ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1369 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 27361 - 27380 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27361 | ข้อเสนอแนะ "แนวทางที่จะสร้างความปรองดองของคนในชาติ" | ยธ | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะ “แนวทางที่จะสร้างความปรองดองของคนในชาติ” ของศาสตราจารย์ อุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ดังนี้
๑. หลักนิติธรรม การออกกฎหมาย การใช้การบังคับใช้กฎหมาย การตีความกฎหมายและการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมต้องอยู่ภายใต้หลักนิติธรรม หรือกฎหมายต้องไม่ขัดต่อหลักนิติรัฐหรือนิติธรรม หากกฎหมายใดขัดต่อหลักดังกล่าวจำเป็นที่จะต้องยกเลิกและแก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. หลักความยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมหรือการบังคับใช้กฎหมายตามหลักนิติธรรมที่ให้ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งสังคมไทยมีปัญหาที่สำคัญ คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและปัญหาประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม โดยมีสาเหตุจากระบบกฎหมายไทยนำโทษทางอาญามาใช้เกินความจำเป็น การเน้นวิธีการลงโทษทางอาญาด้วยการจำคุก และปัญหาจากการกำหนดโทษปรับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๓. หลักเมตตาธรรม เป็นหลักการอีกประการหนึ่งที่จะช่วยสร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติได้ โดยเฉพาะหากศาลยุติธรรมหรือหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จะได้ทบทวนแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายด้วยการยึดมั่นในหลักความยุติธรรม ความเสมอภาค และคำนึงถึงสิทธิผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญา โดยเฉพาะการใช้ดุลพินิจเพื่อปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยเฉพาะการกระทำความผิดซึ่งไม่ได้เป็นอาชญากรรมแต่เกิดจากความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||
27362 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (จำนวน 6 ราย 1. นายมณฑล สงวนเสริมศรี ฯลฯ) [การพิจารณาแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน)] | สมศ | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เสนอ ดังนี้
๑. นายมณฑล สงวนเสริมศรี ประธานกรรมการ ๒. นางเพ็ชรากรณ์ วัชรพล สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายเลอศักดิ์ จุลเทศ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นางวัลลิยา ปังศรีวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายสมบัติ สุวรรณพิทักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายอรรถพล ใหญ่สว่าง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||
27363 | ขอเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ (นายจรัญ หอมเทียมทอง) | พณ | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายจรัญ หอมเทียนทอง ผู้แทนสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ แทนนายวรพันธ์ โลกิตสถาพร ที่ขอลาออก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||
27364 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติยศทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ประสานงานกับ ปสส. เพื่อดำเนินการกำหนดวันแถลงรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อที่ประชุมวุฒิสภา ในสมัยสามัญทั่วไป พ.ศ. ๒๕๕๖ และกำหนดวันแถลงหรือชี้แจงตามญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖๑ (พลตำรวจโท ยุทธนา ไทยภักดี กับคณะ เป็นผู้เสนอ)
|
||||||||||||||||||
27365 | ร่างพระราชบัญญัติยศทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติยศทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||
27366 | เอกสารสิทธิ์และสิทธิครอบครองประกอบการออกใบรับรองเกษตรกร | นร | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงว่า “เอกสารสิทธิ์” ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ (เรื่อง มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖/๕๗) หมายถึงเอกสารแสดงสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินและตามกฎหมายอื่น รวมทั้งเอกสารแสดงการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยงานของรัฐออกให้เพื่อทำการเกษตร ทั้งนี้ การดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาราคาพืชเกษตรชนิดต่าง ๆ เช่น ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน และยางพารา เป็นต้น มีคณะกรรมการระดับนโยบายเฉพาะพืชเกษตรชนิดนั้น ๆ ดูแลรับผิดชอบและมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการอยู่แล้วโดยตรง ๒. ให้คณะกรรมการระดับนโยบายเฉพาะพืชเกษตรแต่ละชนิด เช่น คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ เป็นต้น นำหลักการเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์ดังกล่าวข้างต้นไปพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการให้ถูกต้องและเหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริงของสภาพปัญหาและการเพาะปลูกพืชเกษตรแต่ละชนิดต่อไป
|
||||||||||||||||||
27367 | ผลการเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐมอนเตเนโกร | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานผลการเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐมอนเตเนโกร ในระหว่างวันที่ ๘-๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเยือนสมาพันธรัฐสวิส ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และได้หารือกับผู้แทนขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิมนุษยชน การค้ามนุษย์และการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย รวมทั้งได้หารือกับสถาบันเพื่อการพัฒนาการจัดการ (Institute for Management Development : IMD) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีการจัดศักยภาพด้านการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ โดยได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการจัดการข้อมูลของ IMD ในการจัดศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งสามารถจะนำมาปรับใช้กับการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามเรื่องที่เกี่ยวกับการจดทรัพย์สินทางปัญญาแก่สินค้าและบริการ เนื่องจากเมื่อประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว การจดทรัพย์สินทางปัญญาต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นจะมีความสำคัญและจำเป็นมาก และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดต่อประสานงานกับ IMD เกี่ยวกับการดำเนินการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทยต่อไป ๒. การเยือนสาธารณรัฐอิตาลี ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลีเกี่ยวกับการเจรจาผลักดันเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) ไทย-สหภาพยุโรป การพัฒนาร่วมกันทางด้านอาหารและการตลาดในลักษณะเป็นพันธมิตรในการทำการค้าสินค้า OTOP ของสาธารณรัฐอิตาลีในตลาดเอเชีย การออกแบบและแฟชั่น รวมทั้งได้ศึกษาดูงานที่ห้างสรรพสินค้า (Eataly Roma) ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีการพัฒนาการขายสินค้าเกษตรเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าจากผู้ผลิตต้นทางที่ให้ได้รับสินค้าที่สดใหม่ มีคุณภาพ และราคาที่เป็นธรรม และยังมีการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับการเลือกสินค้าและการปรุงอาหารด้วย โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการเกี่ยวกับการสนับสนุนธุรกิจ SMEs และการส่งเสริมการลงทุน และกระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาสินค้า OTOP ในภาพรวม และการพัฒนาในแต่ละจังหวัด รวมทั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาการขายสินค้าในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ของประเทศไทยให้สามารถสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีคุณภาพ ทั่วถึง และในราคาที่เหมาะสม ๓. การเยือนสาธารณรัฐมอนเตเนโกร ได้เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐมอนเตเนโกรเกี่ยวกับการค้าการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นควรที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าสู่เอเชีย และสาธารณรัฐมอนเตเนโกรเป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาคบอลข่านและยุโรปตะวันออก ซึ่งจะทำให้ทั้งสองประเทศสามารถขยายความร่วมมือทั้งด้านการท่องเที่ยว การประมง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ สาธารณรัฐมอนเตเนโกรยังต้องการการสนับสนุนในด้านการเกษตรและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารทะเลร้อยละ ๘๐ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือในด้านการค้าการลงทุนดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||
27368 | การแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรสวนยางพาราในพื้นที่ภาคใต้ | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรายงานว่า ตามที่ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาราคายางพาราระหว่างผู้แทนภาครัฐ และภาคีเครือข่ายเกษตรกรสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันในวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๖ กลุ่มเกษตรกรสวนยางพาราในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชที่ยังมีความไม่พอใจได้ปิดเส้นทางจราจรสายหลัก ๒ จุด คือ บริเวณแยกควนหนองหงส์ อำเภอชะอวด และแยกบ้านเตาปูน อำเภอจุฬาภรณ์ ซึ่งเมื่อได้มีการเจรจากันแล้วในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ สถานการณ์ได้คลี่คลายลง คงเหลือจุดชุมนุมแห่งเดียว คือ บริเวณแยกควนหนองหงส์ โดยมีผู้ร่วมชุมนุมจำนวนประมาณ ๒๐๐ คน และในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าคลี่คลายสถานการณ์และขอคืนพื้นที่บริเวณแยกควนหนองหงส์ เพื่อเปิดการจราจรให้เป็นปกติได้ในช่วงเช้า ในช่วงบ่ายได้มีกลุ่มชายวัยรุ่นรวมตัวกันปฏิบัติการตอบโต้และปิดล้อมเจ้าหน้าที่ ใช้ก้อนหินขว้างปา ใช้ขวดน้ำมันจุดไฟ และใช้หนังสติ๊กยิงหัวน็อตและลูกแก้ว เจ้าหน้าที่ได้ตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาเท่าที่จำเป็นและถอยออกจากจุดปะทะประมาณ ๑๐ กิโลเมตร เพื่อลดการสูญเสีย ผลการปะทะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ ๗๖ นาย บาดเจ็บสาหัส ๔ นาย รถยนต์ถูกไฟไหม้ ๙ คัน และอาวุธปืนสูญหาย ๒ กระบอก ทั้งนี้ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวได้พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าอันจะก่อให้เกิดสถานการณ์รุนแรงบานปลาย และได้ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมในกรอบของกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอนและมาตรฐานสากล เพื่อให้เป็นที่ยอมรับได้ของสังคมโดยทั่วไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ปฏิบัติงานกันด้วยความเสียสละและย้ำว่า การแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพาราดังกล่าวต้องใช้ความอดทน ดำเนินการด้วยความละมุนละม่อม และบริหารจัดการให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานสากล รวมทั้งให้เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยรวม อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของโลกมีการชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของประเทศ และปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการรับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน ล่าช้า และไม่ทั่วถึง ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจทุกหน่วยงานควรเร่งชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสาธารณชนทั่วไปได้รับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้องอย่างรวดเร็วและเป็นที่เข้าใจตรงกัน ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการประสานงานกับโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โฆษกประจำกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริง ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว ให้สื่อมวลชนและประชาชนได้ทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และทันต่อสถานการณ์ต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการบริหารจัดการยางพาราที่อยู่ในสต็อกให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ สนับสนุนการใช้ประโยชน์จากยางธรรมชาติให้เพิ่มมากขึ้น โดยให้แจ้งความจำนงไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรองนายกรัฐมนตรี (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการศึกษาภาพรวมของอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ (value chain) เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพาราในระยะยาวต่อไป
|
||||||||||||||||||
27369 | การดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาทางเลือกของประชาชน | นร05 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
||||||||||||||||||
27370 | เลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในระหว่างวันที่ 19-20 กันยายน 2556 | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี ออกไปก่อน และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดวันสำหรับการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งต่อไป
|
||||||||||||||||||
27371 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา พร้อมผลการพิจารณาตามข้อสังเกตดังกล่าวที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในกรณีที่บทนิยามคำว่า "ความผิดร้ายแรง" ตามร่างมาตรา ๓ ได้กำหนดความผิดอาญาที่มีโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เป็นการกำหนดฐานความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกที่ต่ำเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้กระทำความผิดอาญาที่ไม่ร้ายแรง ฉะนั้น จึงควรบัญญัติให้อัตราโทษจำคุกตามร่างพระราชบัญญัตินี้มากกว่าสี่ปี ตามอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร ๒. ในกรณีที่บทนิยามคำว่า "พนักงานสอบสวน" ตามร่างมาตรา ๓ นั้นให้หมายถึงพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญาความผิดที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามร่างพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น ซึ่งมิได้หมายความรวมถึงพนักงานสอบสวน ผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทุกประเภท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๖) ๓. การออกข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามร่างมาตรา ๔ ซึ่งบัญญัติให้อัยการสูงสุดเป็นผู้มีอำนาจออกข้อบังคับนั้น อัยการสูงสุดควรให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมปรึกษาหารือและหาแนวทางร่วมกันในการกำหนดข้อบังคับเพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานต่อไป ๔. การบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๘๙ และมาตรา ๘๙/๑ ดังนั้น ร่างมาตรา ๑๐ ซึ่งบัญญัติให้เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนควรได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติก่อน ๕. การสืบสวนและสอบสวนการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามร่างมาตรา ๑๔ เป็นการบัญญัติให้ข้าราชการอัยการชั้น ๓ ขึ้นไปหรือข้าราชการพลเรือนตั้งแต่ระดับชำนาญการขึ้นไป หรือข้าราชการตำรวจตำแหน่งตั้งแต่สารวัตรหรือเทียบเท่าขึ้นไป เป็นหัวหน้าในการดำเนินการในการเข้าตรวจค้นจับกุม ได้ทุกกรณี ดังนั้น จึงควรมีมาตรการควบคุมการใช้ดุลพินิจดังกล่าวของพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ๖. เกี่ยวกับอัตราโทษที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัตินี้ ตามที่บัญญัติไว้ในร่างมาตรา ๘ กำหนดไว้เป็น “สองเท่า” ร่างมาตรา ๙ และมาตรา ๒๙ วรรคสอง กำหนดไว้เป็น “สามเท่า” เป็นการกำหนดอัตราโทษที่หนักเกินไป อาจเป็นที่เกรงกลัวของเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ นอกจากนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๙ ก็ได้กำหนดอัตราโทษไว้ในอัตราที่สูงอยู่แล้วสำหรับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ คือ จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีหรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือประหารชีวิตนั่นเอง |
||||||||||||||||||
27372 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกรกฎาคม 2556 | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชานและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ดำเนินการกำหนดราคาสินค้าและบริการควบคุม การดูแลราคาต้นทางและราคาปลายทาง การกำหนดมาตรการในการดูแลราคา การตรึงราคาจำหน่ายสินค้า การกำกับดูแลราคาจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ การติดตามตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย (สายตรวจ Mobile Unit) การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซล การส่งเสริมให้มีการใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น รวมทั้งการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง ตลอดจนการตรึงราคา NGV สำหรับประชาชน และกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ๒. ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค ได้ดำเนินการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงงานเป็นวันละ ๓๐๐ บาท และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ SMEs การจัดสรรเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การขยายระยะเวลาโครงการบ้าน ธ.อ.ส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก และการคืนภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์คันแรก ๓. ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ .. พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) ได้ดำเนินการโอนเงินโครงการพัฒนาศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชน (SML) ไปแล้วจำนวน ๗๗,๔๗๑ หมู่บ้าน/ชุมชน จำแนกเป็นหมู่บ้าน/ชุมชน ๗๖ จังหวัด จำนวน ๗๖,๕๓๔ แห่ง ชุมชนในกรุงเทพมหานคร จำนวน ๙๓๗ แห่ง ๕. ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน ได้แก่ การดำเนินโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร ได้อนุมัติแล้ว ๔,๑๓๒,๕๘๕ บัตร ส่งมอบบัตรแล้ว ๔,๑๒๕,๙๖๐ ราย วงเงินอนุมัติ ๖๐,๑๘๓ ล้านบาท การขึ้นทะเบียนเกษตรกรในพืชสำคัญ ๓ ชนิด (ข้าวนาปี มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) การดำเนินโครงการรับจำนำขาวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ มีสหกรณ์เข้าร่วมโครงการฯ รวม ๒๒๖ สหกรณ์ ได้ให้บริการรับจำนำ/บริการรวบรวมข้าวเปลือกจากสมาชิก ๓๕๑,๕๖๑ ราย ปริมาณข้าวเหลือรวม ๑,๗๔๔,๒๖๐.๖๐๑ ตัน องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรรับจำนำแล้ว ๓.๕๕๔ ล้านตัน มูลค่า ๕๖,๑๙๕.๙๓๕ ล้านบาท จำนวนเกษตรกร ๔๘๒,๐๒๒ ราย จำนวนโรงสี ๒๗๐ แห่ง นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการรักษาเสถียรภาพราคามะพร้าว ปี ๒๕๕๕ การรักษาเสถียรภาพราคายาง การเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรจากภัยพิบัติด้านเกษตรกร ในกรณีฝนทิ้งช่วง/ภัยแล้ง อุทกภัย วาตภัย และศัตรูพืชระบาด การจัดทำระบบทะเบียนครัวเรือนเกษตรกร การช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจนที่เป็นลูกหนี้กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจนที่มีปัญหาด้านหนี้สินและที่ดิน เป็นต้น ๖. ปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ได้ดำเนินการจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกร การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ การจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดการที่ดินป่าไม้ ๗. เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ ได้ดำเนินการโครงการสีสันสดใสเมืองไทยน่าเที่ยว โครงการพัฒนาถนนสายท่องเที่ยว ส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเมืองช้าง พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามรอยเส้นทางถ่ายทำภาพยนตร์ รวมถึงการพัฒนาฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ จำนวน ๑๙ โครงการ ๘. สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) ได้ดำเนินการจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ให้วางจำหน่ายสินค้า OTOP การจับคู่เจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การส่งเสริมมาตรฐานและยกระดับสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยการสร้างตราสินค้า ถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาการผลิต ยกระดับผู้ประกอบการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพตามแนวพระราชดำริ รวมทั้งเสริมสร้างผู้ประกอบการรายใหม่
|
||||||||||||||||||
27373 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ถึงกำหนด ในปีงบประมาณ 2557 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๒๐,๐๗๔.๔๙๔ ล้านบาท (ไถ่ถอนพันธบัตรและชำระคืนเงินต้นเงินกู้ที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๑๖,๙๙๒.๗๑๑ ล้านบาท และชำระค่าดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๓,๐๘๑.๗๘๓ ล้านบาท) ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงินดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งพิจารณาแนวทางและหรือมาตรการในการบริหารจัดการหนี้ของ ขสมก. โดยเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาด้านฐานะการเงินของ ขสมก. ในระยะยาว และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการให้บริการด้านการเดินทางแก่ประชาชน นอกจากนี้ ควรมีแผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเพิ่มรายได้จากการบริการ รวมทั้งเร่งรัดการแก้ไขปัญหาอุปสรรค และปรับปรุงระบบการบริหารการเงินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
27374 | ขออนุมัติเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำกรุงเทพมหานคร | กต | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำกรุงเทพมหานคร โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมกรุงเทพมหานคร ๒. แต่งตั้งนายจักร จามิกรณ์ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนิการากัวประจำกรุงเทพมหานคร
|
||||||||||||||||||
27375 | สรุปสถานการณ์นักท่องเที่ยว ระหว่างเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2556 | กก | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์นักท่องเที่ยว ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จำนวน ๒,๒๒๓,๖๘๕ คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุด ๑๐ อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย และรัสเซีย ตามลำดับ ๒. เดือนมกราคม-กรกฎาคม ๒๕๕๖ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทย จำนวน ๑๔,๙๖๘,๐๕๙ คน โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ภูมิภาคที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ เอเชียตะวันออก ยุโรป และอเมริกา ตามลำดับ สำหรับประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุด ๑๐ อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย สหราชอาณาจักร ลาว ออสเตรเลีย และเยอรมนี ตามลำดับ ๓. ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การขยายตัวของการเดินทางท่องเที่ยวโลก ความนิยมต่อแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย สินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีความหลากหลาย ประเทศไทยมีความคุ้มค่าทางการท่องเที่ยวสูง ประชาชนมีความเป็นมิตร สร้างความอบอุ่นและประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว ประกอบกับการดำเนินการตามแผนงานส่งเสริมและสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีส่วนสำคัญในการช่วยลดอุปสรรคด้านการเดินทางท่องเที่ยว ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ กระตุ้นและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้น ๔. แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยว ปี ๒๕๕๖ องค์การการท่องเที่ยวโลก United Nations World Tourism Organization (UNWTO) คาดว่าแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวโลกในปี ๒๕๕๖ จะขยายตัวต่อเนื่องประมาณร้อยละ ๓-๔ จากปีที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทย จากการวิเคราะห์สถิติการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในช่วง ๗ เดือนแรกของปี ๒๕๕๖ และแนวโน้มสถานการณ์การเดินทางท่องเที่ยวโลก ตลอดจนแผนงานและมาตรการด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การประชาสัมพันธ์และกระตุ้นตลาดของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวของประเทศไทยในปี ๒๕๕๖ จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ๕. ผู้เดินทางชาวไทยเดินทางออกไปต่างประเทศ ปี ๒๕๕๖ ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม ๒๕๕๖ มีผู้เดินทางชาวไทยเดินทางออกไปต่างประเทศ จำนวน ๔,๗๐๖,๘๐๕ คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยผู้เดินทางชาวไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเป็นหลักและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||
27376 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... | มท | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
27377 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดบุรีรัมย์ พ.ศ. .... | มท | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดบุรีรัมย์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
27378 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) รอบ ๙ เดือน (เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-เดือนมิถุนายน ๒๕๕๖) ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอของ คอ.นธ. ไปใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป ดังนี้
๑. การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ควรนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาเป็นตัวเลือก กล่าวคือ ให้กำหนดประเด็นว่า “สมควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” และระบุว่า หากประชาชนมีมติเห็นสมควรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐบาลจะนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาปรับปรุงแก้ไขหรือเป็นต้นแบบในการยกร่าง ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้พอมองเห็นร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นในอนาคตนั้นว่าจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๒. การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา ศาลยุติธรรมควรพิจารณาและทบทวนแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายด้วยการยึดมั่นในหลักความยุติธรรม ความเสมอภาค และคำนึงถึงสิทธิผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญา โดยเฉพาะการใช้ดุลพินิจเพื่อปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในทางการเมือง ควรใช้ดุลพินิจในกรอบของหลักเมตตาธรรม ทั้งนี้ เพื่อให้สิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลยดังกล่าวได้รับความคุ้มครองสมดังเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายต่อไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๓. การตรากฎหมายนิรโทษกรรม คณะรัฐมนตรีควรเป็นผู้ริเริ่มเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเป็นกรณีเร่งด่วน ทั้งนี้ ได้จัดทำร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมทางการเมืองของประชาชน ระหว่างวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ถึงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... สำหรับประกอบการพิจารณาและดำเนินการมาพร้อมด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรม ๔. การตรากฎหมายยกเว้นความผิดทางอาญาให้แก่ผู้นำอาวุธสงครามมามอบให้แก่ทางราชการ รัฐบาลควรดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติยกเว้นความผิดทางอาญาให้แก่ผู้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด หรือยุทธภัณฑ์ ที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่กฎหมายห้ามออกใบอนุญาตมามอบให้แก่ทางราชการ พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ |
||||||||||||||||||
27379 | ขออนุมัติลงนามในร่างตราสารขยายอายุบันทึกความเข้าใจอาเซียนว่าด้วยโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Instrument of Extension the ASEAN Memorandum of Understanding on the Trans-ASEAN Gas Pipeline Project) | พน | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างตราสารขยายอายุบันทึกความเข้าใจอาเซียนว่าด้วยโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Instrument of Extension the ASEAN Memorandum of Understanding on the Trans-ASEAN Gas Pipeline Project) ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยร่างตราสารขยายอายุบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ด้านความร่วมมือในการดำเนินงานพัฒนาโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและความร่วมมือด้านปิโตรเลียมระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียน ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็มให้แก่ผู้ลงนาม ๔. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างตราสารขยายอายุบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงพลังงานหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||
27380 | รายงานตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ประจำปี พ.ศ. 2554 | พม | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ก่อนเสนอรัฐสภาทราบต่อไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. คดีการกระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ที่เข้าสู่กระบวนการของตำรวจ มีจำนวน ๔๒๖ คดี มีการร้องทุกข์ จำนวน ๓๖๙ คดี ไม่ร้องทุกข์ จำนวน ๕๗ คดี มีการใช้คำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ จำนวน ๔๒ คำสั่ง มีการละเมิดคำสั่ง จำนวน ๗ คำสั่ง และมีการยอมความในชั้นสอบสวน จำนวน ๒๗ คดี ของจำนวนคดีที่มีการร้องทุกข์ทั้งหมด ทั้งนี้ จำนวนคดีดังกล่าวพบผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป ๒. คดีการกระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัวที่เข้าสู่กระบวนการของศาล มีจำนวน ๖๑ คดี เป็นคดีที่ขึ้นสู่ศาลชั้นต้น และเป็นคดีที่ผู้เสียหาย (ผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว) ดำเนินการฟ้องศาลโดยตรงโดยไม่ผ่านการร้องทุกข์จากตำรวจในจำนวน ๖๑ คดี มีการออกคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ (ชั้นผู้ใหญ่) ที่ศาลเห็นชอบ จำนวน ๕ คำสั่ง และไม่มีการละเมิดคำสั่งของศาล และมีการยอมความในชั้นพิจารณาคดี จำนวน ๑ คดี ๓. คดีการกระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัวที่เข้าสู่กระบวนการของอัยการ มีจำนวน ๓๕๔ คดี ในจำนวนนี้ มีคำสั่งฟ้อง จำนวน ๒๕๓ คดี โดยในจำนวนที่สั่งฟ้อง ได้ข้อให้ศาลใช้มาตรการตามกฎหมาย จำนวน ๔๐ เรื่อง และศาลได้กำหนดมาตรการหรือวิธีการบรรเทาทุกข์ จำนวน ๒ เรื่อง ส่วนคดีสั่งไม่ฟ้อง มีจำนวน ๑๑ คดี สั่งยุติคดี (ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์) จำนวน ๕๐ คดี และจากจำนวนคดีที่อัยการสั่งฟ้อง จำนวน ๒๕๓ คดี มีคดีเข้าสู่กระบวนการศาลชั้นต้น จำนวน ๒๒๓ คดี โดยคดีที่เข้าสู่กระบวนการศาลชั้นต้น ศาลสั่งยกฟ้อง จำนวน ๑ คดี ศาลสั่งยอมความ จำนวน ๓๒ คดี และเป็นคดีที่ศาลสั่งลงโทษ จำนวน ๑๘๘ คดี ๔. เหตุการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัวที่มีการบันทึกลงระบบฐานข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัวในส่วนผู้ปฏิบัติการภายใต้เว็บไซต์ www.violence.in.th มีจำนวน ๘๑๑ เหตุการณ์ โดยเป็นเหตุการณ์ที่เข้าสู่กระบวนการดำเนินคดี จำนวน ๑๔๙ เหตุการณ์ และเหตุการณ์ที่ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการดำเนินคดี จำนวน ๖๖๒ เหตุการณ์ และมีการบันทึกคดีที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ จำนวน ๑๖๓ คดี โดยมีคดีอยู่ในระหว่างการไกล่เกลี่ยในชั้นสอบสวนของตำรวจ จำนวน ๑๐๓ คดี มีการยอมความ จำนวน ๑๐ คดี และคดีที่อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ยในกระบวนการของอัยการและศาลอย่างละ ๑๖ คดี ทั้งนี้ กระบวนการในชั้นอัยการได้มีการสั่งไม่ฟ้อง จำนวน ๕ คดี มีคดีที่ศาลสั่งลงโทษผู้กระทำ จำนวน ๘ คดี และมีคดีที่อยู่ระหว่างการอุทธรณ์ในชั้นศาล จำนวน ๕ คดี
|
.....