ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1368 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 27341 - 27360 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27341 | การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 ตามโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 3,183 คัน เพื่อนำมาทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อนำมาทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซลขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดซื้อรถโดยสาร NGV จำนวน ๓,๑๘๓ คัน ขสมก. จะดำเนินการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี แบ่งการประมูลเป็น ๘ กลุ่ม โดยจะแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (Terms of Reference : TOR) ร่างเอกสารการประกวดราคาและนำเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของ ขสมก. และกรมบัญชีกลาง เพื่อให้สาธารณชนเสนอแนะ วิจารณ์ให้ความเห็น รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และคณะกรรมการตรวจรับ ๒. การจัดระบบเส้นทางเดินรถ และการปรับอัตราค่าโดยสาร กระทรวงคมนาคมได้แต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาระบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อศึกษากำหนดแนวทางการพัฒนาระบบรถโดยสารประจำทางโดยภาพรวมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ ปัจจัยแวดล้อมการคมนาคมขนส่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาดำเนินงานจัดทำรายงานข้อสรุปผลการศึกษาวิเคราะห์ในเบื้องตันของคณะทำงานดังกล่าว นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาจัดทำโครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยมีขอบเขตเนื้องานบางส่วนครอบคลุมถึงประเด็นการจัดทำนโยบายและแผนการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วโดยสาร การจัดเก็บค่าโดยสารในปัจจุบันสำหรับระบบขนส่งมวลชนและระบบขนส่งทางบกในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การกำหนดอัตราค่าโดยสารระบบขนส่งสาธารณะและการเชื่อมต่อ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถสรุปผลการศึกษาการจัดระบบเส้นทางเดินรถและการปรับอัตราค่าโดยสารได้ประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ๓. การใช้พลังงานทางเลือก ขสมก. เห็นว่าก๊าซธรรมชาติมีความเหมาะสมที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงกับรถโดยสารที่จัดหาใหม่ เนื่องจากรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติมีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในหลายประเทศ และมีใช้ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก การซ่อมบำรุงรักษาจึงสามารถหาผู้ซ่อมบำรุงรถโดยสารได้ไม่ยาก ทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและการซ่อมบำรุงรักษาต่ำกว่าการใช้รถโดยสารที่ใช้พลังงานทางเลือกอื่น การใช้รถโดยสารที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติจึงมีความเหมาะสมทั้งในด้านต้นทุนการจัดหา ต้นทุนการเดินรถโดยสาร รวมทั้งสภาพแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||
27342 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2555 | นร12 | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยสาระสำคัญของรายงานฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาระบบราชการไทยตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๑-พ.ศ. ๒๕๕๕) บรรลุเป้าหมายในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ส่วนใหญ่มีผลการดำเนินการสูงกว่าค่าเป้าหมาย เช่น ประชาชนมีความพึงพอใจในระบบราชการ ร้อยละ ๘๒.๖๕ ส่วนราชการมีการปรับปรุงรูปแบบหรือวิธีการทำงาน ร้อยละ ๘๙.๕๐ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐยังไม่สามารถบรรลุตามค่าเป้าหมายการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ในการบริการประชาชน ดังนั้น ควรให้ความสำคัญในการส่งเสริมให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้บริการประชาชน ผ่านรูปแบบของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ให้บริการประชาชนมากขึ้น ๒. ความก้าวหน้าของการพัฒนาระบบราชการไทย ๒.๑ ผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการจากการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ การปฏิบัติราชการของกระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา และองค์การมหาชน มีผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองฯ ที่สูงกว่าค่าเป้าหมาย โดยส่วนราชการมีคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมค่อนข้างสูงซึ่งสูงกว่าค่าเป้าหมาย ในส่วนของจังหวัดในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน สถาบันอุดมศึกษาในภาพรวมมีผลคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าเป้าหมาย รวมทั้งองค์การมหาชนในภาพรวมการปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ๒.๒ การผลักดันการพัฒนาระบบราชการไทย ในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๒.๑ การสนับสนุนให้มีการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน การมอบรางวัลระดับชาติให้แก่หน่วยงานที่มีนวัตกรรมหรือมีพัฒนาการในการบริการประชาชน และสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการให้บริการ (e-Services) พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ๒.๒.๒ การปรับรูปแบบการทำงานให้มีลักษณะเชิงบูรณาการ และเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ปรับกลยุทธ์การบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ การพัฒนาและส่งเสริมให้มีการแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะและการเปิดให้องค์กรในภาคส่วนอื่นเสนอตัวเข้ามาให้บริการของรัฐ การส่งเสริมการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม และความร่วมมือการทำงานในลักษณะเครือข่าย รวมทั้งปรับปรุงระบบการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการให้เกิดการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวง ๒.๒.๓ การปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของส่วนราชการ เพื่อเปิดให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีความพร้อมเข้ามาจัดบริการสาธารณะแทนภาครัฐ การพัฒนาเสริมสร้างขีดสมรรถนะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในระบบราชการ ทั้งกลุ่มผู้นำการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Chief Change Officer : CCO) กลุ่มพัฒนาระบบบริหารของกระทรวงและกรม และนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกการบริหารองค์การมหาชน เพื่อให้องค์การมหาชนมีแนวทางในการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานตามกรอบการประเมินผลที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับองค์การมหาชนสู่สาธารณะ นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมผลักดันให้ภาครัฐมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน และการรับมือกับสภาวะวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อให้การปฏิบัติงานของภาครัฐสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่สะดุดหยุดลง ๒.๒.๔ การสร้างระบบการกำกับดูแลตนเองที่ดี เกิดความโปร่งใส มั่นใจ และสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งทำให้บุคลากรปฏิบัติงานอย่างมีจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อประชาชน และต่อสังคมโดยรวม ทั้งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน การสร้างการกำกับดูแลองค์การที่ดีของส่วนราชการ การจัดทำแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมระบบการตรวจสอบที่ให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ที่ประชาชนจะได้รับจากหน่วยงานผ่านทางคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ |
||||||||||||||||||||||||
27343 | สรุปผลการดำเนินงานเรื่อง ผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | อก | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางความร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีในการพัฒนาด้านพลังงานทดแทนและอุตสาหกรรมผลิตอะไหล่ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ประเทศไทยควรผลิตพลังงานทดแทนที่มีวัตถุดิบในประเทศมากเพื่อทดแทนน้ำมันและลดการพึ่งพา รวมทั้งเพิ่มความต้องการใช้พลังงานทดแทนในประเทศ เช่น การนำพลังงานทดแทนมาแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าในรถไฟฟ้าสาธารณะหรือรถไฟฟ้าส่วนบุคคล การพัฒนาหรือแปรรูปเป็นพลังงานชนิดใหม่ ๆ เพื่อรองรับการใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือในภาคครัวเรือน ๑.๒ กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันลดอุปสรรคที่ไม่เอื้อต่อการสนับสนุนพลังงานทดแทนในประเทศลงและปรับปรุงนโยบาย/กฎระเบียบเพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อนักลงทุน ๑.๓ ควรมีความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีซึ่งเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนและการผลิตอะไหล่ เพื่อหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับประเทศไทยและตรงกับความต้องการใช้ของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงวิจัยเพื่อหาพลังงานทดแทนชนิดใหม่ ๆ หรือหาเทคโนโลยีในการพัฒนาวัสดุศาสตร์เพื่ออุตสาหกรรมการผลิตอะไหล่ รวมทั้งเพิ่มการให้สิทธิประโยชน์เป็นกรณีพิเศษในรูปแบบที่เหมาะสมแก่นักลงทุนที่เข้ามาร่วมทำวิจัยหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ผลิตในประเทศโดยยอมรับเงื่อนไขของไทยอย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นการยกระดับศักยภาพผู้ผลิตของไทยให้ได้มาตรฐานสากล นอกจากนี้ ควรมีการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีระหว่างกันเพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้ง ๒ ฝ่าย ๑.๔ ควรให้การส่งเสริมโดยให้สิทธิประโยชน์เป็นกรณีพิเศษแก่นักลงทุนต่างประเทศตามสัดส่วนมูลค่าการใช้วัตถุดิบ/ชิ้นส่วนในประเทศที่พัฒนาจนได้มาตรฐานสากลแล้ว เพื่อสร้างบรรยากาศในการลงทุนและจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศสนใจใช้วัตถุดิบ/ชิ้นส่วนในประเทศเพิ่มขึ้น และเพื่อลดข้ออ้างทางการค้าที่ประเทศที่มีวัฒนธรรมชาตินิยมมักนำมาอ้าง รวมทั้งควรส่งเสริมและให้โอกาสแก่นักลงทุนจากต่างประเทศเท่าเทียมกันทุกประเทศ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เห็นควรระมัดระวังการกำหนดเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์ที่อาจขัดต่อพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก อาทิ การกำหนดเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุน/การรับสิทธิประโยชน์ที่เชื่อมโยงกับการกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content Requirement) หรือการเลือกปฏิบัติระหว่างสินค้าที่ผลิตในประเทศกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ หรือการเลือกปฏิบัติต่อสินค้าที่นำเข้าจากแหล่งประเทศต่าง ๆ ส่วนประเด็นปัญหาอุปสรรคจากกฎระเบียบของรัฐ ปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการลงทุน หากภาครัฐลดกฎระเบียบหรือลดขั้นตอนต่าง ๆ หรือกระชับขั้นตอนบางส่วนที่เป็นอุปสรรคลง อาจเป็นสาเหตุให้ประเทศคู่ค้าอื่นของไทยมองว่าประเทศไทยใช้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมาเอื้ออำนวยประโยชน์ทางการค้าและอาจนำไปสู่การกีดกันทางการค้า จึงควรเลือกการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยจากสาธารณรัฐเกาหลีมาใช้ประโยชน์มากกว่า นอกจากนี้ การลงทุนผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ อะไหล่ ชิ้นส่วนยานยนต์ ควรมีความร่วมมือในการพัฒนาหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพภายในประเทศและการรับรองผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27344 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของอาเซียน พ.ศ. .... | กต | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบความตกลงว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของอาเซียน มีสาระสำคัญให้นิติฐานะแก่อาเซียนทั้งในบริบทของกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้อาเซียนในฐานะองค์กรสามารถทำนิติกรรมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งกำหนดเอกสิทธิ์และความคุ้มกันตามที่กฎบัตรอาเซียนระบุไว้เป็นหลักการให้แก่อาเซียนและบุคคลประเภทต่าง ๆ ที่ปฏิบัติงานให้กับอาเซียน ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลข้างต้นมีอิสระในการทำงานและจะผลิตผลงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของอาเซียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของอาเซียน เพื่อให้อาเซียน สถานที่ ทรัพย์สิน และสินทรัพย์ของอาเซียน การสื่อสาร บรรณาสาร และเอกสารทั้งปวงที่อาเซียนมีกรรมสิทธิ์หรือที่ยึดไว้ ได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย รวมทั้งให้พนักงานของสำนักเลขาธิการอาเซียนและเจ้าหน้าที่ของรัฐสมาชิกได้รับเอกสิทธ์และความคุ้มกันตามที่ระบุไว้ในความตกลงว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของอาเซียน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไปเมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบความตกลงว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของอาเซียน แล้ว ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของอาเซียน และให้ดำเนินการต่อไปได้ เมื่อความตกลงฯ ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของอาเซียน พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับแล้ว |
||||||||||||||||||||||||
27345 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 บังคับในเขตเทศบาล ตำบลท่าไม้รวก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. .... | มท | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในเขตเทศบาลตำบลท่าไม้รวก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในเขตเทศบาลตำบลท่าไม้รวก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
27346 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนมิถุนายน 2556 | นร | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ซึ่งจากรายงานผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่าง ๆ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) พิจารณาแล้วมีความเห็น และเห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละด้านรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้
๑. โครงการกำกับดูแลการชั่งตวงวัดและสินค้าหีบห่อเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการซื้อขายพลังงานเชื้อเพลิง ผลผลิตทางการเกษตร และสินค้าทั่วไปต่าง ๆ มีการตรวจพบการกระทำความผิดเพิ่มขึ้น กระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาหามาตรการในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้การกระทำความผิดมีจำนวนลดลง ๒. การตรวจสอบโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร ยังพบการกระทำความผิดอยู่มาก ให้กระทรวงพาณิชย์เพิ่มมาตรการป้องกัน ตรวจสอบ และลงโทษผู้กระทำความผิดโดยเด็ดขาด ๓. โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรประชาสัมพันธ์อย่างเร่งด่วน เพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงประโยชน์ที่ชาวนาได้รับโดยตรงจากราคาตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการและเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้รับผลประโยชน์ โดยราคาข้าวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ๒,๕๐๐ บาท/ตัน และ ๔,๐๐๐ บาท/ตัน รวมทั้งผลประโยชน์ทางอ้อมต่อรัฐบาล โดยเกษตรกรจะมีการใช้จ่ายมากขึ้นทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ธุรกิจมีกำไรและรัฐเก็บภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น เกิดการขยายตัวของธุรกิจเพื่อรองรับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น มูลค่ารวม ๘๓,๒๓๘ ล้านบาท ๔. โครงการพัฒนาศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชน (SML) และการดำเนินการตามโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๓ ยังดำเนินการได้ค่อนข้างล่าช้า ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจัดทำกรอบระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายและชัดเจน
|
||||||||||||||||||||||||
27347 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การจัดตั้งกรมประมงทะเล | สว | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การจัดตั้งกรมประมงทะเล พร้อมข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนของคณะกรรมาธิการฯ ได้สรุปผลการศึกษาและมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. สรุปผลการศึกษา การแก้วิกฤตประมงทะเลให้สำเร็จได้ต้องปรับเปลี่ยนกลไกของการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะต้องมีการปรับโครงสร้างของหน่วยงานที่รับผิดชอบใหม่ การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เฉพาะทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีความรู้ ประสบการณ์ และความเข้าใจเกี่ยวกับการประมงทะเลอย่างลึกซึ้ง มีการจัดสรรงบประมาณและเครื่องมือเครื่องใช้อื่น ๆ (ที่จำเป็นสำหรับการแก้ไขปัญหา) อย่างพอเพียง ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดคือ การรวมและยกระดับสำนักวิจัยและพัฒนาประมงทะเลและสำนักบริหารจัดการด้านการประมงในปัจจุบันให้เป็นกรมใหม่ ภายใต้ชื่อ "กรมประมงทะเล" และสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. ข้อเสนอแนะ ได้แก่ ฟื้นฟูระบบนิเวศและพัฒนาแหล่งประมงทะเล การนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาใช้ในการบริหารจัดการประมงทะเล พัฒนาและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรประมงทะเลอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน ส่งเสริมและพัฒนาการประมงนอกน่านน้ำไทย ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการประมงทะเลให้มีประสิทธิภาพ และปรับปรุงโครงสร้างและศักยภาพองค์กรภาคประมงทะเล
|
||||||||||||||||||||||||
27348 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และวันที่ 31 ธันวาคม 2554 รวม 2 ฉบับ | กค | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวม ๒ ฉบับ ซึ่งเป็นการรายงานงบดุล บัญชีกำไร และขาดทุนของ ธพว. โดยผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. สินทรัพย์รวม ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๙๘,๘๘๒.๗๒ ล้านบาท ลดลงจากปี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๖,๕๕๙.๖๙ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๑๔.๓๔ เนื่องจากรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงินสุทธิลดลง โดย ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ มีเงินฝากสถาบันการเงินเฉพาะกิจในประเทศจำนวน ๑๙๖.๓๗ ล้านบาท ๒. ปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ ธพว. มียอด NPLs เท่ากับ ๓๑,๓๑๗.๔๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๒.๓๕ ของเงินให้สินเชื่อ (เงินสินเชื่อ ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ เท่ากับ ๙๖,๗๙๗.๑๗ ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๕,๙๖๔.๘๖ ล้านบาท (ณ สิ้นปี ๒๕๕๔ มียอด NPLs จำนวน ๑๕,๓๕๒.๕๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๕.๗๓ ของเงินให้สินเชื่อ) หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ ๑๐๔ ๓. อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ ธพว. มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ระดับร้อยละ ๓.๒๘ (เงินกองทุนรวม ๒,๖๖๙.๑๓ ล้านบาท และมีสินทรัพย์เสี่ยง ๘๑,๒๗๗.๐๓ ล้านบาท) ลดลงจากสิ้นปี ๒๕๕๔ ที่มีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับร้อยละ ๖.๗๘ (เงินกองทุนรวม ๖,๑๔๓.๐๓ ล้านบาท และมีสินทรัพย์เสี่ยง ๙๐,๖๐๔.๕๕ ล้านบาท ) ๔. ผลการดำเนินงานของ ธพว. ในปี ๒๕๕๕ มีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน ๔,๐๓๙.๓๐ ล้านบาท ลดลงจากปี ๒๕๕๔ ที่มีผลกำไรสุทธิ จำนวน ๒๒๒.๔๑ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑,๙๑๖.๑๑
|
||||||||||||||||||||||||
27349 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไตรมาสที่ 3 (ตุลาคม 2555 - มิถุนายน 2556) | กค | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๓ (ตุลาคม ๒๕๕๕-มิถุนายน ๒๕๕๖) ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๓ มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๖๖๓,๙๓๘.๐๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๙.๓๓ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๐.๓๓ เป็นการเบิกจ่ายในรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๔๖๔,๖๘๗.๖๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๓.๓๕ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๙๖,๗๒๙.๑๓ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๙๙,๒๕๐.๔๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๙.๔๑ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๐๓,๒๗๐.๘๗ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๐.๕๙ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๐,๒๕๕.๑๔ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๘๙,๖๗๕.๗๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๓.๑๗ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี สำหรับผลการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๓,๙๑๗.๗๙ ล้านบาท ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ จำนวน ๔,๓๔๑.๔๙ ล้านบาท ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๐,๑๒๓.๔๙ ล้านบาท ๕. การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๑๒,๘๐๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๐ ของแผนการลงทุนทั้งปี จำนวน ๓๗๗,๓๑๗ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
27350 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ตะกั่วในสีทาอาคาร ภัยที่ป้องกันได้" | สสป | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ตะกั่วในสีทาอาคาร ภัยที่ป้องกันได้" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สภาสถาปนิก สมาคมผู้ผลิตสีไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการในการแก้ไขปัญหาทั้งเร่งด่วน และรณรงค์เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว โดย ๑.๑ เร่งรัดการออกกฎหมายความปลอดภัยของผู้บริโภค (Consumer Product safety Improvement Act) ๑.๒ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมควรออกมาตรฐานบังคับสำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์กำหนดมาตรฐานปริมาณตะกั่วในสีน้ำมันที่อนุญาตให้มีได้ไม่เกินร้อยละ ๐.๐๖ หรือ 600 ppm เป็นมาตรฐานบังคับเพื่อประกันความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรประกาศให้มีการแสดงปริมาณสารตะกั่วในสีตกแต่งหรือสีทาอาคาร และมีฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุสีตกแต่งหรือสีทาอาคารที่มีสารตะกั่วเจือปน เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๔ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรออกข้อกำหนดให้ผู้รับเหมาใช้สีที่ควบคุมปริมาณสารตะกั่วในสีทาอาคาร และสีทาเคลือบผิววัสดุที่ใช้ในอาคารและใช้ในโรงเรียนโดยมีปริมาณสารตะกั่วน้อยกว่า 90 ppm หรือร้อยละ ๐.๐๐๙ ๑.๕ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรร่วมกันออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็กให้สามารถผลิตสีที่ไม่มีตะกั่วหรือมีในระดับค่ามาตรฐานออกจำหน่ายแข่งขันในท้องตลาดได้ ๑.๖ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ควรมีมาตรการตรวจสอบสีทาอาคารที่วางจำหน่ายในท้องตลาดเป็นประจำเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการควบคุมปริมาณการใช้ตะกั่วในสี ๑.๗ สถาปนิก และสมาคมสถาปนิกสยาม ควรกำหนดให้สีทาอาคาร และสีทาเคลือบผิว วัสดุที่ใช้ในอาคารอยู่ในมาตรฐานความปลอดภัย ๒. ผู้ประกอบการควรมีจิตสำนึกต่อสังคม โดยดำเนินการ ๒.๑ ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศจากรัฐ ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค เช่น ไม่ใช้สารที่มีส่วนผสมของตะกั่วในการผลิตสี ติดฉลากแสดงปริมาณตะกั่ว และคำเตือนบนภาชนะบรรจุสีทุกชนิดที่มีสารตะกั่ว ๒.๒ สนับสนุนมาตรการของภาครัฐในการดำเนินการให้มีการใช้สีทาอาคารที่ไม่มีสารตะกั่ว ๓. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรเข้ามามีส่วนสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานของทุกภาคส่วน โดย ๓.๑ สนับสนุนการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในการรณรงค์คุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภค จากสารตะกั่วในสีทาอาคาร ๓.๒ สนับสนุนและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชนรณรงค์และประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจถึงผลกระทบจากสารตะกั่วในสีและเลือกใช้สีทาอาคารที่ปลอดภัยจากสารตะกั่ว ๓.๓ ประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงาน ความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการคุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภค จากสารตะกั่วในสีทาอาคารเพื่อเผยแพร่ให้สาธารณะทราบ
|
||||||||||||||||||||||||
27351 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดระบบประกันสังคมถ้วนหน้า" | สสป | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดระบบประกันสังคมถ้วนหน้า" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านความครอบคลุม โดยให้ขยายความครอบคลุมไปถึงแรงงานทุกคนทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ (รวมทั้งแรงงานข้ามชาติ ทั้งนี้ด้านความครอบคลุมในเรื่องสิทธิประโยชน์ของกลุ่มแรงงานข้ามชาติจำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและการทำงานของกลุ่มนี้ด้วย) เพื่อให้สามารถบริหารจัดการระบบประกันสังคมถ้วนหน้าในระยะยาว ๒. ด้านสิทธิและผลประโยชน์ของแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนควรเท่าเทียมกับประชากรกลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ ควรเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายให้สถานประกอบการขึ้นทะเบียนแรงงานในระบบตามกฎหมายประกันสังคมเป็นผู้ประกันตนให้ครบถ้วน และจัดส่งเงินสมทบให้ถูกต้องเพื่อมิให้ลูกจ้างเสียสิทธิประโยชน์ในระยะยาว รณรงค์ให้แรงงานนอกระบบตามกฎหมายประกันสังคมขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน โดยให้ผู้ประกันมีสิทธิในการเป็นสมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ด้วย รวมทั้งสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ควรมีการพัฒนาฐานข้อมูลร่วมกันเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ในการสืบค้นข้อมูลอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการจะได้รับบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ๓. ด้านกลไกการบริหาร ได้แก่ ให้สำนักงานประกันสังคมเป็นองค์กรอิสระภายใต้การกำกับของรัฐ ให้มีระบบและกลไกการสรรหาคณะกรรมการประกันสังคม ทั้งฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายผู้แทนผู้ประกันตน และผู้ทรงคุณวุฒิ และสำนักงานประกันสังคมควรเป็นองค์กรอิสระที่กำหนดระเบียบวิธีการบริหารจัดการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้เอง ๔. ด้านกลไกการลงทุน ได้แก่ ควรมีการแก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ กำหนดให้กองทุนประกันสังคมมีสถานะเป็นนิติบุคคล ให้มีคณะกรรมการลงทุนที่มีองค์ประกอบทั้งฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายผู้แทนผู้ประกันตน และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีคุณสมบัติเหมาะสม กระบวนการได้มาและวาระการดำรงตำแหน่งชัดเจน โปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และควรแยกการบริหารกองทุนประกันสังคมเพื่อสร้างความมั่นคงของกองทุนตามสิทธิประโยชน์แต่ละกลุ่มในระยะยาว ๕. ด้านการติดตามตรวจสอบ ได้แก่ การเปิดเผยข้อมูลการประกันสังคมโดยการดำเนินการของกองทุนประกันสังคมต่อรัฐสภาปีละครั้ง และให้ประชาชนทั่วไปและผู้ประกันตนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยสะดวก ให้มีเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกันตน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง และควรกำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินงานของคณะกรรมการประกันสังคม คณะกรรมการลงทุน และสำนักงานประกันสังคม เพิ่มเติมในร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. .... รวมทั้งการปรับปรุงและพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมสำหรับผู้ประกันตน ให้คณะกรรมการประกันสังคมปรับปรุงและพัฒนาระบบสวัสดิการทางสังคม ยกเว้นด้านสุขภาพเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ๖. ด้านการจัดตั้งและบริหารจัดการกองทุนแรงงานนอกระบบ ควรมีกองทุนแรงงานนอกระบบ รองรับผู้ประกันตนมาตรา ๔๐ ที่เพิ่มจำนวนสูงขึ้น และควรพิจารณากลุ่มอาชีพที่มีความพร้อมพัฒนารูปแบบการประกันตนจากภาคสมัครใจมาตรา ๔๐ มาเป็นการบังคับด้านกฎหมายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ หรือภายหลังจากได้มีการดำเนินการมาประมาณ ๕ ปี จึงควรมีการตรากฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการจัดตั้งและบริหารจัดการกองทุนแรงงานนอกระบบ
|
||||||||||||||||||||||||
27352 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... | มท | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
27353 | การทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2550 | อื่นๆ | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๒๕๕๐ ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เสนอ ซึ่งได้จำแนกการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่ตราขึ้นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติออกเป็นกฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ (แก้ไขเนื้อหาของกฎหมาย) กฎหมายที่ควรให้ยกเลิก และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม (แต่อาจมีการพิจารณาทบทวนเพื่อแก้ไขภายหลัง) โดยแบ่งออกเป็น ๑.๑.๑ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒ ฉบับ ๑.๑.๒ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๕ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๓๗ ฉบับ ๑.๑.๓ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๙ ฉบับ กฎหมายที่ควรยกเลิก จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๗ ฉบับ ๑.๑.๔ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๑๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๙ ฉบับ ๑.๑.๕ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม ประกอบด้วย กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒๐ ฉบับ ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีความเห็นสอดคล้องกับการแก้ไขกฎหมายตามที่ คปก. เสนอ จำนวน ๘ ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการที่รักษาการตามกฎหมายพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่มีปัญหาอุปสรรคในการบังคับใช้ ทั้งนี้ หากมีกฎหมายที่ไม่ใช่ในส่วนของฝ่ายบริหาร ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่วนราชการเห็นว่าควรที่จะได้มีการปรับปรุงแก้ไขหรือเร่งรัด ก็ให้สามารถนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ พิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
27354 | รายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ภาพรวมความต้องการอัตรากำลังภาครัฐ | นร10 | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มใหม่ให้กับส่วนราชการสำหรับปฏิบัติภารกิจในแผนงาน/โครงการสำคัญตามยุทธศาสตร์ประเทศ รวม ๓,๘๔๘ อัตรา แยกเป็นการจัดสรรอัตราข้าราชการเพิ่มใหม่ ๓,๒๘๕ อัตรา และพนักงานราชการเพิ่มใหม่ ๕๖๓ อัตรา โดยให้สำนักงาน ก.พ. กำหนดมาตรการ แนวทาง หรือเงื่อนไขเพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนราชการนำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรไปยุบเลิกเพื่อปรับระดับตำแหน่งสูงขึ้น หรือนำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรเกลี่ยไปปฏิบัติงานอื่นนอกเหนือจากภารกิจตามยุทธศาสตร์ประเทศ ๑.๒ รับทราบผลการพิจารณาของคณะทำงานศึกษาภาพรวมความต้องการอัตรากำลังภาครัฐ กรณีองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานในสังกัดองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลอื่น และให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานหลักพิจารณากลั่นกรองการจัดสรรงบประมาณเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคคลของอัตรากำลังในองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานในสังกัดองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลอื่น โดยกำกับดูแลการใช้งบประมาณตามหลักเกณฑ์/แนวทางการพิจารณาตั้งงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคคล กรณีอัตราตั้งใหม่ที่สำนักงบประมาณกำหนดมาตรการไว้แล้วกับทุกหน่วยงานอย่างเข้มงวด และติดตามผลเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณด้านบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้สำนักงาน ก.พ. จัดเวทีสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารกำลังคนภาครัฐ ระหว่างส่วนราชการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลอื่น เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและความตระหนักในการใช้กำลังคนอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. สำหรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับอัตรากำลังตั้งใหม่ ให้หน่วยงานดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ที่เห็นควรศึกษาภาพรวมการใช้อัตรากำลังของส่วนราชการทั้งระบบที่สอดคล้องกับภารกิจตามยุทธศาสตร์ประเทศเพื่อใช้ในการวางแผนปรับบทบาท ภารกิจ และอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้มีความสมดุลต่อการพัฒนาระบบบริหารราชการภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการจัดเวทีการสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารกำลังคนภาครัฐควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารกำลังคน ซึ่งจะทำให้มีมุมมองที่หลากหลาย และนำไปใช้ปรับปรุงระบบบริหารราชการอย่างบูรณาการ นอกจากนี้ ให้สำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกรณีองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานในสังกัดองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลอื่น เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณด้านบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและความตระหนักในการใช้กำลังคน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27355 | ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการจัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วและเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ | มท | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนจัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วและเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ตามโครงการจัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วและเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ในจำนวนที่จำเป็นเร่งด่วน ได้แก่ เครื่องตรวจจับความเร็วแบบติดตั้ง จำนวน ๗๖ เครื่อง เป็นเงิน ๙๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท เครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา จำนวน ๗๖ เครื่อง เป็นเงิน ๖๘,๔๐๐,๐๐๐ บาท และเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์แบบยืนยันผล จำนวน ๒,๙๓๐ เครื่อง เป็นเงิน ๓๕๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนเงิน ๕๑๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับส่วนที่เหลือให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกันจัดทำแผนความต้องการ เพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เช่น กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน หรือกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
27356 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 46 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กต | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๔๖ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓๐ มิถุนายน-๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ ประเทศเนการาบรูไนดารุสซาลาม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ในประเด็นเกี่ยวกับจัดทำเอกสาร ASEAN post-2015 vision บทบาทของอาเซียนในเวทีโลก สนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การพยากรณ์อากาศ การแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน ความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางพลังงาน ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความร่วมมือด้าน Cyber Security การปราบปรามยาเสพติด การแก้ไขปัญหาการเดินทางข้ามแดนผิดกฎหมาย ความร่วมมือด้านการวิจัย การค้ามนุษย์ ความร่วมมือด้านสาธารณสุข ความร่วมมือด้านการเงิน ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมเยาวชน และความร่วมมือด้านการศึกษา
|
||||||||||||||||||||||||
27357 | แผนการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ได้มาจากสัญญาสัมปทาน และแนวทางการขอปรับปรุงการใช้งานคลื่นความถี่ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) | ทก | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ได้มาจากสัญญาสัมปทาน และแนวทางการขอปรับปรุงการใช้งานคลื่นความถี่ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (ทีโอที) โดยการนำทรัพย์สินโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ที่รับมอบจากคู่สัญญาสัมปทานมาให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้บริการไม่ได้รับผลกระทบจากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานของ กสท และลูกค้าเฉพาะกลุ่มของ ทีโอที ได้รับบริการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนาต่อยอดโครงข่ายโทรศัพท์ 2G เป็นโครงข่ายสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงไร้สายด้วยเทคโนโลยี Long Term Evolution (LTE) ให้กระจายทั่วภูมิภาค สร้างความเท่าเทียมให้แก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลในการเข้าถึงเทคโนโลยี ICT ๒. รับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะเป็นผู้แทน กสท และ ทีโอที ในการดำเนินการเจรจากับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งเป็นอำนาจในการพิจารณาของ กสทช. เพื่อขอปรับปรุงการใช้งานคลื่นความถี่ตามแผนการบริหารจัดการสินทรัพย์ดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
27358 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (Joint Declaration) และร่างเอกสารแนวความคิด (Concept Paper) ที่เกี่ยวข้อง | กห | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสาร จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างเอกสารแนวคิด (Concept Paper) ว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านประธานร่วมของคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญ ร่างเอกสารแนวความคิด (Concept Paper) ของคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม และร่างปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (Joint Declaration) โดยร่างเอกสารฯ ทั้ง ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการประกาศเจตนารมณ์ และกำหนดกรอบแนวทางในการดำเนินการร่วมกันของกระทรวงกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนกับกระทรวงกลาโหมประเทศคู่เจรจา เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค รักษาความปลอดภัย รวมทั้งสร้างสังคมที่มีความสงบสุขและสันติภาพในอาเซียนร่วมกัน ๑.๒ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงกลาโหมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนกระทรวงกลาโหมให้การรับรองร่างเอกสารฯ ทั้ง ๓ ฉบับ และเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (Joint Declaration) ในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Defence Senior Officials’ Meeting Retreat : ADSOM Retreat) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Defence Ministers’ Meeting Retreat : ADMM Retreat) รวมทั้งการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ ๒ (2nd ASEAN Defence Ministers’ Meeting-Plus : 2nd ADMM-Plus) ระหว่างวันที่ ๒๗ ถึงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศเนการาบรูไนดารุสซาลาม
|
||||||||||||||||||||||||
27359 | ร่างปฏิญญากรุงเทพว่าด้วยวาระการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. 2015 ของสหประชาชาติสำหรับการประชุม Asia-Pacific Ministerial Dialogue : From the Millennium Development Goals to the United Nations Development Agenda beyond 2015 | กต | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญากรุงเทพว่าด้วยวาระการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ของสหประชาชาติ สำหรับการประชุม Asia-Pacific Ministerial Dialogue : From the Millennium Development Goals to the United Nations Development Agenda beyond 2015 ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะเป็นโอกาสที่ประเทศไทยในฐานะสมาชิกคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน จะแสดงบทบาทนำในการจัดให้มีการหารือระดับนโยบาย และผลักดันประเด็นด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยร่วมกับประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นโอกาสที่จะแสดงบทบาทนำและสร้างสรรค์ในเวทีสหประชาชาติในประเด็นด้านการพัฒนา ซึ่งเป็นหนึ่งใน ๓ เสาหลักของสหประชาชาติ รวมทั้งจะเป็นผลดีต่อการสมัครเป็นสมาชิกไม่ถาวรของประเทศไทยในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตลอดจนยืนยันถึงความพร้อมและบทบาทไทยในฐานะประเทศสมาชิกสหประชาชาติที่มีความสำคัญ ๑.๒ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อกฎหมายและผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการจัดทำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และวาระการพัฒนาของสหประชาชาติภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) มีความเป็นสากล สะท้อนความสมดุลของ ๓ เสาหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป็นไปตามหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่าง (Common but Differentiated Responsibilities : CBDR) นอกจากนี้ ควรมีกลไกเชื่อมโยงกระบวนการจัดทำ SDGs กับกระบวนการกำหนดกรอบเกี่ยวกับวาระการพัฒนาหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ เข้าด้วยกัน และท้ายสุดต้องบรรจบกันเป็นวาระการพัฒนาของโลกหนึ่งเดียว (the two processes should be closely linked and should ultimately converge in one global development agenda beyond 2015) เพื่อไม่เพิ่มภาระให้กับประเทศต่าง ๆ ในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27360 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2556 | กค | 20/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๖ โดยแบ่งพื้นที่รับประกันภัยออกเป็น ๕ พื้นที่ ตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ พื้นที่เสี่ยงต่ำที่สุด พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก พื้นที่เสี่ยงต่ำ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง และพื้นที่เสี่ยงสูง โดยอนุมัติวงเงินงบประมาณ จำนวน ๔๙๔,๙๐๖,๒๒๑.๕๐ บาท เพื่อให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นำไปดำเนินโครงการฯ ๑.๒ ให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายสำรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาล และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR)+๑% ในปีงบประมาณถัดไป ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับระบบการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนความชัดเจนในการประกาศภัยของผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ประสบภัย ทั้งนี้ เพื่อความถูกต้องและรวดเร็วในขั้นตอนการขอเอาประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่เกษตรกร ๒. ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยค่าเบี้ยประกันภัยที่ได้สำรองจ่ายตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดในการแบ่งพื้นที่ตามความเสี่ยงระดับต่าง ๆ ให้ชัดเจน การกำหนดพื้นที่เป้าหมายที่จะเข้าร่วมโครงการในแต่ละระดับความเสี่ยงของพื้นที่ให้มากขึ้น การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยให้เป็นธรรม การกำหนดอัตราค่าสินไหมทดแทนให้แตกต่างและสอดคล้องกับอัตราการจ่ายเบี้ยประกันภัยและมูลค่าความเสียหายเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการของเกษตรกร การกำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงานเรื่องการประกันภัยข้าวให้ชัดเจน มีความต่อเนื่องและยั่งยืน อาทิ การกำหนดมาตรการจูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัย การเข้าร่วมโครงการของผู้รับประกันภัย การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย การกำหนดอัตราค่าสินไหมทดแทน และแนวทางในการลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยในระยะยาว รวมถึงการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้เกษตรกรได้ทราบข้อมูลโครงการอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ให้ ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นต้น ร่วมมือกันในการเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในสาระสำคัญของโครงการฯ และพิจารณาขยายขอบเขตการรับประกันให้ครอบคลุมพืชเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ ด้วย อาทิ มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา และปาล์มน้ำมัน รวมทั้งพิจารณาทบทวนการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติ โดยให้เกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผลทางการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรมีความรับผิดชอบในการวางแผนการผลิตที่เหมาะสม และการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการรับประกันภัยเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณของรัฐบาลในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....