพื่อสร้างระบบกฎหมายเฉพาะ (Sui Generis) ที่เหมาะสมกับประเทศไทย รวมทั้งให้คณะกรรมการฯ พิจารณาประชุมในเรื่องเร่งด่วนเพื่อให้สังคมไทยผลิตทรัพย์สินทางปัญญาของตนเองให้มากขึ้น ตลอดจนกำหนดแนวทางพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากรภายใต้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
30449 | การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงเกี่ยวกับการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ จำนวน 3 ฉบับ | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในส่วนที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และการจัดการเงินร่วมลงทุน มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขชื่อประกาศในข้อ ๑๑ (๔) ของกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอย่างอื่นของผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ โดยเปลี่ยนจากชื่อประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๐๓ (๙) และ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ๑.๒ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิมเพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๑.๓ แก้ไขให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และการจัดการเงินร่วมลงทุน ในข้อ ๑๖ (๖) ของกฎกระทรวงฯ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ๒. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ (พ.ศ. ....) เป็นการปรับปรุงแก้ไขการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๕ ๒.๒ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ดังกล่าวต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ๒.๓ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๒.๔ กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตดังกล่าวต้องดำรงคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดตลอดเวลาตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่กำหนดให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นผู้กำหนด ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมยังคงอัตราเดิม คือ ค่าธรรมเนียมคำขอรับใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๓. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (พ.ศ. ....) เป็นการปรับปรุงแก้ไขการอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๐ (พ.ศ. ๒๕๔๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๓.๒ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ดังกล่าวต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ๓.๓ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง ให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๓.๔ กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตดังกล่าวต้องดำเนินงานตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมยังคงอัตราเดิม คือ ค่าธรรมเนียมคำขอรับใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท |
||||||||||||||||||||||||||||||
30450 | การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. แนวทางและหลักเกณฑ์การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ เฉพาะรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ โดยมีแนวทางและหลักเกณฑ์ ดังนี้ ๑.๑.๑ เป็นไปตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคม ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๑.๑.๒ เป็นรายจ่ายในการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา โดยเฉพาะนโยบายสำคัญเร่งด่วน ๑๖ ข้อ ๑.๑.๓ เป็นรายจ่ายที่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศ ส่งเสริมการผลิตให้เกิดการจ้างงานและกระจายรายได้ หรือเป็นรายจ่ายลงทุนที่สำคัญก่อให้เกิดผลในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือเป็นรายจ่ายที่ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง ๒. ขั้นตอนในการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๒.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นจัดทำคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ ที่ได้มีการตรวจสอบและรับรองข้อมูลแล้วว่าการดำเนินการนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ กฎหมายหรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้เสนอขอรับความเห็นชอบต่อนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด รวมทั้งรวบรวมจัดส่งให้สำนักงบประมาณ ภายในวันศุกร์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒.๒ สำหรับหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล และหน่วยงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖๘ วรรคเก้า ที่กำหนดว่า “หากหน่วยงานดังกล่าวเห็นว่างบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรให้นั้นไม่เพียงพอ ให้สามารถเสนอคำขอแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการได้โดยตรง” ๒.๓ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และนำเสนอผลการพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อนำเสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30451 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๗,๗๑๖.๖๕๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๕๓.๖๕๑ ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้กับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงมิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๘,๐๒๙.๙๘๓ ล้านบาท ๑.๑ สถานการณ์เบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑.๑.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖๗,๓๓๐.๘๐๗ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๕๓๖.๘๗๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๙๒ โดยส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑,๕๓๖.๔๓๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๕๕ ๑.๑.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓ จังหวัด เป็นเงิน ๕๓,๖๒๖.๒๓๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๙๒ ๑.๒ การส่งคืนเงินงบประมาณ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๔๒ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๕,๐๒๐.๐๖๔ ล้านบาท สำนักงบประมาณจะดำเนินการคืนเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๓. การติดตามผลการปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีดังนี้ ๓.๑ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ จำนวน ๑๑ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๑,๔๔๕ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒,๗๑๘.๔๓๒ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๑,๑๑๑.๐๐๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๘๗ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๕๙.๘๓ ๓.๒ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดกลางน้ำ จำนวน ๖ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๒,๑๕๓ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๖,๒๓๓.๓๖๖ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒,๗๐๐.๑๔๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๕.๖๙ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๓๗.๗๘ ๓.๓ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดปลายน้ำ จำนวน ๑๕ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๖,๖๕๘ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒๐,๖๓๘.๙๐๒ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๖,๐๘๐.๔๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๒๓ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๕๗.๙๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30452 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓๑,๓๖๓ ครั้ง เปรียบเทียบกับในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่าในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนใช้บริการร้องทุกข์เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๔,๐๐๔ ครั้ง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ สวัสดิการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามลำดับ ๑.๒ ข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ได้แก่ การแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการจำหน่ายและเสพยาเสพติด การแจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน/เล่นการพนัน การปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐในระดับปริญญาตรี ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง การปรับขึ้นราคาจำหน่ายก๊าซ LGP และ NGV นโยบายสร้างความปรองดองของรัฐบาลเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อนำไปสู่ความปรองดอง ๒. ข้อมูลการแจ้งเบาะแสจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับยาเสพติดในรอบ ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยงานหลักในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป โดยสถิติการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติด พบว่า ประชาชนแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครมากที่สุด รองลงมาคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชลบุรี นนทบุรี และสุราษฎร์ธานี ตามลำดับ โดยประเภทของยาเสพติดที่มีการแจ้งเบาะแสมากที่สุด ได้แก่ ยาบ้า รองลงมาคือ ยาไอซ์ และกัญชา ตามลำดับ ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนของสถานที่จำหน่ายหรือเสพยาเสพติด จำแนกเป็นรายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดเพื่อเตรียมจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในการเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
30453 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ศาสนาประจำชาติไทย" | สสป | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ศาสนาประจำชาติไทย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรรมการศาสนา ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาฯ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองพุทธชยันดี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๑.๑ ขอให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยจัดให้ยิ่งใหญ่ทั้งปีทั่วประเทศให้สมกับพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระบรมศาสดาเอกของโลก ๑.๒ ขอให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะกรรมการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นรองประธาน มีผู้แทนของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง องค์การและสถาบันที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาร่วมเป็นกรรมการและที่ปรึกษา ๑.๓ ขอให้รัฐบาลประกาศให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก ๑.๔ ขอให้รัฐบาลน้อมนำอุดมการณ์แผ่นดินธรรมแผ่นดินทองเป็นอุดมการณ์ เพื่อสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินทอง และน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาของชาติ ๑.๕ ขอให้รัฐบาลจัดทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดาของโลกในมหามงคลสมัยการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๑.๖ ของรัฐบาลส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธแห่งชาติและประจำจังหวัดต่าง ๆ โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้สมัชชาชาวพุทธแห่งชาติและประจำจังหวัดเป็นองค์การมหาชน เพื่อเป็นกลไกและพลังที่สำคัญของชาวพุทธในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ๒. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒.๑ ขอให้รัฐบาลน้อมนำอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ซึ่งมาจากพระบรมราชปณิธานในพระบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” กำหนดเป็นอุดมการณ์ของชาติ เพื่อสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง เป็นการถวายราชสักการะบูชาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นธัมมิกมหาราชา-พระมหาราชาผู้ทรงอยู่ในธรรม ๒.๒ ขอให้รัฐบาลน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญาของชาติ ชี้นำการบริหารประเทศ การพัฒนาประเทศ การดำรงชีวิตประชาชนทุกระดับ เพื่อพัฒนาแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๓. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๓.๑ จัดให้มีแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อเป็นพุทธบูชาในมหามงคลสมัยการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๓.๒ แผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรระบุให้ชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมพระพุทธศาสนา นโยบายของรัฐบาลในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ยุทธศาสตร์ในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา การส่งเสริมบทบาทของวัดซึ่งเป็นศาสนสถน การส่งเสริมบทบาทของพระผู้เป็นศาสนทายาท ตามร่างแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๔. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมการจัดตั้ง และการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด ๔.๑ ขอให้รัฐบาลสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อเป็นกลไกที่สร้างสรรค์ในการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ๔.๒ รัฐบาลควรให้การสนับสนุนด้านงบประมาณแก่การดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล ๕. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการตราและปรับปรุงกฎหมาย ๕.๑ รัฐบาลควรตราพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นกฎหมายรองรับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๗๙ ๕.๒ รัฐบาลควรปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้มีความเหมาะสม เพื่อให้การบริหารของคณะสงฆ์ การศึกษาของพระสงฆ์ การปฏิบัติหน้าที่ของวัดและพระสงฆ์ มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้น ให้สมกับที่ประเทศไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา และเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก ๕.๓ รัฐบาลควรตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สมัชชาชาวพุทธแห่งชาติเป็นองค์การมหาชน เพื่อให้มีสถานภาพเป็นนิติบุคคล เป็นที่รวมพลังของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งคณะสงฆ์ ภาครัฐ และภาคประชาชน ในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ในการส่งเสริมบทบาทของพระพุทธศาสนาในการพัฒนาคน สังคม และประเทศชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30454 | การรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (World Telecommunication/ICT Indicators Meeting) ค.ศ.2012 | ทก | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารลงนามในร่างหนังสือถึงสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) เพื่อแจ้งตอบรับข้อเสนอของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ค.ศ. ๒๐๑๒ (World Telecommunication/ICT Indicators Meeting 2012 : WTIM 2012) ๒. ให้ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||||||||
30455 | มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยทางตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยทางตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย โดยให้กำหนดระยะเวลาการดำเนินมาตรการดังกล่าวถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑.๑ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการปลดหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๑.๒ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของเจ้าหนี้อื่น และสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๑.๓ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของสถาบันการเงินและผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยที่จำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นประกันหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินและได้มีการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวให้บุคคลอื่นเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้สถาบันการเงิน ซึ่งได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระอยู่กับสถาบันการเงินหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้กับสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยการโอนอสังหาริมทรัพย์และการกระทำตราสารต้องกระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ที่กรมสรรพากรกำหนด สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ในส่วนของหนี้ที่เจ้าหนี้ดังกล่าวได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัย ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๓. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้กระทรวงการคลังแจ้งคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) และคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) ทราบด้วย ดังนี้ ๓.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัย ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๓.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองห้องชุด ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัย ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบถึงผลการดำเนินงานตามมาตรการของกระทรวงการคลังเพื่อเป็นการประเมินความสำเร็จของนโยบายการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัย และการกำหนดมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงมาตรการจูงใจผู้ที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพื่อเป็นแนวทางในการถือปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
30456 | โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการใน สปป. ลาว ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) รับเรื่อง โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ไปพิจารณากลั่นกรองก่อน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการลงทุน) ๒. ให้นำความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในพื้นที่อย่างรอบด้าน และมีกระบวนการรับฟังความเห็นของสาธารณชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการดำเนินโครงการฯ อย่างโปร่งใสและครอบคลุม การคำนึงถึงความเสี่ยงจากการลงทุน (economic risk) และการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ (opportunity cost) จากการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้า หากมีการก่อสร้างหรือการกระทำใดๆ ที่อาจกระทบต่อเส้นเขตแดนและท่าทีในการเจรจาที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหารืออย่างใกล้ชิดกับกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ การติดตามการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission : MRC) เกี่ยวกับการพิจารณาให้ความเห็นต่อโครงการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรี เพื่อให้สามารถวางแผนโครงการฯ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรีได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์การก่อสร้างโรงไฟฟ้าใน สปป.ลาว การเตรียมแผนบริหารความเสี่ยงในการจัดหากำลังผลิตไฟฟ้าจากแหล่งอื่นเข้ามาเสริมระบบแทนในกรณีที่ไม่สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรีได้ หรือการก่อสร้างมีความล่าช้าออกไป การประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อระดับน้ำในแม่น้ำโขงบริเวณชายแดนไทย และผลกระทบต่อชุมชนท้ายน้ำในฝั่งไทย การติดตามเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนจากการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องทั้งในช่วงการก่อสร้างโครงการและภายหลังโครงการแล้วเสร็จ รวมทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เยาวชน ประชาชน และชุมชนในด้านการจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อดีข้อเสียของการจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากแต่ละแหล่งผลิต ไปประกอบการพิจารณาต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
30457 | มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยให้ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการดังกล่าวออกไปอีก ๑ ปี จากสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑.๑ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่รับการปลดหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒.๑.๒ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น และสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่รับจากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒.๑.๓ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินและผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ที่จำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นประกันหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินและได้มีการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวให้บุคคลอื่น เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้สถาบันการเงิน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระอยู่กับสถาบันการเงินหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้กับสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยการโอนอสังหาริมทรัพย์และการกระทำตราสารต้องกระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ที่กรมสรรพากรกำหนด สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ในส่วนของหนี้ที่เจ้าหนี้ดังกล่าวได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๓. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๓.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๓.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองห้องชุด ตามประมวลกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และสิทธิประโยชน์ทางค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ควรให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวเฉพาะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non - Performing Loans : NPL) ที่เกิดจากลูกหนี้รายย่อย ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจชุมชน โดยขยายมาตรการออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เท่านั้น เพื่อป้องกันการวางแผนหลีกเลี่ยงภาษีของบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลอันจะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30458 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงบัญชีท้ายกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยกำหนดสายงานและระดับตำแหน่งเพื่อให้ข้าราชการพลเรือนสามัญมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งเพิ่มเติม จำนวน ๗ สายงาน ได้แก่ สายงานวิชาการช่างศิลป์ ระดับทรงคุณวุฒิ สายงานมัณฑนศิลป์ ระดับทรงคุณวุฒิ สายงานจิตรกรรม ระดับทรงคุณวุฒิ สายงานเภสัชกรรม ระดับทรงคุณวุฒิ สายงานพยาบาลวิชาชีพ ระดับทรงคุณวุฒิ สายงานแพทย์แผนไทย ระดับชำนาญการ และระดับชำนาญการพิเศษ และสายงานจิตวิทยาคลินิก ระดับชำนาญการ ระดับชำนาญการพิเศษ และระดับเชี่ยวชาญ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30459 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น พ.ศ. .... (การกำหนดวงเงินความคุ้มครองเงินฝาก) | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ ให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้น พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๓ กำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองไม่เกินจำนวนเงินห้าสิบล้านบาท ๒. กำหนดวงเงินการคุ้มครองเงินฝากเป็นขั้นบันไดในระยะเวลา ๕ ปี ตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ปีที่หนึ่ง ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ - ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๕๐ ล้านบาท ปีที่สอง ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ - ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๗ จำนวน ๕๐ ล้านบาท ปีที่สาม ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ - ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๕๐ ล้านบาท ปีที่สี่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ - ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๒๕ ล้านบาท และปีที่ห้า ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ - ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑ ล้านบาท ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกรอบระยะเวลาการลดระดับวงเงินคุ้มครองเงินฝากให้ชัดเจน และมีแนวทางปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากแบบขั้นบันไดจนกระทั่งถึงวงเงินคุ้มครอง ๑ ล้านบาท รวมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจทางด้านการเงิน (Financial Literacy) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝากที่มีอาชีพอิสระและผู้ฝากเงินที่เกษียณอายุที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราผลตอบแทนของสถาบันการเงิน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
30460 | การติดตามสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจยูโร | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ) มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงด้านเศรษฐกิจเพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรป และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ นั้น เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจยูโรมีแนวโน้มต่อเนื่องยาวนานและต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบและความผันผวนทั้งในตลาดการค้าและการเงิน และประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงมอบให้ทุกส่วนราชการ โดยเฉพาะกระทรวงด้านเศรษฐกิจติดตามสถานการณ์และผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และให้รายงานมาที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะได้รวบรวม วิเคราะห์ และกำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน
|
.....