ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1526 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30501 - 30520 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30501 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเรื่อง การยื่นแผนงานการรื้อถอนและประมาณการค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 | พน | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเรื่อง การยื่นแผนงานการรื้อถอนและประมาณการค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดบทนิยามคำว่า “รื้อถอน” “สิ่งติดตั้ง” “สิ่งปลูกสร้าง” “อุปกรณ์” “สิ่งอำนวยความสะดวก” “ปริมาณสำรองปิโตรเลียมทั้งหมด” เป็นต้น ๑.๒ กำหนดให้แผนงานการรื้อถอนต้องประกอบด้วยรายละเอียดตามหัวข้อที่กำหนดในเอกสารแนบท้ายกฎกระทรวง ๑.๓ กำหนดหลักเกณฑ์และระยะเวลาให้ผู้รับสัมปทานยื่นแผนงานการรื้อถอนเพื่อขอความเห็นชอบจากอธิบดี กำหนดหลักเกณฑ์การอุทธรณ์หนังสือแจ้งของอธิบดีและผลของการอุทธรณ์ และกำหนดกรอบเวลาการพิจารณาแผนงานการรื้อถอนของอธิบดีและอำนาจของอธิบดีในการสั่งให้แก้ไขแผนงานการรื้อถอน ๑.๔ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานมีหน้าที่ปฏิบัติตามกระบวนการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมจากการรื้อถอน (Decommissioning Environmental Management Process) ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด โดยจัดทำรายงานผลการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมจากการรื้อถอน (Decommissioning Environmental Assessment Report) รายงานการพิจารณาวิธีการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่เหมาะสมที่สุดจากวิธีการรื้อถอนที่กำหนดไว้ในรายงานผลการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมจากการรื้อถอน รวมทั้งแผนการจัดการสิ่งแวดล้อม (Decommissioning Environmental Management Plan) และแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายหลังการรื้อถอน (Post Decommissioning Monitoring Plan) ๑.๕ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานจะต้องดำเนินการรื้อถอนตามแผนงานการรื้อถอนโดยละเอียดตามที่ได้รับความเห็นชอบ โดยผู้รับสัมปทานต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักเทคนิคและวิธีการปฏิบัติงานปิโตรเลียมที่ดี และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในห้าปีนับจากวันที่สิ้นสุดระยะเวลาผลิตปิโตรเลียม หรือสิ้นสุดระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมที่ได้รับการต่อ แล้วแต่กรณี ๑.๖ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานที่ถูกเพิกถอนสัมปทานปิโตรเลียมตามมาตรา ๕๑ หรือมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ เริ่มดำเนินการรื้อถอนหรือดำเนินการอื่นใดภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน และรื้อถอนให้แล้วเสร็จภายในห้าปีนับจากวันที่ถูกเพิกถอนสัมปทานปิโตรเลียม ๑.๗ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานยื่นรายงานผลการปฏิบัติการรื้อถอน (Closeout Report for Decommissioning) และรายงานผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายหลังการรื้อถอน (Closeout Report for Post - decommissioning) ต่ออธิบดีเพื่อขอความเห็นชอบ ๑.๘ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานมีหน้าที่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ชีวิต ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่นใด หากพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เหลืออยู่ภายหลังจากการรื้อถอนนั้นก่อให้เกิดความเสียหายหรือเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำรายงานการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมจากการรื้อถอน แผนการจัดการสิ่งแวดล้อม และแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายหลังการรื้อถอน ซึ่งผู้รับสัมปทานเสนอประกอบแผนงานรื้อถอนให้สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมพิจารณาเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะประกอบการพิจารณาของอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30502 | ขอความเห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้น | สธ | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข (องค์การเภสัชกรรม) จ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้น ตามผลการประเมินการปฏิบัติงานเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ตามมติคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนหนึ่งขั้น ให้ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๒ ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง ๑.๒ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนหนึ่งขั้นครึ่ง ให้ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๔ ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง ๑.๓ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนสองขั้น ให้ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๖ ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง ๑.๔ กำหนดวงเงินสำหรับจ่ายค่าตอบแทนพิเศษสำหรับพนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้นไม่เกินร้อยละ ๔ ของจำนวนเงินเดือนรวมของผู้มีอัตราเงินเดือนเต็มขั้น ๑.๕ การจ่ายเงินตอบแทนพิเศษนี้ไม่ถือเป็นค่าจ้างและมีลักษณะการจ่ายเป็นการชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่พนักงาน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข (องค์การเภสัชกรรม) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดตัวชี้วัดการประเมินผลงานที่ให้สะท้อนถึงผลลัพธ์การทำงานของพนักงานอย่างแท้จริง และเพื่อไม่ก่อให้เกิดเป็นภาระผูกพันแก่องค์การเภสัชกรรมในระยะยาว เห็นควรให้คงสัดส่วนของรายจ่ายด้านบุคลากรต่อรายได้ให้คงอยู่ในอัตราเดิม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30503 | ขออนุมัติในหลักการให้ก่อหนี้ผูกพันวงเงินเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปี | มท | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๒ รายการ ดังนี้ ๑.๑ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาสมุทรสาคร อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร จากภายในวงเงินภาระผูกพันทั้งสิ้น ๑,๒๖๐,๓๕๓,๓๐๐ บาท (วงเงินตามผลประกวดราคาไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน ๑,๒๐๐,๓๓๖,๕๐๐ บาท รวมเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๖๐,๐๑๖,๘๐๐ บาท) เป็นภายในวงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ๑,๓๔๑,๓๑๑,๙๘๔ บาท ๑.๒ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาลพบุรี อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี จากภายในวงเงินไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ๓๘๒,๒๙๐,๐๐๐ บาท เป็นภายในวงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ๓๙๐,๖๗๗,๕๘๕ บาท ๒. ในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันวงเงินตามสัญญาโดยระบุวงเงินไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30504 | การรับรองผลการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review โดยการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 19 | กต | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การรับรองผลการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) โดยที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council - HRC) สมัยที่ ๑๙ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ได้รับรองรายงานคณะทำงาน UPR เกี่ยวกับผลการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยโดยฉันทามติ ๒. การรับข้อเสนอแนะมาปฏิบัติของไทยรวมทั้งหมด จำนวน ๑๓๔ ข้อ โดยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว หัวหน้าคณะผู้แทนไทยกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม HRC ครั้งที่ ๑๙ ว่า ไทยสามารถรับข้อเสนอแนะบางส่วนหรือทั้งหมด จำนวน ๓๔ ข้อ จาก ๗๒ ข้อที่ไทยยังไม่ได้แสดงท่าที ทำให้ไทยรับข้อเสนอแนะภายใต้กลไก UPR ทั้งหมด จำนวน ๑๓๔ ข้อ โดยไทยให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ได้ให้การรับรอง และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในกระบวนการ UPR พร้อมทั้งแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการตามข้อเสนอแนะและคำมั่นของไทย อาทิ การลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ และการเชิญผู้เสนอรายงานพิเศษของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ HRC เยือนไทย ๓ คน ได้แก่ ผู้เสนอรายงานพิเศษว่าด้วยสิทธิในการเข้าถึงน้ำดื่มที่ปลอดภัยและสุขอนามัย ผู้เสนอรายงานพิเศษว่าด้วยการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และผู้เสนอรายงานพิเศษว่าด้วยการขายเด็ก โสเภณีเด็ก และสื่อลามกที่เกี่ยวกับเด็ก ทั้งนี้ ในการรับรองผลการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยในการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการนำเสนอรายงานของไทยภายใต้กลไก UPR รอบแรก การดำเนินการต่อไปคือ การขับเคลื่อนการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยให้การรับรองให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม |
|||||||||||||||||||||||||||
30505 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ญี่ปุ่น | คค | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่น รวมถึงร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและญี่ปุ่น และนำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยสาระสำคัญของบันทึกการหารือฯ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ ใบพิกัดเส้นทางบิน ใบพิกัดใหม่จะมีผลบังคับใช้เมื่อได้รับการยืนยันโดยการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของญี่ปุ่นสามารถกระทำการบินเชื่อมจุดสองจุดในประเทศไทย ตามเส้นทางที่ระบุของตนได้ และสายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของประเทศไทยสามารถทำการบินเชื่อมจุดสองจุดในญี่ปุ่นตามเส้นทางที่ระบุของตนได้ ๑.๒ สิทธิความจุ บริการต่อไปนี้สามารถทำการบินโดยใช้อากาศยานแบบขนส่งผู้โดยสาร ผู้โดยสารผสมสินค้า และ/หรือเฉพาะสินค้า ยกเว้นอากาศยานแบบ A380 ๑.๒.๑ สายการบินที่กำหนดหลายสายของแต่ละประเทศอาจใช้สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่สามและสี่ ระหว่างจุดใด ๆ ในประเทศไทยและจุดใด ๆ ในญี่ปุ่นโดยไม่จำกัดความถี่ ๑.๒.๒ จำนวนการแวะลงจุดระหว่างทางทั้งหมดจะต้องไม่เกินกว่ายี่สิบเอ็ดเที่ยวต่อสัปดาห์ในแต่ละทิศทาง สำหรับสายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย เป็นที่เข้าใจว่า ภายในจำนวนยี่สิบเอ็ดเที่ยวต่อสัปดาห์ของการแวะลงที่กล่าวถึงข้างต้น สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของประเทศไทย เมื่อใช้ไทเปเป็นจุดระหว่างทาง จำนวนครั้งที่แวะพักที่ไทเปทั้งหมดในแต่ละทิศทางจะต้องไม่เกินหกครั้งต่อสัปดาห์ ๑.๒.๓ สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายอาจจะดำเนินบริการที่ตกลงตามเส้นทางที่ระบุพ้นอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งรวมทั้งสิ้นได้ถึงยี่สิบเอ็ดความถี่ต่อสัปดาห์สำหรับแต่ละฝ่าย ๑.๓ พิกัดอัตราค่าขนส่ง เจ้าหน้าที่การเดินอากาศของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่กำหนดให้สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ปรึกษาหารือสายการบินอื่นเกี่ยวกับพิกัดอัตราค่าขนส่งซึ่งสายการบินเหล่านั้นเรียกเก็บหรือเสนอจะเรียกเก็บสำหรับบริการที่ตกลง และเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจกำหนดให้มีการยื่นขอใช้พิกัดอัตราค่าขนส่งที่เรียกเก็บหรือเสนอจะเรียกเก็บไปยังหรือมาจากอาณาเขตของตนโดยสายการบินของอีกฝ่ายหนึ่ง ๑.๔ การมีผลใช้บังคับ ข้อกำหนดของบันทึกการหารือนี้จะนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้นับจากวันที่เจ้าหน้าที่การเดินอากาศของประเทศไทยแจ้งเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของญี่ปุ่นว่ากระบวนการทางกฎหมายที่จำเป็นได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกการหารือฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30506 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - คูเวต | คค | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจลับระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐคูเวต และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและรัฐคูเวต และนำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจลับฯ มีดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ๑.๑.๑ แก้ไขคำจำกัดความ คำว่า “สายการบินที่กำหนด” ซึ่งเดิมระบุเป็น “สายการบินสายหนึ่งที่ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่งแจ้งแต่งตั้ง ....” แก้ไขเป็น “สายการบินใด ๆ ที่ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่งแจ้งแต่งตั้ง ....” ๑.๑.๒ ข้อบทว่าด้วยการกำหนดสายการบิน ปรับปรุงจำนวนสายการบินที่กำหนด ซึ่งเดิมภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดของตนได้เพียงสองสายการบิน แก้ไขเป็นภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดของตนได้หลายสายการบิน ๑.๑.๓ ข้อบทว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตและใบสำคัญ ใบสำคัญสมควรเดินอากาศ ใบสำคัญความสามารถ และใบอนุญาตที่ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่งออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ และยังมีผลใช้บังคับ จะได้รับการยอมรับนับถือจากภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินบริการที่ตกลงตามที่จัดไว้ในความตกลงฉบับนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า ข้อกำหนดในการออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ ซึ่งใบสำคัญหรือใบอนุญาตเช่นว่านั้นจะต้องเท่าเทียมหรือเหนือกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ ซึ่งได้กำหนดหรืออาจกำหนดขึ้นตามอนุสัญญา ๑.๑.๔ ข้อบทว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยการบิน ปรับปรุงข้อบทดังกล่าวเพื่อให้ทันสมัยและเป็นไปตามข้อบทมาตรฐานที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศแนะนำ ๑.๒ สิทธิความจุความถี่และสิทธิรับขนการจราจร สายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายจะได้รับอนุญาตให้ทำการบินอย่างไม่จำกัดทั้งในเรื่องจำนวนความจุความถี่และแบบอากาศยาน พร้อมทั้งมีสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓/๔ และ ๕ ได้อย่างเต็มที่ ๑.๓ การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินรวมกัน ตกลงให้ในการดำเนินบริการเดินอากาศตามเส้นทางบินที่ตกลง สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเข้าร่วมดำเนินบริการกับสายการบินที่กำหนดอื่นใด ๆ สายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ที่มีเส้นทางบินและสิทธิรับขนการจราจรที่เหมาะสม ๑.๔ การมีผลใช้บังคับ บันทึกความเข้าใจลับฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตแล้ว และบันทึกความเข้าใจลับฉบับนี้จะแทนที่บันทึกความเข้าใจลับและบันทึกการหารือฉบับก่อนหน้านี้ทั้งหมด ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจลับฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30507 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 รวม 4 ฉบับ | พน | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ รวม ๔ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตปลอดภัยและเครื่องหมายในบริเวณที่มีสิ่งติดตั้งและกลอุปกรณ์ที่ใช้ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ผู้รับสัมปทานต้องกำหนดเขตปลอดภัยและจัดให้มีเครื่องหมายในบริเวณที่มีสิ่งติดตั้งและกลอุปกรณ์ที่ใช้ในการเจาะหลุมปิโตรเลียมบนบก การผลิตและทดสอบหลุมปิโตรเลียมบนบก การเจาะหลุมและทดสอบหลุมปิโตรเลียมในทะเล และการผลิตปิโตรเลียมในทะเล ๑.๒ กำหนดให้ผู้รับสัมปทานต้องแจ้งการกำหนดเขตปลอดภัยและจุดที่ตั้งของเขตดังกล่าวเป็นหนังสือให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติทราบล่วงหน้าก่อนกำหนดเขตปลอดภัยไม่น้อยกว่าสามสิบวัน และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องแจ้งให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติทราบทันที ๑.๓ กำหนดให้ในกรณีที่อธิบดีพิจารณาว่าการกำหนดเขตปลอดภัยและเครื่องหมายอาจไม่เพียงพอต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หรืออาจยังไม่เหมาะสมต่อสภาพการเจาะหลุม ทดสอบหลุม และผลิตปิโตรเลียมในบริเวณใด ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งให้ผู้รับสัมปทานกำหนด แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงระยะของเขตปลอดภัยหรือเครื่องหมายเท่าที่ไม่ขัดกับกฎกระทรวงนี้ ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดแบบคำขอสัมปทานปิโตรเลียมให้เป็นไปตามแบบท้ายกฎกระทรวง ๒.๒ กำหนดให้ผู้ขอสัมปทานต้องเป็นบริษัท โดยมีหลักฐานและโครงการประกอบคำขอสัมปทานตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ๒.๓ กำหนดให้ผู้ขอสัมปทานต้องเสนอข้อผูกพันในด้านปริมาณเงินและปริมาณงานสำหรับการสำรวจปิโตรเลียมในแปลงสำรวจแต่ละแปลง คือ ในช่วงข้อผูกพันช่วงที่หนึ่ง ให้เสนอข้อผูกพันเป็นรายปี และในช่วงข้อผูกพันช่วงที่สอง ให้เสนอข้อผูกพันเป็นจำนวนรวม สำหรับระยะเวลาของช่วงข้อผูกพันทั้งช่วง และจะเสนอให้ผลประโยชน์พิเศษนอกเหนือไปจากเงื่อนไขที่ทางราชการได้กำหนดให้เป็นผลประโยชน์พิเศษไว้ในการประกาศยื่นคำขอสัมปทานก็ได้ โดยผู้ขอสัมปทานต้องยื่นคำขอสัมปทาน หลักฐาน โครงการ และข้อเสนอตามที่กำหนดต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๑ กำหนดแบบสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมให้เป็นไปตามแบบท้ายกฎกระทรวง ๓.๒ กำหนดแบบสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มเติมที่ทำขึ้นภายหลังให้สัมปทานให้เป็นไปตามแบบท้ายกฎกระทรวง ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำรวจ ผลิต และอนุรักษ์ปิโตรเลียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๔.๑ กำหนดให้ก่อนดำเนินการสำรวจปิโตรเลียมในบริเวณใด ผู้รับสัมปทานต้องแจ้งรายการตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงเป็นหนังสือให้อธิบดีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน ๔.๒ กำหนดให้ก่อนดำเนินการสำรวจปิโตรเลียมโดยวิธีวัดคลื่นไหวสะเทือน ผู้รับสัมปทานต้องจัดทำรายงานแผนการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมสำหรับการสำรวจปิโตรเลียมโดยวิธีวัดคลื่นไหวสะเทือนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด โดยยื่นต่ออธิบดีล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกสิบวันเพื่อขออนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติแล้วจึงจะดำเนินการได้ ๔.๓ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีปฏิบัติของผู้รับสัมปทาน ในการเจาะหลุมเพื่อการสำรวจปิโตรเลียม และในการเจาะหลุมเพื่อการผลิตปิโตรเลียมหรือหลุมอัดน้ำสำหรับกิจการปิโตรเลียม |
|||||||||||||||||||||||||||
30508 | การให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA) | พณ | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA) เต็มจำนวน ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ในครั้งเดียว โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๑,๕๕๐,๐๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๑ บาท หรือตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการส่งเสริมให้นักวิจัยของไทยทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาได้มีส่วนร่วมในการทำงานวิจัยกับ ERIA เพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้และความเข้าใจในการรวมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและนำมาใช้ในการเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานวิจัยเหล่านั้นให้สาธารณชนรับทราบอย่างแพร่หลาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30509 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การจัดการอันตรายจากแร่ใยหินไครโซไทล์เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค | สสป | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การจัดการอันตรายจากแร่ใยหินไครโซไทล์เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค ตามที่สำนักงานสภาทึ่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค การประปาส่วนภูมิภาค กรมชลประทาน และสภาที่ปรึกษาฯ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งด่วน รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรี ๑.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการยกเลิกการนำเข้า ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินที่สามารถใช้วัตถุดิบอื่นทดแทนได้ โดยยกเลิกการนำเข้าภายใน ๓ เดือน หรือภายในกรอบเวลาเร็วที่สุดที่สามารถปฏิบัติได้ รวมทั้งยกเลิกการผลิตและการจำหน่ายสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินที่สามารถใช้วัตถุดิบอื่นทดแทนได้ภายใน ๑ ปี ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังกำหนดมาตรการทางภาษี มาตรการยกเลิกภาษีของวัตถุดิบทดแทนแร่ใยหิน โดยวัตถุดิบที่นำมาทดแทนจะต้องไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งนี้ ให้มีการขึ้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบแร่ใยหินและสินค้าที่มีแร่ใยหิน ตลอดจนขึ้นภาษีสินค้าที่มีแร่ใยหินที่ผลิตในประเทศในระยะก่อนการยกเลิกการนำเข้าและผลิตแร่ใยหิน ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสร้างมาตรการที่จะทำให้ผู้บริโภครับรู้ประกาศ และข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน ตลอดจนตระหนักถึงอันตรายที่เกิดจากแร่ใยหิน โดยมีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อมวลชนทุกประเภท รวมถึงหอกระจายข่าวในระดับชุมชน ครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ๑.๔ ให้สำนักนายกรัฐมนตรีจัดทำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในเรื่องการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างและการจัดจ้าง ที่กำนหดสาระสำคัญไม่อนุญาตให้ใช้วัสดุที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ ๒. มาตรการต่อเนื่อง รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการ ดังต่อไปนี้ ๒.๑ มาตรการรื้อถอนวัสดุที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน โดยจัดดำเนินการโดยมาตรฐานสากลและให้มีการจัดทำเป็นประกาศหรือข้อบังคับของกระทรวงอุตสาหกรรม ๒.๒ มาตรการกำหนดค่ามาตรฐานการฟุ้งกระจายของฝุ่นแร่ใยหิน ๐.๑ เส้นใยต่อ ลบ.ซม. เพื่อสอดคล้องกับมาตรฐาน Occupational Exposure Limits (OELs) ๒.๓ มาตรการห้ามการนำเข้าหรือส่งออกขยะที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน ๒.๔ มาตรการควบคุมการนำเข้า หรือการจำหน่ายสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่มีอันตรายต่อสุขภาพ โดยยึดหลักประเทศผู้ผลิตต้องมีการใช้สินค้านั้นด้วย (Certificate of free Sale) ๒.๕ มาตรการกองทุนชดเชยความเสียหายและสวัสดิการแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแร่ใยหิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
30510 | การปรับปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในขั้นตอนที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วาระที่ ๑ เป็น วันจันทร์ที่ ๒๑ - วันพุธที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30511 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นเงิน ๑๑๙,๑๓๕.๖๐๗ ล้านบาท มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงพฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๐,๖๑๓.๙๗๒ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๔,๐๗๕.๙๐๙ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๑,๔๑๕.๘๗๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒.๖๙ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๐,๑๐๑.๐๐๑ ล้านบาท (ร้อยละ ๗๕.๖๓ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓,๓๙๖.๗๘๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๙๒ ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗๔ จังหวัด เป็นเงิน ๓๗,๐๙๓.๓๓๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๐๑
|
|||||||||||||||||||||||||||
30512 | การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กำหนดจำนวนคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๖๓ คน ประกอบด้วย กรรมาธิการที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อ จำนวน ๑๕ คน และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลือก จำนวน ๔๘ คน ๒. เห็นชอบในหลักการรายชื่อกรรมาธิการในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรี จำนวน ๖ คน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๒.๑ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๒.๒ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ๒.๓ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ๒.๔ นายวรวิทย์ จำปีรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ๒.๕ นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ๒.๖ นายวีระยุทธ ปั้นน่วม รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ๓. สำหรับกรรมาธิการในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีอีก ๙ คน ให้ผู้แทนพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลประสานกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เพื่อแจ้งรายชื่อให้สำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30513 | ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่สำนักงบประมาณได้ปรับปรุงแก้ไขตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว พร้อมเอกสารงบประมาณรายจ่าย มีสาระสำคัญคือ กำหนดโครงสร้างงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับรายการปรับปรุงระบบชลประทานของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงินงบประมาณ ๔,๕๐๐ ล้านบาท ซึ่งปกติจะปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี สำหรับปีนี้สำนักงบประมาณได้กำหนดให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาโครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เร่งรัดการพิจารณาโครงการตามรายการฯ ของกรมชลประทาน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30514 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ | กต | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ (Cultural Co-operation Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the State of Qatar) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี ภาษา และบรรณารักษ์ระหว่างกัน ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๓. หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
30515 | การจัดทำถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สปป. ลาว - ไทย - เวียดนามว่าด้วยการพัฒนาแนวพื้นที่ เศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก | กต | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว - ไทย - เวียดนามว่าด้วยการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก โดยสาระสำคัญของร่างถ้อยแถลงฯ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของทั้งสามประเทศที่จะพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตกให้เป็นแนวพื้นที่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยกล่าวถึงประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขในด้านต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การเร่งรัดให้สามารถปฏิบัติตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Cross Border Trade Agreement) ได้อย่างสมบูรณ์โดยเร็วเพื่อลดขั้นตอนและต้นทุนในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารผ่านแดน การปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและสอดคล้องกัน ๑.๒ อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนรับรองเอกสารดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเจรจาเรื่องต่าง ๆ ในการประชุมดังกล่าว โดยยึดกรอบความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคน้ำโขง (Cross Border Trade Agreement) เพื่อให้เกิดการประสานงานและเป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30516 | การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างไทยกับกาตาร์ | สธ | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ มีสาระสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขและแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ โดยข้อกำหนดของบันทึกความเข้าใจฯ จะอนุวัติการตามกฎหมายภายในประเทศที่บังคับในทั้งสองประเทศ ส่วนการพัฒนากฎหมายเป็นเรื่องที่จะร่วมมือกันในระยะต่อไป ยังมิได้มีผลผูกพันให้ต้องมีการออกกฎหมายตามบันทึกความเข้าใจนี้ จึงไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๒.๑ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ ๒.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญ ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้ลงนาม โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||
30517 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2555 (ครั้งที่ 141) | พน | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๑๔๑) เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ๑.๑.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กพช. เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ เรื่อง แนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เห็นชอบให้ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลเดือนละ ๑ บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว อัตรา ๐.๖๐ บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๑.๒ เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และให้คณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควร ให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลง ให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่วนการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล ๑.๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประเมินผลการดำเนินงานตามการมอบหมายข้างต้นเสนอ กพช. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาทุกไตรมาส ๑.๒ แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ๑.๒.๑ ก๊าซ NGV ๑.๒.๑.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กพช. เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ เรื่อง แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LGP ภาคขนส่ง ที่ให้ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ ๐.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ จนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ และทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยก๊าซ NGV ลงเดือนละ ๐.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม จำนวน ๔ ครั้ง ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ๑.๒.๑.๒ เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ ๑๐.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ถึง ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๑.๓ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยพิจารณาจากผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่ศึกษาโดยสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมายที่ว่า การปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้พิจารณาจากผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่ศึกษาโดยสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๑.๒.๒ ก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ๑.๒.๒.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กพช. เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔ ที่เห็นชอบให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีกไตรมาสละ ๑ ครั้ง จำนวน ๔ ครั้ง ๆ ละ ๓ บาทต่อกิโลกรัม ๑.๒.๒.๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ เห็นชอบให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในแต่ละเดือนได้ตามความเหมาะสม ภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมายที่ว่า การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมให้พิจารณาจากต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน ๑.๒.๓ ก๊าซ LPG ภาคการขนส่ง ๑.๒.๓.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กพช. เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบให้ปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งเดือนละ ๐.๗๕ บาทต่อกิโลกรัม (๐.๔๑ บาทต่อลิตร) ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ โดยปรับพร้อมกับการขึ้นราคาก๊าซ NGV ๐.๕๐ บาท/กิโลกรัม จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ๑.๒.๓.๒ เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งที่ ๒๑.๑๓ บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓.๓ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ ให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในแต่ละเดือนได้ตามความเหมาะสม ภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมายที่ว่า การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ภาคขนส่งให้พิจารณาจากต้นทุน LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน ๑.๒.๓.๔ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการข้างต้นเสนอ กพช. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาทุกไตรมาส ๒. เนื่องจากในช่วงนี้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มลดลง ดังนั้น การกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจึงควรพิจารณากำหนดให้เหมาะสมเป็นธรรม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ จึงมอบให้กระทรวงพลังงานรับไปประสานกับคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อกำกับติดตามการพิจารณากำหนดค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ ให้เหมาะสมเป็นธรรมต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30518 | สรุปสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2555 | กษ | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เสนอสรุปสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ณ วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยสภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำทั้งหมด จำนวน ๓๘,๓๖๗ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๕ ของความจุอ่างฯ (ปริมาตรน้ำใช้การได้ จำนวน ๑๔,๘๖๙ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๑ ของความจุอ่างฯ) มีปริมาตรน้ำไหลลงอ่าง จำนวน ๖๘,๒๗ ล้านลูกบาศก์เมตร และปริมาตรน้ำระบาย จำนวน ๑๓๖.๗๕ ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อเปรียบเทียบย้อนหลัง ๓ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔) ในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่ามีปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวมทั้งประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๕๕, ๕๐, ๕๓ ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30519 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน | กค | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน จำนวน ๓ คน แทนกรรมการที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายพีรพล ไตรทศาวิทย์ แทนนายปสันน์ เทพรักษ์ ๒. นายสุธรรม ศิริทิพย์สาคร แทนนายวีรพันธ์ จักรไพศาล ๓. นางชูจิรา กองแก้ว แทนนายเทอดศักดิ์ เหมือนแก้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
30520 | การแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง | นร | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับงานด้านเศรษฐกิจลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าตามตลาดต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สำรวจราคาสินค้าผักสด เนื้อหมู และเนื้อไก่ บริเวณตลาดรังสิตและตลาดสี่มุมเมือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมสำรวจราคาไข่ไก่ในเขตอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) สำรวจราคาหมูหน้าฟาร์ม ณ ฟาร์มหมูในจังหวัดนครปฐม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) สำรวจราคาเครื่องแบบนักเรียนบริเวณตลาดโบ๊เบ๊และตลาดบางลำพู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำรวจราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวด ณ โรงงานผลิตน้ำมันปาล์มในจังหวัดชลบุรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) สำรวจราคาพืชผักสดในเขตอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี นั้น ผลการลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าของรัฐมนตรีดังกล่าวในภาพรวมสรุปได้ว่า ราคาสินค้าชนิดต่าง ๆ ในปัจจุบันมีทั้งที่ปรับราคาสูงขึ้นและปรับราคาลดลง แต่ก็ถือได้ว่าการปรับราคาดังกล่าวยังไม่มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะพืชผักสดบางชนิดเป็นการปรับราคาสูงขึ้นตามฤดูกาลที่มีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยกว่าปกติ ซึ่งหลังจากนี้ไปจะเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ภาวะราคาสินค้าที่เป็นพืชผักสดชนิดต่าง ๆ น่าจะปรับตัวลดลงตามกลไกตลาด
|
.....