ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1524 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30461 - 30480 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30461 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2555 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และเห็นชอบตามมติที่ประชุม กนร. โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม กนร. ที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการดำเนินงานให้ประธาน กนร. ทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธาน กนร. เสนอ โดย กนร. มีมติ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าการจัดทำแผนปรับบทบาท (พลิกฟื้น) ขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) องค์การสะพานปลา (อสป.) องค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาด (อต.) องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) และบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด (บอท.) และให้กระทรวงการคลังและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหาแนวทางการดำเนินกิจการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของแต่ละรัฐวิสาหกิจทั้ง ๖ แห่ง และให้ บอท. พิจารณาและศึกษาความเป็นไปได้ในการนำแผนการดำเนินงานและภารกิจของ บอท. มารวมเป็นส่วนเดียวกับการพัฒนาพื้นที่สถานประกอบการเดิม (บริเวณยานนาวา) ให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา ๑.๒ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาการดำเนินธุรกิจของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท) โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ประสานงานกับประธานคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งชาติเพื่อนำเรื่องการลงทุนโครงข่าย Fiber Optic เข้าสู่การหารือในที่ประชุมคณะกรรมการคณะดังกล่าวต่อไป ๑.๓ เห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติยุบเลิกบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด (มอท.) และให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์สวนป่าของ มอท. จำนวน ๓๒,๗๒๘.๕๕ ไร่ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจกำกับติดตามการดำเนินงานตามมติ กนร. อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว และรายงานผลการดำเนินงานให้ประธาน กนร. ทราบเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับการอนุมัติยุบเลิก มอท. และให้ อ.อ.ป. เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์สวนป่าของ มอท. นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ อ.อ.ป. ดำเนินการให้สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอความเห็นชอบการแก้ไขปัญหาของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30462 | การต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของสำนักงานธนานุเคราะห์ | พม | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของสำนักงานธนานุเคราะห์เพื่อเป็นเงินทุนสำรองหมุนเวียนรับจำนำและสำหรับใช้จ่ายในการบริหารการเงินให้เกิดสภาพคล่องในกิจการ จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ออกไปอีกเป็นเวลา ๒ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30463 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจัดงานเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ | มท | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยจัดงานเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เนื่องในโอกาสที่ครบ ๑๕๐ ปี วันประสูติ และครบ ๕๐ ปี ที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมสหประชาชาติ (UNESCO) ถวายพระเกียรติให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในนามรัฐบาล โดยจัดทำโครงการเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณ จำนวน ๑๙ โครงการ ในวงเงิน ๑๒๗,๘๐๗,๙๑๖ บาท แต่เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น มีจำนวนจำกัด จึงเห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีไปดำเนินการในโอกาสแรกก่อน และหากไม่เพียงพอก็สมควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30464 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... | มท | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่ ๓ งาน ๑๓ ตารางวา เพื่อมอบให้กรมที่ดินใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานที่ดินจังหวัดพิษณุโลก สาขานครไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30465 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553 และ 2552 | พน | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองการเงินแล้ว และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ งบแสดงฐานะการเงิน กองทุนฯ มีสินทรัพย์หมุนเวียนรวม ๑๘,๓๗๘,๒๙๖,๗๙๘.๐๖ บาท มีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนรวม ๔,๕๐๒,๗๖๐,๙๗๑.๙๓ บาท มีสินทรัพย์รวม ๒๒,๘๘๑,๐๕๗,๗๖๙.๙๙ บาท มีหนี้สินหมุนเวียนรวม ๖๗,๗๔๓,๐๒๓.๘๗ บาท มีสินทรัพย์สุทธิรวม ๒๒,๘๑๓,๓๑๔,๗๔๖.๑๒ บาท ๑.๒ งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน กองทุนฯ มีรายได้จากการดำเนินงานรวม ๔,๗๖๙,๙๑๒,๘๑๓.๘๐ บาท มีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวม ๓,๒๘๐,๖๑๔,๓๐๓.๑๖ บาท มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิรวม ๑,๔๘๙,๒๙๘,๕๑๐.๖๔ บาท ๑.๓ งบกระแสเงินสด กองทุนฯ มีเงินสดรับรวม ๖,๒๒๗,๖๕๕,๕๕๗.๒๒ บาท มีเงินสดจ่ายรวม ๕,๓๖๙,๗๗๐,๖๒๕.๕๗ บาท มีเงินสดและรายการเทียบเท่า เงินสดคงเหลือ ณ วันปลายงวดรวม ๑๖,๓๘๖,๑๘๑,๒๑๘.๓๙ บาท ๒. ให้กระทรวงพลังงานจัดส่งรายงานในเรื่องนี้ไปลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภารับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
30466 | สรุปผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 20 ณ กรุงพนมเปญ | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๐ ของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๓ - ๔ เมษายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในประเด็นที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปผลการประชุมในประเด็นต่าง ๆ ได้ ดังนี้
๑. การสร้างประชาคมอาเซียน ได้แก่ ๑.๑ เสาการเมืองและความมั่นคง ที่ประชุมสนับสนุนปฏิญญาอาเซียนปลอดยาเสพติด ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นเอกสารที่ไทยและกัมพูชาได้ริเริ่มขึ้น และยินดีต่อข้อเสนอของไทยในการจัดตั้งเครือข่ายหน่วยงานด้านการกำกับดูแลนิวเคลียร์ในอาเซียน ๑.๒ เสาเศรษฐกิจ ที่ประชุมพิจารณาเห็นควรเร่งรัดการเปิดเสรีด้านการค้าบริการและการให้สัตยาบันความตกลงทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว และการขยายการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ (ASEAN++ FTA) ให้ได้ตามแผนในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งได้ย้ำถึงความสำคัญของการลดช่องว่างด้านการพัฒนาเพื่อนำไปสู่การรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน ๑.๓ เสาสังคมและวัฒนธรรม ไทยได้ต่อยอดความร่วมมือของอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัย ซึ่งได้เสนอให้อาเซียนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ และเสนอให้มีเครือข่ายบริหารจัดการน้ำข้ามประเทศ รวมทั้งเสนอให้อาเซียนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาหมอกควันอย่างใกล้ชิด ๒. ที่ประชุมให้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน โดยกล่าวถึงโครงการต่าง ๆ ที่ควรได้รับความสนใจ ทั้งนี้ ไทยได้ย้ำความสำคัญของการเสริมสร้างความเชื่อมโยงทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนไปพร้อมกัน และเสนอให้อาเซียนคัดเลือกโครงการนำร่องที่น่าจะเป็นที่สนใจของประเทศคู่เจรจาและภาคเอกชนเพื่อดำเนินการให้เป็นรูปธรรม ๓. ที่ประชุมแสดงความยินดีต่อการเลือกตั้งซ่อมในเมียนมาร์ และเห็นว่าอาเซียนควรร่วมกันเรียกร้องให้ประเทศตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเมียนมาร์ ซึ่งไทยได้แจ้งความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือด้านโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนา ตลอดจนการเตรียมเป็นประธานอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ของเมียนมาร์ ๔. ที่ประชุมได้รับรองเอกสาร ๔ ฉบับ ได้แก่ ปฏิญญาพนมเปญว่าด้วยอาเซียน : หนึ่งประชาคม หนึ่งจุดมุ่งหมาย (Phnom Penh Declaration on ASEAN : One Community, One Destiny) วาระพนมเปญว่าด้วยการสร้างประชาคมอาเซียน (Phnom Penh Agenda for ASEAN Community Building) ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาเซียนปลอดยาเสพติด ค.ศ. ๒๐๑๕ (ASEAN’s Declaration on a Drug-Free ASEAN 2015) และเอกสารแนวคิดเรื่องกลุ่มผู้มีแนวคิดสายกลาง (ASEAN’s Concept Paper on Global Movement on Moderates)
|
|||||||||||||||||||||||||||
30467 | รายงานความคืบหน้ากรณีเกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ภายในบริเวณโรงงานบริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด และกรณีเกิดอุบัติเหตุก๊าซรั่วในบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัล (ประเทศไทย) จำกัด | อก | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้ากรณีเกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ภายในบริเวณโรงงานบริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด ณ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และกรณีเกิดอุบัติเหตุก๊าซรั่วในบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัล (ประเทศไทย) จำกัด ณ นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้เดินทางไปที่สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เพื่อเป็นสักขีพยานการมอบเงินช่วยเหลือพิเศษแก่ครอบครัวของพนักงานบริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเพลิงไหม้ภายในบริเวณโรงงานของบริษัทฯ จำนวน ๗ ราย ๆ ละ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งรับผิดชอบบุตรของพนักงานผู้เสียชีวิตให้ได้รับการศึกษาจนจบระดับปริญญาตรี ในส่วนของเงินประกันชีวิตอุบัติเหตุ จำนวน ๓๖ เท่าของเงินเดือน และเงินชดเชยส่วนอื่น ๆ จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และได้มอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวของพนักงานของบริษัทผู้รับเหมาปฏิบัติงานในพื้นที่โรงงานของบริษัทฯ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว จำนวน ๔ ราย ๆ ละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้มอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง ๑๑ ราย ๆ ละ ๒๐,๐๐๐ บาท สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลที่เกิดจากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ของบริษัทฯ ขณะนี้มีผู้ที่ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลมาบตาพุด ๑ ราย และโรงพยาบาลกรุงเทพ - ระยอง ๑ ราย ส่วนผู้ได้รับผลกระทบจากก๊าซรั่วของบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ทั้งหมดแล้ว ๒. กระทรวงอุตสาหกรรมได้ประชุมร่วมกับ กนอ. สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ แผนระยะเร่งด่วน ให้มีคณะกรรมการไตรภาคีร่วมระหว่างกรมควบคุมมลพิษ กนอ. และตัวแทนภาคประชาชน ตรวจพื้นที่เกิดเหตุเพื่อยืนยันว่าไม่มีสารมลพิษตกค้าง และให้กระทรวงสาธารณสุขเข้าไปให้บริการตรวจสุขภาพประชาชนผ่านหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ใน ๑๐ ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งดำเนินการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ และจัดให้มีอุปกรณ์ดับเพลิงและป้องกันภัยสำหรับหน่วยงานภายนอกที่เข้าช่วยเหลือ ๒.๒ แผนระยะสั้น โดยจัดตั้งศูนย์บัญชาการประมวลข้อมูลข่าวสารระหว่าง กนอ. ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ไปยังชุมชนเช่นเดียวกับแผนจัดการน้ำ พร้อมทั้งมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบโดยตรง เพื่อชี้แจงให้กับภาคประชาชนรับทราบข้อมูลได้ทันท่วงทีและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยให้เริ่มจากระดับพื้นที่ก่อนและขยายไปสู่ระดับจังหวัด และให้มีการเชื่อมข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Environmental Monitoring and Control Center : EMC2) ของ กนอ. ไปยังศูนย์ข้อมูลของสำนักนายกรัฐมนตรี ๒.๓ แผนระยะยาว โดยจัดตั้งศูนย์ป้องกันภัยพิบัติ ซึ่งมีกระทรวงมหาดไทยดูแลในภาพรวม (แผน ๒) โดยเชื่อมโยงศูนย์ประมวลข้อมูล ณ จุดเดียว ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนและประชาชนในการแจ้งข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที และให้ทุกนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม สอบทานแผนความเสี่ยง การเข้าซ่อมบำรุง โดยเฉพาะสารพิษและสารไวไฟ มีการตรวจคุณภาพที่เข้มข้นทุกไตรมาส และจัดทำแผนป้องกันความเสี่ยงเสนอเพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติในการต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน การจัดฝึกอบรมแก่พนักงานผู้ปฏิบัติของบริษัท และการออกใบรับรองหรือใบอนุญาตในการปฏิบัติหน้าที่ที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งการจัดตั้ง Critical Quick Check ภายในพื้นที่มาบตาพุดคอมเพล็กซ์ การจัดรถลาดตระเวน (Patrol) เข้าตรวจสอบเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในพื้นที่ การจัดทำฐานข้อมูลสารเคมีที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกัน การตรวจสอบและสอบทานมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย (Standard Operation Prodecure) ตลอดจนให้ชุมชนมีส่วนในการจัดทำแผนฉุกเฉินสำหรับชุมชน โดยให้ผู้ประกอบการจัดทำกระบวนการแสดงความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||
30468 | การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง (พ.ศ. 2548 - 2553) | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๓) กำหนดเป็นนโยบายรัฐบาล โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๔๒ (๑๗) แห่งประมวลรัษฎากร ตราเป็นกฎกระทรวง เพื่อกำหนดให้เงินช่วยเหลือเยียวยาและประโยชน์อย่างอื่นซึ่งอาจคิดคำนวณเป็นเงินที่ได้รับจากรัฐ เป็นเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยด่วนต่อไป โดยให้ครอบคลุมถึงผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองทุกกลุ่ม ทุกเหตุการณ์ รวมถึงเหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
30469 | การกู้เงินเพื่อการบริหารหนี้เงินกู้ตามโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร ปีการผลิต 2551/52 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กู้เงินในประเทศ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๑,๐๖๐ ล้านบาท เพื่อ Roll Over เงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระคืนในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน ๒. ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้งได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||
30470 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. เห็นชอบข้อเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุงองค์การมหาชน จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ และศูนย์คุณธรรม ตามมติ ก.พ.ร. เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ส่วนองค์การมหาชนอีก ๒ แห่ง ให้ดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ ๒.๑ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (สคพ.) มอบให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปเร่งรัดจัดทำแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ให้มีความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แล้วเสนอ ก.พ.ร. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๒.๒ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) มอบให้ ก.พ.ร. รับไปพิจารณาทบทวนข้อเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุง อพท. อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะการมอบภารกิจของ อพท. ไปให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการมอบการบริหารจัดการโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีและพื้นที่เชื่อมโยง ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) เพื่อประเมินความคุ้มค่าในการจัดตั้งเมื่อดำเนินการครบ ๓ ปี การกำหนดกรอบการประเมินองค์การมหาชนโดยรวมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกแห่ง การแบ่งกลุ่มองค์การมหาชนโดยพิจารณาบทบาทและภารกิจหลักขององค์กรที่มีลักษณะใกล้เคียงกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกันเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลการประเมินในแต่ละกลุ่มได้ชัดเจน และการให้ความสำคัญต่อการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
30471 | แผนยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | สช | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นตามที่คณะกรรมการภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพเสนอ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้คณะกรรมการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพแห่งชาติประสานงานเพื่อขับเคลื่อน ผลักดันการดำเนินงาน ติดตาม กำกับ ประเมินผล แผนยุทธศาสตร์ชาติ และการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น รายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบูรณาการการทำงานจากทุกภาคส่วนโดยร่วมกันจัดทำแผนงาน/โครงการ แผนเงิน และผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน มีการติดตามและประเมินผลเป็นระยะ มีแนวทางการส่งเสริมและการสร้างหลักฐานที่น่าเชื่อถือในด้านความปลอดภัย ศักยภาพ คุณประโยชน์ และการรักษาจากการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก มีการพัฒนากำลังคนด้านการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกให้มีสมรรถนะที่เหมาะสม รวมทั้งการกำหนดเรื่องการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทยในเชิงพาณิชย์อย่างชัดเจน การเร่งรัดจัดทำระบบข้อมูลภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์แผนไทยในระดับประเทศ และการสนับสนุนทางด้านวิชาการ เทคโนโลยี และนักวิชาการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยาสมุนไพรไทยให้ได้มาตรฐานสากล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30472 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุวัติการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน The GMS Agreement) | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยาม “พื้นที่ควบคุมร่วมกัน” หมายความว่า พื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุมร่วมกันตามกฎหมายว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน ๑.๒ กำหนดให้กรมศุลกากรมีอำนาจในทางศุลกากรทั้งปวงในพื้นที่ควบคุมร่วมกันเช่นเดียวกับในเขตศุลกากร และการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานศุลกากรในพื้นที่ควบคุมร่วมกันนอกราชอาณาจักร ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติงานในราชอาณาจักร ๑.๓ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรที่พนักงานศุลกากรตรวจพบในพื้นที่ควบคุมร่วมกันในราชอาณาจักร ๑.๔ กำหนดให้การดำเนินการในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรที่พนักงานศุลกากรตรวจพบในพื้นที่ควบคุมร่วมกันนอกราชอาณาจักรให้พนักงานศุลกากรของรัฐบาลไทยร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศภาคีตามความตกลงให้ส่งบุคคล สัตว์ พืช ของ ตลอดจนยานพาหนะ ผู้ควบคุมพาหนะ และคนประจำพาหนะที่ใช้ขนส่งสิ่งดังกล่าวกลับมายังราชอาณาจักร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปฏิบัติพิธีการศุลกากรว่าด้วยการผ่านแดน) รวม ๒ ฉบับ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30473 | แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 | สธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ซึ่งได้นำกรอบและทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างวิถีชีวิตที่มีเหตุผล รู้จักพอประมาณ หลีกเลี่ยงและลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ส่งเสริมการประกอบกิจการและอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม เน้นมาตรการเชิงรุกและหลักการป้องกันไว้ก่อน รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมและภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนให้สามารถจัดการสภาพแวดล้อมให้ปลอดมลพิษเพื่อการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์และแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยครอบคลุมทั้งภาครัฐทุกระดับและภาคเอกชนให้สอดคล้องกับบริบท ปัญหาและสถานการณ์ พัฒนาบุคลากรด้านงานอนามัยสิ่งแวดล้อม จัดทำระบบและการเชื่อมโยงฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พัฒนากลไกทางด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยเร่งรัดการดำเนินงานโครงการที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและพื้นที่ ตลอดจนข้อตกลงตามนัยแห่งบทบัญญัติของกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และประชาชนในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยระดมศักยภาพและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ร่วมคิด ร่วมสร้างสรรค์งานอนามัยสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการบูรณาการและเสริมพลังระหว่างภาคีเครือข่าย และขับเคลื่อนผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างจิตสำนึกสาธารณะ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมบทบาทของ อปท. ภายใต้หลักคิดการกระจายอำนาจ เสริมสร้างศักยภาพบุคลากร สนับสนุนและผลักดันการพัฒนาระบบงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่นให้เชื่อมโยงกับส่วนภูมิภาคและส่วนกลางอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยให้เหมาะสมกับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน สร้างฐานการเรียนรู้ที่เชื่อมโยง แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง พัฒนาและถ่ายทอดนวัตกรรมองค์ความรู้และเทคโนโลยี รวมทั้งพัฒนาระบบให้บริการทางวิชาการเพื่อการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการรณรงค์ปลอดการเผา (Zero burn) ในพื้นที่เกษตรกรรมทุกประเภท การส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าสารเคมีในการดูแลผลิตภัณฑ์ทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะและเชื้อเพลิงที่มีมลพิษต่ำโดยการส่งเสริมการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในเขตเมือง การพิจารณาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายความเข้มงวดในการปฏิบัติตามและบทลงโทษให้มีความเหมาะสมต่อประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น การให้ความสำคัญกับการป้องกันความเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากผลกระทบด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม การส่งเสริม และฟื้นฟูสุขภาพจากการเจ็บป่วยดังกล่าว การให้คำจำกัดความที่ชัดเจนระหว่าง “ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม” และปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม” การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมีการวิจัยที่ครอบคลุมทุกด้านทั้งอนามัยสิ่งแวดล้อมในน้ำ ดิน และอากาศ รวมทั้งเทคโนโลยีการป้องกันมลพิษ (Pollution Prevention Technology) การสร้างความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพในการพัฒนาผลิตบัณฑิตและนักวิจัยในด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการสารเคมี และศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการกำหนดรายละเอียดกลไกการขับเคลื่อนและแนวทางการติดตามประเมินผลอย่างชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทของ อปท. ในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยให้กระทรวงสาธารณสุขถ่ายโอนสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) รวมทั้งบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ อปท. เพื่อให้ อปท. มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติม |
|||||||||||||||||||||||||||
30474 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2553 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานสำคัญในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๓ มีดังนี้ ๑.๑ การจัดทำแผนและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาระบบงานยุติธรรม ได้แก่ แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ -๒๕๕๕ และแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๕ ๑.๒ การประสานข้อมูล เครือข่ายการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ได้แก่ โครงการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมในเขตเมืองด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม โครงการคืนคนดีสู่สังคม โครงการศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม และการส่งเสริมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ๑.๓ การศึกษา วิจัยและพัฒนากฎหมาย และระบบงานยุติธรรม ได้แก่ การพัฒนาการกำหนดความผิด โทษ และมาตรการทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย การพัฒนาระบบราชทัณฑ์ การพัฒนางานด้านนิติวิทยาศาสตร์ โครงการสำรวจข้อมูลการกระทำผิดด้วยการรายงานตนเอง (Self Reported Crime Survey) และการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ ๘ เรื่อง “นิติรัฐและพลเมือง : ทางออกประเทศไทย” ๑.๔ การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้สู่สังคม ได้แก่ การเสวนาทางวิชาการ “ยุติธรรม : ความสำเร็จของกระบวนการยุติธรรมระดับพื้นที่” โครงการยกย่องผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกระบวนการยุติธรรม “รางวัลยุติธรรมธร” การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม และการเผยแพร่ข้อมูลคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ๑.๕ การพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ การจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม และการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับสูง (ยธส.) ๒. รายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ประกอบด้วย ด้านการจัดทำแผนและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารงานยุติธรรม ด้านการส่งเสริมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ด้านการวิจัย พัฒนากฎหมาย และการบริหารงานยุติธรรม ด้านการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรม ด้านการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ด้านการส่งเสริมพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับพื้นที่ และภารกิจด้านงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแหงชาติ รวมค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน ๔๗,๐๑๗,๙๗๕.๐๑ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
30475 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 และวันที่ 14 มีนาคม 2554 เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด | กษ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ กรณีการร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ชะลอโครงการศึกษาวิจัยผลกระทบจากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดไว้ก่อน ดังนั้น จึงยังไม่สามารถนำข้อเท็จจริงทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงกุ้งขาวและผลกระทบของการใช้ความเค็มที่เกิดขึ้นไปชี้แจงให้เกษตรกรเข้าใจจนเกิดการยอมรับมาตรการเยียวยาได้ ส่วนการจัดเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด สำหรับการกำหนดพื้นที่ จำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ และกรอบวงเงินงบประมาณที่ภาครัฐจะต้องใช้ในการเยียวยาเกษตรกร นั้น เนื่องจากขณะนี้ร่างหลักเกณฑ์การกำหนดพื้นที่น้ำจืด ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ จึงมีผลทำให้ยังไม่มีความชัดเจนของจำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ และกรอบวงเงินงบประมาณที่จะใช้ในการเยียวยาได้ ๑.๒ ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับการพิจารณาความเหมาะสมของข้อกำหนดที่กรมพัฒนาที่ดินเคยใช้ในการกำหนดเขตพื้นที่ระงับการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบความเค็มต่ำในพื้นที่น้ำจืดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๑ กับสภาพของดินและสภาพพื้นที่ กรมประมงและกรมพัฒนาที่ดินได้ร่วมกันร่างหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ และนำเสนอในการประชุม ๕ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงมหาดไทย กรมประมง กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสถาบันการศึกษา) เพื่อพิจารณา แต่การประชุมไม่สามารถสรุปความเห็นได้อย่างเป็นเอกฉันท์ ซึ่งขณะนี้ร่างหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี สำหรับการออกคำสั่งระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดของผู้ว่าราชการจังหวัด ขณะนี้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ๓๔ จังหวัด มีเพียง ๓ จังหวัดเท่านั้นที่มีการเลี้ยงกุ้งขาวในพื้นที่น้ำจืด คือ จังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และนครสวรรค์ ซึ่งมีเกษตรกรขึ้นทะเบียนกับกรมประมง จำนวน ๑๒๕ ราย พื้นที่เลี้ยง ๙๑๙ ไร่ ส่วนบางจังหวัดที่ยังไม่ได้ออกคำสั่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ทำหนังสือขอหารือแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนในการออกคำสั่งดังกล่าวว่า จะต้องเข้าเงื่อนไขตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือไม่ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ และให้รายงานความคืบหน้าในการรายงานครั้งต่อไป ในประเด็นเกี่ยวกับการจัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ การกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ และการกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30476 | การย้ายที่ตั้งสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ทก | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ย้ายที่ตั้งสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union หรือ ITU) จากชั้น ๓ อาคาร ๖ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ ไปยังชั้น ๕ อาคารศูนย์ฝึกอบรม บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ถนนแจ้งวัฒนะ โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในนามของรัฐบาลไทยเป็นผู้รับผิดชอบค่าเช่าพื้นที่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งค่าสาธารณูปโภค ๒. เห็นชอบให้ประเทศไทย โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเจรจาและจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสหภาพ โทรคมนาคมระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ |
|||||||||||||||||||||||||||
30477 | รายงานการเดินทางไปปฏิบัติราชการ ณ สาธารณรัฐเกาหลี | รง | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเดินทางไปปฏิบัติราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะ ณ สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ให้โอวาทแก่แรงงานไทยในระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) จำนวน ๒๔๙ คน ที่เดินทางถึงสาธารณรัฐเกาหลี ณ ศูนย์อบรมแรงงานต่างชาติแรกเข้า (KOILAF) เมืองยอจู เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๕ โดยขอให้แรงงานไทยมีความขยัน อดทน ตั้งใจทำงาน และรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นไทย พร้อมทั้งอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ของไทย ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะได้ประชุมหารือกับรองประธานบริษัทก่อสร้าง SAMHO DEVELOPMENT จำกัด ณ สำนักงานใหญ่กรุงโซล เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับความต้องการจ้างแรงงานไทยและการเสนอขอให้รัฐบาลเกาหลีอนุญาตให้เพิ่มเวลาการจ้างแรงงานต่างชาติ และได้เดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทยในเขตก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมซีฮวา เมืองซีฮวา จังหวัดเคียงกี ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้พบปะพูดคุยกับแรงงานไทยดังกล่าว พร้อมทั้งเยี่ยมชมสถานที่ทำงานและที่พัก ทั้งนี้ แรงงานไทยส่วนใหญ่ทำงานมากกว่า ๔ ปี และยังต้องการทำงานที่บริษัท SAMHO DEVELOPMENT ต่อไป ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานและร่วมงานสงกรานต์ไทย - เกาหลี ประจำปี ๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ณ สวนสาธารณะหน้าเทศบาลอืยจองบู จังหวัดเคียงกี สาธารณรัฐเกาหลี โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้พี่น้องชาวไทยในสาธารณรัฐเกาหลีและพี่น้องชาวเกาหลีได้ร่วมกิจกรรมงานสงกรานต์อันเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีไทย และเชื่อมโยงมิตรภาพ เสริมสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับเกาหลี อีกทั้งเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แรงงานไทยที่อยู่ต่างแดน ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะได้ร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงแรงงานและการจ้างงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงานและการจ้างงาน เมืองควาชอน สาธารณรัฐเกาหลี ทั้งนี้ พิธีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวเป็นการจัดทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจัดแรงงานภายใต้การจัดส่งแรงงานแบบรัฐต่อรัฐ (ระบบ EPS) มีระยะเวลา ๒ ปี โดยรัฐบาลเกาหลีกำหนดโควตาให้มีการจ้างแรงงานต่างชาติ ๑๕ ชาติ ซึ่งแรงงานไทยมีจำนวนเป็นอันดับที่ ๔ ของแรงงานต่างชาติทั้งหมด สำหรับแรงงานแรกเข้าที่จัดส่งมาจากผู้ที่สอบผ่านความสามารถภาษาเกาหลี แรงงานไทยมีจำนวนมากเป็นอันดับที่ ๑ และจะมีการพิจารณาปรับอายุจากเดิม ๔๐ ปี เป็นอายุ ๔๕ ปี โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีโควตาแรงงานไทย จำนวนทั้งสิ้น ๘,๐๐๐ คน
|
|||||||||||||||||||||||||||
30478 | โครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดยใช้มันเส้นตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 | พณ | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ระบายมันเส้นจากสต็อกของรัฐบาลที่จำนำไว้ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อนำไปผลิตเอทานอล จำนวนประมาณ ๖๕,๐๐๐ ตัน ในราคาตันละ ๗,๙๔๗.๙๐ บาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งเป็นราคาตามที่คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังได้มีมติเห็นชอบไว้ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ สำหรับการชดเชยต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เป็นส่วนต่างของราคาให้ใช้เงินชดเชยส่วนต่างจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติม โดยให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วดำเนินการต่อไปได้ และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดค่าชดเชยส่วนต่างราคาเอทานอลให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และหาแนวทางอื่นเพิ่มเติมในการระบายมันเส้นและแป้งมันจากสต็อก เช่น การส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศโดยตรง หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งทบทวนระดับราคาที่จะจำหน่ายให้สะท้อนต้นทุนการผลิตมันเส้นที่แท้จริง เพื่อไม่ให้การดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ประสบผลการขาดทุน ตลอดจนเร่งหาช่องทางระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่เก็บสต๊อกไว้ให้มีปริมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีการตรวจสอบสต๊อกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการรั่วไหลเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30479 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ 1 : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง | พน | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติมขอแก้ไขข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน จากเดิม “อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท” เป็น “อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท” โดยข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน มีดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ในวงเงินลงทุนจำนวน ๙,๘๕๐ ล้านบาท โดยดำเนินการปรับปรุงและขยายสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๑๕ แนวสายก่อน (รวม ๑๕ โครงการย่อย) และงานปรับปรุงและขยายสายส่งไฟฟ้าเบ็ดเตล็ด จำนวน ๑ โครงการย่อย รวมทั้งหมด ๑๖ โครงการย่อย ๑.๒ อนุมัติในหลักการเบิกจ่ายเงินงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๑ : ส่วนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จำนวน ๗๔.๓ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการพิจารณาจัดโครงสร้างทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของโครงการฯ ให้มีความเหมาะสม การบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสมรอบคอบและมีประสิทธิภาพ การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Environmental Impact Assessment : EIA) รวมทั้งการบริหารและควบคุมการดำเนินโครงการฯ ให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ประหยัดมากที่สุด การศึกษาทางเลือกสำหรับแนวสายส่งที่จะเสนอปรับปรุงในระยะต่อไป และการบูรณาการการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart grids) ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30480 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อจัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรด้านกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2555 | กต | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้จัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อจัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรด้านกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพมหานคร โดยสาระสำคัญของหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีดังนี้ ๑.๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่ออบรมกฎหมายระหว่างประเทศให้กับผู้ที่มีภูมิหลังด้านกฎหมายหรือประสบการณ์ในการทำงานด้านกฎหมายระหว่างประเทศ อายุระหว่าง ๒๔ - ๔๕ ปี จากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยการคัดเลือกจะกระทำโดยสหประชาชาติให้เหลือจำนวนผู้เข้าร่วมไม่เกิน ๓๕ คน ซึ่งประเทศไทยสามารถส่งผู้แทนเข้ารับการฝึกอบรมฯ ได้ ๕ คน ๑.๑.๒ ผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางมายังประเทศไทย โดยสหประชาชาติจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของวิทยากรและเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย ค่าหนังสือ และสื่อการสอนอื่น ๆ ที่ใช้ในการฝึกอบรมฯ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าประกันสุขภาพสำหรับผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ ที่ได้รับการจัดสรรทุนไม่เกิน ๒๐ คน สำหรับรัฐบาลไทยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสถานที่จัดการฝึกอบรม การจัดสถานที่พัก อาหารเช้าและอาหารค่ำ สำหรับผู้เข้าร่วมที่ได้รับทุนไม่เกิน ๒๐ คน ๑.๑.๓ รัฐบาลไทยจะให้เอกสิทธิและความคุ้มกันเท่าที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยเอกสิทธิและความคุ้มกันของสหประชาชาติที่ได้รับรองโดยสหประชาชาติ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๔๖ แก่ผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ผู้เชี่ยวชาญที่ปฏิบัติหน้าที่ให้สหประชาชาติที่เกี่ยวเนื่องกับหลักสูตรการฝึกอบรม และเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติที่เข้าร่วมหรือปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวเนื่องกับหลักสูตรการฝึกอบรมฯ ๑.๒ อนุมัติให้นายนรชิต สิงหเสนี เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทย ๑.๓ หากมีความจำเป็นจะต้องแก้ไขปรับปรุงหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินการในส่วนของประเทศไทย ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรด้านการทูตและการต่างประเทศที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้ ในวงเงินรวม ๓๐ ล้านบาท |
.....