ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1056 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21101 - 21120 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21101 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การกำกับดูแลสื่อ สิทธิเสรีภาพสื่อบนความรับผิดชอบ และการป้องกันการแทรกแซงสื่อ และร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ....) | นร | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การกำกับดูแลสื่อ สิทธิเสรีภาพสื่อบนความรับผิดชอบ และการป้องกันการแทรกแซงสื่อ และร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นด้วยในหลักการตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปฯ โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับสื่อออนไลน์ที่อาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติว่าจะควบคุม จัดระเบียบ หรือบริหารจัดการผู้สื่อหรือผู้ส่งสารในโลกออนไลน์ได้อย่างไร และภาครัฐควรสนับสนุนการสร้างกลไกภาคประชาชนให้ตระหนักถึงสิทธิของประชาชนในการตรวจสอบสื่ออีกทางหนึ่งเพื่อให้สื่อมีคุณภาพและรับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งความเห็นเรื่องการสร้างวาทกรรมความเกลียดชัง หรือ Hate Speech ควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนากฎหมายและกำหนดหน่วยงานหลักเพื่อกำกับดูแลการสร้างวาทกรรมดังกล่าว ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) ให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21102 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย [เรื่อง การเป็นศูนย์กลางอาเซียน (ASEAN Hub)] | นร11 | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง การเป็นศูนย์กลางของอาเซียน (ASEAN Hub) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบตามข้อเสนอแนะดังกล่าว ยกเว้นประเด็นการจัดตั้งคณะกรรมการอาเซียนด้านเศรษฐกิจที่มีอำนาจหน้าที่ซ้ำซ้อนกับคณะอนุกรรมการศูนย์อำนวยการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่มีอยู่เดิม โดยได้มีความเห็นเพิ่มเติม เช่น เห็นควรให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์รายอุตสาหกรรมระยะยาว ส่วนที่มีแผนยุทธศาสตร์พัฒนารองรับอยู่แล้วควรเพิ่มเติมประเด็นการเชื่อมโยงในอาเซียนให้มากขึ้นและการใช้ประโยชน์จากกลไกคณะกรรมการที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน การบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านนโยบายระหว่างประเทศทั้งในและต่างประเทศ ควรศึกษารายละเอียดและกำหนดกรอบการศึกษาให้ชัดเจนและเป็นปัจจุบันในประเด็นการตั้งระบบเครือข่ายพันธมิตรทางอากาศร่วมกัน การศึกษาการขนส่งในภูมิภาคเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงทั้งระบบ การตั้งศูนย์ความเชื่อมโยงอาเซียนที่ดำเนินการโดยภาคเอกชน และการจัดทำแผนระยะยาวเพื่อสนับสนุนการร่วมทุนในอุตสาหกรรมการบินในอาเซียน ก่อนที่จะดำเนินการต่อไป เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรรวบรวมข้อคิดเห็นและประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน เพื่อกำหนดแผนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวในเชิงบูรณาการ รวมทั้งการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อให้เกิดเป้าหมายการทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพและมีเป้าหมายที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21103 | รายงานผลการพิจารณาข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 [เรื่อง การปฏิรูประบบการจัดการศึกษา การปฏิรูประบบการคลังด้านการศึกษา (ด้านอุปสงค์) การปฏิรูประบบการเรียนรู้ และร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการ นโยบายการศึกษาและพัฒนามนุษย์แห่งชาติ พ.ศ. ....] | ศธ | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ [เรื่อง การปฏิรูประบบการจัดการศึกษา การปฏิรูประบบการคลังด้านการศึกษา (ด้านอุปสงค์) การปฏิรูประบบการเรียนรู้ และร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายการศึกษาและพัฒนามนุษย์แห่งชาติ พ.ศ. ....] ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นว่า การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาจำเป็นต้องมีการกำหนดแผนและขั้นตอนการเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) ของการปฏิรูปจากระบบที่เป็นอยู่เดิมไปสู่ระบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดยดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งการเตรียมความพร้อมของบุคลากรเพื่อรองรับบทบาทอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ระหว่างผู้กำหนดนโยบาย แผน มาตรฐาน (Policy Maker) ผู้กำกับการจัดการศึกษา (Regulator) ผู้ส่งเสริมสนับสนุน (Promoter) และผู้จัดการศึกษา (Service Provider) ภายใต้หลักการของการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ ผ่านการกำกับ ภายใต้กฎ กติกาอย่างเป็นธรรม รวมทั้งการตรวจสอบการประกันคุณภาพภายใน การประเมินคุณภาพภายนอก และการติดตามและประเมินผลที่บูรณาการและเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของกระทรวงศึกษาธิการให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21104 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารศูนย์เรียนรวมมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี | ศธ | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารศูนย์เรียนรวม มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี จากวงเงินเดิม ๒๑๐,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็น ๒๑๒,๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๒๐๑,๔๙๕,๐๐๐ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๑๐,๖๐๕,๐๐๐ บาท ในส่วนของเงินงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีกจำนวน ๑๖๓,๔๙๕,๐๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรให้มีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัดเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากอาคารศูนย์เรียนรวมได้ตามวัตถุประสงค์ทั้งใช้ในการจัดการเรียนการสอน การฝึกอบรม การบริการทางวิชาการ และเผยแพร่ความรู้ รวมทั้งเป็นห้องสำหรับใช้ประโยชน์อื่น ๆ แก่นักศึกษา บุคลากรของมหาวิทยาลัย และบุคคลทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการดำเนินการทุกขั้นตอนจะต้องมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21105 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่องการปรับและกำหนดเขตอาณาของสถานเอกอัครราชทูตและกำหนดเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่ในต่างประเทศ (กระทรวงการต่างประเทศ) | กต | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เฉพาะในส่วนที่อนุมัติ “ให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา เครือรัฐออสเตรเลีย มีเขตอาณาครอบคลุมราชอาณาจักรตองกา แทนสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน นิวซีแลนด์” โดยเพิ่มเติมข้อความเป็น “ให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา เครือรัฐออสเตรเลีย มีเขตอาณาครอบคลุมราชอาณาจักรตองกา แทนสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน นิวซีแลนด์ โดยมีผลบังคับใช้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำนิวซีแลนด์คนใหม่” เนื่องจาก นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำนิวซีแลนด์คนปัจจุบันได้ยื่นพระราชสาส์นต่อพระประมุขแห่งราชอาณาจักรตองกา เป็นเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำราชอาณาจักรตองกา เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
21106 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายธวัชชัย ฤทธากรณ์) | นร06 | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายธวัชชัย ฤทธากรณ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการดำเนินงานข่าวกรองในต่างประเทศ (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21107 | การแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงกัมปาลา สาธารณรัฐยูกันดา (กระทรวงการต่างประเทศ) [นางบาร์บารา โซโลม มุลวานา (Ms. Barbara Solome Mulwana)] | กต | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางบาร์บารา โซโลม มุลวานา (Mr. Barbara Solome Mulwana) เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงกัมปาลา สาธารณรัฐยูกันดา แทน นายเจมส์ มุลวานา (Mr. James Mulwana) กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ กรุงกัมปาลา สาธารณรัฐยูกันดา ซึ่งถึงแก่กรรม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21108 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย) | คค | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บรรดาพนักงาน ลูกจ้าง ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยแต่งตั้งและปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
21109 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช 2479 | ยธ | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถอนร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช ๒๔๗๙ เพื่อนำกลับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21110 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 3 ฉบับ | กษ | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำบ้านเกาะแก้ว เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำอำปึล เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานเป็นทางน้ำที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยกะเลงเวก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ไปพิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยว่า พื้นที่ตามร่างกฎกระทรวงฯ ทับซ้อนกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าทุ่งมน ป่าบักได ป่าตาเบา ป่าฝั่งซ้ายห้วยทับทัน และป่าห้วยสำราญ ในท้องที่ตำบลกาบเชิง ตำบลโคกตะเคียน ตำบลตะเคียน ตำบลด่าน ตำบลแนงมุด ตำบลบักได ตำบลตาเมียง อำเภอกาบเชิง ตำบลตาตุม ตำบลเทพรักษา อำเภอสังขละ และตำบลอาโพน ตำบลจรัส อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ และเป็นหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ต้องพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่า หากไม่ดำเนินการเพิกถอนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่อ่างเก็บน้ำห้วยกะเลงเวก จะสามารถแต่งตั้งเจ้าพนักงานหรือนายช่างชลประทานเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อมิให้การปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานหรือนายช่างชลประทานขัดต่อมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้หรือไม่ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21111 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... | สว | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงบทบัญญัติในกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ กรณีกำหนดการยกเว้นไม่ใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยสถานบริการกับสถานประกอบการเพื่อสุขภาพตามร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการบังคับใช้กฎหมาย โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับ ๑.๒ กระทรวงสาธารณสุขควรจัดอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีความสามารถในการปฏิบัติการโดยมีมาตรฐานในระดับเดียวกัน ๑.๓ การออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมต้องคำนึงถึงประเภทและขนาดของสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานะทางการเงินและความสามารถในการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพแต่ละประเภท ๑.๔ การดำเนินการของหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบการออกใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติฯ รัฐบาลควรขยายโครงสร้างอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ๑.๕ การดำเนินการเสนอนโยบาย แผน และยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพต่อรัฐมนตรี คณะกรรมการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพควรจัดให้มีแผนงานในการส่งเสริมสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ และกำหนดมาตรฐานในการส่งเสริมสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21112 | รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษามาตรการการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เรื่อง โครงการประดับธงในดวงใจ) | นร01 | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาตามรายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษามาตรการการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เรื่อง โครงการประดับธงในดวงใจ) ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ และกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยให้ส่วนราชการและองค์กรอิสระต่าง ๆ ขอความร่วมมือสนับสนุนและรณรงค์ประชาสัมพันธ์เชิญชวนทุกภาคส่วนและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมโครงการ “ประดับธงในดวงใจ” ด้วยการประดับธงชาติไทยคู่ธงพระปรมาภิไธย ภปร. และคู่ธงพระนามาภิไธย สก. ในห้วงวันเฉลิมพระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ บริเวณหน้าอาคาร สถานที่ราชการ สถานที่เอกชน สถานศึกษา และบ้านเรือนประชาชน ตลอดเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เผยแพร่สปอตเฉลิมพระเกียรติโครงการ “ประดับธงในดวงใจ” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยและสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และจัดงานถวายพระพรชัยมงคลเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21113 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (เรื่อง รายงานผลการศึกษากฎหมายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) | ทก | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานผลการศึกษากฎหมายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวม ประกอบด้วยโครงสร้าง สถานะและบทบาทอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน หน่วยงานหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวไม่มีความชัดเจน รวมทั้งสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเป็นปัญหาการดำเนินงานที่ขาดหลักธรรมาภิบาล ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้คณะกรรมการประสานงานรวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21114 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีมาตรา 84 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 กระทบสิทธิมนุษยชนไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 | ทก | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีมาตรา ๘๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ กระทบสิทธิมนุษยชนไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป โดยข้อเสนอแนะ มีดังนี้
๑. ควรแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับวิธีการนำส่งรายได้จากสัญญาสัมปทานคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการโทรคมนาคมอันเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นรายได้ของรัฐ ๒. ควรหาแนวทางในการปรับโครงสร้างธุรกิจ การหารายได้ และพิจารณางบประมาณด้านการลงทุนของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในอนาคตเพื่อรองรับการดำเนินงานภายหลังสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลงและกรณีขาดรายได้จากการสัมปทาน ๓. การพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายที่บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) สามารถหักได้ก่อนนำส่งรายได้ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อให้ กสทช. นำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ๔. ควรคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม คุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพของบุคคลในการสื่อสารถึงกันทางโทรคมนาคม และส่งเสริมสิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของประชาชนในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์คลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคม |
||||||||||||||||||||||||
21115 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิเคราะห์งบประมาณประจำรัฐสภา พ.ศ. .... ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นผู้เสนอ | นร07 | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิเคราะห์งบประมาณประจำรัฐสภา พ.ศ. .... ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นผู้เสนอ โดยสำนักงบประมาณพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและไม่เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณรายจ่ายประจำด้านบุคลากรและทรัพยากรทางการบริหารในอัตราที่สูง จึงไม่ควรจัดตั้งสถาบันวิเคราะห์งบประมาณประจำรัฐสภาเป็นหน่วยงานของรัฐขึ้นอีก แต่ถ้าหากเห็นความจำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่เป็นหน่วยงานอิสระ ก็ควรพิจารณากำหนดวัตถุประสงค์ ขอบเขตการดำเนินงานให้ชัดเจน คุ้มค่า เป็นหน่วยงานขนาดเล็ก มีสมรรถนะสูง โดยพิจารณาปรับหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม ได้แก่ สถาบันพระปกเกล้า และสำนักงบประมาณของรัฐสภา ให้เหมาะสมและมีความชัดเจน จึงเห็นสมควรให้ทบทวนหลักการการจัดทำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งผลการพิจารณาของสำนักงบประมาณให้คณะกรรมการประสานงานรวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) ทราบด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21116 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ | กต | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เปลี่ยนชื่อคณะกรรมการฯ เป็น "คณะกรรมการประสานงานช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉิน" ๒. ปรับองค์ประกอบรองประธานคณะกรรมการฯ จาก “อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ” เป็น “รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศที่กำกับกลุ่มงานภารกิจความสัมพันธ์ทวิภาคี หรือ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศที่กำกับกลุ่มงานภารกิจส่งเสริมกิจการต่างประเทศ” ตามที่ปลัดกระทรวงการต่างประเทศมอบหมาย เพื่อดำเนินภารกิจในสถานการณ์ที่เน้นการช่วยเหลือประเทศที่ประสบภัยหรือเน้นการช่วยเหลืออพยพคนไทย ๓. เพิ่มองค์ประกอบกรรมการจากหน่วยงานทั้งในกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานภายนอกกระทรวงการต่างประเทศ จากเดิม จำนวน ๑๔ คน เพิ่มเป็น จำนวน ๔๒ คน ๔. ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ โดยคงอำนาจหน้าที่เดิม ๓ ข้อ ตัดอำนาจหน้าที่เดิม ๑ ข้อ และเพิ่มอำนาจหน้าที่อีก ๕ ข้อ ได้แก่ ๔.๑ ให้คำปรึกษาแก่กระทรวงการต่างประเทศในเรื่องรูปแบบและวิธีการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ ๔.๒ พิจารณาแผนงานและประสานงานการช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ ๔.๓ กำหนดแนวทางและประสานงานการให้ความช่วยเหลืออพยพคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ๔.๔ ทำหน้าที่กลั่นกรองเรื่องการให้ความช่วยเหลือและเรื่องงบประมาณ ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป ๔.๕ สามารถจัดตั้งคณะทำงานในภารกิจที่เห็นสมควรต่อไป โดยเน้นการปฏิบัติเพื่อความรวดเร็วและคล่องตัว ๔.๖ สามารถเชิญหน่วยงานเอกชนและมูลนิธิที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือแล้วแต่กรณี ๔.๗ ประชาสัมพันธ์การให้ความช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัย ๔.๘ ดำเนินการอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัยพิบัติ
|
||||||||||||||||||||||||
21117 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศ) | อก | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศ ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศแห่งชาติ แต่ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรใหม่ เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีการดำเนินการตามภารกิจเพื่อให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศอยู่แล้ว นอกจากนี้ เห็นชอบกับข้อเสนอการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายที่มีอยู่ให้เอื้อต่อการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยต้องมีการรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรเพิ่มความชัดเจนในดัชนีชี้วัดความสำเร็จเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในมิติทางด้านเศรษฐกิจ การนำแนวทางประชารัฐและวิสาหกิจเพื่อสังคมมาปรับใช้ในการจัดทำแผนขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กรอบแนวคิดและความหมายของเมืองนิเวศเชิงอุตสาหกรรม รวมทั้งการกำหนดมาตรการสนับสนุนและผลักดันในเรื่อง (๑) การสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจจากผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้แก่ชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม (๒) การกำหนดที่ตั้งและการดูแลพื้นที่กันชนอุตสาหกรรม (Industrial buffer Zone) (๓) การป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งขึ้นใหม่ (๔) การดำเนินการด้านบรรษัทภิบาลหรือความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และควรมีแผนการบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจน เช่น การไม่ทิ้งน้ำเสียออกนอกเขตอุตสาหกรรม (Zero Discharge) การจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบบทบาทและหน้าที่ขององค์กรนิเวศอุตสาหกรรมกับหน่วยงานที่มีอยู่ภายในกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานภายนอกที่มีลักษณะการทำงานใกล้เคียงกับประเภทขององค์กร การพิจารณาให้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าการประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment : LCA) เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การพิจารณาในตัวชี้วัดการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนในทุกมิติ การบูรณาการกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การปรับปรุงและพัฒนากลไกการบริหารจัดการความร่วมมือและการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ การบูรณาการและกำหนดแผนการทำงานที่ชัดเจนร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วม ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาดังกล่าวของกระทรวงอุตสาหกรรมให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21118 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จำนวน 6 ฉบับ | มท | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จำนวน ๖ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพัทลุง พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพังงา พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชุมพร พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเนินกุ่ม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรตรวจสอบรายละเอียดแผนที่ท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเนินกุ่ม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... ก่อน เพื่อมิให้เกิดปัญหาในการใช้ประโยชน์เพื่อปฏิรูปที่ดิน และการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และตรวจสอบพื้นที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ รวมทั้งควรมีการยกเว้นในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภทให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทซึ่งมีลักษณะเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน นอกจากนี้ ข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงดังกล่าวอาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้นั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เมื่อร่างกฎกระทรวงดังกล่าวประกาศใช้แล้ว ควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21119 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จำนวน 4 ฉบับ | มท | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จำนวน ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตามที่กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงแต่ละฉบับ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเลย พ.ศ. .... ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการยกเว้นเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภทให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทซึ่งมีลักษณะเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน และข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงอาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินริมแหล่งน้ำสาธารณะเพื่อป้องกันปัญหาภัยแล้งและรักษาคุณภาพของเมืองให้มีความน่าอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21120 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. .... | สว | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. .... ซึ่งมีข้อสังเกตว่า ร่างมาตรา ๑๓ ได้บัญญัติว่า “กิจการของมหาวิทยาลัยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยต้องได้รับการคุ้มครองและประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน” ซึ่งการกำหนดเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำในการคุ้มครองประโยชน์ตอบแทนของพนักงานมหาวิทยาลัยดังกล่าว อาจส่งผลให้มหาวิทยาลัยมีภาระผูกพันด้านงบประมาณ ในอันที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามบัญญัติดังกล่าว โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้จ่ายเป็นเงินชดเชยการเลิกจ้างเมื่อเกษียณอายุ นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐอื่น ๆ ที่รัฐยังไม่ให้การสนับสนุนงบประมาณ รัฐควรสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอกับการจ่ายเงินค่าชดเชยด้วย ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
.....