ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1057 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21121 - 21140 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21121 | ร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณถอนร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... เพื่อนำกลับไปพิจารณาทบทวนร่วมกัน ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงาน
|
|||||||||||||||||||||
21122 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามแผนปฏิบัติการร่วมด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับศรีลังกา | กก | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามแผนปฏิบัติการร่วมด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับศรีลังกา มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมืออย่างฉันมิตรระหว่างสองประเทศในด้านการท่องเที่ยว เป็นการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับศรีลังกา โดยจะดำเนินการร่วมกันในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนด้านการท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับชาติ และการศึกษาด้านการท่องเที่ยวและการฝึกอบรมในขอบเขตของการท่องเที่ยว และอนุมัติให้ผู้แทนระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ส่วนการจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า ร่างแผนปฏิบัติการฯ ไม่เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ จึงไม่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงแผนปฏิบัติการร่วมดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
21123 | การประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการปรอท สมัยที่ 7 | ทส | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการปรอท [Intergovernmental Negotiating Committee (INC) to prepare a global legally binding instrument on mercury] สมัยที่ ๗ และการประชุมหารือในระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุม INC สมัยที่ ๗ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานรับผิดชอบหลักที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะฯ รวมทั้งประธานคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะฯ ๑.๒ เห็นชอบต่อท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุม INC สมัยที่ ๗ โดยสนับสนุนการทำงานของ INC ในการเตรียมการเพื่อรองรับการมีผลใช้บังคับของอนุสัญญามินามาตะฯ และการจัดประชุมรัฐภาคีสมัยแรก การคำนึงถึงความยืดหยุ่น ศักยภาพ ขีดความสามารถ สถานการณ์ และความจำเป็นของประเทศกำลังพัฒนาในการจัดการปรอท การสนับสนุนความร่วมมือและการบูรณาการร่วมกันในการดำเนินงานตามพันธกรณีข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี และข้อตกลงที่สอดคล้องกับศักยภาพ และขีดความสามารถของประเทศ และไม่ขัดกับนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ๑.๓ หากมีข้อเจรจาใดที่นอกเหนือจากท่าทีการเจรจาฯ และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Legally Binding) ต่อประเทศไทย ให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณาจนสิ้นสุดการประชุมฯ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่การประชุม INC จะมีการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จะต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการทำความตกลง ตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และหากความตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการยกเว้นให้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เคมีที่มีปรอทสำหรับหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจด้านการวิจัยและให้บริการทดสอบที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้สารเหล่านี้ การจัดทำแผนการจัดการควบคุม การลดและเลิกใช้สารปรอทเพื่อให้ผู้ประกอบการมีระยะเวลาในการเตรียมความพร้อม การให้ความสำคัญกับการจัดการของเสียอันตรายซึ่งมีสารปรอทเจือปนอย่างจริงจัง และการวางแผนจัดเก็บข้อมูลสำหรับการติดตามและประเมินผลกระทบสะสม (Bioaccumulation) ของสารปรอท เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21124 | ขอความเห็นชอบโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองต่อคณะรัฐมนตรี | พม | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) เป้าหมาย ๑๑,๐๐๔ ครัวเรือน งบประมาณ ๔,๐๖๑.๔๔ ล้านบาท โดยการดำเนินงานในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) นำเงินที่ได้รับการจัดสรรจากโครงการบ้านมั่นคงมาใช้จ่ายในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง และการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ใช้จากเงินทุนหมุนเวียนของ พอช. ตามความจำเป็นเร่งด่วน ๑.๒ การสนับสนุนเงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบและเสียโอกาสเฉลี่ยครัวเรือนละ ๘๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากนโยบายการจัดระเบียบชุมชนริมคลองเป็นนโยบายที่สำคัญและเร่งด่วนที่ต้องเห็นรูปธรรมการแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจนภายในระยะเวลาจำกัด และชุมชนมีข้อจำกัดในการเตรียมความพร้อมเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งต้องรับภาระ จึงจำเป็นต้องมีการช่วยเหลือเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงตรวจสอบความซ้ำซ้อน การมีส่วนร่วม และความเป็นธรรมที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับเป็นสำคัญด้วย โดยเป้าหมายที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และ พ.ศ. ๒๕๖๑ นั้น ให้ พอช. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็น เหมาะสมและสอดคล้องกับความเร่งด่วนตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาประเด็นรายละเอียดของโครงการ ได้แก่ การพิจารณาหลักเกณฑ์การอุดหนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยให้สอดคล้องกับรูปแบบการพัฒนาที่อยู่อาศัยและขีดความสามารถในการรับภาระของกลุ่มเป้าหมาย ความเหมาะสมและจำเป็นในการขอเงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบและเสียโอกาสของโครงการ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับการใช้พื้นที่ริมคลองเพื่อป้องกันการรุกล้ำในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาปรับปรุงระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) |
|||||||||||||||||||||
21125 | โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มคนไร้บ้าน 2 ปี (พ.ศ. 2559 - 2560) | พม | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มคนไร้บ้าน ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามเป้าหมายที่ได้มีการสำรวจคนไร้บ้านในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ใน ๓ เมืองใหญ่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดขอนแก่น เป้าหมาย ๖๙๘ ครัวเรือน ๑,๓๙๕ คน งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๑๘.๖ ล้านบาท โดยมีกิจกรรมหลักคือ การสร้างศูนย์คนไร้บ้านเพิ่มเติม ๓ แห่ง ที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดขอนแก่น และสนับสนุนการสร้างที่อยู่อาศัยให้คนไร้บ้าน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการติดตามและประเมินผลโครงการเพื่อให้การใช้งบประมาณเกิดความคุ้มค่า ควรกำหนดกรอบการดำเนินงานในลักษณะที่ควบคุมปริมาณ มีหลักเกณฑ์และวิธีการเหมาะสมในการตรวจสอบการคัดเลือกบุคคลที่มาอยู่ในศูนย์คนไร้บ้าน รวมทั้งมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนกรณีจะให้คนไร้งานออกจากศูนย์คนไร้บ้านเมื่อได้รับการช่วยเหลือตามสมควรแล้ว ตลอดจนกำหนดแผนดำเนินงานที่สามารถป้องกันไม่ให้คนไร้บ้านมีจำนวนเพิ่มขึ้น สำหรับแนวทางการสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่คนไร้บ้านเพื่อสร้างเป็นชุมชนแห่งใหม่ ให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนโดยคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และมีลำดับความสำคัญสูงก่อน เพื่อมิให้เป็นภาระต่องบประมาณในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาปรับปรุงระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มคนไร้บ้าน ๒ ปี ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) |
|||||||||||||||||||||
21126 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ | อก | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมทบทวนโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ในเรื่องของพื้นที่ดำเนินการที่เหมาะสมและแผนการดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการวิเคราะห์ว่าจะทำให้เกิดการผลิตและใช้ยางพาราภายในประเทศเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ และควรมีการสร้างความร่วมมือกับศูนย์บริการทดสอบและรับรองมาตรฐานทางด้านยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อต่าง ๆ ที่มีอยู่ในประเทศด้วย นอกจากนี้ เห็นควรจัดทำแผน/แนวทางการบริหารจัดการศูนย์ฯ ที่ชัดเจน ให้ครอบคลุมด้านโครงสร้างและรูปแบบการบริหารงาน กรอบระยะเวลาดำเนินการ เป้าหมายที่จะลดการพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐในแต่ละปี แหล่งเงินทุนในการดำเนินงาน ระยะเวลาคืนทุนของโครงการ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการดึงดูดการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนรายใหญ่ในการดำเนินโครงการ และการสร้างความร่วมมือในลักษณะบูรณาการเป็นเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21127 | ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี จากเดิมที่ให้ใช้แหล่งเงินกู้ เป็น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2563 ของกรมทางหลวง | คค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและผู้อำนวยการสำนักงบประมาณรายงาน ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานว่า ขณะนี้โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ได้ผู้รับเหมาสำหรับงานก่อสร้างตอนที่ ๑ แล้ว โดยหากโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี สามารถเริ่มลงนามในสัญญาได้ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ๒๕๕๙ จะทำให้ระยะเวลาการดำเนินโครงการเร็วขึ้นกว่าแผนเดิมประมาณ ๖ เดือน สำหรับแผนดำเนินโครงการในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ซึ่งประกอบด้วย การบริหารจัดการและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance) และการบริหารจัดการที่พักริมทาง (Rest Area) กระทรวงคมนาคมจะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๙ ๑.๒ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณรายงานว่า ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้แล้วทั้งสิ้น ๒,๗๓๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลงบประมาณ จำนวน ๓๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และกำหนดรายจ่ายลงทุนไว้ จำนวน ๕๔๖,๖๐๐ ล้านบาท หากให้ใช้รายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๙๐,๐๐๐ ล้านบาท จากเงินกู้ ในส่วนของการขาดดุลงบประมาณก็จะเหลือรายจ่ายลงทุนที่จะใช้จากรายได้ จำนวน ๑๕๖,๖๐๐ ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้ในโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ๒ สายทาง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓๘,๘๙๔ ล้านบาท ได้ และยังมีวงเงินรายจ่ายลงทุนคงเหลือที่จะใช้จ่ายจากรายได้ ได้อีกจำนวน ๑๑๗,๗๐๖ ล้านบาท โดยการใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการจะช่วยลดภาระหนี้สาธารณะในปี ๒๕๖๐ ได้ จำนวน ๓๘,๘๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบการปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี จากเดิมที่ให้ใช้แหล่งเงินกู้ เป็น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในส่วนที่เอกชนร่วมลงทุน (Public Private Partnership : PPP) ในงานก่อสร้างที่พักริมทาง (Rest Area) สถานีบริการทางหลวง (Service Area) และศูนย์บริการทางหลวง (Service Center) งานระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวงเงินค่าก่อสร้าง การพิจารณาแนวทางบริหารจัดการเงินกองทุน เงินค่าธรรมเนียมผ่านทาง เพื่อเพิ่มมูลค่าผลประโยชน์ทางการเงินของเงินกองทุนเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางในการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการกำกับติดตามการดำเนินโครงการในขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การพิจารณาการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบกับรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (หากมี) และการก่อสร้างงานโยธา เพื่อให้โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสามารถดำเนินการได้ตามแผนงานที่กำหนด และสอดคล้องกับการให้เอกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) ตามกรอบระยะเวลาในการดำเนินโครงการตามมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21128 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อื่นๆ | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) นำร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ และเสนอคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่พระราชบัญญัติองค์การมหาชนฯ กำหนดต่อไป ๒. สำหรับการทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ประสานรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21129 | การผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ สำหรับการจำหน่าย หนี้สูญจากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี 2554 [ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่าย หนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้] | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี ๒๕๕๔ และอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บริษัทประกันวินาศภัยสามารถจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ตามประมวลรัษฎากรได้ในส่วนของหนี้ที่ได้ดำเนินการด้อยค่าสินทรัพย์จากประกันภัยต่อครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การพิจารณาค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์จากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี ๒๕๕๔ ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยกำหนด เพื่อบรรเทาภาระให้บริษัทประกันวินาศภัยดังกล่าว ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมสรรพากรติดตามตรวจสอบการได้รับชำระค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมจากบริษัทประกันภัยต่อ ที่บริษัทประกันวินาศภัยได้รับชำระมาภายหลังจากการด้อยค่าสินทรัพย์แล้วของบริษัทประกันวินาศภัยอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานและบรรเทาภาระรายได้ภาษีของรัฐที่ต้องสูญเสียจากการคืนเงินภาษีในกรณีดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยควรเพิ่มมาตรการลงโทษสำหรับกรณีที่บริษัทประกันภัยได้รับค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมจากบริษัทประกันภัยต่อภายหลัง แล้วไม่นำค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมที่ได้รับมารับรู้เป็นรายได้ทั้งจำนวนในรอบบัญชีที่ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21130 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 กรณีการยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (แผนการชำระหนี้ค่าภาษีการพนันของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กระทรวงมหาดไทย) | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ กรณีการยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (แผนการชำระหนี้ค่าภาษีการพนันของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กระทรวงมหาดไทย) ในส่วนเงินที่เหลือต้องชำระให้กระทรวงมหาดไทย จาก “สำหรับเงินส่วนที่เหลือ ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังในการนำเงินส่วนที่เหลือจากค่าใช้จ่ายในการบริหารงานหรือดอกผล กันไว้เป็นเงินสำรองได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗” เป็น “สำหรับเงินส่วนที่เหลือ จำนวน ๕๙๕,๒๐๕,๔๖๗.๘๗ บาท ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ของสำนักงานสลากฯ เพิ่มเติม โดยให้แบ่งจ่ายชำระหนี้เป็น ๒ งวด งวดแรก ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒๙๗,๖๐๒,๗๓๓.๙๔ บาท และงวดที่สอง ภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ จำนวน ๒๙๗,๖๐๒,๗๓๓.๙๓ บาท ตามลำดับ” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21131 | หลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจ | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจ โดยให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีเครื่องจักรที่เป็นส่วนควบ และออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีทรัพย์สินประเภทโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และเห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงพลังงานว่า ในระหว่างที่รอกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีทรัพย์สินประเภทโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น จะยังคงขอใช้บัญชีราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่อเดือนของแต่ละโรงไฟฟ้าตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอ และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ลดหย่อนค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่คำนวณจากบัญชีราคาค่าเช่าที่ กฟผ. เสนอแล้ว ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรเร่งทำความเข้าใจและกำกับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งนำหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยค่ารายปีที่จะลดหย่อนให้แก่รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ นอกจากการคำนึงถึงรายได้ของท้องถิ่นและความเป็นธรรมกับผู้เสียภาษีทั่วไปรายอื่น ๆ แล้ว จะต้องพิจารณาความเหมาะสมและสถานะของรัฐวิสาหกิจบางแห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีผู้ถือหุ้นบางส่วนเป็นเอกชนและชาวต่างชาติด้วย เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม และสำหรับในอนาคตต่อไปหากรัฐวิสาหกิจมีความจำเป็นต้องเสนอขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดิน เห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ในท้องถิ่นนั้นร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจพิจารณาอย่างรอบคอบให้ได้ข้อยุติก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในกรณีที่รัฐวิสาหกิจมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องขอลดหย่อนค่ารายปี โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ เนื่องจากประสบปัญหาทางการเงินหรือการดำเนินกิจการ เมื่อกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจนั้นเสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อยุติก่อน และให้กระทรวงการคลังนำผลการพิจารณาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน |
|||||||||||||||||||||
21132 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๒๖ รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๔,๕๙๑,๐๓๒.๕๓ บาท ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข ๔ รายการ วงเงิน ๓,๗๔๐,๙๗๒.๐๐ บาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๔ รายการ วงเงิน ๔,๙๒๐,๕๔๓.๐๓ บาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๕ รายการ วงเงิน ๒,๐๕๖,๖๙๐.๕๐ บาท และกระทรวงคมนาคม ๑๓ รายการ วงเงิน ๑๓,๘๗๒,๘๒๗.๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21133 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับรัฐลิเบีย | กต | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ข้อมติที่ ๒๒๐๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ที่ ๒๒๑๓ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ที่ ๒๒๑๔ (ค.ศ. ๒๐๑๕) และที่ ๒๒๓๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) เกี่ยวกับรัฐลิเบีย โดยเน้นย้ำให้รัฐสมาชิกถือปฏิบัติตามมาตรการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและเห็นชอบให้ต่ออายุมาตรการคว่ำบาตรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบส่งออกน้ำมันดิบไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามนัยข้อ ๑๔ ของข้อมติที่ ๒๒๑๓ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับรัฐลิเบีย ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุด ถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21134 | การดำเนินการให้มีผลผูกพันตามการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA Expansion) | พณ | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบผลการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA Expansion) ของไทย ในการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ครั้งที่ ๑๐ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญประกอบด้วยการกำหนดให้ประเทศภาคีต้องผูกพันและยกเลิกอากรศุลกากร อากรอื่น ๆ และค่าธรรมเนียมอื่นตามรายการสินค้าแนบท้ายปฏิญญาฯ การกำหนดระยะเวลาในการยกเลิกอากรศุลกากร และการมีผลใช้บังคับ และเห็นชอบการมีผลผูกพันตามผลการเจรจาดังกล่าว ๑.๒ เห็นชอบการแก้ไขตารางข้อผูกพัน (Schedule of Tariff Concessions) ที่ไทยมีอยู่ภายใต้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) เพื่อให้เป็นไปตามผลการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ และแจ้งการแก้ไขตารางข้อผูกพันดังกล่าวไปยัง WTO โดยตารางข้อผูกพันฯ ของไทยซึ่งเป็นผลจากการเจรจาประกอบด้วยรายการสินค้า ๕๒๔ รายการ ที่พิกัดอัตราศุลกากรระดับ ๘ หลัก แบ่งเป็นสินค้าปกติ ๔๓๖ รายการ (ร้อยละ ๘๓.๒๑) และสินค้าอ่อนไหว ๘๘ รายการ (ร้อยละ ๑๖.๗๙) โดยมีระยะเวลาการลดภาษี ๔ ระยะ คือ ลดภาษีเป็น ๐ ทันที ลดภาษีเป็น ๐ ภายใน ๓ ปี ลดภาษีเป็น ๐ ภายใน ๕ ปี และลดภาษีเป็น ๐ ภายใน ๗ ปี ๑.๓ นำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบการมีผลผูกพันตามผลการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ ๑.๔ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามข้อผูกพันฯ เพื่อให้เกิดผลในการปฏิบัติตามกฎหมายภายในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ๒. ให้เสนอปฏิญญาว่าด้วยการขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (Declaration on the Expansion of Trade in Information Technology Products) เอกสารแจ้งการยอมรับปฏิญญาฯ และเอกสารการแก้ไขตารางข้อผูกพัน (Schedule of Concessions) ไปเพื่อคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอรับความเห็นชอบตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เกี่ยวกับรายการสินค้าในบัญชีควรเป็นสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างแท้จริงหรือเป็นสินค้าที่เกี่ยวเนื่องด้านการผลิตสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศในระดับที่สามารถยอมรับได้ โดยพิจารณารายละเอียดของสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ และ/หรือสินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ให้รอบด้าน การให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมด้านประสิทธิภาพและมาตรฐานการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่ผลิตสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศในกลุ่มสินค้าอ่อนไหว การกำหนดมาตรการส่งเสริมการผลิตสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งให้ความสำคัญและประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลประโยชน์จากการเข้าเป็นสมาชิกความตกลงฯ อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21135 | ร่างถ้อยแถลงประธานของการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 14 | กต | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างถ้อยแถลงประธานในการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ ๑๔ [Chairman''s Statement 14th Cooperation Dialogue (ACD) Ministerial Meeting] ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการประชุมฯ โดยระบุแนวทางที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก ACD ในมิติต่าง ๆ เช่น การจัดทำร่างเอกสารแนวคิดเรื่องวิสัยทัศน์ความร่วมมือ ACD ปี ค.ศ. ๒๐๓๐ การพัฒนาความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบระหว่างกัน การส่งเสริมการพัฒนาอย่างครอบคลุมและยั่งยืน การจัดลำดับสาขาความร่วมมือใน ACD ใหม่ แนวทางการจัดตั้งสำนักเลขาธิการถาวร ACD ความสำคัญของบทบาทภาคเอกชนและภาควิชาการ การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACD Summit ครั้งที่ ๒ ของไทย และการเสนอตัวเป็นประธาน ACD วาระปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ ๑๔ และให้ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงประธานดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างถ้อยแถลงดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
21136 | การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย | นร | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิ่มวงเงินช่วยเหลือตามโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือชาวประมง “ประมงไทยก้าวไกลสู่สากล” ในกรอบวงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ (คณะที่ ๕) เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการการเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการของกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้สำนักงาน ก.พ. นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณากำหนดอัตรากำลังตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๒ สัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑)] สำหรับเรื่องงบประมาณในการดำเนินการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้กรมประมงปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามและดูแลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมเจ้าท่า ประมงจังหวัด สมาคมประมงแห่งประเทศไทย สมาคมประมงจังหวัด เร่งรัดพิจารณาเอกสารหลักฐานของผู้ประกอบการประมงที่จะเข้าร่วมโครงการ เพื่อประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อของธนาคารออมสินในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการประมงที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขสามารถนำสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไปใช้ประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนเครื่องมือการทำประมงและปรับปรุงเรือประมงได้อย่างรวดเร็วทันกับความเดือดร้อนของผู้ประกอบการประมงในขณะนี้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21137 | โครงการจัดสร้างสวนป่า "เบญจกิติ" | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ตามแบบแปลนของสำนักพระราชวัง ภายในกรอบวงเงิน ๙๕๐ ล้านบาท โดยให้โรงงานยาสูบเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดสร้าง ทั้งนี้ ในการใช้จ่ายเงินแต่ละระยะ (PHASE) ของงานก่อสร้างให้เป็นไปตามที่กรมธนารักษ์และโรงงานยาสูบตกลงร่วมกัน และให้กระทรวงการคลัง (โรงงานยาสูบ) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้โรงงานยาสูบปฏิบัติตามข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. อนุมัติให้โรงงานยาสูบนำค่าใช้จ่ายที่โรงงานยาสูบสนับสนุนเพิ่มเติม จำนวน ๕๓๐ ล้านบาท มาบวกกลับในการคำนวณกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัสประจำปีบัญชีที่มีการใช้จ่ายจริง ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
21138 | การรับโอนข้าราชการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายอิสระ ศิริวรภา) | นร01 | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายอิสระ ศิริวรภา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21139 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (นายวิชิต ชิตวิมาน และนายเกริกพันธุ์ ฤกษ์จำนง) | กต | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายวิชิต ชิตวิมาน ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายเกริกพันธุ์ ฤกษ์จำนง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
|
|||||||||||||||||||||
21140 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม) (จำนวน 3 ราย 1. นายสุเทพ เกษมพรมณี ฯลฯ) | วธ | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายสุเทพ เกษมพรมณี ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายมานัส ทารัตน์ใจ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายพีรพน พิสณุพงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
.....