ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1529 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30561 - 30580 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30561 | ผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) ครั้งที่ 2/2555 | วท | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบประมาณการดำเนินงานโครงการตามแผนการป้องกันปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน ดำเนินการในพื้นที่ ฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ของกระทรวงคมนาคมซึ่งขอปรับปรุงเป็นจำนวน ๓๑๐ โครงการ วงเงินรวม ๒๔,๑๑๒,๗๓๗,๐๐๐ บาท และโครงการตามแผนการฟื้นฟู การอนุรักษ์ป่าและดิน การทำฝาย ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม งบประมาณ ๙๕๕,๒๙๔,๐๐๐ บาท รวมเป็นจำนวนงบประมาณทั้งสิ้น ๒๕,๐๖๘,๐๓๑,๐๐๐ บาท ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ และคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการแนวทางการดำเนินงานภายใต้แผนเงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ในส่วนของเงินที่เหลือ ตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) เร่งรัดการดำเนินการจัดทำประกาศเชิญชวนและขอบเขตงาน (TOR) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ผู้ที่สนใจทั้งในและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญจัดทำแผนงานโครงการในการดำเนินการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยตามรายละเอียดที่รัฐบาลจะได้กำหนดไว้เพื่อพิจารณาคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพดีที่สุดมาดำเนินการต่อไป โดยผู้สนใจอาจจะดำเนินการทั้งหมดหรือแยกเฉพาะโครงการที่สนใจ ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เร่งรัดการดำเนินการประชาสัมพันธ์สถานะความคืบหน้า (Presentation) ของโครงการต่าง ๆ ในการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยให้สาธารณชนได้ทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
30562 | ความตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานในกาตาร์และร่างสัญญาจ้างแรงงานในกาตาร์ | รง | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอว่า เนื่องจากเรื่องความตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานในกาตาร์และร่างสัญญาจ้างแรงงานในกาตาร์ เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการกำหนดรูปแบบสัญญาจ้างแรงงานของบริษัทเอกชนฝ่ายประเทศไทยและฝ่ายกาตาร์ มิใช่กรณีการดำเนินการระหว่างรัฐต่อรัฐ จึงไม่เกี่ยวข้องกับบทบัญญัติ มาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานในกาตาร์ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้คณะผู้แทนไทยสามารถดำเนินการได้ โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อจัดระบบการจ้างแรงงานไทยในรัฐกาตาร์ให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และกระบวนการที่เกี่ยวข้องซึ่งใช้บังคับทั้ง ๒ ประเทศ ๒.๑.๒ การสรรหา การเดินทาง และการจ้างงานในรัฐกาตาร์ให้เป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับ และขั้นตอนที่กำหนดไว้ของทั้ง ๒ ประเทศ ๒.๑.๓ คำร้องจัดหาแรงงานต้องระบุ ตำแหน่งงาน คุณสมบัติ ประสบการณ์ ทักษะ และความชำนาญพิเศษ ระยะเวลาสัญญาจ้าง รายละเอียดเงื่อนไขการจ้างงาน ๒.๑.๔ การส่งกลับคนงานไทย เมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดโดยคนงานจะต้องได้รับค่าจ้าง และสิทธิต่าง ๆ ภายใต้สัญญาจ้างงาน หรือภายใต้กฎหมายแรงงานกาตาร์ และระบุให้นายจ้างต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมดของคนงานจากราชอาณาจักรไทยไปทำงานในรัฐกาตาร์ และค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคนงานจากรัฐกาตาร์มายังราชอาณาจักรไทย เมื่อสิ้นสุดการทำงาน ๒.๑.๕ เงื่อนไขการจ้างงานต้องระบุไว้ในสัญญาจ้างที่ได้กระทำขึ้นระหว่าง ๒ ฝ่าย คือ นายจ้างกับลูกจ้าง ตามแบบร่างสัญญาจ้างแรงงานในกาตาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างความตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานในกาตาร์ และสัญญาจ้างงานต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงแรงงานแห่งรัฐกาตาร์ และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโดฮา กรณีทำขึ้นในรัฐกาตาร์ หากทำขึ้นในราชอาณาจักรไทยต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทย และสถานเอกอัครราชทูตกาตาร์ประจำประเทศไทย ๒.๑.๖ สัญญาจ้างงานให้ทำเป็นสองภาษา คือ ภาษาอารบิก และภาษาอังกฤษ สำหรับภาษาไทย ให้จัดทำเป็นคำแปลเพื่อความเข้าใจของแรงงานไทย สัญญาจ้างงานภาษาอารบิกต้องได้รับการรับรองจากกระทรวงแรงงานแห่งรัฐกาตาร์ ๒.๑.๗ ข้อพิพาทแรงงาน กรณีเกิดข้อพิพาทแรงงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ให้ยื่นคำร้องทุกข์ต่อหน่วยงานที่มีอำนาจของกระทรวงแรงงานแห่งรัฐกาตาร์ เพื่อยุติข้อพิพาท หากไม่สามารถยุติข้อพิพาทได้ให้ส่งข้อพิพาทนั้นไปยังศาลที่มีอำนาจในรัฐกาตาร์ ๒.๑.๘ การส่งรายได้กลับประเทศ ลูกจ้างมีสิทธิโอนเงินค่าจ้างกลับราชอาณาจักรไทย โดยเป็นไปตามระเบียบด้านการเงินที่ใช้ในรัฐกาตาร์ ๒.๑.๙ การติดตามผลการดำเนินงาน ระบุให้ทั้งสองฝ่ายต้องจัดตั้งคณะกรรมการร่วมฝ่ายละไม่เกิน ๓ คน เพื่อติดตามผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามความตกลงฯ ซึ่งคณะกรรมการต้องประชุมร่วมกันปีละครั้ง ๒.๑.๑๐ การบังคับใช้ความตกลงจะมีผลบังคับใช้นับจากวันที่มีการลงนามและมีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร มีระยะเวลา ๓ ปี สามารถต่ออายุได้อีก ๓ ปี และหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการยุติความตกลงต้องแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนวันหมดอายุ ๖ เดือน ๒.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในความตกลงฯ และให้สัตยาบัน ในนามผู้แทนฝ่ายไทย
|
|||||||||||||||||||||
30563 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้า และการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล | กต | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดสาขาความร่วมมือและจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อศึกษาและพิจารณารูปแบบของความร่วมมือระหว่างกัน ดังนี้ ๑.๑ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ๑.๒ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||
30564 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๙,๑๓๙.๗๕๓ ล้านบาท มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๖๖,๖๓๓.๗๒๖ ล้านบาท ๑.๒ สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑.๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๒,๖๖๐.๐๓๔ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๖๗๗.๐๗๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕.๓๖ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๘๖,๗๐๔.๒๒๐ ล้านบาท (ร้อยละ ๗๒.๗๘ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๙,๒๕๙.๘๑๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๙๖ ๑.๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗๔ จังหวัด เป็นเงิน ๓๔,๖๑๔.๒๖๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๑.๙๖ ๑.๓ การยืนยันหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ และการส่งคืนเงินงบประมาณ ๑.๓.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทำการยืนยันหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณมายังสำนักงบประมาณ จำนวน ๓๖ หน่วยงาน (จากทั้งหมด ๖๖ หน่วยงาน) เป็นเงิน ๔๗,๔๐๑.๖๒๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๗๙ ของวงเงินจัดสรร ๑.๓.๒ ส่วนราชการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่าย จำนวน ๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๘๔.๘๑๖ ล้านบาท ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีหนังสือแจ้งเงินเหลือจ่ายจากการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๒,๗๕๖.๐๐๕ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๑.๓.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณ ยังไม่มีส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจแจ้งคืนเงินงบประมาณมายังสำนักงบประมาณ ๑.๔ ข้อเสนอ ๑.๔.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับ/เร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทำการยืนยันหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ และส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายหรือคาดว่าจะเหลือจ่ายจากการลงนามสัญญาและการดำเนินการเองที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ๑.๔.๒ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับ/เร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจแจ้งส่งคืนเงินงบประมาณของโครงการ/รายการซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ มายังสำนักงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒. เห็นชอบให้รัฐมนตรี ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยให้เร่งแจ้งยืนยันข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยด่วนภายใน ๑ สัปดาห์ ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปกำชับและเร่งรัดการดำเนินการในส่วนของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประสานสำนักงบประมาณในการรวบรวมข้อมูลในภาพรวมทั้งหมดเพื่อรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
30565 | ยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น | นร | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบยุทธศาสตร์ แนวทาง และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะการร่วมกันปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาหน่วยงานของตนเองให้มีความโปร่งใส สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แบ่งออกเป็น ๖ แนวทางหลักและอื่น ๆ ดังนี้ ๑.๑ การปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ (Awareness Building Approach) มุ่งเน้นการสร้างจิตสำนึกและทัศนคติเชิงบวกในการสร้างภูมิคุ้มกันและความเข้มแข็งให้กับสังคมไทย ครอบคลุมทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ควบคู่ไปกับการปลูกฝัง สร้างค่านิยมที่อยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง โดยอาศัยกลไกของสังคมเป็นการลงโทษผู้กระทำผิดหรือทุจริตคอร์รัปชั่น ๑.๒ การพัฒนาองค์การ (Organization Development Approach) มุ่งเน้นการพัฒนาองค์การทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นองค์การสีขาว มีการดำเนินการป้องกันและลดความเสี่ยงที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ตลอดจนวางระบบคัดกรองบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งในระบบราชการที่คำนึงถึงความมีเหตุผลทางคุณธรรม (Moral Reasoning) หรือความสามารถทางด้านจริยธรรม (Ethicability) ๑.๓ การเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม (Participatory Approach) มุ่งเน้นการสร้างความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินงานของภาครัฐ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการเปิดเผยและมีส่วนร่วม อันจะทำให้ภาคส่วนอื่นในสังคมได้เข้ามามีส่วนรับรู้ ตรวจสอบหรือร่วมในกระบวนการใด ๆ เพื่อให้กลไกการดำเนินการมีความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ๑.๔ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย (Legal Approach) มุ่งเน้นการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้เป็นเครื่องมือป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนยกระดับมาตรฐานกฎหมายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) รวมถึงการแก้ไขกฎหมายลำดับรองที่เอื้อไปสู่พฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการ ๑.๕ การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก (Surveillance Approach) มุ่งเน้นการวางกลไกการตรวจสอบและเฝ้าระวังในเชิงรุก ทั้งกลไกการเฝ้าระวังของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กลไกการตรวจสอบตามกฎหมาย ตลอดจนการเชื่อมโยงและบูรณาการการรับแจ้งเบาะแสและเรื่องร้องเรียนให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวมถึงการวางระบบข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ ๑.๖ การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด (Suppression Approach) มุ่งเน้นการดำเนินการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง รวมถึงการกำหนดมาตรการในการลงโทษที่เข้มงวดและรุนแรงขึ้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนเกิดความตื่นตัว และเกรงกลัวต่อการประพฤติที่มิชอบ ๑.๗ อื่น ๆ เช่น การร่วมมือทางวิชาการกับรัฐบาล หรือองค์การระหว่างประเทศ และอื่น ๆ เกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นต้น ๒. แผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นการดำเนินการในระยะแรกที่คาดว่าจะก่อให้เกิดผลสำเร็จเร็วและก่อให้เกิดผลต่อเนื่องในระยะต่อไป โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้ ๔ แนวทาง ดังนี้ ๒.๑ การปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ ได้แก่ การสร้างข้าราชการไทยหัวใจสีขาว การมอบรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติและกำหนดบัญชีรายชื่อข้าราชการที่มีความซื่อสัตย์สุจริต หรือมีผลงานในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และการติดเครื่องหมายสัญลักษณ์แสดงการอาสาต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ๒.๒ การพัฒนาองค์การ ได้แก่ การสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ (Clean Initiative Program) และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ๒.๓ การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก โดยการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น (Anti - Corruption War Room) ๒.๔ การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด โดยการประกาศลงโทษผู้กระทำผิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ๓. กำหนดจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น” ในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โดยเชิญคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารการเปลี่ยนแปลงระดับกรมและจังหวัด ตลอดจนผู้แทนจากภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคท้องถิ่น เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
30566 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการจัดการประชุม World Economic Forum on East Asia | กต | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อสาระของร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการจัดการประชุม World Economic Forum on East Asia (Memorandum of Understanding on the Operational Aspects of the World Economic Forum) ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับ World Economic Forum (WEF) ที่จะร่วมมือกันในการจัดการประชุม World Economic Forum on East Asia ณ โรงแรมแชงกรี - ลา กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยสาระสำคัญเป็นการแบ่งความรับผิดชอบระหว่างรัฐบาลไทยกับ WEF ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นข้อผูกพันด้านนโยบายสำหรับรัฐบาลไทยที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังนี้ ๑.๑ ความรับผิดชอบของฝ่ายไทย ได้แก่ ค่าใช้จ่ายสำหรับสถานที่ประชุมและการเลี้ยงอาหารระหว่างการประชุม การจัดเลี้ยงอาหารค่ำในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ การรักษาความปลอดภัย การแปลภาษา และการจัดหาอุปกรณ์การสื่อสารและอุปกรณ์ทางเทคนิคในสถานที่ประชุม ๑.๒ ความรับผิดชอบของฝ่าย WEF ได้แก่ การรักษาความปลอดภัยในสถานที่ประชุม การจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การเดินทางของบุคคลสำคัญภาคเอกชน และระบบการจัดการประชุม ๒. อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกับฝ่าย WEF |
|||||||||||||||||||||
30567 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ | ทส | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ จำนวน ๗ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ๒. นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ กรรมการ ๓. นายประเสริฐ ตปนียางกูร กรรมการ ๔. นายชญานิน เทพาคำ กรรมการ ๕. นายสมัย เจียมจินดารัตน์ กรรมการ ๖. นายสุรพล ธรรมสาร กรรมการ ๗. นางสาวสุวรรณี สำโรงวัฒนา กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||
30568 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา | กษ | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา จำนวน ๖ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ประธานกรรมการ ๒ นายวิรัติ ศักดิ์จิรพาพงษ์ กรรมการอื่น ๓. นายศุภชัย จงศิริ กรรมการอื่น ๔. นายพงษ์พิสุทธิ์ จินตโสภณ กรรมการอื่น ๕. นายธรรมศักดิ์ ลออเอี่ยม กรรมการอื่น (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๖. นายจิรายุส เนาวเกตุ กรรมการอื่น
|
|||||||||||||||||||||
30569 | คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๐๔/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการรักษาความมั่นภายใน ภาค ๔ เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่สั่งการ อำนวยการ กำกับ ติดตาม บูรณาการ และขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามนโยบายรัฐบาล นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการเพื่อการแก้ไขปัญหาอุปสรรคเฉพาะหน้า หรือเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||
30570 | การจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ปีที่หนึ่ง รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี | นร | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเรื่อง การจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ปีที่หนึ่ง รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรายงานของคณะกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประธานกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้กระทรวงและหน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งรัดจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและส่งไปยังหน่วยงานเจ้าภาพหลัก เพื่อส่งให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ภายในกรอบระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในปฏิทินการทำงาน ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติศึกษาวิเคราะห์โครงการต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาลว่ามีโครงการใดยังมิได้ดำเนินการหรือเริ่มดำเนินการแล้วแต่ยังไม่แล้วเสร็จ หรือดำเนินการเสร็จแล้วแต่ผลการดำเนินการยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ตามนโยบายของรัฐบาล และให้รายงานไปยังกระทรวงที่รับผิดชอบโครงการนั้น ๆ ทราบภายใน ๑๕ วัน เพื่อเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
30571 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า พ.ศ. .... | นร | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๙๐ วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ๒. กำหนดบทนิยามคำว่า “ลูกค้า” “ลูกค้าจร” “บุคคลที่มีการตกลงกันทางกฎหมาย” “ผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง" เป็นต้น ๓. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานการแสดงตนของลูกค้า ๔. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวแทนหรือคู่ค้า ๕. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าสำหรับธุรกรรมการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ๖. กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ (๑) และ (๙) ดำเนินการตามกฎกระทรวงนี้ กับลูกค้าหรือบัญชีที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับภายใน ๒ ปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ หากไม่สามารถดำเนินการได้ตามระยะเวลาดังกล่าว ให้เสนอเลขาธิการ ปปง. เพื่อพิจารณาเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาได้ แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน ๓ ปี นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
|
|||||||||||||||||||||
30572 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี โครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี 2554/55 | พณ | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕) จากเดิม “อนุมัติในหลักการโครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการ ให้กระทรวงพาณิชย์ตกลงในรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์รายงานข้อมูลการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมันและโรงแป้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายมันเส้นและแป้งมันจากสต๊อกของรัฐบาลที่รับจำนำไว้ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ด้วย และเมื่อจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังดังกล่าว ให้กระทรวงพาณิชย์นำข้อมูลราคาจำหน่ายเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการจำหน่าย และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการด้วย” เป็น “อนุมัติในหลักการโครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สำหรับวงเงินหมุนเวียนรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมันและโรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้องค์การคลังสินค้ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท จากวงเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ไปใช้ดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ตกลงในรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายมันเส้นและแป้งมันที่แปรสภาพจากหัวมันสดที่รับจำนำจากเกษตรกรตามโครงการฯ โดยเร็ว โดยให้รายงานผลการดำเนินการระบายและผลกำไรขาดทุนให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนสิ้นสุดโครงการฯ” ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการที่กระทรวงการคลังจะขอค้ำประกันเงินกู้เฉพาะการกู้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยไม่ต้องค้ำประกันการกู้เงินของหน่วยงานที่มาขอกู้ต่อจาก ธ.ก.ส. และหากสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางดังกล่าวก็ให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
30573 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี | นร | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานเกี่ยวกับการเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำโครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ และ ๒ จำนวนรวม ๘ จังหวัด (จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) รวมทั้งข้อเสนอการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ. ภูมิภาค) ซึ่งเป็นข้อเสนอในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในการประกอบธุรกิจของภาคเอกชนใน ๒ กลุ่มจังหวัด ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ ประกอบด้วย จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี และกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๒ ประกอบด้วย จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร ๒. ทั้งนี้ การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี ได้เลื่อนกำหนดเวลาไปเป็นวันที่ ๑๙ - ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
30574 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | ทส | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การตรวจเยี่ยมราษฎร ติดตามสภาพปัญหา และตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในจังหวัดเชียงราย ๑.๑ วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๕ ตรวจติดตามสภาพปัญหาและตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อป้องกันบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ได้แก่ โครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำหนองกู่ บ้านปางลาว โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองหลวง โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำลำน้ำแม่สกึ้น โครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำหนองบัวน้อย โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ ช่วง ๒ บ้านเมืองงิม และเปิดศูนย์รับแจ้งการช่วยเหลือประชาชนเรื่องน้ำบาดาล ๑.๒ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๕ ตรวจติดตามสภาพปัญหาและตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อป้องกันบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ได้แก่ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่น้ำลาว โครงการสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้า โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยเฮี้ย โครงการฝายน้ำล้นแม่ลาว โครงการปรับปรุงซ่อมแซมฝายน้ำล้นแม่ลาว และโครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำลำน้ำลาว ๒. การตรวจเยี่ยมราษฎร ติดตามสภาพปัญหา และตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในจังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี และชัยนาท เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๒.๑ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ เทศบาลตำบลพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ๒.๒ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ ลานเอนกประสงค์ หมู่ที่ ๑๑ บ้านหนองสองห้อง ตำบลบ้านไร่ อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ๒.๓ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ วัดหาดทนง หมู่ที่ ๖ บ้านหาดทนง ตำบลหาดทนง อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี ๒.๔ ตรวจเยี่ยมโครงการอนุรักษ์บึงน้ำเขียว หมู่ที่ ๒ บ้านบึงน้ำเขียว ตำบลคุ้งสำเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ๓. การตรวจเยี่ยมราษฎร ติดตามสภาพปัญหา และตรวจพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในจังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๓.๑ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น และตรวจเยี่ยมโครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำเพื่อเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย ลำห้วยน้อย หมู่ที่ ๑๒ บ้านทุ่ม ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๓.๒ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ องค์การบริหารส่วนตำบลเชียงยืน ตำบลเชียงยืน อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม และตรวจเยี่ยมโครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำเพื่อเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย หนองอีสานเขียว ตำบลเหล่าดอกไม้ อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ๓.๓ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ โรงเรียนบ้านปอแดง ตำบลดอนสมบูรณ์ อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ และตรวจเยี่ยมโครงการปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำเพื่อเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย หนองบัวบาน ตำบลบัวบาน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์
|
|||||||||||||||||||||
30575 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม | พณ | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม) ในส่วนของข้อ ๒ จากเดิม “...และให้ประเมินสถานการณ์และผลกระทบต่าง ๆ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการนำเข้าเพิ่มเติมตามแต่กรณีต่อไป” เป็น “...และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ประเมินสถานการณ์และผลกระทบต่าง ๆ หากจำเป็นต้องนำเข้าเพิ่มเติมให้ดำเนินการนำเข้าครั้งละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ ตัน และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบทันทีที่ได้ดำเนินการนำเข้า หากปรากฏว่าสถานการณ์ได้คลี่คลายลงก็ให้ยุติการนำเข้าทันที” ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรมีการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศให้เสร็จสิ้นก่อนที่ผลผลิตของผลปาล์มในฤดูกาลใหม่ออก เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาผลปาล์มในช่วงเวลาดังกล่าว การจัดทำแนวทางการดำเนินงานร่วมกันในเรื่องการจัดสรรน้ำมันปาล์มที่จะต้องนำไปผสมกับน้ำมันดีเซลที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่จำเป็นจะต้องรองรับสถานการณ์เฉพาะหน้าของภาวะขาดแคลนน้ำมันปาล์มเพื่อใช้ในการบริโภค การพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารปาล์มน้ำมันที่ใช้เพื่อบริโภคและพลังงานร่วมระยะยาว และให้มีโปรแกรมการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงพันธุ์ปาล์มน้ำมันด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อให้ได้ปาล์มน้ำมันที่สามารถทนต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ราคาปาล์มน้ำมันและปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถมีการเตรียมการแก้ไขปัญหาได้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||
30576 | ขอถอนรายชื่อผู้ที่ได้รับการสรรหาเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ลาออกจากตำแหน่ง | ทก | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสมพรต สาระโกเศศ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30577 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย | อก | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายธนา พุฒรังษี เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30578 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม | อก | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวน ๒ คน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายสิทธิพร ประวัติรุ่งเรือง ๒. นายกริชชัย อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ผู้แทนองค์การเอกชน
|
|||||||||||||||||||||
30579 | สรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง | วท | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง ณ จังหวัดลพบุรี อุทัยธานี ชัยนาท และพระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ ๕ - ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และเห็นชอบตามข้อเสนอแนะตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมชลประทาน หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องทบทวนการประสานงานในเรื่องการบริหารจัดการน้ำใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการลดการปล่อยน้ำอย่างกะทันหัน ว่าจะต้องมีการแจ้งล่วงหน้านานเท่าใด และผลกระทบหรือจุดเสี่ยงจะเกิดขึ้นที่ไหน ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้คล้าย ๆ กับที่เกิดขึ้นเมื่อเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์เริ่มการปล่อยน้ำโดยไม่มีการประสานงานอย่างเหมาะสม ทำให้น้ำท่วมที่อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๑.๒ การขาดแคลนน้ำของชาวนาขณะนี้ เกิดขึ้นเพราะการประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ชาวนาเลื่อนฤดูการปลูกข้าวเร็วขึ้น ๑ เดือน ดังนั้น ความต้องการน้ำในระยะต้นจึงสูงมาก ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำอย่างฉับพลัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องปรับปฏิทินการส่งน้ำเสียใหม่ โดยมุ่งการส่งน้ำให้ถึงไร่นาในช่วงต้นของฤดูกาลเพาะปลูกให้ทันทุกพื้นที่ ๑.๓ การขุดลอกแม่น้ำเจ้าพระยาของกรมเจ้าท่า มุ่งเน้นในเรื่องของการเดินเรือตามอำนาจหน้าที่เท่านั้น การขุดลอกดังกล่าวจึงมุ่งไปที่การสร้างร่องน้ำถาวรเท่านั้น ยังไม่ใช่เป็นการขุดลอกเต็มลำน้ำเพื่อสนองนโยบายการเร่งระบายน้ำ จึงเห็นควรให้กรมเจ้าท่าปรับแผนการขุดลอกลำน้ำเสียใหม่ หรืออาจต้องมีการทบทวนให้เอกชนเข้ามาขุดลอกโดยการจ่ายเงินค่าทรายให้กับทางราชการ ๑.๔ การประกาศเขตภัยพิบัติของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นการประกาศอย่างหลวม (เหวี่ยงแห) หวังผลเพียงให้สามารถเบิกงบประมาณไปช่วยประชาชนที่เดือดร้อนเท่านั้น โดยมองข้ามผลกระทบทางด้านจิตวิทยา ทำให้มองคล้าย ๆ ว่า ภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งไม่ควรจะขาดแคลนน้ำกลับเกิดภัยแล้งขึ้น เห็นได้ชัดเจนว่าบางจังหวัดเมื่อประกาศแล้วใช้เงินช่วยเหลือเพียง ๔๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ถึงกับต้องประกาศภัยแล้ง จึงเห็นควรให้มีการปรับปรุงระเบียบและข้อปฏิบัติเสียใหม่ เพื่อสามารถให้พื้นที่ ใช้หรือจ่ายงบประมาณช่วยเหลือเยียวยาประชาชนได้ โดยไม่ต้องพึ่งการประกาศเป็นเขตภัยแล้ง เพราะพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงนั้นมีขนาดเล็ก ๒. กรณีการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้อธิบดี/ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องประกาศกำหนดพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติก่อน จึงจะสามารถเบิกจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติได้ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับการเกิดภัยพิบัติจริง ดังนั้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ประกอบกับเพื่อให้การควบคุมการใช้จ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงระเบียบ หลักเกณฑ์ และข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการใช้จ่ายงบกลางฯ ให้สำนักงบประมาณรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางของแต่ละส่วนราชการและยอดเงินคงเหลือให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
30580 | สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง | ทส | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์การปนเปื้อนสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด และมาตรการในการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์การปนเปื้อนสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ได้เกิดเพลิงไหม้และการระเบิดขึ้นบริเวณโรงงาน บริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ จำกัด นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยหน่วยการผลิตที่มีการใช้สารโทลูอีน (toluene) ในการล้างถัง จนเกิดการระเบิดและเพลิงไหม้ รวมทั้งมีการรั่วไหลของสารพิษและควันดำสู่บรรยากาศ โดยมีคนงานเสียชีวิต ๑๒ ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก และเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ได้เกิดกรณีฉุกเฉินจากอุบัติเหตุการปิดวาล์วสารโซเดียมไฮโปคลอไรด์ (สารฟอกขาว) จากโรงงานอดิตยา เบอร์ล่า เคมีคัลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้เกิดก๊าซคลอรีนรั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่ใต้ลมในแคมป์คนงานบริเวณใกล้เคียงกว่า ๑๔๐ ราย และนอกสังเกตอาการที่โรงพยาบาล ๑๒ ราย โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ๑.๒ มาตรการในการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาทิ การจัดประชุมเพื่อตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ทั้งน้ำ อากาศ และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ การดำเนินการทบทวนแผนปฏิบัติการฉุกเฉินและเตือนภัยจากสารพิษในระดับพื้นที่และชุมชน การจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อแปรผลข้อมูลคุณภาพอากาศและเผยแพร่สู่ชุมชน การเตรียมความพร้อมและซักซ้อมการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการในระดับต่าง ๆ การดำเนินโครงการจัดทำทำเนียบการปลดปล่อยและการเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Registers, PRTR) ในการดำเนินการจัดทำทะเบียนการปลดปล่อยมลพิษ และการฝึกอบรมการสื่อสารความเสี่ยงเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนในพื้นที่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการดำเนินโครงการฯ การตรวจสอบการควบคุมและการป้องกันการรั่วไหลของสารมลพิษประเภทสารอินทรีย์ระเหยง่ายในโรงงานเป้าหมายที่มีการเก็บ การใช้ และการปลดปล่อยสารอินทรีย์ระเหยง่าย รวมทั้งการควบคุมดูแลการระบายมลพิษ เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการตรวจสอบการออกใบอนุญาตประกอบกิจการอุตสาหกรรมของโรงงานที่ก่อให้เกิดเหตุก๊าซคลอรีนรั่วไหลในครั้งนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เนื่องจากโรงงานดังกล่าวได้เคยเกิดเหตุในทำนองเดียวกันมาแล้วครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น เพื่อทบทวนมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมและนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยของพนักงานที่ปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยต้องจัดให้มีแผนประเมินความเสี่ยง แผนการฝึกซ้อมการเผชิญเหตุ และแผนการอบรมพนักงานให้มีความพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน และให้มีการทบทวนใบอนุญาตของโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มาตรฐานทุก ๆ ๓ เดือน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เป็นต้น เพื่อดำเนินการจัดตั้งศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด (single command) ขึ้น โดยให้มีการบูรณาการแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในทุก ๆ ด้านไว้ด้วยกัน และให้ศูนย์บัญชาการดังกล่าวเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามาติดต่อสอบถามข้อมูล และได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และให้ส่วนกลางสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปด้วย
|
.....