ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1365 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 27281 - 27300 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27281 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ | กค | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ ซึ่งแก้ไขปรับปรุงจากร่างประกาศฯ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยเพิ่มเติมร่างข้อ ๒ วรรคสอง ในประเด็นการกำหนดข้อยกเว้นกรณีมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของประเทศ กระทรวงการคลังอาจเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น นอกจากหนี้ ๘ รายการที่กระทรวงการคลังอาจค้ำประกันการชำระหนี้ตามร่างข้อ ๒ วรรคหนึ่งได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้โดยเฉพาะในกรณีการดำเนินการตามข้อ ๒ วรรคสองของร่างประกาศฯ กระทรวงการคลังต้องดำเนินการอย่างเข้มงวดตามกระบวนการและขั้นตอนในการจัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะตามกรอบของกฎหมาย ระเบียบและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
27282 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง ตำบลดงมหาวัน อำเภอเวียงเชียงรุ้ง และตำบลแม่ข้าวต้ม ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง ตำบลดงมหาวัน อำเภอเวียงเชียงรุ้ง และตำบลแม่ข้าวต้ม ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง ตำบลดงมหาวัน อำเภอเวียงเชียงรุ้ง และตำบลแม่ข้าวต้ม ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง ตำบลดงมหาวัน อำเภอเวียงเชียงรุ้ง และตำบลแม่ข้าวต้ม ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
27283 | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN - German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector) | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนที่ตอบรับการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน และร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Secton) ๑.๒ ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักของโครงการ ASEAN-German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่เลขาธิการอาเซียนลงนามความตกลงระหว่างประเทศของอาเซียนในฐานะที่เป็นองค์การระหว่างประเทศไม่จำเป็นต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) จากรัฐบาลไทย แต่รัฐบาลไทยจะต้องให้ความยินยอมผ่านคณะผู้แทนไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ในการลงนามความตกลงฯ โดยส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะต้องเสนอร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ นอกจากนี้ ข้อ ๔ ข้อย่อย ๔.๙ ของร่างความตกลงฯ ระบุว่า ความตกลงฉบับนี้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่ใช้อยู่ของเยอรมนี ดังนั้น การจัดทำความตกลงฯ จึงต้องปฏิบัติตาม Rules of Authorisation for Legal Transaction under Domestic Laws ที่กำหนดให้มีการเสนอและรับรองรายชื่อบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินนิติกรรมที่อยู่ภายใต้กฎหมายภายในนามของอาเซียน ซึ่งหากมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าวแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสนอร่างความตกลงฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่อย่างใด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27284 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การกัดเซาะชายฝั่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" | สสป | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การกัดเซาะชายฝั่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยสภาที่ปรึกษาฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะให้รัฐดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งระดับประเทศ ได้แก่ ควรให้มีการจัดการดูแลพื้นที่ชายฝั่งที่ยังคงอยู่ในสภาพปกติหรือเสี่ยงต่อความเสียหาย ควรให้มีการบูรณาการการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของทุกองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรให้มีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาและการพัฒนาชายฝั่งอย่างจริงจัง และควรจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการศึกษาวิจัยการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่มีความเหมาะสมกับระบบนิเวศของแต่ละสภาพพื้นที่ รวมทั้งสนับสนุนการทำรายงานผลกระทบต่อด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างยั่งยืน รวมถึงควรมีการบรรจุการกัดเซาะในส่วนของการวิเคราะห์ วิจัยในหลักสูตรของการศึกษา และให้ความรู้กับประชาชนในท้องที่ ๒. ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งระดับพื้นที่ ได้แก่ ควรเร่งฟื้นฟูและเร่งแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่เสียหายอยู่ในขั้นวิกฤติอย่างเร่งด่วน และพื้นที่วิกฤติที่เสียหายในระดับปานกลางให้เหมาะสมกับพื้นที่ ควรมีการประเมินพื้นที่ที่อยู่อาศัยและพื้นที่สาธารณะที่เสียหายจากการกัดเซาะชายฝั่ง และต้องหาแนวทางการเยียวยาให้ประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||
27285 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 11/2556 เรื่อง โครงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย | นร01 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนปฏิบัติการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน กรณีโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ๑.๒ อนุมัติโครงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน กรณีโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ๑.๓ อนุมัติงบประมาณ จำนวน ๑๘๔,๖๔๓,๙๒๐ บาท เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมตามโครงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนฯ โดยให้รับจัดสรรจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยจัดสรรงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมตามโครงการดังกล่าวให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบแผนงาน ประกอบด้วย แผนงานการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูล แผนงานการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน แผนงานการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และแผนงานอำนวยการ ติดตาม ประสานงานและประเมินผล ๒. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงบประมาณ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ควรมีการนำเสนอภาพรวมของโครงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนฯ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ทั้งด้านบวกและด้านลบของโครงการ โดยต้องมีวิธีการสื่อสารให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าใจได้ง่าย และในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากโครงการ ต้องครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม โดยมีสัดส่วนที่เหมาะสมและสามารถเป็นตัวแทนของพื้นที่โครงการได้ รวมทั้งเห็นควรเชิญเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านในพื้นที่จังหวัดที่ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นให้เข้าร่วมการประชุมด้วย นอกจากนี้ ในการรับฟังความคิดเห็น จำเป็นต้องให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียได้แสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึงและรับทราบข้อมูลทั้งหมดตามที่มีอยู่และเป็นปัจจุบันเพื่อให้สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างถูกต้องตรงต่อความเป็นจริง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27286 | ขอถอนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องมือวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและการบำบัดโรค สำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ พ.ศ. .... | สธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องมือวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและการบำบัดโรค สำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
27287 | แนวทางการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา (การจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา) | นร12 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการและประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ส่วนกรณีการให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีเงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปี สามารถโอนเปลี่ยนแปลงรายการเงินงบประมาณเหลือจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปตั้งจ่ายในงบบุคลากร รายการเงินรางวัลสำหรับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่มีผลการปฏิบัติงานดี เพื่อเบิกจ่ายเป็นเงินรางวัลสำหรับผลการปฏิบัติงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ นั้น ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
27288 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชน ในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๕,๙๓๑ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในหลากหลายประเด็น ตามลำดับ ๒. หน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และธนาคารออมสิน ตามลำดับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||
27289 | การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ | มท | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. แต่งตั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ แทนรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ๒. แต่งตั้งให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ ในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ แทนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ๓. แต่งตั้งให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๒ ในคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ แทนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร)
|
||||||||||||||||||||||||
27290 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในการส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ" | สสป | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในการส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ กรมการศาสนา และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ กับความมั่นคงของประเทศ ได้แก่ ๑.๑ รัฐบาลควรถือเป็นนโยบายที่สำคัญที่จะต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้สถิตสถาพรตลอดไป ๑.๒ ควรมีนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนในการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันชาติฯ ให้ทุกภาคส่วนของสังคมทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และคนไทยทุกคน ให้ร่วมกันในการพิทักษ์รักษาความมั่นคงของสถาบันชาติฯ ๑.๓ รัฐบาลควรน้อมนำพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ให้ประชาชนผู้อยู่ในแผ่นดินไทย ต้องมีหน้าที่ร่วมกันประกอบกรณียกิจ เพื่อป้องกันรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ ให้ดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไป มาปฏิบัติ ๑.๔ รัฐบาลควรน้อมนำอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง มาเป็นอุดมการณ์ของชาติ และเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ๑.๕ รัฐบาลควรน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นอุดมการณ์ของชาติ และเป็นนโยบายที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล ๒. การรักษาและส่งเสริมสถาบันชาติ โดยรัฐบาลควรผนึกกำลังของทุกภาคส่วนในสังคม ได้แก่ ๒.๑ การอนุรักษ์เอกลักษณ์ไทยที่ดีงาม ให้เป็นมรดกของชาติและทุนที่สำคัญของสังคมตลอดไป ๒.๒ การส่งเสริมความจงรักภักดีต่อชาติ โดยร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดี รักษาและส่งเสริมวัฒนธรรมที่ดีงาม ร่วมกันส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ๒.๓ การป้องกัน แก้ไข และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่ร้ายแรงที่สุดปัญหาหนึ่ง ที่บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ๒.๔ การส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย ปลูกฝัง วัฒนธรรมประชาธิปไตยให้ฝังแน่นในจิตใจของคนทุกคนและทุกระดับ รู้จักใช้สิทธิและปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง เป็นประโยชน์และเป็นธรรม ๓. การรักษาและส่งเสริมสถาบันศาสนา ๓.๑ กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี โครงการ และมาตรการที่ชัดเจนในการอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่นที่ทางราชการรับรอง รวมทั้งการส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา สนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต ๓.๒ รัฐบาลควรปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ ที่ได้พระราชทานไว้เกี่ยวกับศาสนาและการศึกษา โดยถือเป็นนโยบายที่สำคัญที่คนไทยโดยเฉพาะเยาวชนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญและอนาคตของชาติ เป็นผู้มีทั้งศาสนาและการศึกษาควบคู่กัน ๓.๓ รัฐบาลควรน้อมนำพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ได้พระราชทานไว้เกี่ยวกับหลักของใจอันมั่นคงมาปฏิบัติตาม สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนและทุกคนได้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้ทุกคนมีหลักของใจอันมั่นคง มีศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง และปฏิบัติด้วยศรัทธาและปัญญาอันถูกต้อง ๓.๔ รัฐบาควรมีนโยบาย แผนงาน และโครงการที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้องค์การศาสนาและผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ โดยเฉพาะศาสนาที่ทางราชการรับรอง คือ พระพุทธศาสนา ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ มีความเข้าใจอันดี มีการส่งเสริมสนับสนุนกัน ๓.๕ ควรน้อมนำคุณธรรม ๔ ประการ ตามพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นคุณธรรมประจำใจ อาทิ การที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยเมตตากรุณา มุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน การที่แต่ละคนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต และการที่ต่างคนต่างพยายามทำความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุผล เป็นคุณธรรมของชาติ เป็นต้น ๓.๖ รัฐบาลควรจัดให้มีการทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยการมีส่วนร่วมของคณะสงฆ์ องค์การ และสถาบันทางพระพุทธศาสนา ผู้ทรงคุณวุฒิ และประชาชน ผู้มีความสนใจ ความรอบรู้ และความห่วงใยในพระพุทธศาสนา ๓.๗ ควรจัดให้มีการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยการนำพุทธปรัชญาการศึกษา ปรัชญาการศึกษาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาประกอบในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ ๔. การรักษา การส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ ๔.๑ รัฐบาลควรมีนโยบาย โครงการ และมาตรการที่ชัดเจน ในการธำรงรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ ๔.๒ รัฐบาลและภาคส่วนต่าง ๆ ควรร่วมกันเผยแพร่พระราชกรณียกิจ พระเกียรติคุณ พระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะพระมหาราชของชาติไทยทั้ง ๙ พระองค์ ๔.๓ ในวันสำคัญของมหาราชแต่ละพระองค์ ทุกภาคส่วนในสังคมไทย สื่อมวลชนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนควรจะมีการเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ เพื่อให้ประชาชนทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณ มีความกตัญญูกตเวทีที่จะสนองพระมหากรุณาธิคุณ ๔.๔ ส่งเสริมพ่อแม่ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ พระสงฆ์ ผู้นำขององค์การและสถาบันต่าง ๆ ควรร่วมกันเผยแพร่พระเกียรติคุณ และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ที่ได้ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร ๔.๕ รัฐบาลควรร่วมกับทุกภาคส่วนในสังคมประกอบความดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ๔.๖ รัฐบาลและทุกภาคส่วนในสังคมควรร่วมกันปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และที่สำคัญที่สุดคือ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งประกอบด้วย ๓ หลักการ ได้แก่ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว และเงื่อนไข ๒ ประการ คือ ความรอบรู้และการมีคุณธรรม โดยเฉพาะความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินแห่งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
|
||||||||||||||||||||||||
27291 | โครงการลงทุนจัดตั้งสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการลงทุนจัดตั้งสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ วงเงิน ๑,๘๐๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคม บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างความแตกต่างระหว่างสายการบินไทยและสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ในรูปแบบและคุณภาพบริการให้โดดเด่น ชัดเจน ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์ทางการตลาด และการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และพิจารณานำระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในการให้บริการบนเครื่องบิน เพื่อให้ผู้ใช้บริการเห็นภาพลักษณ์ความแตกต่างในเรื่องคุณภาพการให้บริการและราคาที่คุ้มค่าของสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ที่เป็นสายการบินภูมิภาค กับสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Carriers) และสายการบินราคาประหยัด (Low Cost Carriers) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้จัดตั้งบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด โดยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ ๑๐๐ เป็นหุ้นสามัญ จำนวน ๑๘๐ ล้านหุ้น (หุ้นละ ๑๐ บาท) และใช้เงินลงทุนจากแหล่งเงินที่มาจากเงินรายได้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๑.๓ ให้บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำหลักเกณฑ์ คำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรี ในหลักการเดียวกันกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยยังคงต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ออกตามความในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม [บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)] รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าโครงสร้างคณะกรรมการบริหารบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ควรมีผู้แทนจากคณะกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือผู้บริหารระดับสูงของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคณะกรรมการบริหารทั้งหมด และให้บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำหลักเกณฑ์ คำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีมาปฏิบัติในหลักการเดียวกันกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยยังคงต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ออกตามความในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีไปเป็นเงื่อนไขประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.๑ การกำหนดตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) ของบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ต้องมีความชัดเจน เหมาะสม ไม่ขัดแย้งกับบริการของสายการบินไทยและมีอัตราค่าบริการที่สามารถแข่งขันกับสายการบินคู่แข่งในตลาด ๓.๒ การบริหารจัดการทรัพยากรและบุคลากรของบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ต้องยึดหลักประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของการดำเนินการโดยต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่า กิจกรรม/ภารกิจใดที่สมควรใช้ร่วมกันหรือแยกต่างหากจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือใช้วิธีการจัดจ้างจากภายนอก (Outsource) ทั้งนี้ กิจกรรม/ภารกิจใดที่มีศักยภาพและมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วและมีอัตราค่าบริการที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดอยู่แล้ว ก็ควรพิจารณาใช้บริการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๓.๓ การกำหนดเส้นทางบินของบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ควรเน้นการให้บริการผู้โดยสารที่เดินทางแบบจุดต่อจุด (Point to Point) โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเมืองหลักทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ทั้งนี้ ควรบูรณาการเส้นทางบินกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนและแย่งผู้โดยสารกันเองด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27292 | เงินอุดหนุนคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) เพื่อสนับสนุนแผนปฏิบัติการ ACWC 5 ปี (2555 - 2559) | พม | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้ประเทศไทยจ่ายเงินอุดหนุนตั้งต้นแก่คณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ASEAN Commission on the Promotion and Protection of the Rights of Women and Children : ACWC) จำนวน ๑,๒๘๐,๐๐๐ บาท หรือ ๔๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และอนุมัติหลักการให้ประเทศไทยจ่ายเงินอุดหนุนเป็นรายปีตามแต่ที่ ACWC กำหนด ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปดำเนินการ สำหรับปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อจ่ายเป็นเงินอุดหนุนเป็นปี ๆ ไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
27293 | ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชต้นทุนสูงที่ประสบอุทกภัยปี 2554 กรณีพิเศษ เพิ่มเติม | กษ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ที่อนุมัติเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชต้นทุนสูงที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ จำนวน ๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัดลพบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้แก่เกษตรกร จำนวน ๒๒๗ ราย ภายในกรอบวงเงิน ๕๗,๑๔๖,๙๑๗ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑,๒๐๓,๙๑๗ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๕,๙๔๓,๐๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรตรวจสอบความถูกต้องในขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือเกษตรกรดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และสามารถตรวจสอบได้ โดยให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนก่อนดำเนินการต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า กรอบหลักเกณฑ์และอัตราการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติในระยะที่ผ่านมา ยังมีหลักเกณฑ์และอัตราการให้ความช่วยเหลือในแต่ละกรณีที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีพืชต้นทุนสูง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ รวมทั้งความเหมาะสมเป็นธรรมในการให้ความช่วยเหลือด้วย จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติในแต่ละกรณีให้ชัดเจน เหมาะสม เป็นธรรมมากยิ่งขึ้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
27294 | ปรับค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน | ศธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการปรับค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้มีความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเกี่ยวกับอัตราค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ของการศึกษา และนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษา จำนวนผู้สำเร็จการศึกษาที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ ๒๕ ของจำนวนนักเรียนที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ รวมทั้งพิจารณาถึงความเหมาะสมในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลของผลการดำเนินงานจากการปรับเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายที่ผ่านมา มาแสดงให้เห็นคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาของสถานศึกษาในการจัดการศึกษานอกระบบ มาประกอบในการขอปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัว นอกจากนี้ ควรมีระบบการกำกับ ติดตามการบริหารจัดการงบประมาณในการจัดการเรียนการสอนที่นำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษา และควรมีบทบาทในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น ชุมชน ภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายในการบริหารจัดการทรัพยากร ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27295 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล (ช่วงที่ 2) ระยะเวลา 5 ปี (ปีงบประมาณ 2557 - 2561) | ศธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล (ช่วงที่ ๒) ระยะเวลา ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) เพื่อให้เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาในรูปแบบการเรียนในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง สามารถกลับไปเรียนต่อในสถานศึกษาและมีสิทธิสอบเลื่อนชั้น รวมทั้งได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย จิตใจ การเรียนรู้ และพัฒนาด้านต่าง ๆ ๒. งบประมาณดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๒.๑๖๒ ล้านบาท หากไม่เพียงพอให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมาดำเนินการก่อนในโอกาสแรก และให้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์การเรียน รวมทั้งการจ้างครูอัตราจ้างในแต่ละปี ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียดตามความจำเป็นเร่งด่วนและเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณเป็นรายปี ไปพิจารณาดำเนินการ ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้ติดตามประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ส่วนการจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ เห็นควรให้พิจารณาใช้เกณฑ์ราคากลางและคุณลักษณะพื้นฐานครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
27296 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2557 | นร11 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๖,๔๔๓ ล้านบาท โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ ๒๑๕,๒๙๘ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม ๒๗๑,๙๘๗ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๙๐,๖๖๒ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุนรวม ๒,๓๕๗,๓๔๙ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๘๕,๗๘๓ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๘๒๓,๔๑๕ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๗๖,๘๘๘ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑ กรอบการลงทุนโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้วและงานตามภารกิจปกติ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๙๗๓,๔๑๕ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๑๖,๘๘๘ ล้านบาท ๑.๒.๒ กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน ๘๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เห็นควรให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๑.๒.๓ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวง และระดับองค์กร ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้รายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะดังกล่าวและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๑.๔ เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการพิจารณากรอบและงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ควรคำนึงถึงความสามารถในการเบิกจ่ายลงทุนในอดีต ความพร้อม และประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจประกอบด้วย รวมทั้งให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจเร่งนำเสนอโครงการตามแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมในการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถเริ่มดำเนินโครงการลงทุนต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
27297 | การได้รับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมหารือเรื่อง การได้รับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยที่ประชุมมีมติว่า การกำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตำแหน่งวิชาการที่ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงของอันดับเงินเดือนของตำแหน่งที่ดำรงอยู่ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของอันดับเงินเดือนเดิม โดยให้ไปอาศัยรับเงินเดือนในตำแหน่งถัดไปอีกตำแหน่งนั้น ก่อให้เกิดความเสมอภาคและเป็นธรรม ในการได้รับค่าตอบแทนเช่นเดียวกับข้าราชการครูซึ่งทำหน้าที่สอนเหมือนกัน ก่อให้เกิดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน ลดการสูญเสียบุคลากรให้กับหน่วยงานอื่นโดยเฉพาะภาคเอกชน ทำให้คณาจารย์สามารถทุ่มเทงานอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องไปหารายได้เสริมภายนอกสถาบันอุดมศึกษา ประกอบกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) มีแนวทางที่เตรียมไว้ในเรื่อง มาตรฐานภาระงานทางวิชาการของผู้ดำรงตำแหน่งวิชาการที่จะดูแลให้คณาจารย์ผลิตผลงานวิชาการออกมาอย่างต่อเนื่อง ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติม กฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้ไขถ้อยคำ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบด้วยแล้ว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการประเมินผลหรือการวัดผลปฏิบัติงานประกอบการดำเนินการตามร่างกฎ ก.พ.อ.ฯ ด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้กระทรวงศึกษาธิการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27298 | ความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) เรื่อง สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักเป็นโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 หรือไม่ | กค | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นควรให้คณะรัฐมนตรีรับทราบว่ากระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมที่จะพิจารณาดำเนินการซึ่งรวมถึงการปฏิบัติและการผ่อนผันตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่เกี่ยวข้องกับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลัก เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ เนื่องจากสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักมีความสำคัญต่อการจัดหาและกระจายเชื้อเพลิงที่จำเป็นต่อภาคการขนส่ง หากมีการหยุดให้บริการชั่วคราวย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชน ระบบการขนส่ง และระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมได้ โดยในระหว่างที่สถานีก๊าซธรรมชาติหลักยังอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ผู้ประกอบการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักจะต้องยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ในกรณีที่การขออนุญาตประกอบกิจการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่า หากสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักดำเนินการจัดตั้งก่อนประกาศบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในพื้นที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะสามารถออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานได้ สำหรับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่ดำเนินการจัดตั้งหลังประกาศบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในพื้นที่ กระทรวงอุตสาหกรรมจะไม่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน อย่างไรก็ดี มาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานได้ หากผู้ขอใบอนุญาตอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีฯ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความมั่นใจว่าพร้อมที่จะพิจารณาดำเนินการเพื่อมิให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะสามารถพิจารณาออกใบอนุญาตให้กับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่ยื่นขอใบอนุญาตให้แล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลา ๙๐ วัน [ทั้งนี้ ภายหลังจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๕) ได้แจ้งผลการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวแล้ว ได้มีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานจากกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว] ๑.๒ หากคณะรัฐมนตรีมีนโยบายจะให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจพลังงานด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักด้วยนั้น กระทรวงพลังงานต้องดำเนินการให้มีกฎหมายที่ใช้ในการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่มีมาตรฐานที่ไม่ด้อยไปกว่ากฎหมายเดิมที่ได้ดำเนินการอยู่โดยหน่วยงานอื่น ๆ ก่อนที่จะรับมอบภารกิจในการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักไปดำเนินการ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินการตามแนวทางที่ได้เสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เพื่อมิให้เกิดความเสียหายในด้านพลังงานของประเทศ ๓. เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการจัดตั้งกระทรวงพลังงานเพื่อกำกับดูแลการพลังงานทั้งระบบ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปรับแก้ไขกฎหมายเพื่อให้กฎหมายภายใต้กระทรวงพลังงานครอบคลุมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานทุกประเภท เช่น แก๊สธรรมชาติ Biogas พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานทดแทนประเภทอื่น ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27299 | การแต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงมหาดไทย) (นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร) | มท | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมสำรวจ (วิศวกรสำรวจทรงคุณวุฒิ) กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
27300 | รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด | สผ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด พร้อมข้อสังเกตกับผลการดำเนินการตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ประชุมพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ของกรุงเทพมหานคร และตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมเพื่อให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ตลอดจนชี้แจงแสดงความคิดเห็นจำนวนรวม ๑๖ ครั้ง ๒. คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาศึกษาข้อเท็จจริงและรายละเอียดข้อมูลเรื่องนี้จากเอกสาร ข้อมูล คำชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งรายละเอียดจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ โดยนำมาประกอบการพิจารณาศึกษาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ๓. สรุปผลการดำเนินการตามรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ในประเด็นเกี่ยวกับ ๓.๑ การติดตั้งกล้องพราง โดยหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร ๓.๒ การจัดซื้อจัดจ้าง โดยหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ๓.๒.๑ การคิดราคากลางงานจ้างเหมาไม่ควรนำรายการอื่น ๆ มารวม เช่น ค่าสำรวจ ค่าประกันภัย ควรคิดแยกเป็นเนื้องานที่ชัดเจน ๓.๒.๒ การติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ควรใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ๓.๒.๓ การเทียบเคียงราคาในการจัดซื้อควรพิจารณาถึงจำนวนกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่ติดตั้งด้วย ๓.๒.๔ ควรพิจารณาถึงรายละเอียดวิธีการจัดซื้อในแต่ละพื้นที่ว่าเหมือนกันหรือแตกต่างกัน เช่น การติดตั้ง การเชื่อมต่อ จำนวนกล้องที่ใช้ ๓.๓ ข้อเสนอแนะ โดยหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ๓.๓.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) เป็นผู้ดูแลทางวิชาการ ข้อกำหนด และราคากลาง ๓.๓.๒ เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมหน้าจอแสดงผลสามารถเห็นเหตุการณ์อาชญากรรมได้อย่างชัดเจน แจ้งเหตุการณ์ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันท่วงที ๓.๓.๓ ควรมีการเก็บข้อมูลสัญญาณภาพมากกว่า ๑ เดือน ๓.๓.๔ การเก็บสัญญาณภาพทั้งหมดควรเก็บไว้หลาย ๆ จุด แต่ละจุดสามารถเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ๓.๓.๕ กรณีมีเหตุการณ์ผิดปกติควรเก็บข้อมูลไว้หลาย ๆ ทาง และทำการบันทึกโดยเจ้าหน้าที่รับผิดชอบบันทึกเอง |
.....