ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1051 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21001 - 21020 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21001 | หลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหาร และข้าราชการตำรวจ ผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน (ข้าราชการทหาร) | กห | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหาร มีสาระสำคัญเป็นการบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารผู้รับเงินเดือน ป.๑, ป.๒, น.๔, น.๕, น.๖ และ น.๗ ในระหว่างการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๑๑/๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารกับข้าราชการประเภทอื่น ประกอบกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการเยียวยาให้ข้าราชการในหน่วยงานตนได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม และเห็นชอบให้ถอนร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนออกจากชั้นการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจ มีสาระสำคัญเป็นการบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจผู้รับเงินเดือนระดับ ส.๔, ส.๕, ส.๖ และ ส.๗ ในระหว่างการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๖๘/๑ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจกับข้าราชการประเภทอื่น ประกอบกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการเยียวยาให้ข้าราชการในหน่วยงานตนได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดยเป็นการกำหนดอัตราและวิธีการเยียวยาเช่นเดียวกับหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหาร ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาทบทวนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. คณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เกี่ยวกับการเยียวยาความเหลื่อมล้ำสามารถดำเนินการได้โดยหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และควรพิจารณาทบทวนร่างหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน (กรณีหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาฯ) จะมีผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐในการคำนวณเงินบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ค่าตอบแทนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐประเภทต่าง ๆ) รวมทั้งการปรับปรุงบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจนั้น ควรพิจารณาพร้อมกับการปรับปรุงค่าตอบแทนของข้าราชการทั้งระบบ เพื่อมิให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำของค่าตอบแทนของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ที่มีอัตราค่าตอบแทนยึดโยงกัน |
|||||||||||||||||||||
21002 | การขอความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และการแก้ไขมาตรา 12 ของข้อแก้ไขความตกลงเกี่ยวกับองค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ | ทก | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้องค์การโทรคมนาคมดาวเทียมระหว่างประเทศ ทรัพย์สิน และบรรณสารขององค์การ ผู้แทนของภาคีองค์การ และเจ้าหน้าที่ขององค์การได้รับเอกสิทธิ์ สิทธิยกเว้น และความคุ้มกันในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยหรือเข้ามาในประเทศไทยเพื่อปฏิบัติหน้าที่หรือในการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับองค์การ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. เห็นชอบการแก้ไขมาตรา ๑๒ (c) (ii) ของข้อแก้ไขความตกลงว่าด้วยองค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ เพื่อเป็นการคุ้มครองประเทศภาคีสมาชิกในเรื่องมรดกร่วม (Common Heritage) ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมและการจัดสรรคลื่นความถี่ เพื่อให้บรรลุตามหลักการเบื้องต้นขององค์การ ซึ่งได้แก่ การคงไว้ซึ่งการเชื่อมโยงและครอบคลุมทั่วโลก การให้บริการแก่ลูกค้าซึ่งไม่มีทางเลือกอื่น และการจัดให้มีการเข้าถึงระบบของบริษัทโดยไม่เลือกปฏิบัติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการเห็นชอบดังกล่าวให้ผู้เก็บรักษาความตกลงฯ ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21003 | การให้สัตยาบันพิธีสารว่าด้วยกรอบกฎหมายเพื่อดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (แนวทางการปฏิบัติในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่มีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการอย่างชัดเจนและทราบล่วงหน้าอยู่แล้ว) | กค | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารของพิธีสารว่าด้วยกรอบกฎหมายเพื่อดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน และดำเนินการส่งมอบแก่เลขาธิการอาเซียนต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการเชื่อมโยงระบบ National Single Window ของหน่วยงานภายในประเทศให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งให้ความสำคัญกับการแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ในการจัดตั้งและเชื่อมโยงระบบดังกล่าวแก่ประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อให้การพัฒนาระบบของแต่ละประเทศมีความเท่าเทียมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการจัดตั้ง ASEAN Single Window และจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในทางปฏิบัติอย่างแท้จริงไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่มีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการอย่างชัดเจนและทราบล่วงหน้าอยู่แล้ว ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี) อย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||
21004 | การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | กค | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการธนาคารออมสินให้เป็นผู้กำหนดวงเงินจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการธนาคารออมสิน ประกาศงบดุลซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้รับรองแล้วและประกาศฐานะการเงินโดยย่อของธนาคารออมสินประจำไตรมาสภายในหกเดือนต้นของปีถัดไป ประกาศรายงานประจำปีว่าด้วยธุรกิจซึ่งธนาคารออมสินได้จัดทำในระหว่างปี จำนวนผู้ฝาก จำนวนเงินฝาก จำนวนเงินดอกเบี้ยที่จ่ายผลประโยชน์ที่ได้มาจากเงินทุนและอื่น ๆ และให้ธนาคารออมสินสามารถได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือจากแหล่งอื่นได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเกี่ยวกับประเด็นการเพิ่มทุนของธนาคารออมสินอาจได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือจากแหล่งอื่น การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการธนาคารออมสินเพื่อให้สอดคล้องกับร่างมาตรา ๒๕ และร่างมาตรา ๒๖ ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม การเพิ่มข้อความ "ให้คณะกรรมการ ผู้อำนวยการ และรองผู้อำนวยการ เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา" ในมาตรา ๑๙ (ข) และกำหนดกรณีที่ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และเพื่อไม่เป็นการเปิดช่องให้ธนาคารสามารถดำเนินการบางอย่าง เช่น กู้เงินจากแหล่งเงินอื่นได้เอง จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มข้อความ "มาตรา ๒๐/๑ ในกรณีที่ธนาคารออมสินมีเหตุจะต้องเพิ่มกองทุนเพื่อให้เพียงพอต่อการดำเนินกิจการ ธนาคารออมสินอาจได้รับจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือจากแหล่งอื่นได้" ส่วนในมาตรา ๒๖ เห็นควรคงข้อความ "จำนวนเงินฝาก" ตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติเดิม เนื่องจากเห็นว่า "จำนวนเงินฝาก" เป็นภาระหนี้ของธนาคาร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับสาธารณชนจำนวนมาก ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21005 | การรับรองร่างแถลงการณ์ของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ครั้งที่ 4 ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่าง วันที่ 31 มีนาคม - 1 เมษายน 2559 | กต | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐนมตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ (ครั้งที่ ๔) ปี ค.ศ. ๒๐๑๖ (2016 Nuclear Security Summit Communique) และร่างแผนปฏิบัติการแนบท้าย ๕ ฉบับ โดยร่างแถลงการณ์ฯ เป็นผลลัพธ์ของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ครั้งที่ ๔ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันและระบุแนวทางความร่วมมือในการเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์ระหว่างประเทศเพื่อลดภัยคุกคามจากการก่อการร้ายที่ใช้นิวเคลียร์ โดยเน้นถึงการสร้างความตระหนักรู้ การขับเคลื่อนให้เกิดพัฒนาการด้านความมั่นคงทางนิวเคลียร์ที่เป็นรูปธรรม มีความสำคัญและยั่งยืน เน้นย้ำถึงพันธกรณีต่อเป้าหมายร่วมกันในการลดอาวุธนิวเคลียร์ การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ การพิทักษ์ความปลอดภัย วัสดุนิวเคลียร์ การป้องกันการลักลอบค้าและขนส่งวัสดุนิวเคลียร์ และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมติร่วมของที่ประชุมฯ ที่จะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ ๕ ฉบับ เพื่อสนับสนุนองค์การระหว่างประเทศและกรอบความริเริ่มต่าง ๆ ได้แก่ สหประชาชาติ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ องค์การตำรวจสากล ความริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายที่ใช้นิวเคลียร์ และหุ้นส่วนระดับโลกว่าด้วยการต่อต้านการแพร่ขยายของอาวุธและวัสดุที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ๑.๒ เห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยรับรองร่างแถลงการณ์และร่างแผนปฏิบัติการดังกล่าว (โดยไม่มีการลงนาม) ในที่ประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๓๑ มีนาคม-๑ เมษายน ๒๕๕๙ ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงการณ์ดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
21006 | โครงการบ้านประชารัฐ | กค | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐ โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สนับสนุนสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) สำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อย ระยะเวลาโครงการ ๒ ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ระยะเวลาการยื่นความจำนงขอรับสินเชื่อ) ครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกประเภทในราคาไม่เกิน ๑.๕ ล้านบาทต่อหน่วย ทั้งที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่ ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ทรัพย์สินรอการขาย (Non-Performing Assets : NPAs) ของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ และทรัพย์รอการขายของกรมบังคับคดี ทั้งที่สร้างบนที่ดินของตนเอง ที่ดินของเอกชนผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และที่ดินของรัฐ รวมถึงการซ่อมแซม/ต่อเติมที่อยู่อาศัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเสนอขอถอนเงื่อนไขการดำเนินโครงการฯ เกี่ยวกับการถือครองกรรมสิทธิ์ เพื่อนำไปพิจารณาแนวทางและรูปแบบการดำเนินโครงการฯ บนที่ดินราชพัสดุ และจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในโอกาสต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาการปล่อยสินเชื่ออย่างรอบคอบเพื่อมิให้มีผลกระทบต่อสถานะความมั่นคงทางการเงินของธนาคาร และควรมีมาตรการในการกำกับดูแลให้การกำหนดราคาขายอสังหาริมทรัพย์มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนของผู้ประกอบการ มีการคัดกรองผู้เข้าร่วมโครงการให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีกระบวนการบริหารความเสี่ยง การประเมินความเสี่ยง ตลอดจนการคำนวณความเสียหายและติดตามผลกระทบต่อฐานะที่อาจจะเกิดขึ้นต่อธนาคาร และให้ความสำคัญกับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารออมสินแยกบัญชีมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน (Post Finance) เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) และไม่นับรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs) จากการดำเนินโครงการฯ เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของธนาคาร รวมทั้งให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการฯ บวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงานได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสิน จะต้องไม่ขอรับการชดเชยงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการฯ ในอนาคต ๔. ให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้สินเชื่อในส่วนของมาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) ให้ชัดเจนโดยเฉพาะห้ามให้สินเชื่อเพื่อชดใช้หนี้เดิม (refinance) ของโครงการที่อยู่อาศัยที่มีอยู่เดิม ๕. ให้กระทรวงการคลังกำหนดให้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการฯ ประชาสัมพันธ์ และให้ข้อมูลโครงการฯ แก่ประชาชนผู้ขอรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) และผู้ประกอบการที่ขอสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกภาคส่วนในโครงการ ๖. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจจำนวนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อวางแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยในระยะยาว รวมทั้งกำหนดรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไป ๗. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และไม่ได้ใช้ประโยชน์ รวมทั้งตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถนำที่ดินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในโครงการอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21007 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินเดีย | กห | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินเดียของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การเข้าเยี่ยมคำนับนายโมฮัมมัด ฮามิด อันสารี รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินเดีย ทั้งสองฝ่ายได้หารือและเห็นพ้องในการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยฝ่ายไทยประสงค์ที่จะพัฒนาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศกับสาธารณรัฐอินเดียให้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งไทยมีนโยบาย Outward Investment ส่งเสริมภาคเอกชนลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะสาธารณรัฐอินเดีย พร้อมทั้งขอให้สาธารณรัฐอินเดียติดตามความคืบหน้าในการจัดทำความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรี ไทย-สาธารณรัฐอินเดีย ๒. การเยี่ยมคำนับนายมาโนฮาร์ พาร์ริการ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐอินเดีย ฝ่ายไทยได้หารือถึงความร่วมมือทางทหารที่มีร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแลกเปลี่ยนการเยือน และการฝึกศึกษา โดยสาธารณรัฐอินเดียพร้อมที่จะขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และสนับสนุนไทยในการจัดการฝึกอบรม ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์แก่เจ้าหน้าที่ของไทยในด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ ทั้งนี้ ฝ่ายไทยพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคง พร้อมทั้งได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐอินเดียเดินทางเยือนไทย ๓. การพบหารือกับนายอาจิต โดวาล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสาธารณรัฐอินเดีย ทั้งสองเห็นพ้องที่จะจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกัน ประกอบด้วย ข้าราชการตำรวจ และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและความมั่นคง ควบคู่กับการจัดให้มีการหารือเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านยาเสพติดและจะลงนามร่วมกันในโอกาสการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกันให้เกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
21008 | ขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพัน (กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว) | กก | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. กรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการบูรณาการระบบบริการรับแจ้งเหตุนักท่องเที่ยว ๑๑๕๕ กับศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ จำนวน ๘๔,๘๘๑,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่เกาะพงัน เกาะช้าง เกาะเสม็ด จำนวน ๓๙,๒๓๘,๔๐๐ บาท นั้น ให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗) ทั้งนี้ หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการทั้ง ๒ รายการดังกล่าว ให้เสนอกระทรวงการคลังเพื่อกลั่นกรองเหตุผลความจำเป็นและความเหมาะสมในการขยายระยะเวลา เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. กรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบลงทุนสำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑ รายการ ได้แก่ โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของตำรวจท่องเที่ยว จำนวน ๑๗๙,๙๘๗,๕๐๐ บาท นั้น ให้ปฏิบัติตามหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/ว ๖๒ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙) อย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||
21009 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 เพิ่มเติม | กห | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบกใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๙๓๑,๙๒๖,๗๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการก่อสร้างและปรับปรุงถนนที่ชำรุดเสียหายในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา จำนวน ๓๗ เส้นทาง (ระยะที่ ๒) ระยะทางรวม ๑๔๘.๑๔๒ กิโลเมตร โดยให้ประชาสัมพันธ์/ในพื้นที่สังคมโซเชียล เพื่อเห็นความสำคัญที่รัฐให้กับ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา และเห็นควรให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบกจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลางและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
21010 | แนวทางการขอรับจัดสรรและหลักเกณฑ์การพิจารณางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป | นร07 | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการขอรับจัดสรรและหลักเกณฑ์การพิจารณางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. แนวทางการขอรับจัดสรรงบประมาณ ๑.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด ที่สามารถติดตามประเมินผลได้ ประกอบคำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑.๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำคำขอรับจัดสรรงบประมาณพร้อมแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัด พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนส่งสำนักงบประมาณ ๑.๓ ขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติ ๑.๓.๑ รายการที่มีวงเงินไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นชอบและเสนอนายกรัฐมนตรี เมื่อนายกรัฐมนตรีรับทราบ สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณ ๑.๓.๒ รายการที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑๐-๑๐๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมและเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณ กรณีนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติสำนักงบประมาณแจ้งส่วนราชการนำเรื่องเสนอรองนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการ และสำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณเมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการแล้ว กรณีนายกรัฐมนตรีไม่เห็นชอบ สำนักงบประมาณแจ้งส่วนราชการทราบ ๑.๓.๓ รายการที่มีวงเงินเกิน ๑๐๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมและเสนอนายกรัฐมนตรี เมื่อนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ สำนักงบประมาณแจ้งส่วนราชการให้เสนอรองนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการ ๒. หลักเกณฑ์การพิจารณารายการที่ขอรับจัดสรรงบประมาณ ๒.๑ เป็นรายการที่สนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐบาลตามแนวทางปฏิรูปในการสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ๒.๒ เป็นรายการที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป วงเงิน ๓๒,๖๖๑,๐๒๗,๓๐๐ บาท ๒.๓ เป็นรายการที่มีความพร้อมดำเนินการได้ทันที ๒.๓.๑ กรณีงบลงทุน (๑) ครุภัณฑ์ : มีคุณลักษณะเฉพาะ มีประมาณการราคาหรือผลการสอบราคา และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมรองรับครุภัณฑ์ รวมทั้งมีการตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว และ (๒) สิ่งก่อสร้าง : มีรายละเอียดแบบรูปรายการและประมาณราคา มีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ รวมทั้งมีการตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว ๒.๓.๒ กรณีงบรายจ่ายอื่น ๆ มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และประมาณการค่าใช้จ่ายตามเกณฑ์มาตรฐานทางราชการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||
21011 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.พ. (สำนักนายกรัฐมนตรี) (จำนวน 3 ราย) | นร10 | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.พ. สำนักงาน ก.พ. จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
๑. แต่งตั้ง นางชุติมา หาญเผชิญ ซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วน (อาวุโสสูงสุดและครองตำแหน่งประเภทวิชาการครบ ๒ ปี ตามที่กำหนด) ๒. ให้ยกเว้นการครองตำแหน่งประเภทวิชาการที่ไม่ครบกำหนด ๒ ปี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง จำนวน ๒ ราย ได้แก่ นายภาณุ สังขะวร และนายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์
|
|||||||||||||||||||||
21012 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (จำนวน 5 ราย 1. นายพงศ์บุณย์ ปองทอง ฯลฯ) | ทส | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง จำนวน ๕ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายพงศ์บุณย์ ปองทอง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางเปรมพิมล พิมพ์พันธุ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายสากล ฐินะกุล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายเสริมยศ สมมั่น ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||
21013 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร (จำนวน 5 คน 1. นายปรเมธี วิมลศิริ ฯลฯ) | กค | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร จำนวน ๕ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งมาครบวาระสองปีแล้ว เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๘ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายปรเมธี วิมลศิริ ๒. นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ๓. นายสุรชาติ จันทวัชรากร ๔. ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ๕. นายชัชวาล จันทร์แสงสุก
|
|||||||||||||||||||||
21014 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (นายวรวิทย์ จำปีรัตน์) | กค | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายวรวิทย์ จำปีรัตน์ ประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะครบวาระ ๔ ปี ในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นวาระที่สอง ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21015 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น (จำนวน 4 คน 1. นายสุชัย สถาพร ฯลฯ) | พณ | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น จำนวน ๔ คน ตามพระราชบัญญัติคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายสุชัย สถาพร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการคลังสินค้า ๒. นางสาวสุวิมล พงศ์พิทยานันต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการไซโล ๓. นายสุวันชัย แสงสุขเอี่ยม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการห้องเย็น ๔. นายวศิน ไสยวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการธนาคารพาณิชย์
|
|||||||||||||||||||||
21016 | แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (นายโอภาส กลั่นบุศย์) | อก | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายโอภาส กลั่นบุศย์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ แทนนายสรรเสริญ อัจจุตมานัส ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21017 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (กระทรวงแรงงาน) (พลตรี ธนิส พิพิธวณิชการ) | รง | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง พลตรี ธนิส พิพิธวณิชการ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
21018 | แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายวิทยา ผิวผ่อง) | นร04 | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายวิทยา ผิวผ่อง ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21019 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 10/2559 เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 11/2559 เรื่อง การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค | สลธ.คสช. | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๐/๒๕๕๙ เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค สั่ง ณ วันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ (กำหนดให้มีคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค) ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๕๙ เรื่อง การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค สั่ง ณ วันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ (กำหนดให้มีสำนักงานศึกษาธิการภาค จำนวนสิบแปดภาค)
|
|||||||||||||||||||||
21020 | การมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี (เพิ่มเติม) | นร04 | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง การมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี (เพิ่มเติม) [คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๖๕/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๙ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ] ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
.....