ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1054 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21061 - 21080 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21061 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2555) | มท | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ในที่ดินประเภทชุมชน ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม และที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม รวมทั้งยกเลิกบัญชีท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นว่า ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงที่การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน ๑๓ ประเภท ๑๑๗ โรงงาน คิดเป็นร้อยละ ๔.๔๕ ของโรงงานทั้งหมดในพื้นที่วางผัง ไม่ได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ จึงเห็นควรให้เพิ่มประเภทโรงงานในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ และพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งในการกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้ว ควรจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21062 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับโทษปรับ การรอการกำหนดโทษและรอการลงโทษ และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษของผู้ใช้และผู้ถูกใช้) | สว | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับโทษปรับ การรอการกำหนดโทษและรอการลงโทษ และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษของผู้ใช้และผู้ถูกใช้) ว่า เนื่องจากมีการแก้ไขมาตรา ๓๐/๑ โดยยกเลิกอัตราค่าปรับที่อาจขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับได้ จึงควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการปรับปรุงอนุบัญญัติต่าง ๆ ที่ออกตามความในมาตราดังกล่าวให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่ และควรประชาสัมพันธ์ให้จำเลยและบุคคลที่เกี่ยวข้องทราบถึงสิทธิที่จะขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับตามบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่ รวมทั้งควรมีการพิจารณาทบทวนอัตราการกักขังแทนค่าปรับทุก ๆ ห้าปี ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
21063 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้การดำเนินการตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์การให้ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาภายใต้พระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. ๒๕๓๕ และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อทั้งต่างประเทศในฐานะประเทศผู้ร้องขอ และประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือ ตลอดจนการรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาจากต่างประเทศว่ามีกระบวนการรับรองและคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยในกระบวนการยุติธรรมอย่างครบถ้วนแล้วหรือไม่ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
21064 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครอง สิทธิมนุษยชน ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 25 เรื่อง การดำเนินการเกี่ยวกับการยุติธรรมทางอาญา | ยธ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๒๕ เรื่อง การดำเนินการเกี่ยวกับการยุติธรรมทางอาญา ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นว่า กฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบันมีการดำเนินการเกี่ยวกับการพิมพ์ลายนิ้วมือและการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ครอบคลุมแล้ว ทั้งในส่วนของการกำหนดหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหาในการพิมพ์ลายนิ้วมือ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานให้สามารถออกคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญาพิมพ์ลายนิ้วมือได้ รวมถึงกำหนดโทษทางอาญาในกรณีที่ฝ่าฝืน การขัดคำสั่ง ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับที่ ๒๕ สามารถนำมาบังคับใช้ได้ โดยไม่มีความขัดแย้งกัน ทั้งนี้ การปรับปรุงกฎหมายตามข้อเสนอเพื่อให้เจ้าพนักงานมีอำนาจบังคับผู้ต้องหา จะทำให้กฎหมายมีสภาพบังคับมากเกินไป ซึ่งเป็นกรณีที่กระทบต่อสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของบุคคล จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎหมายในขณะนี้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
21065 | ขอความเห็นชอบให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการฝึกอบรมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรม เรื่อง หลักสำคัญในการทดสอบการใช้เภสัชรังสีเพื่อการบำบัดรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและเนื้องอกส่วนอื่น ๆ (IAEA/RCA Regional Training Course on the Principles and Practice of the Use of Radiopharmaceuticals for the Treatment of Lymphoma and Other Malignancies) ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติจะได้ดำเนินการประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อแจ้งให้คณะผู้แทนถาวรไทยประจำกรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ทราบและแจ้งทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ตามแนวทางปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
21066 | แนวทางการดำเนินการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ | มท | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการตามแนวทางการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ รวมทั้งปรับปรุงระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้รองรับการดำเนินการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลในการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยในระยะแรกของการดำเนินการให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดรูปแบบและควบคุมการเข้าถึงข้อมูลให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) การป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ ความมั่นคงและปลอดภัยในการใช้งานระบบสารสนเทศ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนราษฎรตามแนวทางดังกล่าวจะต้องไม่เป็นการนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ความสำคัญในการวางแผนเพื่อรองรับการดำเนินการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศและภัยคุกคามด้านไซเบอร์ การจดแจ้งรายได้และอาชีพของประชาชนดำเนินการภายใต้โครงการ e-Payment ของภาครัฐ การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการดำเนินการในส่วนที่รับผิดชอบและเกี่ยวข้อง การจัดทำฐานข้อมูลประชาชนโดยใช้เลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก เป็นดัชนีจัดเก็บข้อมูลและการปรับปรุงบริการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้รองรับการใช้บัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) จำเป็นต้องมีโปรแกรมใช้ในการอ่านข้อมูลจากบัตร และจะต้องพัฒนาระบบเพื่อรองรับการใช้บัตรประชาชนฯ อย่างเพียงพอ รวมถึงควรมีหน่วยงานอื่น ๆ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเจ้าภาพร่วมดำเนินการในการกำหนดให้มีหน่วยงานกลางเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนของส่วนราชการและทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการข้อมูล การพิจารณาถึงแนวทางการดำเนินการของหน่วยงานที่มีการจัดเก็บฐานข้อมูลประชาชนที่ไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก เช่น แรงงานต่างด้าว และเด็กแรกเกิด และการมีหน่วยงานกลางเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ Service Platform ในการจัดทำระบบให้บริการตรวจสอบข้อมูล การจัดให้มีระบบในการเชื่องโยงฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐกับฐานด้านความมั่นคง รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินงานในแต่ละด้านให้ชัดเจนและรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21067 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ลักเซมเบิร์ก | คค | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจลับระหว่างไทย-ลักเซมเบิร์ก ฉบับลงนามวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๙ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและลักเซมเบิร์ก มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดสายการบิน การให้อนุญาตและเพิกถอนใบอนุญาต ข้อบทความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยการบิน ความจุความถี่ และพิกัดอัตราค่าขนส่ง ๑.๒ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมศุลกากร และกรมควบคุมโรค เป็นต้น กำกับการให้บริการและการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานไทยให้ได้มาตรฐานตามข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมทั้งวางแผนการบริหารจัดการห้วงอากาศเพื่อให้สามารถรองรับปริมาณความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21068 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | กค | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมที่มีรูปแบบเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคมเองและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิของวิสาหกิจเพื่อสังคม และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมสำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นเงินลงทุนในหุ้นสามัญของวิสาหกิจเพื่อสังคมหรือเงินได้เท่ากับจำนวนเงินที่มอบให้หรือมูลค่าของทรัพย์สินที่โอนให้วิสาหกิจเพื่อสังคมโดยไม่มีค่าตอบแทน เพื่อให้มีการประกอบกิจการเพื่อสังคมให้มากขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้พิจารณาด้วยว่าการรับรองการเป็นกิจการเพื่อสังคมเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของวิสาหกิจเพื่อสังคมอย่างแท้จริงและต้องมิให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมในการให้คณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติซึ่งมีสำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานภายในของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพรับรองการเป็นกิจการเพื่อสังคมด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
21069 | การเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในราชการ จำนวน 4 คัน พร้อมคนขับ และการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ | ยธ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐขยายวงเงินและระยะเวลาเพิ่มอีก ๑ ปี เป็นจำนวนเงิน ๑,๔๐๑,๖๐๐ บาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ จำนวน ๔ คัน พร้อมคนขับ รวมทั้งขยายวงเงินและระยะเวลาเพิ่มอีก ๓ ปี ในการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พร้อมพนักงานขับรถ เพิ่มเติม จำนวน ๑ คัน เป็นจำนวนเงิน ๒,๒๓๗,๐๔๐ บาท ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับดำเนินการเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในราชการให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และมาตรฐานของทางราชการ ให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับรถยนต์เพื่อใช้ในราชการ โดยให้พิจารณารายละเอียดต่าง ๆ เช่น กำลังของเครื่องยนต์ ปริมาตรความจุของกระบอกสูบของเครื่องยนต์ (CC) อัตราเร่งของเครื่องยนต์ ยี่ห้อรถยนต์ เป็นต้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและไม่เป็นภาระต่องบประมาณ รวมทั้งพิจารณาความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลด้านพลังงานและการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศด้วย และให้ส่งคณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ในเรื่อง การปรับอัตรา ค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการผู้มีสิทธิได้รถประจำตำแหน่งด้วย ๓. กรณีการเสนอเรื่องเกี่ยวกับการเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในราชการ หากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐได้เสนอความเห็นมาประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้วว่าเห็นชอบด้วย ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบ ซึ่งหากไม่มีข้อทักท้วง ให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบหรืออนุมัติตามที่เสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
21070 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2559) | คค | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ตั้งแต่เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ของวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๙ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี ๒๕๕๙ และป้องกันความสับสนบริเวณหน้าด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
21071 | ร่างพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่า ขอเปลี่ยนเอกสารคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายการสาธารณสุข โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการสาธารณสุขจังหวัด ปรับปรุงอำนาจผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานระดับพื้นที่ในการระงับเหตุที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน เพิ่มเติมอำนาจของเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการประกาศกำหนดพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ เพิ่มเติมอำนาจของรัฐมนตรีในการกำหนดประเภทหรือขนาดของกิจการที่ต้องศึกษาหรือประเมินผลประกอบการอนุญาต และกำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการเปรียบเทียบคดี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาพร้อมกับคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมาย ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการนำกลไกประชารัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ มาใช้ในการขับเคลื่อนการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ในการป้องกันและระงับเหตุรำคาญในพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ ควรประสานและหารือการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุมหรือกำกับดูแลกิจการหรือการกระทำที่ก่อให้เกิดเหตุรำคาญ เพื่อให้การกำหนดแนวทางการดำเนินงานสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติมาตรา ๑๘ วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ยกเว้นให้การจัดการของเสียตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน รวมทั้งควรเพิ่มกรรมการให้ครอบคลุมผู้มีส่วนได้เสียจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคประชาชนที่จะเป็นผู้ได้รับการคุ้มครองด้านการสาธารณสุขและการอนามัยสิ่งแวดล้อมตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21072 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและแผนงานในอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งราชอาณาจักรไทย | ทก | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและแผนงานในอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Understanding between the Ministry of Science, ICT and Future Planning of the Republic of Korea and the Ministry of Information and Communication Technology of the Kingdom of Thailand on Cooperation in the Field of Information and Communication Technology) โดยร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศ โดยส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อการพัฒนาในสาขาไอซีที และมีขอบเขตความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมนโยบายด้าน Digital economy, e-Commerce, e-Transaction, e-Government, Cyber security, Broadband Internet, Digital content, Smart city, Tech startups และ SMEs โดยมีการดำเนินการตามขอบเขตความร่วมมือดังกล่าว เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่/ผู้เชี่ยวชาญ การส่งเสริมให้มีผู้เชี่ยวชาญเพื่อบริการให้คำปรึกษาแนะนำการลงทุนและการตลาดสำหรับ Tech startups ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรขยายขอบเขตของความร่วมมือให้ครอบคลุมถึงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา และด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านอื่น ๆ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21073 | ร่างพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยขยายขอบเขตของหลักทรัพย์และสถาบันการเงินเพื่อให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมสามารถช่วยเหลือ SMEs ได้กว้างขึ้นซึ่งจะขยายการเข้าถึงการประกันสินเชื่อของ SMEs รวมทั้งแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าวให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีการใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนสามารถบริหารองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพิ่มอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ของบรรษัทฯ โดยเพิ่มเติม การโอน รับ รับโอน หรือดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน การเพิ่มการลงทุน หรือถือหุ้นในกิจการที่เกี่ยวข้องหรือที่เกี่ยวเนื่องกับวัตถุประสงค์ของบรรษัทฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มาตรา ๘ ที่ให้เพิ่มเติมความ (๑๑/๒) ของมาตรา ๑๒ ที่ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม มีอำนาจลงทุนหรือถือหุ้นในกิจการที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องตามวัตถุประสงค์ของบรรษัทฯ หรือเป็นประโยชน์โดยตรงแก่กิจการของบรรษัทฯ โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี นั้น มีความหมายกว้าง อาจไม่สอดคล้องกับเหตุผลในการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ เนื่องจากไม่ได้เจาะจงเฉพาะการจัดตั้งหรือเข้าร่วมจัดตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ความเสี่ยงของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในอนาคต และความในร่างพระราชบัญญัติฯ วรรคสอง อาจขัดแย้งกับพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๒ รวมทั้งการบัญญัติการใช้สิทธิของบรรษัทฯ ควรกำหนดให้มีความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นได้ในตอนใดบ้างและบรรษัทฯ จะมีสิทธิในกระบวนการพิจารณาเพียงใด เนื่องจากบรรษัทฯ อาจเป็นคู่ความในคดีอยู่ก่อนในฐานะเป็นจำเลยรายหนึ่งซึ่งแตกต่างจากกรณีการโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
21074 | ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า Non-Project Grant Aid (NPGA) จากรัฐบาลญี่ปุ่น | กต | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่าง Exchange of Notes (EN), Agreed Minutes on Procedural Details (AM) และ Record of Discussions (RD) โดยร่างเอกสาร EN, AM เป็นเอกสารความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นเกี่ยวกับการรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยมีเงื่อนไขว่า รัฐบาลไทยจะต้องซื้อสินค้าตามประเภทที่กำหนดไว้โดยรัฐบาลญี่ปุ่นเท่านั้น และมีพันธกรณีที่รัฐบาลไทยต้องดำเนินการตามเงื่อนไขในการรับเงินช่วยเหลือและจัดซื้อสินค้า เช่น การเปิดบัญชีกับธนาคารญี่ปุ่น การยกเว้นภาษี การจัดทำรายงานเกี่ยวกับบัญชี เป็นต้น ส่วนร่างเอกสาร RD เป็นเอกสารบันทึกความเข้าใจของผู้แทนฝ่ายญี่ปุ่นและฝ่ายไทยเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการที่จำเป็นของฝ่ายไทยเพื่อป้องกันการทุจริตในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในเอกสาร EN, AM และ RD ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนสำหรับการลงนามในเอกสาร EN และ AM ๑.๔ มอบหมายให้กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นตัวแทนหน่วยงานราชการไทยที่ได้รับอนุมัติ Non-Project Grant Aid (NPGA) ลงนามในเอกสารย่อย ได้แก่ Agent Agreement (AA) และ Banking Arrangement (BA) ซึ่งเป็นเอกสารย่อยที่มีเนื้อหาเช่นเดียวกับที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่าง EN, AM และ RD ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีตามข้อตกลงดังกล่าวให้เป็นไปตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ ประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๔๘๑ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของประเทศไทย รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการศึกษาการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการจากผู้จัดหาสินค้าและให้บริการในญี่ปุ่นซึ่งจะต้องมีการนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยมีกฎหมายใดที่เกี่ยวข้องบ้าง การประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อขอยกเว้นภาษีศุลกากร ภาษีภายในประเทศ (ซึ่งอาจรวมถึงภาษีท้องถิ่น) และอากรใด ๆ ที่อาจมี รวมทั้งการจัดเตรียมงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นที่อยู่นอกเหนือขอบข่ายเงินอุดหนุน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21075 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการวางแผนอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลี | วท | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการวางแผนอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Memorandum of Understanding on Scientific and Technological Cooperation between the Ministry of Science and Technology of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Science, ICT and Future Planning of the Republic of Korea) โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ประกอบด้วยสาขาความร่วมมือที่มีความสนใจร่วมกัน ๑๒ สาขา ได้แก่ วัสดุขั้นสูง เทคโนโลยีชีวภาพ นาโนเทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ ดาราศาสตร์ เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ มาตรวิทยา การจัดการทรัพยากรน้ำและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม การนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ รวมถึงการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจที่ตั้งใหม่ และสาขาอื่น ๆ ตามที่คู่ภาคีสัญญาได้เห็นพ้องกัน โดยรูปแบบความร่วมมือครอบคลุมกิจกรรม เช่น การร่วมวิจัยและพัฒนา รวมถึงการแลกเปลี่ยนผลงานวิจัยร่วมกัน การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญการและนักวิจัยเพื่อเข้าร่วมในการดำเนินโครงการร่วมกัน รวมทั้งความช่วยเหลือด้านการศึกษาและการฝึกอบรมการวิจัย เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาขยายขอบเขตสาขาและกิจกรรมความร่วมมือที่สาธารณรัฐเกาหลีมีศักยภาพเพิ่มเติม อาทิ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคต การเพิ่มศักยภาพนักวิจัย และการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากการร่วมวิจัยและพัฒนา ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||
21076 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีกระบวนการบาหลี เรื่องการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ (Bali Process Ministerial Declaration on Irregular Migration) | กต | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีกระบวนการบาหลี เรื่อง การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ (Bali Process Ministerial Declaration on Irregular Migration) เป็นเอกสารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกกระบวนการบาหลีในการร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อรับมือและแก้ไขปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติให้เป็นไปอย่างครอบคลุม มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน บนพื้นฐานของหลักการการแบ่งเบาภาระระหว่างประเทศ และการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการให้ความคุ้มครองแก่ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ผู้แสวงหาที่พักพิง และผู้ลี้ภัย ๑.๒ อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมรับรองปฏิญญาดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21077 | การประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 1 | กต | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อร่างปฏิญญาซานย่าการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ (Sanya Declaration of the First Lancang-Mekong Cooperation Leaders’ Meeting) และร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตระหว่างประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Joint Statement on Production Capacity Cooperation Among Lancang-Mekong Countries) โดยร่างปฏิญญาซานย่าฯ เป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิก ความสำคัญของความร่วมมือ หลักเกณฑ์ในการดำเนินความร่วมมือ และประเด็นความร่วมมือที่สำคัญใน ๓ สาขา ได้แก่ (๑) การเมืองและความมั่นคง (๒) ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ (๓) การแลกเปลี่ยนด้านสังคม วัฒนธรรม และปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ส่วนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ระบุความสำคัญและประโยชน์ของความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตระหว่างประเทศสมาชิก หลักเกณฑ์ในการดำเนินความร่วมมือ สาขาหลักของความร่วมมือ ความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับภาคธุรกิจ สถาบันทางการเงิน และการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ เป็นผู้ร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาซานย่าฯ และร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||
21078 | การรับรองปฏิญญาลิมา (Lima Declaration) และแผนปฏิบัติการลิมา (Lima Action Plan) สำหรับปี ค.ศ. 2016 - 2025 | ทส | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบท่าทีต่อร่างปฏิญญาลิมา (Lima Declaration) และแผนปฏิบัติการลิมา (Lima Action Plan) สำหรับปี ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๕ โดยร่างปฏิญญาลิมามีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการมนุษย์และชีวมณฑล (MAB) ในพื้นที่สงวนชีวมณฑล การเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกยูเนสโกให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของโครงการมนุษย์และชีวมณฑล (MAB) และการแสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการลิมาฯ ส่วนแผนปฏิบัติการลิมาฯ เป็นร่างแผนปฏิบัติการสำหรับการดำเนินงานในพื้นที่สงวนชีวมณฑลในปี ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๕ โดยกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานออกเป็น ๕ ด้าน มีกรอบการดำเนินงานรวม ๒๙ ผลลัพธ์ ๖๒ กิจกรรม ๑.๒ อนุมัติให้คณะผู้แทนไทยที่ไปเข้าร่วมการประชุม World Congress of Biosphere Reserves ครั้งที่ ๔ รับรองปฏิญญาลิมาและแผนปฏิบัติการลิมาดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาลิมาและแผนปฏิบัติการลิมาดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการขยายผลการดำเนินงาน และเผยแพร่ผลกิจกรรมและวิธีปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จในพื้นที่สงวนชีวมณฑลให้กับพื้นที่อื่น ๆ รวมทั้งควรพัฒนาความร่วมมือกับเครือข่ายทั้งในประเทศและกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21079 | รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องด้านกระบวนการยุติธรรมในคดีการค้ามนุษย์ [ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | นร04 | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอตามรายงานของคณะกรรมการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องด้านกระบวนการยุติธรรมในคดีค้ามนุษย์ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อให้มีบทบัญญัติที่ครอบคลุมในเรื่องความหมายของบทนิยามคำว่าแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบและการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ รวมทั้งมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การเรียกค่าสินไหมทดแทนแทนผู้เสียหายตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และปรับปรุงบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นเจ้าของเรื่องรับไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
21080 | การขออนุมัติในหลักการเรื่องการผ่อนผันให้ผู้เสียหายและพยานในคดีค้ามนุษย์อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และได้รับอนุญาตให้ทำงานได้ตามกฎหมาย | มท | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยใช้อำนาจตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกประกาศกระทรวงมหาดไทยอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับผู้เสียหาย และพยาน ในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน ๑ ปี และหากมีความจำเป็นตามข้อเท็จจริงแห่งคดีให้สามารถขอขยายเวลาได้ไม่เกินครั้งละ ๑ ปี และให้จัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมทั้งสิทธิประโยชน์แก่ผู้เสียหายในคดี ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพให้กับคนต่างด้าวที่ได้จัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เพื่อใช้ประกอบในการขออนุญาตทำงาน ๔. ให้กระทรวงแรงงานพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เสียหายและพยานในคดีค้ามนุษย์ซึ่งได้จัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรแล้ว ให้สามารถทำงานตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามลักษณะงานที่อธิบดีกรมการจัดหางานกำหนด ๕. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงยุติธรรมพิจารณาให้การช่วยเหลือพยานในคดีค้ามนุษย์ และได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม ๖. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
.....