ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1526 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 30501 - 30520 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30501 | การกู้เงินปีงบประมาณ 2555 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการกู้เงินในประเทศปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย วงเงินรวม ๑๑,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้เพื่อสมทบโครงการลงทุนซึ่งเป็นโครงการลงทุนใหม่ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และการกู้เงินเพื่อชำระคืนเงินกู้ในประเทศที่ครบกำหนดชำระ (Roll - over) จำนวน ๖,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากู้เงินตามความจำเป็นเพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
30502 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางกรศิริ พิณรัตน์) | กค | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางกรศิริ พิณรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30503 | สรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม World Water Forum ครั้งที่ 6 ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส | ทส | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม World Water Forum ครั้งที่ ๖ ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและคณะ ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การประชุม World Water Forum ครั้งที่ ๖ มีการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Conference) การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี 12 session/หัวข้อ และการประชุมร่วมกันระหว่างระดับ และกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายให้มากที่สุด ภายใต้หัวข้อหลักคือ “ถึงเวลามีแนวทางแก้ไขปัญหา” (Time for Solutions) โดยสามารถรวบรวมแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำได้ ๑,๔๐๐ เรื่อง ๒. การประชุมโต๊ะกลมระดับสูงเรื่องภัยพิบัติด้านน้ำ ได้มีการนำเสนอผลสรุปของการประชุมเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรี (Ministerial Conference) โดยสรุปคือ ภัยพิบัติด้านน้ำ เช่น อุทกภัย ภัยแล้ง สึนามิ และอุบัติภัยจากมลพิษทางน้ำได้กลายเป็นปัญหาของโลกที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกระดับ จำเป็นต้องมีการจัดการแก้ไขโดยด่วน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องข้อจำกัดทางโครงสร้างองค์กร การให้ประชาชนมีส่วนร่วมและการมีเครือข่าย ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ มีมาตรการแก้ไขปัญหาที่ออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ภายในของตนทั้งมาตรการด้านโครงสร้าง และที่มิใช่โครงสร้าง (เช่น ระบบการเตือนภัยล่วงหน้า) โดยประเทศต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญในเรื่องมาตรการป้องกันและเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแปลงสภาพเป็นชุมชนเมือง และจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ความร่วมมือระหว่างประเทศและในภูมิภาคมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการต่อสู้และรับมือกับภัยพิบัติด้านน้ำ โดยต้องร่วมมือกันในวงกว้างทั้งระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค และระดับโลก รวมถึงการสนับสนุนด้านการเงินในการป้องกันภัยพิบัติ ความร่วมมือทางวิชาการในการบริหารจัดการ การเสริมสร้างศักยภาพ โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูล สำหรับการใช้ระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีผู้ตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากระบบการสังเกตการณ์ ติดตาม ตรวจสอบที่ดีเพียงพอ และมีเทคโนโลยีที่เหมาะสม ทั้งนี้ ประเทศที่เข้าร่วมการประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าจะนำผลของการประชุมไปพิจารณาเพื่อเพิ่มความพยายามดำเนินการทั้งระดับประเทศ และระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการประชุม Rio+20 และการประชุมอื่น ๆ ในอนาคต ๓. การประชุม Ministerial Declaration รัฐมนตรี และหัวหน้าคณะผู้แทนที่เข้าร่วมประชุม World Water Forum ครั้งที่ ๖ มีความเห็นร่วมกันในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๓.๑ การยืนยันผลการประชุมระหว่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ Rio Summit ปี ๑๙๙๒ และ World Summit on Sustainable Development ปี ๒๐๐๒ ว่าน้ำเป็นกุญแจสำคัญที่จะสร้างสันติภาพและความมีเสถียรภาพ และมีส่วนสำคัญที่จะส่งเสริมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Rio+20) ในเรื่อง Green Economy และกรอบโครงสร้างเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๓.๒ การให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรทุกคน โดยส่งเสริมให้เร่งดำเนินการเรื่องการให้ประชาชนเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดและสุขาภิบาลที่ดี รวมถึงการมีน้ำและสุขภาพดี ทั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งสหัสวรรษ (MDGs) และเห็นว่าต้องมีแนวทางแบบผสมผสานในเรื่องสุขาภิบาลและการจัดการน้ำเสีย ตลอดจนพยายามใช้แนวทางอื่น ๆ เช่น การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล โดยส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี ๓.๓ การช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ “เศรษฐกิจสีเขียว” น้ำเพื่อความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน ซึ่งจะต้องมีแนวทางในการวางแผนบริหารจัดการในเรื่องนี้โดยมีความเข้าใจและตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างกันของทรัพยากรน้ำ - อาหาร - พลังงาน ๓.๔ การรักษาโลกเป็นสีฟ้า - น้ำ (Keep the Planet Blue) น้ำในอนุสัญญา Rio ภัยพิบัติด้านน้ำและการพัฒนาเมือง โดยนำเรื่องน้ำประกอบการพิจารณาในการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนงานเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ การกลายเป็นทะเลทราย ซึ่งเป็นอนุสัญญา Rio ๓ เรื่อง และอนุสัญญา Ramsar เรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งนี้ ควรมีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างกัน รวมถึงการขยายความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาระหว่างรัฐและเอกชนกับภาคประชาสังคม และกลุ่มทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ๓.๕ เงื่อนไขสู่ความสำเร็จ เห็นว่า การบริหารจัดการน้ำที่ดีจำเป็นต้องมีเวที และกรอบด้านองค์กรและกฎหมายที่เอื้อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม และจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้หน่วยงาน/องค์กรท้องถิ่นและภูมิภาคเพื่อให้ทำหน้าที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องได้รับข้อมูลที่ทันสมัยและเพียงพอสำหรับการพิจารณาทางเลือกในการตัดสินใจ จำเป็นต้องมีเครื่องมือและตัวชี้วัดที่จะช่วยในการติดตาม ประเมินผล และการรายงานตรวจสอบนโยบาย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของปฏิญญา Rio เรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากปีสากลว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งมีการพิจารณาเรื่องการคืนทุนอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ และควรมีความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ ผู้มีอำนาจตัดสินใจ ผู้ให้บริการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นในการจัดทำ ดำเนินการ และติดตามนโยบายด้านน้ำ
|
|||||||||||||||||||||
30504 | รายงานผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 17 และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 7 (COP 17/CMP 7) | ทส | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๗ และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๗ (COP 17/CMP 7) ระหว่างวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน - ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองเดอร์บัน สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๗ ๑.๑ ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจใหม่อีกหนึ่งคณะ คือ Ad Hoc Working Group on the Durban Platform for Enhanced Action สำหรับพัฒนาพิธีสาร (protocol) ตราสารกฎหมาย (legal instrument) หรือผลลัพธ์ที่ตกลงกันและมีผลบังคับทางกฎหมาย (agreed outcome with legal force) อย่างช้าที่สุดภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเสนอที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๑๗ และให้ผลลัพธ์ดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับประเทศภาคีทุกประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๒ ให้ต่ออายุการดำเนินงานของการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยความร่วมมือระยะยาวภายใต้อนุสัญญาฯ ออกไปอีกหนึ่งปี และรายงานผลการดำเนินงานในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๑๘ ๑.๓ ให้เริ่มการดำเนินงานของคณะกรรมการด้านการปรับตัวโดยเร็ว โดยคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นผู้ให้ข้อเสนอแนะด้านวิชาการที่เกี่ยวกับการปรับตัวให้แก่ภาคี ๑.๔ เห็นชอบให้เร่งดำเนินการจัดตั้งกองทุน Green Climate และให้เริ่มดำเนินการโดยเร็วตามข้อเสนอของ Transitional Committee ได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการกำกับ การระดมทุน และหลักเกณฑ์ในการสนับสนุนทุน ๑.๕ ให้มีการจัดประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๑๘ และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารฯ ครั้งที่ ๘ ณ ประเทศกาตาร์ ๒. ผลการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๗ ๒.๑ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปยินดีที่จะมีพันธกรณีต่อเนื่องภายใต้พิธีสารเกียวโตต่อไปอีกตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ หรือ พ.ศ. ๒๕๖๓ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อตัดสินใจของประเทศสมาชิกในการประชุมของคณะทำงานเฉพาะกิจภายใต้พิธีสารเกียวโต AWG-KP ครั้งที่ ๑๗ โดยประเทศแคนาดาแสดงความตั้งใจในการออกจากการเป็นรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต ประเทศญี่ปุ่นไม่ประสงค์ให้มีพันธกรณีระยะที่ ๒ สำหรับประเทศตน ส่วนสหพันธรัฐรัสเซียประสงค์ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับ ๒.๒ ให้คณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยพันธกรณีต่อเนื่องสำหรับประเทศในภาคผนวกที่ ๑ ภายใต้พิธีสารเกียวโต ทำงานต่อไปในการแก้ไขพิธีสารให้แล้วเสร็จ และนำไปพิจารณาในการประชุมรัฐภาคีพิธีสารฯ สมัยที่ ๘ ณ ประเทศกาตาร์
|
|||||||||||||||||||||
30505 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 10 | พน | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ ๑๐ (St. Petersburg Declaration - “Energy Security : Challenges”) ซึ่งเป็นแถลงการณ์สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ ๑๐ (The 10th Energy Ministerial Meeting : EMM10) ในระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การแสดงจุดยืนร่วมกันของสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคในการส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) โดยเน้นการดำเนินงานใน ๕ ด้านหลัก ๆ ได้แก่ การพัฒนาตลาดพลังงานให้มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสยิ่งขึ้น การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ การพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกและพลังงานหมุนเวียน การเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยของการใช้พลังงานนิวเคลียร์ และการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกเอเปค ๓. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในที่ประชุมฯ ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถบังเกิดผลเป็นรูปธรรมสำหรับความร่วมมือด้านพลังงานในกรอบเอเปค |
|||||||||||||||||||||
30506 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลน้ำบ่อหลวง ตำบลสันกลาง อำเภอสันป่าตอง และตำบลน้ำแพร่ ตำบลหางดง ตำบลบ้านแหวน ตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... | คค | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลน้ำบ่อหลวง ตำบลสันกลาง อำเภอสันป่าตอง และตำบลน้ำแพร่ ตำบลหางดง ตำบลบ้านแหวน ตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างถนนเลียบคลองชลประทาน กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๒๑ ในท้องที่ตำบลน้ำบ่อหลวง ตำบลสันกลาง อำเภอสันป่าตอง และตำบลน้ำแพร่ ตำบลหางดง ตำบลบ้านแหวน ตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกและรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ใช้บังคับในปัจจุบันจะสิ้นสุดการใช้บังคับในวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ แต่โดยที่ร่างพระราชกฤษฎีกาที่กระทรวงคมนาคมเสนอได้กำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนั้น ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้สมควรให้มีผลบังคับใช้ไม่ก่อนวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ และการกำหนดเงินค่าทดแทนให้กับผู้ถูกเวนคืนจะต้องใช้ฐานการคำนวณ ณ วันที่ร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
30507 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2555 | กษ | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการ กนป. เสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะทำงานยกร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และคณะทำงานยกร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มปี ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะทำงานทั้ง ๒ คณะ ตามมติ กนป. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ และประธานกรรมการ กนป. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานฯ ทั้ง ๒ คณะ เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๒. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำมันพืชปาล์ม กรณีให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์ม ๔๐,๐๐๐ ตัน โดยนำเข้าแล้ว ๑๐,๐๐๐ ตัน และส่งมอบแล้วเมื่อวันที่ ๘ - ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งออกประกาศกระทรวงพาณิชย์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออกน้ำมันปาล์มในอัตรา ๑๐ บาท/กิโลกรัม ดังนี้ ๒.๑ ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ ส่วนที่เหลืออีก ๓๐,๐๐๐ ตัน ๒.๒ ไม่เห็นด้วยกับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบในอัตรากิโลกรัมละ ๑๐ บาท การเก็บค่าธรรมเนียมควรมีการหารือผู้เกี่ยวข้อง ๒.๓ ไม่เห็นด้วยกับการควบคุมราคาขายปลีกน้ำมันพืชปาล์มบริสุทธิ์ที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตและควรพิจารณาหามาตรการดูแลฝ่ายต่าง ๆ ให้เหมาะสม ๒.๔ การพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบในระยะสั้นและระยะยาว ให้คณะทำงานยกร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และคณะทำงานยกร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มปี ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ เร่งรัดดำเนินการ ทั้งนี้ ประธานกรรมการ กนป. จะได้หารือร่วมกับฝ่ายบริหารเพื่อพิจารณาการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันพืชปาล์มอย่างเร่งด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
30508 | รายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้งและพัฒนากิจการสภาองค์กรชุมชนตำบล | พม | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้งและพัฒนากิจการสภาองค์กรชุมชนตำบล ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสนับสนุนการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลนับตั้งแต่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๔ มีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลรวมทั้งสิ้น ๒,๘๒๒ แห่ง จำนวนชุมชน/กลุ่ม/องค์กรชุมชน/เครือข่ายองค์กรชุมชนที่จดแจ้งรวม ๕๓,๔๑๘ องค์กร จำนวนสมาชิกสภาองค์กรชุมชนตำบลรวม ๗๕,๔๑๖ คน ๒. การดำเนินงานของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการจัดประชุมอย่างน้อยปีละ ๔ ครั้ง ตามที่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๙๑ ได้บัญญัติไว้ โดยร้อยละ ๙๕.๓ ของจำนวนสภาองค์กรชุมชนตำบลที่จัดส่งรายงาน สามารถดำเนินการตามภารกิจข้อ ๑๒ คือ การเสนอรายชื่อผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลเพื่อไปร่วมประชุมในระดับจังหวัดมากที่สุด รองลงมาร้อยละ ๗๙ คือ การส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ ๓. การดำเนินงานของที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ร้อยละ ๖๘.๔ ของจำนวนที่ประชุมในระดับจังหวัดฯ ที่จัดส่งรายงานสามารถจัดให้มีการประชุมอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ตามที่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้บัญญัติไว้ ด้านการดำเนินงานตามมาตรา ๒๗ ซึ่งพระราชบัญญัติฯ ได้กำหนดบทบาทภารกิจของที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล จำนวน ๕ ด้าน ส่วนใหญ่สามารถดำเนินงานด้านการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างสภาองค์กรชุมชนตำบลมากที่สุดถึงร้อยละ ๗๐.๑ ของที่ประชุมในระดับจังหวัดฯ ที่จัดส่งรายงาน รองลงมาร้อยละ ๖๕ คือ การให้ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาจังหวัดต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์การบริหารส่วนจังหวัด และร้อยละ ๔๙.๑ คือ การเสนอรายชื่อผู้แทนระดับจังหวัดเพื่อไปร่วมประชุมในระดับชาติ ตามลำดับ ๔. การดำเนินงานของที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้สนับสนุนให้มีการจัดการประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นประจำทุกปี เพื่อรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้ง และพัฒนากิจการของสภาองค์กรชุมชนตำบลในทุกระดับต่อที่ประชุมในระดับชาติฯ รวมถึงสนับสนุนให้ที่ประชุมในระดับชาติ ฯ ดำเนินการตามภารกิจตามมาตรา ๓๒ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้สนับสนุนให้มีการจัดการประชุมในระดับชาติฯ จำนวน ๑ ครั้ง เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการพิจารณารับรองข้อเสนอเชิงนโยบายที่ได้มาจากการประมวลความเห็นและข้อเสนอแนะจากเครือข่ายองค์กรชุมชน สภาองค์กรชุมชนตำบลผ่านที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประกอบด้วยข้อเสนอ ๕ ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านกฎหมาย โครงสร้างและวิธีปฏิบัติราชการ ด้านคุณภาพชีวิต และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๕. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้ดำเนินการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์กิจการเกี่ยวกับสภาองค์กรชุมชนตำบล การรวบรวมข้อมูล ศึกษาวิจัย และพัฒนางานของสภาองค์กรชุมชนตำบล การประสานและร่วมมือกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำทะเบียนกลาง ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติจัดตั้งและดำเนินการของสภาองค์กรชุมชนตำบล
|
|||||||||||||||||||||
30509 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) ว่าด้วยการลดความยากจน ครั้งที่ 2 | มท | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi - Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ว่าด้วยการลดความยากจน ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล โดยมีนายวัลลภ พริ้งพงษ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพร้อมคณะเดินทางเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ โดยมีผลการประชุมในประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แผนปฏิบัติการลดความยากจน (Plan of Action on Poverty Alleviation : PPA) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินการของประเทศสมาชิกภายใต้กรอบ BIMSTEC ว่าด้วยการลดความยากจนในลักษณะของความร่วมมือกว้าง ๆ โดยให้ประเทศสมาชิกนำยุทธศาสตร์และกิจกรรมตามแผนปฏิบัติการลดความยากจนไปบรรจุไว้ในแผนและโครงการของแต่ละประเทศสมาชิกตามความเหมาะสม ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การลดความยากจนหลัก จำนวน ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การกระตุ้นเศรษฐกิจและการดูแลเอาใจใส่คนยากจนอย่างทั่วถึง ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคม ยุทธศาสตร์การดำเนินโครงการที่มุ่งการลดความยากจน ยุทธศาสตร์การเพิ่มความคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมคนจนมากยิ่งขึ้น ยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และยุทธศาสตร์การสร้างธรรมาภิบาล ๑.๒ ถ้อยแถลงกาฐมาณฑุว่าด้วยการลดความยากจน (Kathmandu Statement on Poverty Alleviation) ประกอบด้วยเนื้อหาการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC ในการดำเนินงานเพื่อลดความยากจน โดยสาระสำคัญของถ้อยแถลงกาฐมาณฑุฯ เป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินการของประเทศสมาชิกในการลดความยากจนระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC ในลักษณะความร่วมมือกว้าง ๆ โดยไม่มีการลงนามในถ้อยแถลงกาฐมาณฑุฯ ๑.๓ ข้อเสนอของสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาที่เสนอขอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรี BIMSTEC ว่าด้วยการลดความยากจน ครั้งที่ ๓ ๒. เห็นชอบต่อถ้อยแถลงกาฐมาณฑุว่าด้วยการลดความยากจน (Kathmandu Statement on Poverty Alleviation) และแผนปฏิบัติการลดความยากจน (Plan of Action on Poverty Alleviation : PPA) |
|||||||||||||||||||||
30510 | รัฐบาลสาธารณรัฐซานมารีโนเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นางเจสซีกา กัสเปโรนี (Ms. Jessica Gasperoni)] | กต | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางเจสซีกา กัสเปโรนี (Ms. Jessica Gasperoni) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐซานมารีโนประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงซานมารีโน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30511 | ร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. .... | ศธ | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัตนโกสินทร์ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. ปรับปรุงการจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กระทรวงศึกษาธิการ เสียใหม่ โดยให้แก้ไขชื่อ “คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์” เป็น “คณะวิศวกรรมศาสตร์”
|
|||||||||||||||||||||
30512 | ขออนุมัติลงนามในหนังสือตอบรับความช่วยเหลือให้เปล่า Japan's Non-Project Grant Aid | กต | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนตอบรัฐบาลญี่ปุ่น เอกสาร Agreed Minutes on Procedural Details และเอกสาร Record of Discussions โดยเนื้อหาสาระเป็นการระบุภาระความรับผิดชอบของฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งการนำเข้าสิ่งของ/วัสดุ/อุปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้โครงการความช่วยเหลือให้เปล่า Japan’s Non-Project Grant Aid ในวงเงิน ๘๐๐ ล้านเยน (ประมาณ ๓๒๐ ล้านบาท) ซึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรและภาษีอื่น ๆ ภายในประเทศ ตามภาค ๔ ประเภท ๑๐ แห่งพระราชกำหนดพิกัดศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งบัญญัติให้ยกเว้นอากรแก่ “ของที่ได้รับเอกสิทธิ ตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ต่อองค์กรสหประชาชาติหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามสัญญากับนานาประเทศ หรือทางการทูต ซึ่งได้ปฏิบัติต่อกันโดยอัธยาศัยไมตรี” ซึ่งไทยและญี่ปุ่นมีความตกลงระหว่างกันในการดำเนินการความช่วยเหลือแบบให้เปล่า ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างหนังสือดังกล่าวที่ไม่ใช่เนื้อหาสาระสำคัญ ให้สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนตอบรัฐบาลญี่ปุ่น เอกสาร Agreed Minutes on Procedural Details และเอกสาร Record of Discussions ๑.๓ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยซึ่งเป็นหน่วยงานผู้ดำเนินโครงการ (Implementing Agency) ลงนามในเอกสารย่อยสำหรับการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้ความช่วยเหลือให้เปล่าดังกล่าว ๒. ให้สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมภายใต้ความช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ให้โดยก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของไทย อีกทั้งปฏิบัติตามกระบวนการดำเนินงานในรายละเอียดตามที่ระบุใน Agreed Minutes อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
30513 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาเกาหลี และภาษาเวียดนาม | รถ | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาเกาหลี และภาษาเวียดนาม ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ใช้ประกาศราชบัณฑิตยสถาน เรื่อง หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาเกาหลีและหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาเวียดนาม ลงวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ เป็นมาตรฐานของทางราชการ
|
|||||||||||||||||||||
30514 | รัฐบาลสาธารณรัฐเซอร์เบียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายยอวาน ยอวานอวิช (Mr. Jovan Jovanovic)] | กต | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายยอวาน ยอวานอวิช (Mr. Jovan Jovanovic) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเซอร์เบียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงจาการ์ตา สืบแทนนายโซรัน คาซาโซวิช (Mr. Zoran Kazazovic) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30515 | การปรับเปลี่ยนเขตกงสุลของสถานกงสุลราชรัฐลักเซมเบิร์ก และการปรับเปลี่ยนการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ราชรัฐลักเซมเบิร์กในประเทศไทย [นายปีแยร์ แมซ] | กต | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การปรับเปลี่ยนเขตกงสุลของสถานกงสุลราชรัฐลักเซมเบิร์กประจำประเทศไทย ซึ่งมีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย เป็นสถานกงสุลราชรัฐลักเซมเบิร์กประจำกรุงเทพมหานคร โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมกรุงเทพมหานคร ๒. ปรับเปลี่ยนการดำรงตำแหน่งของนายปีแยร์ แมซ จากกงสุลกิตติมศักดิ์ราชรัฐลักเซมเบิร์กประจำประเทศไทย ซึ่งมีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย เป็นดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ราชรัฐลักเซมเบิร์กประจำกรุงเทพมหานคร โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมกรุงเทพมหานคร
|
|||||||||||||||||||||
30516 | รัฐบาลบูร์กินาฟาโซเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายไอดริส ราอัว อูเอดราโอโก (Mr. Idriss Raoua Ouedraogo)] | กต | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายไอดริส ราอัว อูเอดราโอโก (Mr. Idriss Raoua Ouedraogo) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งบูร์กินาฟาโซประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30517 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนแควน้อย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนแควน้อย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานดังต่อไปนี้ เป็นทางน้ำชลประทานที่เรียกเก็บค่าชลประทาน
๑. ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา ของแม่น้ำแควน้อย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลบ้านยาง อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ถึงกิโลเมตรที่ ๒๒.๖๕๗ ในท้องที่ตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ๒. ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑ ขวา ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ถึงกิโลเมตรที่ ๑.๔๕๔ ในท้องที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ๓. ทางน้ำชลประทนคลองซอย ๒ ขวา ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ถึงกิโลเมตรที่ ๑.๙๑๓ ในท้องที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ๔. ทางน้ำชลประทานคลองระบายน้ำสายใหญ่ ๑ ฝั่งขวา ของแม่น้ำแควน้อย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ถึงกิโลเมตรที่ ๔.๒๕๕ ในท้องที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ๕. ทางน้ำชลประทานคลองระบายน้ำสายใหญ่ ๒ ฝั่งขวา ของแม่น้ำแควน้อย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ถึงกิโลเมตรที่ ๑.๖๒๐ ในท้องที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก
|
|||||||||||||||||||||
30518 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยสงสัย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยสงสัย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยสงสัย ในท้องที่ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
30519 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองสังข์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองสังข์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองสังข์ จากศูนย์กลางฝายคลองสังข์ กิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลท่ายาง อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปทางเหนือน้ำ ถึงกิโลเมตรที่ ๓.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลท่ายาง อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปทางท้ายน้ำถึงกิโลเมตรที่ ๑๕.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลทุ่งสัง อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
30520 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๗,๖๖๓.๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๔๙๖.๔๒๓ ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้กับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงมิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๘,๐๓๐.๐๖๑ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖๔,๗๙๓.๙๓๓ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๖๙๕.๐๔๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔.๓๔ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๙,๐๓๒.๖๗๖ ล้านบาท (ร้อยละ ๘๔.๑๗ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑,๙๑๕.๗๒๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๙๗ ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓ จังหวัด เป็นเงิน ๕๒,๘๑๐.๘๓๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๙.๙๙ ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๔๒ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๔,๙๔๕.๑๑๒ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๔. การติดตามผลการปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดังนี้ ๔.๑ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ จำนวน ๑๑ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๑,๔๔๙ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒,๗๒๐.๖๔๕ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๑,๐๗๘.๕๔๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๖๔ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๖๗.๑๔ ๔.๒ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดกลางน้ำ จำนวน ๖ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๒,๑๖๐ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๖,๒๓๕.๘๙๕ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒,๖๑๔.๕๖๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๔.๒๒ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๓๙.๖๒ ๔.๓ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดปลายน้ำ จำนวน ๑๕ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๖,๖๖๔ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒๐,๖๔๒.๖๒๘ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๕,๗๘๓.๑๓๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๘.๒๖ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๗๙.๙๑
|
.....