ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1370 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 27381 - 27400 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27381 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา) | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา) ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๖ และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๖ และการประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๖ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอนุภูมิภาค และดึงญี่ปุ่นให้ร่วมให้การสนับสนุนในลักษณะความร่วมมือสามฝ่าย รวมทั้งในโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย การดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (CBTA) อย่างเต็มรูปแบบ การแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับระบบการเงินของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การจัดเวทีสนทนาระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน รวมทั้งการประชุม Mekong-Japan Meeting of the Forum for the Promotion of Public-Private Cooperation in the Mekong Region ครั้งที่ ๔ ที่ญี่ปุ่นในปี ๒๕๕๗ การร่วมมือกับญี่ปุ่นและประเทศลุ่มน้ำโขงพัฒนาเขตเศรษฐกิจในประเทศลุ่มน้ำโขง การอำนวยความสะดวกให้มีการดำเนินการตามกรอบความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน และความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนที่ดำเนินการโดยศูนย์อาเซียนญี่ปุ่น การเป็นเจ้าภาพร่วมกับญี่ปุ่นในการจัดการประชุม Green Mekong Forum ครั้งที่ ๒ ที่กรุงเทพฯ ในช่วงปลายปี ๒๕๕๖ การทบทวนแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นในประเด็นด้านเศรษฐกิจ และการเตรียมการเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ ๒. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๓ ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขาความเชื่อมโยง การติดตามความคืบหน้าการประชุมสามฝ่าย กัมพูชา-ไทย-สาธารณรัฐเกาหลีเพื่อการพัฒนาเส้นทางหมายเลข ๔๘ (เกาะกง-สะแรอัมเบิล) ในกัมพูชา การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และติดตามความร่วมมือในการพยากรณ์อากาศระดับภูมิภาค การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขาการบริหารจัดการน้ำ การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขา Green Growth การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขาการเกษตรและการพัฒนาชนบท และติดตามความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีเก็บรักษาผลผลิตการเกษตร การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการประสานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) เข้าร่วมการประชุม Mekong-ROK Business Forum ครั้งที่ ๒ ที่เวียดนาม ๓. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๖ ได้แก่ การติดตามผลการพิจารณาข้อเสนอโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการพรมแดนของสหรัฐฯ การติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการ Infrastructure Best Practices Exchange Workshop Series (BPEs) ของสหรัฐฯ ซึ่งเสนอให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัด workshop เกี่ยวกับตลาดทุน financing modality และ PPPs ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การดำเนินโครงการ Professional Communication Skills for Leaders ระยะที่ ๒ การติดตามผลการดำเนินโครงการสามฝ่าย ไทย-เมียนมาร์-สหรัฐฯ ในการป้องกันและควบคุมโรคมาลาเรียบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาร์ การพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะจัดทำข้อเสนอโครงการในเรื่องระบบพยากรณ์อากาศแบบบูรณาการในอนุภูมิภาค และการฝึกร่วมด้านการป้องกันและควบคุมไฟป่า รวมทั้งการพิจารณาสรรหาบุคคลที่เหมาะสมเพื่อเข้าร่วมในกลุ่ม Eminent and Expert Persons Group (EEPG) ในส่วนของไทย
|
|||||||||||||||||||||
27382 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๔,๕๗๗ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทาง ตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๒. จำนวนเรื่องร้องทุกข์ จำแนกตามประเภทเรื่องในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นในประเภทเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๑๔,๖๗๙ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามลำดับ ๓. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน [ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด] ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๖,๖๘๔ เรื่อง จำแนกเป็นหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ธนาคารออมสิน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๔. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตาม อปท. และจังหวัด ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓,๖๖๒ เรื่อง โดยกรุงเทพมหานครได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดปทุมธานี ๕. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเรียงตามลำดับประเด็นเรื่องที่มีการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ ไฟฟ้า ยาเสพติด การบริการขนส่งทางบก ถนน น้ำประปา บ่อนการพนัน โทรศัพท์ และร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดกระทรวง ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ และไฟฟ้า
|
|||||||||||||||||||||
27383 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลงิ้วงาม ตำบลน้ำริด ตำบลผาจุก ตำบลท่าเสา ตำบลบ้านด่าน ตำบลคุ้งตะเภา ตำบลป่าเซ่า ตำบลท่าอิฐ ตำบลหาดกรวด อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ตำบลฝายหลวง ตำบลชัยจุมพล ตำบลทุ่งยั้ง ตำบลด่านแม่คำมัน ตำบลไผ่ล้อม อำเภอลับแล ตำบลวังแดง ตำบลข่อยสูง ตำบลบ้านแก่ง ตำบลน้ำอ่าง ตำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน ตำบลท่าสัก ตำบลนายาง ตำบลไร่อ้อย ตำบลคอรุม ตำบลนาอิน ตำบลบ้านหม้อ ตำบลท่ามะเฟือง ตำบลพญาแมน อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ตำบลดงคู่ อำเภอศรีสัชนาลัย ตำบลนครเดิฐ ตำบลน้ำขุม ตำบลศรีนคร ตำบลคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย และตำบลหินลาด อำเภอวัดโบสถ์ ตำบลตลุกเทียม ตำบลดงประคำ ตำบลศรีภิรมย์ ตำบลวงฆ้อง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | กษ | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลงิ้วงาม ตำบลน้ำริด ตำบลผาจุก ตำบลท่าเสา ตำบลบ้านด่าน ตำบลคุ้งตะเภา ตำบลป่าเซ่า ตำบลท่าอิฐ ตำบลหาดกรวด อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ตำบลฝายหลวง ตำบลชัยจุมพล ตำบลทุ่งยั้ง ตำบลด่านแม่คำมัน ตำบลไผ่ล้อม อำเภอลับแล ตำบลวังแดง ตำบลข่อยสูง ตำบลบ้านแก่ง ตำบลน้ำอ่าง ตำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน ตำบลท่าสัก ตำบลนายาง ตำบลไร่อ้อย ตำบลคอรุม ตำบลนาอิน ตำบลบ้านหม้อ ตำบลท่ามะเฟือง ตำบลพญาแมน อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ตำบลดงคู่ อำเภอศรีสัชนาลัย ตำบลนครเดิฐ ตำบลน้ำขุม ตำบลศรีนคร ตำบลคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย และตำบลหินลาด อำเภอวัดโบสถ์ ตำบลตลุกเทียม ตำบลดงประคำ ตำบลศรีภิรมย์ ตำบลวงฆ้อง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน เข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ได้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
27384 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร10 | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขบัญชีกำหนดสายงานที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งท้ายกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อให้สอดคล้องกับการกำหนดมาตรฐานกำหนดตำแหน่งและลักษณะงานวิชาชีพ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
27385 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. .... | คค | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
27386 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... | มท | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
27387 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีดังนี้
๑. แม้ว่าจะได้มีการยกเว้นมิให้ใช้บังคับพระราชบัญญัติกับการให้ประทานบัตรตามกฎหมายว่าด้วยแร่ เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติกระบวนการให้ประทานบัตรในขั้นตอนต่าง ๆ พร้อมกับกำหนดผลประโยชน์ที่ต้องจ่ายให้แก่รัฐไว้ด้วยแล้วก็ตาม แต่โดยที่พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติบางส่วนมีความล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงสมควรที่จะมีการพิจารณาแก้ไขหรือปรับปรุงพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ เพื่อให้การพิจารณาให้ประทานบัตรแร่มีมาตรฐานและขั้นตอนในการพิจารณาที่โปร่งใส ชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้ ๒. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐในบางโครงการนั้น อาจจะต้องมีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ เช่น การทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้น รัฐบาลจึงควรเร่งรัดผลักดันให้การดำเนินการตามกฎหมายอื่นสอดคล้องกับระยะเวลาตามแนวทางยุทธศาสตร์ในเรื่องนี้ที่จะมีการกำหนดขึ้น เพื่อมิให้เกิดความล่าช้าจนเกินสมควร อันจะทำให้บรรลุถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่ประสงค์จะให้โครงการพื้นฐานที่จำเป็นแก่เศรษฐกิจและสังคม และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รวมทั้งจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เอกชนมีความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐมากยิ่งขึ้นด้วย ๓. เพื่อประโยชน์ในการใช้งบประมาณในโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด รัฐบาลจึงควรพิจารณารูปแบบการดำเนินโครงการและการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงภาระต่องบประมาณ และผลกระทบต่ออัตราค่าบริการที่จะเรียกเก็บจากประชาชนผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะกรณีโครงการร่วมลงทุนที่มีการก่อสร้างขนาดใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงรูปแบบการจ้างเหมาออกแบบรวมก่อสร้าง (Design and Build) หรือดำเนินการเฉพาะในส่วนที่มีความจำเป็น เนื่องจากรูปแบบดังกล่าวไม่มีแบบรายละเอียดของโครงการที่ชัดเจน ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายโครงการสูงเกินสมควร จนเป็นภาระต่อประชาชนผู้ใช้บริการ
|
|||||||||||||||||||||
27388 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวคิดการพัฒนาคนของประเทศไทย เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" | สสป | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวคิดการพัฒนาคนของประเทศไทย เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยสภาที่ปรึกษาฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะในด้านนโยบาย การพัฒนาคน ด้านการปฏิรูปการศึกษา และด้านการตรากฎหมาย สรุปได้ ดังนี้
๑. ประกาศให้การพัฒนาคนด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นวาระแห่งชาติและนโยบายที่สำคัญของรัฐ ๒. ยึดถือการปฏิรูปการศึกษา เป็นนโยบายที่สำคัญในการพัฒนาคน ควรจัดให้มีการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ โดยน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พุทธปรัชญาการศึกษา ปรัชญาการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มาประกอบการพิจารณาในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ ๓. กำหนดคุณลักษณะหรือคุณสมบัติของคนที่พึงประสงค์ ตามหลักการและเงื่อนไขของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๔. นำเป้าหมายการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๖ ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จของการพัฒนาคน ๕. การพัฒนาคนไม่ใช่ภารกิจของรัฐบาลเท่านั้น ทุกภาคส่วนในสังคมมีความรับผิดชอบร่วมกันในการพัฒนาคน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาติ ๖. การศึกษาที่มีคุณภาพจะต้องถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง จะต้องให้ประชาชนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรมอย่างทั่วถึงแก่ประชาชน ๗. การศึกษาที่มีคุณภาพจะต้องเป็นการศึกษาที่ครอบคลุมการศึกษาต่าง ๆ อย่างบูรณาการและสมดุล ทั้งการศึกษาด้านพุทธิศึกษา จริยศึกษา หัตถศึกษา และพลศึกษา การศึกษาในระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน การศึกษาตามอัธยาศัย ๘. ควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการพัฒนาครูให้เป็นครูที่มีจิตวิญญาณของครู เป็นครูมืออาชีพ ไม่ใช่เพียงอาชีพเป็นครู มีความรู้ความสามารถ อุทิศเวลาและอุทิศตนในการอบรมสั่งสอนเยาวชนให้เป็นทรัพยากรและอนาคตของชาติ ให้ครูมีรายได้และสวัสดิการที่เหมาะสมให้สมกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปูชนียบุคคล ๙. ควรส่งเสริมการจัดตั้งและการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน เพื่อให้เป็นวิทยาลัยโดยชุมชน ของชุมชน อย่างแท้จริง เพื่อให้วิทยาลัยชุมชนมีบทบาทที่สำคัญในการพัฒนาชุมชนให้เป็นชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง ๑๐. จัดให้มีหลักสูตรอาเซียนศึกษาในทุกระดับการศึกษา เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน สมาชิกของสมาคมอาเซียนมีความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะในเรื่องภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ๑๑. จัดทำแผนแม่บทแห่งชาติ ระยะเวลา ๕ ปี โดยตราเป็นกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับทุกรัฐบาล และทุกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ๑๒. ควรเร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นประโยชน์แก่ชุมชนอย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||
27389 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดระยอง พ.ศ. .... | มท | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดระยอง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
27390 | การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำจังหวัดภูเก็ตและการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำจังหวัดภูเก็ต (นางปราณี สกุลพิพัฒน์) | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำจังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต ๒. แต่งตั้งนางปราณี สกุลพิพัฒน์ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำจังหวัดภูเก็ต
|
|||||||||||||||||||||
27391 | รายงานผลการดำเนินงานตามมาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐของ 7 กระทรวง และ 1 หน่วยงาน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2556 เรื่อง แนวทางยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ | ทก | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ (Government Website Standard) ของ ๗ กระทรวง และ ๑ หน่วยงาน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ (เรื่อง แนวทางการยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ) โดยผลการสำรวจการพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐของ ๗ กระทรวง และ ๑ หน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑-๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมคิดเป็นร้อยละ ๖๓.๒๕ ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีขึ้น นอกจากนี้ หน่วยงานทั้ง ๗ กระทรวง และ ๑ หน่วยงาน ได้มีการดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานเว็บไซต์ ซึ่งคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในระดับ Emerging Information Services, Enhance Information Services, Transaction Information Services , Connected Information Services และ Intelligence คิดเป็นร้อยละ ๑๓.๘๘, ๑๐.๖๓, ๖.๒๕ และ ๑๓.๗๕ ตามลำดับ สรุปคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ ๑๑.๑๓
|
|||||||||||||||||||||
27392 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 | ทก | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๔๙ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๘๕ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๓.๐๓ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๓.๔๕ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๔.๘ แสนคน (จาก ๓๙.๐๑ ล้านคน เป็น ๓๙.๔๙ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวน ๓๘.๘๕ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๕.๘ แสนคน (จาก ๓๘.๒๗ ล้านคน เป็น ๓๘.๘๕ ล้านคน) โดยผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานสาขากิจกรรมด้านการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ สาขากิจกรรมการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น สาขาการศึกษา สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และสาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ส่วนผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม สาขาการก่อสร้าง สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร และสาขาการผลิต เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๓.๐๓ แสนคน ลดลง ๕.๖ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ โดยเป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๗๑ แสนคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๓๒ แสนคน ได้แก่ ผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ภาคการผลิต และภาคเกษตรกรรม ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑.๒๓ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๕.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๕.๗ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๔.๓ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๒ หมื่นคน และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๙.๓ หมื่นคน ภาคกลาง ๘.๕ หมื่นคน ภาคใต้ ๕.๑ หมื่นคน ภาคเหนือ ๔.๘ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๖ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||
27393 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - มัลดีฟส์ | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-มัลดีฟส์ (Agreement on the Establishment of Joint Commission for Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Maldives) มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งกลไกการดำเนินความสัมพันธ์ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วม และจัดขึ้นทุก ๆ ๒ ปี โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ เพื่อปรึกษาหารือ และทบทวนความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ความร่วมมือทางวิชาการ การป้องกันอาชญากรรม สาธารณสุข การเกษตรและประมง ศิลปะและวัฒนธรรม การบินพลเรือน การศึกษา การพัฒนาสังคม และสาขาอื่น ๆ ตามที่ภาคีเห็นชอบ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเพิ่มเติมความร่วมมือสาขาอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมและการลงทุนในสาขาที่มีศักยภาพร่วมกัน ได้แก่ อาหารแปรรูป วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ธุรกิจก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
27394 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ 2556 ของไตรมาส 3 | ทก | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ของไตรมาส ๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานด้านการใช้บริการ ๑.๑ สถิติการใช้บริการ ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ไตรมาส ๓ มีจำนวน ๑,๕๓๗,๙๐๘ ครั้ง ลดลงจากไตรมาส ๓ ปีงบประมาณ ๒๕๕๕ จำนวน ๑๒,๗๒๒ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๐.๘๒ ๑.๒ สัดส่วนการใช้บริการแยกตามประเภท ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ไตรมาส ๓ โดยเรียงจากมากที่สุด ได้แก่ บริการสอบถามข้อมูลทั่วไป (Q&A) ร้อยละ ๗๙.๘๕ บริการสอบถามข้อมูลเพื่อการติดต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน (Contact Information) ร้อยละ ๑๒.๖๗ บริการข้อมูลโครงการพิเศษของรัฐบาล ร้อยละ ๔.๕๖ บริการรับเรื่องร้องเรียน (Complain) ร้อยละ ๒.๙๐ ซึ่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวสามารถจัดเป็นหมวดต่าง ๆ ได้แก่ หมวดสังคมและสวัสดิการ ร้อยละ ๖๒.๖๕ หมวดการร้องเรียนกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร้อยละ ๑๔.๔๘ หมวดการเมือง-การปกครอง ร้อยละ ๙.๔๑ หมวดเศรษฐกิจ ร้อยละ ๘.๐๓ หมวดทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ ๓.๐๗ และหมวดกฎหมาย ร้อยละ ๒.๓๖ ๒. ผลการดำเนินงานด้านคุณภาพบริการ ๒.๑ มาตรฐานคุณภาพการให้บริการ ได้บริหารจัดการควบคุมคุณภาพการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐาน ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ไตรมาส ๓ มีจำนวนสายเรียกเข้าทั้งหมดจำนวน ๑,๕๓๗,๙๐๘ ครั้ง สามารถให้บริการได้จำนวน ๑,๕๑๐,๑๙๕ ครั้ง สามารถให้บริการสำเร็จร้อยละ ๙๘.๒๐ ๒.๒ การพัฒนาคุณภาพพนักงานรับสาย ได้พัฒนาคุณภาพของพนักงานรับสายเพื่อเพิ่มองค์ความรู้และทักษะการให้บริการ โดยจัดอบรมหลักสูตรเพิ่มเติม อาทิ หลักสูตรการวิเคราะห์กระทรวงคาบเกี่ยว หลักสูตรสิทธิประโยชน์การใช้บัตรทองและบัตรประกันสังคม หลักสูตรทัศนคติในงานร้องเรียน เป็นต้น ๒.๓ การสนับสนุนโครงการตามนโยบายของรัฐบาล และส่วนงานภาครัฐ ได้แก่ การให้บริการข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี การให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (Tablet) ให้แก่นักเรียน ครู ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป รวมถึงการรับเรื่องร้องเรียนและข้อเสนอแนะต่าง ๆ การให้บริการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ ภัยแล้ง น้ำท่วม แผ่นดินไหว และรับแจ้งการขอความช่วยเหลือกรณีมีผู้ประสบภัยพิบัติ เป็นต้น การให้บริการข้อมูลโครงการกองทุนตั้งตัวได้ โครงการพัฒนาเมือง โครงการกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ และการสนับสนุนส่วนงานภาครัฐในการบูรณาการร่วมใช้ หมายเลข ๑๑๑๑ ได้แก่ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม หมายเลข ๑๑๑๑ กด ๗๗ รวมทั้งการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับประชาชน
|
|||||||||||||||||||||
27395 | การถอดถอนกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงซานา สาธารณรัฐเยเมน | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติถอดถอน นายอับดุล จาลีล อับดู ซาบิต (Mr. Abdul Galil Abdo Thabet) ออกจากตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงซานา สาธารณรัฐเยเมน เขตกงสุลครอบคลุมสาธารณรัฐเยเมน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27396 | รัฐบาลสาธารณรัฐโปแลนด์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายเซนอน คุคชัค (Mr. Zenon Kuchciak)] | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเซนอน คุคชัค (Mr. Zenon Kuchciak) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนายเยซี ไบเออร์ (Dr. Jerzy Bayer) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27397 | พิธีสารว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศจอร์เจีย | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐจอร์เจีย โดยร่างพิธีสารฯ เป็นกลไกการหารือเกี่ยวกับลู่ทางการขยายความร่วมมือทวิภาคีทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยจะจัดให้มีการปรึกษาหารือกันเป็นประจำในระดับรัฐมนตรีหรือระดับอื่นที่เหมาะสม ในประเด็นทวิภาคีและประเด็นระหว่างประเทศที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน และการส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือด้านการเมือง การค้าและเศรษฐกิจ วัฒนธรรม มนุษยธรรม ข้อมูลข่าวสาร และอื่น ๆ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ |
|||||||||||||||||||||
27398 | ร่างถ้อยแถลงร่วมในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีเยือนปากีสถานอย่างเป็นทางการ | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อร่างถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ระหว่างไทยกับปากีสถาน เพื่อใช้เป็นเอกสารสรุปผลการเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ โดยเอกสารถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมและแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์ทางการเมือง ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ด้านความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านวัฒนธรรม การศึกษาและการแลกเปลี่ยนระดับประชาชน ความมั่นคงและการทหาร รวมทั้งด้านความร่วมมือในกรอบภูมิภาคและพหุภาคี ๑.๒ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไทย ก่อนมีการเผยแพร่ถ้อยแถลงร่วมฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของกระทรวงวัฒนธรรมที่เห็นควรปรับแก้ชื่อพิธีสารจากเดิม “the Cultural Exchange Programme signed in 2004” เป็น “the Protocol for the Cultural Exchange Programme signed in 2005” และปรับแก้ร่างคำแปลฉบับภาษาไทย จากเดิม “ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมที่ได้ลงนามเมื่อปี ๒๕๔๗” เป็น “ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมภายใต้พิธีสารว่าด้วยแผนปฏิบัติการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่ได้ลงนามเมื่อปี ๒๕๔๘” ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
27399 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตระหว่างไทยและปากีสถาน | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Islamic Republic of Pakistan on Mutual Exemption of Visa Requirements for Holders of Diplomatic Passports) มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและติดต่อราชการระหว่างเจ้าหน้าที่การทูตของทั้งสองฝ่าย โดยผู้ถือหนังสือเดินทางทูตฝ่ายหนึ่งจะได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและสามารถพำนักในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน ทั้งนี้ ความตกลงฯ สามารถระงับใช้ชั่วคราวด้วยเหตุผลเรื่องความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงแห่งชาติและการสาธารณสุขได้ ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
27400 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Federal Republic of Nigeria on Exemption of Visa Requirements for Holders of Diplomatic Passports) เพื่อเป็นการขยายความร่วมมือ ซึ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและไนจีเรียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามเอกสารดังกล่าว ๓. หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
.....