ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1523 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30441 - 30460 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30441 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้าง โรงเรียนสามชุกรัตนโภคาราม | ศธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณก่อนลงนามในสัญญาจ้างของโรงเรียนสามชุกรัตนโภคาราม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๙ จังหวัดสุพรรณบุรี ในวงเงินทั้งสิ้น ๒๐,๘๓๐,๐๐๐ บาท เพื่อก่อสร้างอาคารเรียนแบบ ๓๒๔ ล. ตอกเข็ม จำนวน ๑ หลัง ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๘๙๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีกจำนวน ๑๗,๙๔๐,๐๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
30442 | แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสื่อ วัสดุ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการศึกษา | ศธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสื่อ วัสดุ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการศึกษา ประกอบด้วยรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ บุคคล ผู้แทนกระทรวง กรม สำนัก และสมาคมที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสิ่งของที่นำมาใช้เพื่อการศึกษาและการวิจัยของหน่วยงาน/ส่วนราชการ/สมาคมและมูลนิธิต่าง ๆ ที่เสนอขอยกเว้นอากรนำเข้าว่าเป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ลงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๓ (๑๙) หรือไม่ แล้วจึงมีหนังสือรับรองให้หน่วยงานผู้เสนอขอยกเว้นอากรนำเข้าได้ทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าวัสดุการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมตามความตกลงฟลอเรนซ์ขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติด้วย ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
30443 | รัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชุกกูดี นิววิงตัน โอกาฟอร์ (Mr. Chukwudi Newington Okafor) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนายอูมารุ อุซอเรส สุไลมาน (Mr. Umaru Azores Sulaiman) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30444 | รัฐบาลสาธารณรัฐมาลาวีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชาลส์ อีน็อก นามอนดเว (Mr. Charles Enoch Namondwe) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐมาลาวีประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง สืบแทนนายรูสเวลต์ ลาสตัน กอนด์เว (Mr. Roosevelt Laston Gondwe) ซึ่งมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโตเกียว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30445 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2555 | กษ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการ กนป. เสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ มติ กนป. ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๕) เรื่อง การแต่งตั้งคณะทำงาน ๒ คณะ ผลการดำเนินโครงการการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มเพื่อพลังงานอย่างยั่งยืน และมติคณะอนุกรรมการน้ำมันพืชบริโภค เรื่อง การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันพืชปาล์ม เกี่ยวกับการคำนวณค่าวัตถุดิบน้ำมันปาล์มดิบ รายละเอียดค่าใช้จ่ายการผลิต และส่วนเหลื่อมการตลาดและกำไร ๒. ที่ประชุมมีมติให้กำหนดเกณฑ์การพิจารณาปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศ ๒ ระดับ และให้กระทรวงพาณิชย์ใช้ในการติดตามสถานการณ์น้ำมันปาล์มของประเทศ ได้แก่ ระดับปกติ ๑.๕ เท่าของความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบต่อเดือน (๒๐๒,๕๐๐ ตัน) ระดับเตือนภัย ๑.๒๕ เท่าของความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบต่อเดือน (๑๖๘,๗๕๐ ตัน) และระดับวิกฤต ต่ำกว่า ๑ เท่าของความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบต่อเดือน <= ๑๓๕,๐๐๐ ตัน) (ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยเดือนละ ๑๓๕,๐๐๐ ตัน เป็นฐานคำนวณ) ทั้งนี้ ให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มรายงานข้อมูลสต๊อกน้ำมันปาล์มให้กระทรวงพาณิชย์ทุก ๑๕ วัน ๓. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับการเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ปี ๒๕๕๕ ดังนี้ ๓.๑ กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) ให้เปิดตลาดนำเข้าทั้งปริมาณและอัตราภาษีตามข้อผูกพันคือ ปริมาณในโควตา ๔,๘๖๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๐ นอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ การบริหารการนำเข้าให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มจัดสรร ๓.๒ กรอบการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ให้เปิดตลาดเสรีนำเข้าไม่มีโควตาภาษี อัตราภาษีร้อยละ ๐ ๓.๓ กรอบเขตการค้า FTA ๓.๓.๑ อาเซียน - จีน ปริมาณเปิดตลาดนำเข้าตามข้อผูกพัน WTO อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ ๓.๓.๒ ไทย - AUS - NZ เสรีนำเข้าและไม่มีโควตาภาษีอัตราภาษีนำเข้าร้อยละ ๐ โดยกรอบการค้า ไทย - ออสเตรเลีย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๘ กรอบการค้า ไทย - นิวซีแลนด์ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ๓.๓.๓ ไทย - ญี่ปุ่น ปริมาณเปิดตลาดนำเข้าตามกรอบ WTO ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๙.๐๙ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ ๓.๓.๔ ไทย - เกาหลี ปริมาณเปิดตลาดนำเข้าตามกรอบ WTO อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๘.๘๙ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ ๓.๔ การบริหารการนำเข้าตามกรอบการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และกรอบเขตการค้า FTA ให้บริหารการนำเข้าเช่นเดียวกับกรอบ WTO ๓.๕ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังเพื่อทราบและดำเนินการต่อไป ๓.๖ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงพาณิชย์ประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยแนวทางดังกล่าวจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน และสอดคล้องกับโครงสร้างราคาน้ำมันปาล์มที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้นำผลการหารือเข้าพิจารณาในที่ประชุม กนป. ครั้งต่อ
|
|||||||||||||||||||||
30446 | รัฐบาลสาธารณรัฐอิสลามมอริเตเนียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเชค ซีด อะห์เมด เอล เบกาเย อูลด์ ฮะมาดี (Mr. Cheikn Sid Ahmed El Bekaye Ould Hamady) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิสลามมอริเตเนียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโดฮา สืบแทนนายบาล มุฮัมมัด อัล หะบีบ (Mr. BAL Mohamed El Habib) ซึ่งมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง ตามที่กระทรวงต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30447 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามโครงการปราบปรามการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่ต้นน้ำลำธาร เพื่อปลูกไม้ยางพารา ในท้องที่จังหวัดภาคใต้ | ทส | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อไปดำเนินการตามโครงการปราบปรามการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่ต้นน้ำลำธารเพื่อปลูกไม้ยางพารา ในท้องที่จังหวัดภาคใต้ในโอกาสแรก และหากมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ให้เสนอขอตั้งในงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รับความเห็นของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปลูกฝังแนวคิดที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่เห็นคุณค่าของการดำรงไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ การมีส่วนร่วมในการป้องกัน ปราบปราม และฟื้นฟูสภาพป่าไม้ การเสริมกำลังทั้งด้านกำลังคนและด้านค่าใช้จ่ายอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการยับยั้งการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เพื่อปลูกไม้ยางพาราในท้องที่จังหวัดภาคใต้และพื้นที่อื่นไปพร้อมกันด้วย สำหรับการรื้อถอนพืชอาสินและสิ่งปลูกสร้าง เห็นควรดำเนินการเฉพาะในพื้นที่ที่ผ่านกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์แล้วเสร็จ และ/หรือ มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการปลูกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
30448 | การถอนคำแถลงตีความข้อบทที่ 6 วรรค 5 และ ข้อบทที่ 9 วรรค 3 ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง | ยธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อการถอนคำแถลงตีความข้อบทที่ ๖ วรรค ๕ (เรื่อง การพิพากษาประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี) และข้อบทที่ ๙ วรรค ๓ (เรื่อง ระยะเวลาในการนำผู้ถูกจับกุมไปศาล) ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง โดยมีสาระสำคัญดังนี้ ๑.๑ ข้อบทที่ ๖ วรรค ๕ เรื่อง การพิพากษาประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ซึ่งประเทศไทยได้ทำคำแถลงตีความเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการปฏิบัติของไทยตามประมวลกฎหมายอาญาว่า ตามกฎหมายดังกล่าวในทางปฏิบัติประเทศไทยไม่เคยมีการพิพากษาประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔ บัญญัติว่า เด็กอายุไม่เกิน ๑๔ ปี ไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดที่กระทำ และมาตรา ๗๕ บัญญัติว่า เด็กอายุกว่า ๑๔ ปี แต่ยังไม่เกิน ๑๗ ปี หากศาลจะพิพากษาลงโทษ ศาลต้องลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดลงกึ่งหนึ่ง ส่วนผู้ที่มีอายุกว่า ๑๗ ปี แต่ไม่เกิน ๒๐ ปี นั้น มาตรา ๗๖ บัญญัติมีผลว่า แม้กระทำความผิดที่มีโทษถึงประหารชีวิต แต่กฎหมายไทยก็ได้ให้อำนาจศาลใช้ดุลยพินิจว่าจะลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้ และในทางปฏิบัติศาลได้ใช้ดุลยพินิจลดมาตราส่วนโทษให้เสมอ จึงไม่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ๑.๒ ข้อบทที่ ๙ วรรค ๓ เรื่อง ระยะเวลาในการนำผู้ถูกจับกุมไปศาล ซึ่งกติกาใช้คำว่า “โดยพลัน” นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๘๗ วรรคสาม ได้ให้อำนาจพนักงานสอบสวนควบคุมตัวผู้ต้องหาก่อนนำตัวไปศาลไว้ได้ ๔๘ ชั่วโมง แต่หากการสอบสวนไม่เสร็จสิ้น ก็สามารถควบคุมตัวต่อได้ถึง ๗ วันนั้น ไม่สอดคล้องกับกติกา ดังนั้น ประเทศไทยจึงได้ทำคำแถลงชี้แจงว่า ไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณีในข้อนี้ในลักษณะที่กฎหมายไทยกำหนดไว้ในขณะนั้น ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการถอนคำแถลงตีความ ข้อบทที่ ๖ วรรค ๕ และข้อบทที่ ๙ วรรค ๓ ภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
|
|||||||||||||||||||||
30449 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าเชียงดาว ป่าแม่งัด และป่าแม่แตง บางส่วน ในท้องที่ตำบลป่าตุ้ม อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... | ทส | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าเชียงดาว ป่าแม่งัด และป่าแม่แตง บางส่วน ในท้องที่ตำบลป่าตุ้ม อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ เพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าเชียงดาว ป่าแม่งัด และป่าแม่แตง บางส่วน ในท้องที่ตำบลป่าตุ้ม อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ออกจากการเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามที่กำหนดไว้โดยพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเชียงดาว ป่าแม่งัด และป่าแม่แตง ในท้องที่ตำบลปิงโค้ง ตำบลเชียงดาว ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว ตำบลสันทราย ตำบลป่าไหน่ ตำบลบ้านโป่ง ตำบลป่าตุ้ม ตำบลน้ำแพร่ ตำบลแม่แวน ตำบลแม่ปั๋ง ตำบลโหล่งขอด อำเภอพร้าว และตำบลบ้านเป้า ตำบลช่อแล ตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๒ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
30450 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2555 | ทส | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงสามเสน - บางบำหรุ และการปรับปรุงมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางกะปิ - สามเสน ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยเพิ่มเติมมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และให้ดำเนินการในส่วนของมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ทั้งนี้ หาก รฟม. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานฯ ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา ๒. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีน้ำตาล ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดยให้ สนข. ปรับปรุงมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ทั้งนี้ หาก สนข. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานฯ ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา ๓. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีเหลืองเข้ม ของ สนข. โดยให้ สนข. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ทั้งนี้ หาก สนข. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานฯ ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา ๔. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีเหลืองอ่อน ของ สนข. โดยให้ สนข. รับข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินโครงการฯ และให้ สนข. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ทั้งนี้ หาก สนข. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานฯ ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา ๕. เห็นชอบความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณารายงานการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ แร่หินปูนเพื่อทำปูนขาวสำหรับอุตสาหกรรมฟอกหนังหรืออุตสาหกรรมน้ำตาล และหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ประทานบัตรที่ ๒๔๘๘๙/๑๔๗๕๖ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ของบริษัท พงษ์ศักดิ์ไทย จำกัด สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ต่อคณะรัฐมนตรี โดยให้ผู้ขออนุญาตดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากบริษัทฯ มีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ และ/หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่เสนอไว้ในรายงานฯ ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติหรืออนุญาตให้ดำเนินการโครงการตามกฎหมายเป็นผู้พิจารณา และให้คณะทำงานเฉพาะกิจติดตามการปฏิบัติตามเงื่อนไขและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมของกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ดำเนินการติดตามตรวจสอบการฟื้นฟูพื้นที่จากการทำเหมืองแร่ และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่เสนอไว้ในรายงานฯ ภายหลังการทำเหมืองแร่ ปีละ ๑ ครั้ง และรายงานให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบทุกครั้ง และให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ เป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ของโครงการ รวมทั้งให้กรมป่าไม้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ประทานบัตรที่ ๒๔๙๑๓/๑๔๕๖๑ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๒๔๙๑๔/๑๔๕๔๘, ๒๔๙๑๕/๑๔๕๖๒, ๒๔๙๑๖/๑๔๕๔๙, ๒๔๙๑๗/๑๔๕๖๓, ๒๔๙๑๘/๑๔๕๖๔, ๒๔๙๑๙/๑๔๕๔๖, ๒๔๙๒๐/๑๔๕๔๗, ๒๗๓๑๔/๑๔๕๑๘, ๒๗๓๑๕/๑๔๕๑๗, ๒๗๓๓๒/๑๔๖๖๘, ๒๗๓๓๓/๑๔๖๖๙ และ ๒๗๓๓๔/๑๔๖๗๐ และของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ท่าหลวง) จำกัด ประทานบัตรที่ ๓๒๔๕๑/๑๕๖๘๗, ๓๒๔๕๔/๑๕๖๘๘, ๓๒๔๕๒/๑๕๖๘๙, ๑๙๙๑๗/๑๕๖๙๐ และ ๓๒๔๕๓/๑๕๖๙๑ ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการอนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งซ้อนทับกับพื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้ผู้ขออนุญาตปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่กำหนดไว้ในรายงานฯ เพื่อประกอบการขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ทั้งนี้ หากบริษัทฯ มีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ และ/หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่เสนอไว้ในรายงานฯ ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติหรืออนุญาตให้ดำเนินการโครงการตามกฎหมายเป็นผู้พิจารณา และให้คณะทำงานเฉพาะกิจติดตามการปฏิบัติตามเงื่อนไขและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมของกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ดำเนินการติดตามตรวจสอบการฟื้นฟูพื้นที่จากการทำเหมืองแร่ และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่เสนอไว้ในรายงานฯ ปีละ ๑ ครั้ง และรายงานให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบทุกครั้ง และให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ เป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ของโครงการ รวมทั้งให้กรมป่าไม้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณามาตรการในการควบคุมปริมาณฝุ่นละอองไม่ให้เกินกว่าค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป ๗. เห็นชอบความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและชนิดหินดินดาน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ สำหรับประทานบัตรที่ ๓๒๔๔๔/๑๕๕๔๑ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๓๒๔๓๙/๑๕๕๓๗, ๑๔๐๘๓/๑๕๕๓๘, ๑๔๐๘๔/๑๕๕๓๙, ๑๔๐๘๕/๑๕๕๔๐, และ ๑๔๐๘๗/๑๕๕๔๒, ๓๒๔๔๓/๑๕๕๔๓, ๓๒๔๔๐/๑๕๕๔๔, ๓๒๔๓๖/๑๕๕๔๕, ๓๒๔๔๕/๑๕๕๔๖ ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลทับกวาง ตำบลท่าคล้อ ตำบลบ้านป่า อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาขออนุมัติผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติพื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้ผู้ขออนุญาตปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากบริษัทฯ มีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ และ/หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่เสนอไว้ในรายงานฯ ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานทีมี
|
|||||||||||||||||||||
30451 | รายงานผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส COMMIT ครั้งที่ 8 และการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 | พม | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส COMMIT (Coordinated Mekong Ministerial Initiative against Trafficking) ครั้งที่ ๘ ระหว่างวันที่ ๑๔ - ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส COMMIT ครั้งที่ ๘ ที่ประชุมได้หารือถึงหลักการขยายประเทศสมาชิกของกระบวนการ COMMIT และความยั่งยืนของกระบวนการ และเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส COMMIT ครั้งที่ ๙ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒. การประชุมระดับรัฐมนตรี COMMIT ครั้งที่ ๓ รัฐมนตรีของประเทศสมาชิกได้ลงนามร่วมกันในปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ฉบับที่ ๒ (COMMIT Joint Declaration) เพื่อแสดงเจตนารมณ์ระหว่างประเทศสมาชิกว่าจะร่วมกันต่อต้านสภาวะการเป็นทาสในทุกรูปแบบ และยืนยันความมุ่งมั่นที่มีต่อบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๗ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ อีกทั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่ากระบวนการ COMMIT เป็นกลไกความร่วมมือที่สำคัญในระดับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในการยุติการละเมิดสิทธิและการแสวงประโยชน์จากผู้ที่เสี่ยงต่อการเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกที่ต้องการเห็นความก้าวหน้าในโครงการสำคัญต่าง ๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖)
|
|||||||||||||||||||||
30452 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบันการบินพลเรือน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 และ 2553 | คค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบรับรองงบการเงินของสถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ๑.๑ งบแสดงฐานะการเงิน สบพ. มีสินทรัพย์รวม ๑,๐๑๘,๒๕๐,๕๑๐.๑๐ บาท มีหนี้สินรวม ๕๑๒,๐๐๙,๙๗๖.๔๖ บาท มีหนี้สินและส่วนของทุนรวม ๑,๐๑๘,๒๕๐,๕๑๐.๑๐ บาท ๑.๒ งบกำไรขาดทุน สบพ. มีรายได้รวม ๔๐๔,๙๙๔,๖๗๘.๖๕ บาท มีค่าใช้จ่ายรวม ๓๔๖,๐๘๒,๑๔๒.๘๕ บาท มีกำไรสุทธิ ๕๘,๙๑๒,๕๓๕.๘๐ บาท ๑.๓ งบกระแสเงินสด สบพ. มีเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงานรวม ๙๖,๕๔๓,๓๗๘.๙๖ บาท เงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุนรวม ๗๑,๕๐๑,๖๖๒.๐๙ บาท มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันสิ้นงวด ๓๙,๔๒๗,๖๔๘.๑๓ บาท ๒. งบการเงินของ สบพ. สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ประกอบด้วย ๒.๑ งบแสดงฐานะการเงิน สบพ. มีสินทรัพย์รวม ๙๗๒,๐๕๖,๗๑๙.๗๖ บาท มีหนี้สินรวม ๕๒๔,๗๒๘,๗๒๑.๙๒ บาท มีหนี้สินและส่วนของทุนรวม ๙๗๒,๐๕๖,๗๑๙.๗๖ บาท ๒.๒ งบกำไรขาดทุน สบพ. มีรายได้รวม ๔๔๑,๔๖๖,๖๒๑.๐๔ บาท มีค่าใช้จ่ายรวม ๔๑๖,๒๖๒,๘๖๙.๒๑ บาท มีกำไรสุทธิ ๒๕,๒๐๓,๗๕๑.๘๓ บาท ๒.๓ งบกระแสเงินสด สบพ. มีเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงานรวม ๒๕๓,๗๒๘,๖๐๑.๕๖ บาท มีเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุนรวม ๖๐,๔๐๘,๙๓๓.๓๒ บาท และมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันสิ้นงวด ๖๓,๙๗๗,๔๒๑.๘๔ บาท
|
|||||||||||||||||||||
30453 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังต่อไปนี้
๑. กำหนดให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๒. กำหนดให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเป็นผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัว
|
|||||||||||||||||||||
30454 | การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประชาสัมพันธ์และสถานีวิทยุเสียงเวียดนามว่าด้วยความร่วมมือด้านสารสนเทศและการกระจายเสียงและภาพ | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประชาสัมพันธ์และสถานีวิทยุเสียงเวียดนามว่าด้วยความร่วมมือด้านสารสนเทศและการกระจายเสียงและภาพ โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการแลกเปลี่ยนรายการวิทยุและโทรทัศน์ การแลกเปลี่ยนด้านสารสนเทศและข่าว การร่วมผลิตรายการวิทยุและโทรทัศน์ การแลกเปลี่ยนการเยือน คณะกรรมการเทคนิคร่วม ค่าใช้จ่าย ข้อจำกัดเรื่องการกระจายเสียง การแก้ไข และกำหนดเวลาที่ใช้บังคับและสิ้นสุด (อย่างน้อย ๑ ปี) ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ หรือไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์สามารถเปลี่ยนแปลงในเรื่องนั้น ๆ ได้ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ลงนามในนามของกรมประชาสัมพันธ์ โดยไม่จำเป็นต้องลงนามในนามของรัฐบาลไทย เนื่องจากร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นความตกลงที่จัดทำขึ้นระหว่างกรมประชาสัมพันธ์และสถานีวิทยุเสียงเวียดนามซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนความร่วมมือแลกเปลี่ยนสารสนเทศและการกระจายเสียงและภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ภายในอำนาจหน้าของกรมประชาสัมพันธ์ที่สามารถกระทำได้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
|||||||||||||||||||||
30455 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน | กห | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนในการให้ความเห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเป็นเอกภาพของอาเซียนเพื่อการเป็นประชาคมที่มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Draft Joint Declaration of the ASEAN Defence Ministers on Enhancing ASEAN Unity for a Harmonised and Secure Community) และให้สามารถพิจารณาดำเนินการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของร่างปฏิญญาร่วมฯ ได้ตามความเหมาะสม ในกรณีที่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะไม่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย หรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงชื่อฝ่ายไทยในร่างปฏิญญาฯ
|
|||||||||||||||||||||
30456 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 หรือคำเตือน หรือข้อควรระวังการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 พ.ศ. .... | สธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ หรือคำเตือน หรือข้อควรระวังการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ๒. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้าหรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องจัดให้มีฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษที่ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุยาเสพติดให้โทษตามที่กำหนด เว้นแต่กรณีผลิตเพื่อส่งออก ให้เอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษเป็นไปตามข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า ทั้งนี้ ฉลากและเอกสารกำกับดังกล่าวต้องจัดทำให้แล้วเสร็จก่อนจำหน่ายหรือส่งออก ๓. กำหนดให้ฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องเป็นไปตามที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้ และให้ฉลาก ฉลากของยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ผลิตหรือนำเข้าเพื่อใช้สำหรับสัตว์ ผลิตเพื่อส่งออก ต้องมีรายการตามที่กำหนด ๔. กำหนดให้เอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ให้มีคำว่า “เอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓” ที่เห็นได้ชัดเจน และเอกสารกำกับดังกล่าวต้องมีรายการตามที่กำหนด ๕. กำหนดให้ข้อความเตือนหรือข้อควรระวังการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องเป็นการเตือนให้ระมัดระวังเกี่ยวกับข้อควรระวัง ข้อห้ามใช้ อาการไม่พึงประสงค์ โดยให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๖. กำหนดให้ฉลาก เอกสารกำกับ คำเตือน หรือข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องใช้ข้อความภาษาไทย ในกรณีมีภาษาต่างประเทศรวมอยู่ด้วย ต้องไม่ขัดกับภาษาไทย ๗. กำหนดบทเฉพาะกาลให้ฉลาก เอกสารกำกับ คำเตือน หรือข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ สิ้นอายุ แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
|
|||||||||||||||||||||
30457 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับ การออก การกำหนดอายุ และการขอต่ออายุใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ พ.ศ. .... | คค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอรับ การออก การกำหนดอายุ และการขอต่ออายุใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคำนิยามคำว่า “ใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์” ๒. กำหนดให้ผู้ใดที่ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ต้องจัดให้มีสถานที่และวิธีการผลิตสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ตามแบบที่ประสงค์จะทำการผลิต และให้ยื่นคำขอต่ออธิบดีตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่กำหนด ๓. กำหนดให้อธิบดีมีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตแบบผลิตภัณฑ์ ตลอดจนสถานที่และวิธีการผลิต หากเห็นว่ามีความถูกต้องครบถ้วน และผู้ขอมีคุณสมบัติ รวมทั้งมีแบบผลิตภัณฑ์ และสถานที่และวิธีการผลิตเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ให้อธิบดีประทับตรารับรองในคู่มือการบริหารจัดการการผลิตและออกใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้ขอ ในกรณีที่คำขอรายใดไม่ถูกต้อง หรือมีเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน หรือสถานที่หรือวิธีการผลิตไม่ถูกต้อง ให้อธิบดีแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องครบถ้วนภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด ๔. กำหนดให้ใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์มีอายุ ดังนี้ ใบอนุญาตผลิตอากาศยาน มีอายุ ๓๐ ปี ใบอนุญาตผลิตส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน มีอายุ ๒๐ ปี ใบอนุญาตผลิตชิ้นส่วนรับรองคุณภาพ มีอายุ ๑๐ ปี และใบอนุญาตผลิตบริภัณฑ์ มีอายุ ๑๐ ปี ๕. กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาตให้ยื่นคำขอต่ออธิบดีตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมด้วยสำเนาใบอนุญาตฉบับเดิมและเอกสารและหลักฐานตามที่กำหนด ในกรณีที่คำขอรายใดไม่ถูกต้อง หรือมีเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน ให้อธิบดีแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องครบถ้วนภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด ๖. กำหนดให้กรณีที่ใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์สูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนต่ออธิบดี ตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานการรับแจ้งความ หรือใบอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ฉบับเดิมที่ถูกทำลายหรือชำรุด
|
|||||||||||||||||||||
30458 | ความคืบหน้าการดำเนินการกรณี FATF ระบุชื่อประเทศไทยใน Public Statement | ปง | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการกรณีคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force : FATF) ระบุชื่อประเทศไทยไว้ในกลุ่มเดียวกับประเทศที่มีความเสี่ยงในการทำธุรกรรมใน Public Statement FATF ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) เสนอ โดยสำนักงาน ปปง. ได้ดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการของ FATF โดยเสนอแก้ไขและออกกฎหมายเพิ่มเติม ดังนี้
๑. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๔) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อเพิ่มการกำกับดูแลสถาบันการเงินให้เป็นไปตามข้อแนะนำที่ ๒๓ โดยภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ จะจัดการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเอกชนผู้จะได้รับผลกระทบ และจะเสนอต่อรัฐสภาได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่ระหว่างเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ๓. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เพื่อให้มีมาตรการสอดคล้องตามข้อแนะนำพิเศษที่ ๒ และ ๓ โดยจะจัดการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ และเสนอต่อรัฐสภาในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เช่นกัน
|
|||||||||||||||||||||
30459 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมีนาคม พ.ศ. 2555 | ทก | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในวัยกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๙๖ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๑๙ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๘๕ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๔.๗๕ แสนคน ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๕.๓ แสนคน (จาก ๓๘.๔๓ ล้านคน เป็น ๓๘.๙๖ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ ๓๘.๑๙ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓.๘ แสนคน (จาก ๓๗.๘๑ ล้านคน เป็น ๓๘.๑๙ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๐ โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการเกษตร ๔.๔ แสนคน สาขาการผลิต ๓.๔ แสนคน สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และการประกันสังคมภาคบังคับ ๑.๙ แสนคน สาขากิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดและซักแห้ง เป็นต้น ๑.๐ แสนคน สาขาการก่อสร้าง ๘.๐ หมื่นคน สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ๕.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ ๒.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย ๑.๐ หมื่นคน ตามลำดับ สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๕.๐ แสนคน สาขาการศึกษา ๑.๕ แสนคน สาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๑.๓ แสนคน สาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ ๒.๐ หมื่นคน ตามลำดับ ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศมีจำนวน ๒.๘๕ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๙.๐ พันคน เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔) ประกอบด้วยผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ๘.๘ หมื่นคน และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน ๑.๙๗ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ๙.๗ หมื่นคน ภาคการผลิต ๗.๒ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๒.๘ หมื่นคน ในส่วนของระดับการศึกษา ผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๘.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๖.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๔.๘ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๒.๔ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๑ หมื่นคน ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๒๗ แสนคน ภาคเหนือ ๕.๑ หมื่นคน ภาคกลาง ๔.๗ หมื่นคน ภาคใต้ ๓.๖ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๔ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||
30460 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น (กระทรวงศึกษาธิการ) | ศธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายกิตติรัตน์ มังคละคีรี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านระบบการศึกษา (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
.....