ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1058 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21141 - 21160 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21141 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ และนายอนุชา เศรษฐเสถียร) | คค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสรพงษ์ ไพฑูรย์พงศ์ และนายอนุชา เศรษฐเสถียร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปีแล้วเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ตามความในมาตรา ๑๐/๒ แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในครั้งต่อไป ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||
21142 | แต่งตั้งรองประธานกรรมการคนที่สองและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทดแทนตำแหน่งที่ว่างลงในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (จำนวน 7 ราย 1. นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ฯลฯ) | สสส. | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งรองประธานกรรมการคนที่สองและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จำนวน ๗ คน ตามพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๑๗ (๓) และ (๕) แทนตำแหน่งกรรมการที่ว่างลง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) ประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอ ดังนี้
๑. นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ รองประธานกรรมการคนที่สอง ๒. นายคำนวณ อึ้งชูศักดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคราชการ ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ๓. นางสุวรรณี คำมั่น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ด้านการพัฒนาชุมชน ๔. นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ด้านการสื่อสารมวลชน ๕. รองศาสตราจารย์ปัญญา ไข่มุก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคราชการ ด้านการกีฬา ๖. นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ด้านศิลปวัฒนธรรม ๗. นายสัมพันธ์ ศิลปนาฏ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ด้านการบริหาร
|
|||||||||||||||||||||
21143 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (พันตำรวจเอก สีหนาท ประยูรรัตน์) | ปง | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พันตำรวจเอก สีหนาท ประยูรรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๙ โดยได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มพิเศษ และสิทธิประโยชน์อื่นใดไม่ต่ำกว่าที่ได้รับอยู่เดิม ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21144 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายมานะ เหมจินดา) | นร04 | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายมานะ เหมจินดา เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21145 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
21146 | ร่างพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร05 | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||
21147 | รายงานผลการดำเนินงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา (กระทรวงวัฒนธรรม) | วธ | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรายงานผลการดำเนินงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ซึ่งได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน คณะสงฆ์ และเครือข่ายทางศาสนา รวม ๕๐ องค์กร จัด “งานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา” ในทุกพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ดังนี้ ๑.๑ ส่วนกลาง : ได้จัดกิจกรรมที่วัดต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครและมณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยจัดให้เป็น “พุทธอุทยานเวฬุวันเพ็ญเดือนมาฆะ” ซึ่งมีกิจกรรมเกี่ยวกับ (๑) การเรียนรู้ธรรมะจากพุทธพจน์ (๒) การประกวดในกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมทางพระพุทธศาสนา (๓) กิจกรรม “ล่องเรือไหว้พระ ๙ วัด อิ่มบุญสุขใจ” สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และ (๔) กิจกรรม “ธรรมะสู่คนทั้งมวล” เพื่อคนพิการได้เข้าถึงศาสนา ๑.๒ ส่วนภูมิภาค : ได้จัดกิจกรรมอย่างทั่วถึงทุกจังหวัด โดยในส่วนของจังหวัดตามแนวชายแดนได้มีประชาชนจากพื้นที่ชายแดนและประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนเข้าร่วมกิจกรรมมาฆบูชาเพื่อสานสัมพันธ์อาเซียนด้วย ทั้งนี้ ทุกกระทรวงได้ร่วมรณรงค์ให้ข้าราชการสวมใส่ชุดขาวเข้าวัดปฏิบัติธรรม ประดับธงธรรมจักรหน้าหน่วยงาน และเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมทางศาสนา รวมทั้งเชิญชวนให้หน่วยงานในสังกัดสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของหลักธรรม เสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะที่เป็นเมืองพระพุทธศาสนาโลก และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้อยู่คู่ชาติไทยสืบไป ๒. ในระยะต่อไปให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำโครงการ/กิจกรรมที่ประชาชนในทุกศาสนาเข้ามามีส่วนร่วมได้ เพื่อปลุกจิตสำนึกของประชาชนในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม การรักษาระเบียบวินัย และการเคารพกฎหมาย เพื่อให้ประเทศพัฒนาไปในแนวทางที่มีความสงบสุขและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||
21148 | โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 12 สายพิษณุโลก - หล่มสัก | คค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานว่า โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๒ สายพิษณุโลก-หล่มสัก เป็นโครงการหนึ่งตามข้อตกลงร่วมกันของประเทศสมาชิกของอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS โดยก่อสร้างขยายถนนทางหลวงให้เป็น ๔ ช่องจราจร ซึ่งรัฐบาลวางแผนให้เป็นหนึ่งในเส้นทางยุทธศาสตร์ สายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก หรือ East-West Corridor ถนนสายเอเชีย หมายเลข ๑๖ เชื่อมโยงประเทศในกรอบความร่วมมือ GMS โดยมีมูลค่างานก่อสร้าง ๓,๓๘๖ ล้านบาท ระยะทางรวม ๑๐๔.๒ กิโลเมตร ปัจจุบันทางหลวงดังกล่าวเป็นเส้นทางสายหลักรองรับการที่ประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวสร้างความเจริญสู่ชุมชน
|
|||||||||||||||||||||
21149 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร04 | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานข้อคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า ๑.๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) โดยได้ดำเนินการให้เป็นไปตามผลการหารือกับผู้แทนสหภาพยุโรป DG MARE (The Directorate-General for Maritime Affairs and Fisheries) ซึ่งผลการดำเนินการมีความคืบหน้าเป็นอย่างมากอยู่ในระดับเป็นที่น่าพอใจ และระหว่างวันที่ ๖-๘ มีนาคม ๒๕๕๙ กองทัพเรือได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหารทะเลนานาชาติ ณ เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยได้ชี้แจงความก้าวหน้าในแนวทางการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายของประเทศไทยด้วย ๑.๒ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าว มีวัตถุประสงค์แก้ไขปัญหาการรุกล้ำของชุมชนริมคลอง ให้คลองมีการระบายน้ำสะดวก รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนริมคลอง โดยในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๙ กรมธนารักษ์จะได้จัดให้มีการมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุให้แก่ชุมชนริมคลองลาดพร้าว และในระยะต่อไปกรุงเทพมหานครจะได้ดำเนินการพัฒนาริมคลองอื่น ๆ เป็นท่าเทียบเรือและทางจักรยานต่อไปด้วย ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดมหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ภายใต้แนวคิด “วิจัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น” เมื่อวันที่ ๓-๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เพื่อให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเฉพาะผู้ประกอบการสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และประชาชนที่สนใจได้นำแนวคิดจากผลงานวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการผลิตสินค้าของตนเองต่อไป ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รายงานว่า ได้สั่งการให้กรมที่ดินรวบรวมเอกสารและตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีพิพาทที่ดินบริเวณหาดราไวย์ ซึ่งชาวเลบ้านราไวย์ได้เรียกร้องขอความเป็นธรรมกรณีที่เอกชนถือเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนกับทางเดินสาธารณะและพื้นที่ชุมชน จำนวน ๑๙ ไร่ ที่ชาวเลบ้านราไวย์ได้อยู่อาศัยและใช้เป็นพื้นที่ทำกินมาเป็นเวลานาน ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะได้พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยคำนึงถึงหลักนิติศาสตร์ และหลักรัฐศาสตร์เพื่อให้ชาวเลและเอกชนที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและปราศจากข้อขัดแย้งระหว่างกัน
|
|||||||||||||||||||||
21150 | การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน 2559 และเนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2559 | นร04 | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ ๗๐ ปี ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ประสานงานกับสำนักพระราชวังและสำนักราชเลขาธิการ เพื่อเตรียมการจัดพระราชพิธี และศาสนพิธีในโอกาสดังกล่าวให้เป็นไปตามโบราณราชประเพณีและสมพระเกียรติต่อไป ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานงานกับสถาบันสิริกิติ์ สำนักราชเลขาธิการ ในการจัดสร้างถาวรวัตถุเป็นที่ระลึกเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวาย ๓. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานงานกับสำนักราชเลขาธิการ ในการจัดทำตราสัญลักษณ์และหนังสือจดหมายเหตุ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินโครงการ "ปลูกไทย... ในแบบพ่อ" ๕. ให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินโครงการขุดลอกคูคลองทั่วประเทศตามแนวพระราชดำริ
|
|||||||||||||||||||||
21151 | Application การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ | ศธ | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) รายงานว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำ Application การสอนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันตามกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ นั้น กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำ Application การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารระดับพื้นฐานสำหรับประชาชนทั่วไปเสร็จเรียบร้อยแล้วในชื่อ Echo English เน้นการฝึกฝนทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน จากสถานการณ์จำลองต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกที่ ทุกเวลา และรองรับการติดตั้ง (download) Application ในระบบปฏิบัติการ Android แล้ว ส่วนระบบปฏิบัติการ iOS จะสามารถติดตั้งได้ภายในเดือนมีนาคม โดยในระยะแรกจะมีแบบเรียน ๔๐ บท และจะขยายเป็น ๒๐๐ บทในระยะต่อไป ๒. ในระยะต่อไปให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาแนวทางการพัฒนา Application ภาษาอื่น ๆ ด้วย เช่น ภาษาจีน ภาษาเกาหลี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและภาคแรงงานด้วย
|
|||||||||||||||||||||
21152 | งานมหกรรมเรือสำราญและมารีน่า | นร | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานเกี่ยวกับการจัดงานมหกรรมเรือสำราญและมารีน่า “ไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์ ๒๐๑๖” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ จังหวัดภูเก็ต สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ พื้นที่ดำเนินการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงคมนาคมได้ร่วมจัดงานมหกรรมฯ โดยแบ่งพื้นที่จัดแสดงเป็น ๒ ส่วน ประกอบด้วย (๑) On-Land Pavilion ได้แก่ นิทรรศการความรู้การส่งเสริมการขายสินค้าผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยจัดช่องทางให้ผู้ประกอบการไทยได้เปิดตัวสินค้าและบริการอย่างครบวงจร (เช่น บริการทางการเงิน บริการเช่าเรือระยะยาว บริการประกันภัย บริการจัดเลี้ยงบนเรือ บริการหลังการขาย และบริการด้านเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญ) และการจัดกิจกรรมสัมมนาสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการเจ้าของเรือ และนายหน้าหรือตัวแทนซื้อขาย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในด้านกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเรือสำราญ และ (๒) On-Water Show การแสดงเรือยอชท์ (Yacht และ Super Yacht) พร้อมด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย ๑.๒ ผลที่คาดว่าจะได้รับ ประเทศไทยเป็น “Marina Hub of ASEAN” โดยเป็นฐานการเดินเรือของเรือสำราญเพื่อการท่องเที่ยวจากทั่วโลก เชื่อมโยงกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย โดยการจัดงานดังกล่าวช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ ดึงดูดรายได้ และกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นโอกาสสร้างงานและสร้างการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องแก่ผู้ประกอบการและแรงงาน เพิ่มทักษะเฉพาะด้านและกระจายรายได้สู่คนในพื้นที่ โดยประมาณการรายได้จากการจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีมูลค่าประมาณ ๒๐๐-๔๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนการจัดกิจกรรมอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าตลาดระดับบนในอนาคตด้วย ๑.๓ โดยที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นท่าจอดเรือสำราญ/เรือยอชท์ในระยะยาว จึงเห็นว่าการพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบของกระทรวงการคลังในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเรือสำราญจะเป็นการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเรือสำราญและมารีน่าอย่างเชื่อมโยงและบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยอาจพิจารณาแนวทางเลือกการลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวในลักษณะของการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนหรือการสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุน เพื่อลดภาระการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ
|
|||||||||||||||||||||
21153 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณากำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น กระตุ้นการใช้จ่ายในชุมชน ส่งเสริมการประกอบอาชีพนอกภาคการเกษตร รวมทั้งสร้างความสุขให้แก่ประชาชนในแต่ละพื้นที่ เช่น การจัดงานในวัด ทั้งนี้ ให้นำเสนอแนวทางดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาจัดกลุ่มกฎหมายเพื่อให้ง่ายต่อการรับรู้ของประชาชน เช่น กลุ่มกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กลุ่มกฎหมายด้านกระบวนการยุติธรรม กลุ่มกฎหมายการปฏิรูประบบราชการ เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ การบังคับใช้กฎหมาย และประโยชน์ที่จะได้รับจากกฎหมายนั้น ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่ได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรักษาความสงบเรียบร้อยในแต่ละพื้นที่ให้มีความปลอดภัยและความสงบสุข รวมทั้งปราบปรามผู้มีอิทธิพล นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน เช่น ตลาดโบ๊เบ๊ ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดประเด็นการขับเคลื่อนการดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่เหลือของการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ภายใต้หลักธรรมาภิบาล โดยเฉพาะในเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การปรับโครงสร้างการเกษตร การสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศในทุกมิติ การสร้างคุณธรรม และจริยธรรมของสังคมเพื่อลดความขัดแย้ง การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบการบูรณาการในแต่ละประเด็น ทั้งนี้ ให้เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการสนับสนุนรถหรือเครื่องมือให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อใช้ในการกำจัดใบอ้อยและตออ้อย รวมทั้งประสานให้โรงงานที่จะรับซื้ออ้อยจากเกษตรกรร่วมรับผิดชอบในการกำจัดใบอ้อยและตออ้อยด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดรูปแบบการใช้ประโยชน์จากที่ดินให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ทั้งในระดับภูมิภาค ระดับกลุ่มจังหวัด และระดับจังหวัด โดยให้มีกลไกการสนับสนุนเงินทุนให้แก่ชุมชนและให้มีการเชื่อมโยงด้านการผลิตและการตลาดในระยะต่อไป เพื่อให้การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาลเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ภายในปี ๒๕๖๐ ๓.๕ ให้ทุกส่วนราชการร่วมดำเนินการให้ “ปี ๒๕๕๙ เป็นปีแห่งธรรมาภิบาล” โดยให้การปฏิบัติภารกิจในความรับผิดชอบอยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาล รวมทั้งจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์และสร้างเสริมให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งธรรมาภิบาล เช่น การจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่าง ๓ ศาสนา เพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกให้แก่คนในชาติเพื่อเป็นพลังให้สังคมมีความเข้มแข็ง
|
|||||||||||||||||||||
21154 | รายงานผลการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีพลังงานเอเชีย ครั้งที่ 6 ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ และขออนุมัติในหลักการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีพลังงานเอเชีย ครั้งที่ 7 ในปี พ.ศ. 2560 ณ กรุงเทพมหานคร | พน | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีพลังงานเอเชีย ครั้งที่ ๖ (The 6th Asian Ministerial Energy Roundtable) ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ เมื่อวันที่ ๗-๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นหัวหน้าคณะในการเดินทางเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยที่ประชุมได้มีการหารือถึงสถานการณ์ตลาดน้ำมันที่มีความผันผวนซึ่งอาจจะกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค โอกาสในการใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินในการเป็นแหล่งทรัพยากรในการผลิตกระแสไฟฟ้า และแนวทางนโยบายในการเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชีย ในโอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้รับเกียรติให้แสดงวิสัยทัศน์ด้านพลังงานต่อผู้นำด้านพลังงานและชี้ให้ตระหนักถึงการร่วมมือและรู้จักปรับตัวเข้าหาสมดุลของการผลิตและการใช้พลังงานที่เหมาะสมในระยะยาว และได้กล่าวว่า กระทรวงพลังงานของไทยจะได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ครั้งที่ ๗ โดยมีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นเจ้าภาพร่วม ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร เพื่อหารือกันในประเด็นด้านพลังงานในการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคต่อไป ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีพลังงานเอเชีย ครั้งที่ ๗ (The 7th Asian Ministerial Energy Roundtable) ในเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการจัดประชุมดังกล่าว ให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมรายละเอียดของค่าใช้จ่ายแล้วเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
21155 | การแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาศุลกากรว่าด้วยเอกสารค้ำประกัน (เอ.ที.เอ. คาร์เนท์) สำหรับการนำของเข้าชั่วคราว (อนุสัญญา เอ.ที.เอ.) | กค | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาศุลกากรว่าด้วยเอกสารค้ำประกัน (เอ.ที.เอ. คาร์เนท์) สำหรับการนำของเข้าชั่วคราว (อนุสัญญา เอ.ที.เอ.) (Customs Convention on the ATA Carnet for the Temporary Admission of Goods : ATA Convention) ซึ่งองค์กรศุลกากรโลกได้มีมติให้แก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญา เอ.ที.เอ. ในมาตรา ๔ โดยให้มีการใช้เอกสาร ATA Carnet ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่การแก้ไขดังกล่าวไม่ได้ผูกมัดประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ. หากประเทศภาคีใดยังไม่มีความพร้อมสามารถใช้เอกสารกระดาษต่อไปได้ และแก้ไขมาตรา ๑๘ ว่าด้วยเรื่องการกำหนดองค์ประชุม Contracting Parties to the Customs Convention on the ATA Carnet for the Temporary Admission of Goods โดยประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ. จะต้องเข้าประชุม จำนวน ๑ ใน ๓ ของประเทศภาคีทั้งหมด จึงจะถือว่าครบองค์ประชุมและมีอำนาจในการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มความระมัดระวังในการติดตามวาระการประชุม โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศไทย รวมทั้งให้กรมศุลกากรและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยพิจารณาในเบื้องต้นเกี่ยวกับเงื่อนไขและงบประมาณสำหรับการติดตั้งระบบ eATA Carnet สำหรับอนาคต รวมถึงให้ความสำคัญกับการศึกษาผลการดำเนินงานของประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ ที่นำร่องทดลองใช้ระบบ eATA Carnet เพื่อนำผลการศึกษาด้านประสิทธิภาพมาวิเคราะห์เปรียบเทียบความคุ้มค่าทั้งในด้านประสิทธิภาพและต้นทุนในระยะยาว หากประเทศไทยจำเป็นต้องใช้ระบบดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21156 | การขออนุมัติจำหน่ายหนี้ค้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของบริษัท อินโนเวกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ | กค | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติจำหน่ายหนี้ค้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของบริษัท อินโนเวกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๖๖๗,๕๑๑.๖๔ บาท ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการติดตาม ตรวจสอบ และเร่งรัดหนี้สิน เพื่อมิให้มีหนี้ค้างชำระเป็นระยะเวลานานและเรียกเก็บไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้นำไปสู่การจำหน่ายหนี้ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญอีก และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างในระบบประกันสังคมและกองทุนประกันสังคมในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การขออนุมัติจำหน่ายหนี้สูญเงินทุนหมุนเวียนโครงการไทย-เยอรมัน) ที่ให้กระทรวงการคลังปรับปรุงมติสภาบริหารคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ เกี่ยวกับเรื่องจำหน่ายหนี้เงินและทรัพย์สินออกจากบัญชี แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21157 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2559 ครั้งที่ 1 | กค | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๒๗,๘๕๗.๔๔ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๙๑,๖๖๔.๖๓ ล้านบาท เป็น ๑,๖๑๙,๕๒๒.๐๗ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ที่มีวงเงินปรับลดลงสุทธิ ๑๔,๖๐๕.๔๐ ล้านบาท จากเดิม ๑๓๖,๕๐๕.๕๘ ล้านบาท เป็น ๑๒๑,๙๐๐.๑๘ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำกับติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องตามแผนด้วย เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๓.๑ เร่งรัดดำเนินโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะและโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟทางคู่ และให้หน่วยงานพิจารณารูปแบบการลงทุนและวงเงินลงทุนที่เหมาะสม เพื่อเป็นการลดภาระหนี้สาธารณะและภาระงบประมาณด้วย ๓.๒ ให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างและฟื้นฟูองค์กรให้มีประสิทธิภาพตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้วในคราวประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เพื่อลดภาระหนี้สินขององค์กรในภาพรวมและลดภาระการอุดหนุนจากภาครัฐต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21158 | ขออนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินระยะสั้น โดยต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน 800 ล้านบาท | คค | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ออกไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้ รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นควรเร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการ เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์จากทรัพย์สินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาภาวการณ์ขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว และเห็นควรมีการวางแผนและบริหารวงเงินกู้เพื่อรักษาสภาพคล่องอย่างรัดกุมโดยไม่ให้เกิดวงเงินกู้ที่ซ้ำซ้อนและภาระดอกเบี้ยเกินความจำเป็นที่ส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายองค์กร การพิจารณากำหนดมาตรการที่เข้มงวดในการแก้ไขปัญหาการขาดทุนและขาดสภาพคล่องของ รฟท. ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อให้ รฟท. สามารถพึ่งพาตัวเองได้และไม่เป็นภาระของภาครัฐในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ส่วนประเด็นของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ตามมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยภายใต้กฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอนุมัติให้เรียกเก็บหรือไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันก็ได้ ซึ่ง รฟท. จะต้องจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามแบบฟอร์มที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อประกอบการพิจารณาในขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||
21159 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/59 ครั้งที่ 13 | กษ | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ครั้งที่ ๑๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๓๗,๕๔๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๓ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๔,๐๔๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๐ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๒. การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๔,๗๒๕ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๔๒ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๑,๖๕๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๗ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๖.๒๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ช่วงวันที่ ๘-๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อนจำนวน ๔ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เฉลี่ยวันละ ๑๗.๗๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๔. สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๓๗ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๐๑ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๖๗ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๐๙ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๙๖ ล้านไร่
|
|||||||||||||||||||||
21160 | รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการกำกับกิจการพลังงานของ กกพ. ที่สำคัญ ผลการดำเนินงานด้านการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายของสำนักงาน กกพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และงบแสดงฐานะการเงินของสำนักงาน กกพ. ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗
|
.....