ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 667 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 13321 - 13340 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13321 | รายงานการติดตามผลการบริหารจัดการขยะติดเชื้อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการติดตามผลการบริหารจัดการขยะติดเชื้อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วยรายงานสถานการณ์ในภาพรวม และอุปสรรคในการดำเนินงาน พร้อมทั้งข้อเสนอของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการจัดการขยะติดเชื้อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เช่น การจัดทำแผนแม่บทการจัดการขยะติดเชื้อ (Master Plan) การออกกฎกระทรวง หลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการขยะติดเชื้อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การป้องกันการลักลอบนำขยะติดเชื้อออกนอกระบบ การจัดทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เป็นแหล่งกำเนิดขยะติดเชื้อ การจัดทำคู่มือในการดำเนินงานการบริหารจัดการขยะติดเชื้อ และการจัดอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาปรับปรุงแผนการบริหารจัดการขยะติดเชื้อให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิบัติการการจัดการมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ พร้อมทั้งให้ทำการบำบัดขยะติดเชื้อก่อนขนส่งไปกำจัดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในระหว่างขนส่ง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13322 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 7 ของกระบวนการบาหลีว่าด้วยการลักลอบขนคน การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง และการประชุมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนของกระบวนการบาหลี ครั้งที่ 2 | กต | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๗ ของกระบวนการบาหลีว่าด้วยการลักลอบขนคน การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง (กระบวนการบาหลี) (Bali Process on People Smuggling, Trafficking in Persons and Related Transnational Crime-Bali Process) และผลการประชุมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนของกระบวนการบาหลี ครั้งที่ ๒ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๗ ของกระบวนการบาหลีว่าด้วยการลักลอบขนคน การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๗ ของกระบวนการบาหลีว่าด้วยการลักลอบขนคน การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีประเด็นเพิ่มเติมในเรื่องการย้ำถึงบทบาทของกระบวนการบาหลีในฐานะเวทีเพื่อหารือเชิงนโยบาย แบ่งปันข้อมูล และเสริมสร้างศักยภาพ บนพื้นฐานของความสมัครใจ และไม่มีข้อผูกมัด และย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะไม่ให้ผู้พลัดถิ่นกลายเป็นเหยื่อของการลักลอบขนคน และการค้ามนุษย์ รวมทั้งสนับสนุนการเดินทางกลับอย่างสมัครใจ ปลอดภัย และยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเห็นว่าในอนาคตกระบวนการบาหลีน่าจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาช่องทางการโยกย้ายถิ่นฐานแบบปกติและถูกกฎหมาย โดยเฉพาะการนำข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติมาปฏิบัติใช้ ๒. การประชุมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนของกระบวนการบาหลี ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมได้รับทราบเอกสารข้อเสนอแนะเรื่องการตระหนักรู้ การดำเนินการปฏิบัติ และความก้าวหน้า (Acknowledge, Act, Advance Recommendations : AAA Recommendations) ที่เสนอโดยผู้แทนภาคเอกชน มีสาระสำคัญเกี่ยวกับข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินการร่วมกันในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน การทาสสมัยใหม่ และการใช้แรงงานเด็กในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ผ่านการสร้างความตระหนักรู้และการยอมรับปัญหา (acknowledge) การลงมือแก้ไขปัญหา (act) และการขับเคลื่อนต่อยอดความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน (advance)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13323 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์ | พม | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์ มีสาระสำคัญมุ่งป้องกันและปราบปรามบุคคลและกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยเชื่อมั่นว่า การปราบปรามการค้ามนุษย์และการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์โดยการร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพ และปรารถนาที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือระดับทวิภาคีอันเป็นประโยชน์ร่วมกันสำหรับทั้งสองประเทศในการต่อต้านการค้ามนุษย์และกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างคู่ภาคี ทั้งนี้ ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดพิธีลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13324 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2562 | นร10 | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีประเด็นข้อสั่งการสำคัญที่มอบหมายให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการรวม ๑๓ ประเด็น เพื่อให้คณะรัฐมนตรีติดตามและประเมินผลปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น (๑) การสร้างความรู้ ความเข้าใจ และดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฝุ่นละออง PM25 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น (๒) การพัฒนาแนวทางการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ และ (๓) การพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศเพื่อเพิ่มทักษะการทำงานยุคประเทศไทย ๔.๐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงแรงงาน ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13325 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ | นร01 | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) การจัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (๒) การพัฒนาคูคลองในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ปทุมธานีและนนทบุรี) และ (๓) กิจกรรมพัฒนาคลองเปรมประชากรและคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริให้ถูกต้องทั่วถึง รวมทั้งให้เชิญชวนส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ เอกชน และประชาชนในทุกภาคส่วน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดำเนินโครงการจิตอาสาฯ ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้อย่างแท้จริง เช่น การจัดหาเครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ และปัจจัยการผลิตทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในแต่ละพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13326 | การให้สัตยาบันกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนโดยยานพาหนะทางถนน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Cross Border Transport of Passengers by Road Vehicles:ASEAN CBTP) | คค | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในการให้สัตยาบันกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้ร้ายข้ามพรมแดนโดยยานพาหนะทางถนน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Cross Border Transport of Passengers by Road Vehicles : ASEAN CBTP) ของประเทศไทย มีสาระสำคัญเป็นการแลกเปลี่ยนสิทธิในการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนโดยใช้ยานพาหนะทางถนนเส้นทางที่กำหนด ภายใต้โควตาการออกใบอนุญาตเดินรถโดยสารไม่เกิน ๕๐๐ คัน/ประเทศ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารเพื่อการดังกล่าวและดำเนินการยื่นต่อเลขาธิการอาเซียนต่อไป ทั้งนี้ กรอบความตกลง ASEAN CBTP มีกำหนดการเริ่มดำเนินการในปี ๒๕๖๒ โดยในปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดยื่นสัตยาบันสาร ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาแนวทางการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางจากถนนสู่รางบริเวณด่านการค้าชายแดน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานระบบรางของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติงานและจัดสร้างแนวทางการบูรณาการการทำงานเพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของกรอบความตกลง ASEAN CBTP โดยการดำเนินงานให้คำนึงถึงกรอบยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) และนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13327 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร รายการเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม | ศย | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ แผนงานบุคลากรภาครัฐ ค่าใช้จ่ายบุคลากร รายการเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้วมาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การใช้จ่ายเงินสำหรับการดำเนินภารกิจดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด พิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13328 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ 6 และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส กระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ 5 ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล | รง | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ (Colombo Process : CP) ครั้งที่ ๖ และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน (พลตำรวจเอก อำนาจ อันอาตม์งาม) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (๑) ที่ประชุมฯ มีมติรับทราบความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานของคณะทำงานประเด็นหลัก (Thematic Area Working Groups : TAWGs) ภายใต้ CP ทั้ง ๕ คณะ โดยในส่วนของการวิเคราะห์ตลาดแรงงานที่ไทยเป็นประธานคณะทำงาน นั้น ได้มีการรายงานว่า ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๐-ปัจจุบัน ได้มีการดำเนินกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ โครงการศึกษาระบบข้อมูลตลาดแรงงานในประเทศสมาชิก CP ซึ่งเป็นโครงการเกี่ยวกับการจัดทำข้อมูลสถานการณ์ตลาดแรงงาน และนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการจัดทำนโยบายด้านการจ้างแรงงานในต่างประเทศของรัฐบาลประเทศสมาชิก CP (๒) ที่ประชุมฯ มีมติสนับสนุนร่างข้อตกลงระหว่างการโยกย้ายถิ่นฐานแรงงานระหว่างประเทศและร่างข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ (Global Compact for Safe, Orderly and Regular Migration : GCM) และนำข้อกำหนดภายใต้วัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องของ GCM ไปเป็นแนวทางในการดำเนินการด้านการจ้างงานในต่างประเทศและแรงงานที่มีสัญญาจ้างทั้งในระดับภูมิภาคและระดับทวิภาคี เพื่อส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมายหลักของ CP คือ การโยกย้ายถิ่นฐานแรงงานที่ปลอดภัยในทุกขั้นตอนของการโยกย้ายถิ่นฐาน แรงงานเข้าถึงการทำงานที่มีคุณภาพในประเทศผู้รับ และ (๓) ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างรายการข้อกำหนดของความตกลงการโยกย้ายถิ่นฐานแรงงานระหว่างรัฐหรือร่างประเด็นที่จำเป็นในการจัดทำบันทึกข้อตกลงทวิภาคีด้านแรงงาน ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบไม่เสนอร่างรายการข้อกำหนดฯ ให้ที่ประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบก ครั้งที่ ๖ รับรอง เนื่องจากร่างดังกล่าวจัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญประเทศกระบวนการโคลัมโบ ประจำการ ณ นครเจนีวา เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่ผ่านการหารือจากประเทศสมาชิกกระบวนการโคลัมโบ (ในส่วนของเมืองหลวง) และร่างปฏิญญากาฐมาณฑุหรือร่างปฏิญญารัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้ปรับแก้ร่างปฏิญญาฯ โดยไม่กระทบต่อสาระสำคัญ และให้เสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๖ ต่อไป ๒. ผลการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๖ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่ประชุมฯ ได้รับรองร่างปฏิญญากาฐมาณฑุหรือร่างปฏิญญารัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ซึ่งเป็นฉบับที่ปรับแก้ไขตามมติที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13329 | แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2561 - 2564 | มท | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติเสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละตัวชี้วัดและกลยุทธ์ ควรกำหนดโครงการที่มีความสำคัญในระดับพื้นที่ ควรตรวจสอบแผนงาน/โครงการภายใต้แผนแม่บทฯ ในประเด็นการเข้าข่ายการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (๒) ควรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการจัดการด้านความปลอดภัยทางถนนให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว ควรพิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติการ โดยให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง และในกรณีที่แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประกาศใช้แล้ว เห็นควรให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพิจารณาปรับปรุงแผนแม่บทฯ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ ให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๕ (๑) อีกครั้งหนี่งต่อไป และ (๓) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการการดำเนินการตามกรอบแนวทางที่กำหนดไว้ โดยกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ เป้าหมาย และตัวชี้วัดให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการจราจรอย่างเป็นระบบ และสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดคับคั่งได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น การควบคุมสัญญาณไฟจราจรที่ควรปรับเปลี่ยนระยะเวลาการให้สัญญาณหยุดรถและเดินรถได้อย่างอัตโนมัติ สอดคล้องกับปริมาณการจราจรจริงในสายทางนั้น ๆ และเชื่อมโยงกับสภาพการจราจรในพื้นที่ข้างเคียง การแจ้งเตือนพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นหรือเป็นจุดเสี่ยงอันตราย รวมทั้งการพิจารณาปรับปรุงการกำหนดอัตราความเร็วของรถให้มีความเหมาะสมกับสภาพการจราจรในพื้นที่ต่าง ๆ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้วย เช่น อัตราความเร็วสูงของรถบนทางหลวงและทางหลวงพิเศษ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13330 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงพลังงานและกระทรวงแรงงานและการสนับสนุนงบประมาณให้กับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อใช้สำหรับการบรรจุอัตราพนักงานตั้งใหม่ | นร10 | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกระทรวงพลังงาน (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ) และกระทรวงแรงงาน (กรมการจัดหางานและสำนักงานประกันสังคม) โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับจัดสรรมายุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอื่นเป็นระดับสูงขึ้น ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามลำดับ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะกรรมการและเลขานุการร่วม คปร. เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว หากมีความจำเป็นต้องสรรหาอัตราบุคลากรตั้งใหม่และสามารถบรรจุได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามความจำเป็นและทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมตามความสามารถในการใช้จ่ายตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาพัฒนาศักยภาพบุคคลที่มีอยู่เดิมทั้งข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างให้มีความพร้อมที่จะรองรับภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้การใช้กำลังคนมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า รวมทั้งให้เร่งดำเนินการบรรจุและแต่งตั้งบุคคลในอัตราข้าราชการ/พนักงานตั้งใหม่ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้บรรลุผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบผลการพิจารณาของ คปร. ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับอัตราพนักงานตั้งใหม่ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13331 | ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ของกระทรวงยุติธรรม ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) | พม | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ดำเนินการโดยกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๘๗ โครงการ รวม ๓,๑๙๐ หน่วย ภายในวงเงินงบประมาณ ๓,๐๒๒.๔๓๘ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณ ให้กระทรวงยุติธรรมทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลโครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด (๒) ให้คำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด เป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการ ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พร้อมทั้งจัดทำรายละเอียด แบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในแต่ละระดับสอดคล้องกับร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ โดยเคร่งครัด และจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความจำเป็นเร่งด่วน แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และ (๓) ควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเข้าพักอาศัยในโครงการให้มีความชัดเจน โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มข้าราชการผู้มีรายได้น้อยเป็นลำดับแรก และจัดทำแนวทางการบริหารจัดการเกี่ยวกับที่พักอาศัย เช่น การจัดระเบียบการพักอาศัย การเก็บค่าใช้จ่ายส่วนกลางสำหรับใช้ในการบำรุงรักษาอาคารและสภาพแวดล้อมทั่วไปเพื่อลดภาระเงินงบประมาณในอนาคต และการกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาในการพักอาศัยของโครงการ เช่น เมื่อผู้พักอาศัยมีระดับรายได้เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดต้องออกจากโครงการและไปใช้สิทธิอื่น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13332 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 | รง | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้แล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดดำเนินการเพื่อนำรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ และรายงานฯ ของปีต่อ ๆ ไป เสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13333 | การชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไม่ปรับแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน | นร13 | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเหตุผลและความจำเป็นที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ไม่ปรับแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ที่ให้ สกท. ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นที่ไม่ปรับแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวไปยังคณะรัฐมนตรี โดย สกท. ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นว่า ภายหลังจากที่ได้รับหนังสือแจ้งให้แก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจากกระทรวงการต่างประเทศแล้ว สกท. ได้ปรับแก้ตามกระทรวงการต่างประเทศแก้ไขทุกประการ รวมทั้งเสนอเลขาธิการ สกท. ให้ความเห็นชอบในวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ และในวันเดียวกันได้แจ้งฝ่ายจีนโดยการโทรศัพท์ไปยังผู้ประสานงานฝ่ายสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน (Ms. Wang Life) ว่าร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีการปรับแก้เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายจีนได้ตอบกลับมาด้วยว่า ฝ่ายจีนได้เสนอร่างบันทึกความเข้าใจฉบับเดิมเพื่อขอความเห็นชอบตามขั้นตอนและได้รับความเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว และหากมีการปรับแก้จากบันทึกความเข้าใจฉบับเดิมที่ตกลงกันไว้ สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีนจะไม่ร่วมลงนาม และเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ระบุว่า หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง ประกอบกับ สกท. พิจารณาแล้วเห็นว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างไทยและจีน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทยต่อจีน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อไทย และการปรับเปลี่ยนถ้อยคำมิใช่สาระสำคัญ จึงได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ตามที่ สกท. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13334 | การเข้าร่วมกับความร่วมมือ Climate and Clean Air Coalition (CCAC) ของประเทศไทย ด้านที่ 3 | ทส | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าร่วมกับความร่วมมือ Climate and Clean Air Coalition (CCAC) ของประเทศไทย ด้านที่ ๓ การประเมินมลสาร Short-Lived Climate Pollutants (SLCPs) (คาร์บอนดำและโอโซน) ในระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือที่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๕ และจะสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ (ปัจจุบันมีประเทศที่เข้าร่วมกับความร่วมมือ CCAC เพื่อลดมลสาร SLCPs จำนวน ๖.๑ ประเทศ) และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานกลางประสานการดำเนินงาน (National Focal Point) CCAC ของประเทศไทย และดำเนินการตามขั้นตอนในการเข้าร่วมกับความร่วมมือ CCAC รวมถึงกำหนดรายละเอียดการดำเนินงานและกรอบเวลาร่วมกับ UNEP ต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและในหนังสือแจ้งเข้าร่วมกับความร่วมมือ CCAC ควรระบุด้านการดำเนินการเกี่ยวกับมลสารช่วงชีวิตสั้นที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศที่ประเทศไทยสนใจ เป็น “การประเมินมลสาร SLCPs (คาร์บอนดำและโอโซน) ในระดับภูมิภาค” แทนการระบุด้านที่ ๓ เพราะในความร่วมมือ CCAC มิได้กำหนดเลขหมายไว้ อาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ (๒) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในประเทศและหน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมในการพิจารณากำหนดรายละเอียดการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือ CCAC เพื่อลดมลสาร SLCPs และ (๓) หากมีค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำองค์ความรู้ที่จะได้รับจากการเข้าร่วมกับความร่วมมือ CCAC มาประยุกต์ใช้กับการดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล และในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13335 | ขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขข้อบทที่ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination Against Women - CEDAW) | พม | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขข้อบทที่ ๒๐ วรรค ๑ ของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination Against Women-CEDAW) เพื่อให้คณะกรรมการการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบสามารถขยายระยะเวลาการประชุมได้มากกว่า ๒ สัปดาห์ต่อปี ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะต้องมีหนังสือแจ้งกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการจัดทำตราสารยอมรับ (Instrument of Acceptance) ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13336 | ขออนุมัติโครงการและงบประมาณดำเนินงานโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/63 | กษ | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๒๗๕,๑๔๗,๕๒๐ บาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ รวมค่าขนส่ง จำนวน ๑๐,๐๐๐ ตัน วงเงิน ๒๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ วงเงิน ๕,๑๔๗,๕๒๐ บาท โดยกรมการข้าวดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้แก่กรมการข้าว จำนวน ๒๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทดแทนทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชที่ถูกใช้ไป ๑.๓ ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง พิจารณายกเว้นโดยไม่นำเอาต้นทุนการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ใช้สำหรับสนับสนุนเกษตรกรในโครงการฯ มารวมคำนวณในตัวชี้วัดของทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืช ประจำปีบัญชี ๒๕๖๒ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณ ได้แก่ (๑) กรณีที่เงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชมีเหตุปัจจัยที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานและไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การดำเนินโครงการฯ ทุนหมุนเวียนสามารถชี้แจงเหตุผลพร้อมทั้งจัดส่งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เพื่อให้กระทรวงการคลังใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับค่าเกณฑ์วัดผลการดำเนินงานหรือยกเว้นตัวชี้วัดดังกล่าวได้ (๒) การช่วยเหลือตามโครงการฯ จะต้องตรวจสอบพื้นที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงให้ชัดเจน โดยไม่ซ้ำซ้อนกับการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติของภาครัฐ และกำกับดูแลจัดการเมล็ดพันธุ์ที่ใช้เพาะปลูกของเกษตรกร โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างอุปสงค์-อุปทาน และราคาจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่จะสูงขึ้น (๓) ควรพิจารณาถึงความพร้อมและความสามารถในการดำเนินการที่จะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง และนำผลการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ผ่านมา เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ทั้งกระบวนการ ขั้นตอน ระยะเวลา วิธีการดำเนินงาน เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่กำหนดไว้ (๔) พิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกต ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวอย่างเคร่งครัด ทั้งในด้านกระบวนการที่ต้องชัดเจนตรงกับบุคคลเป้าหมาย วิธีการบริหารจัดการสมดุลกับอุปสงค์-อุปทานของเมล็ดพันธุ์ข้าว พื้นที่เป้าหมายต้องสอดคล้องกับพื้นที่เสียหายจากฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง และการช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าวต้องพิจารณาความซ้ำซ้อนกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอื่นด้วย และ (๕) ควรกำหนดกลไกการติดตามผลการดำเนินงานและผลสำเร็จของโครงการฯ วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค และแนวทางในการแก้ไขให้กับสถานการณ์ และรายงานคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13337 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | สปสช. | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวนรวม ๒๐๑,๘๙๖,๕๐๗,๘๐๐ บาท และให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป โดยให้นำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ เช่น การเตรียมจัดทำคำของบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อรองรับ Rotavirus vaccine และการประเมินประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการยาและวัคซีน การทบทวนขอบเขต นิยามกลุ่มเป้าหมายบริการผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่มีภาวะพึ่งพิงทุกสิทธิ และการทบทวนกลุ่มเป้าหมายนำร่องบริการป้องกันการติดเชื้อ HIV (PrEP) เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๒. ในส่วนของกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติวางแผนขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประจำปีให้สอดคล้องกับปฏิทินงบประมาณ ตลอดจนแนวทางต่าง ๆ ตามที่สำนักงบประมาณกำหนดต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบริหารจัดการและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณค่ารักษาพยาบาล โดยเฉพาะการบริการผู้ป่วยในให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพตามมาตรฐาน และควรมีการศึกษาถึงรูปแบบการเงินการคลังที่มีแหล่งเงินที่หลากหลาย อาทิ การจ่ายเงินสมทบจากค่าจ้าง การร่วมจ่ายตามระดับรายได้ที่มีการจำกัดเพดานค่าใช้จ่ายสูงสุด และการใช้เงินภาษีท้องถิ่น เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในระยะยาว รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับงบประมาณสำหรับค่าชดเชยป้องกัน หัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดในภาคใต้ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ จำนวน ๔๕,๐๑๕,๐๐๐ บาท เนื่องจากเป็นกรณีที่กรมควบคุมโรคได้ยืมวัคซีนดังกล่าวจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หากจะขอตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้การยืมดังกล่าวแทนการคืนพัสดุ จะต้องขอผ่อนผันการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๒๑๐ ด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรตามบริหารจัดการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13338 | การดำเนินการเกี่ยวกับคดีข้อพิพาทดาวเทียมไทยคม 7 และดาวเทียมไทยคม 8 | ดศ | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมอบอำนาจหรือมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้รับมอบอำนาจหรือรับมอบหมายให้ดำเนินคดีโดยกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการและหรือกระบวนการทางศาล เพื่อเรียกร้องให้บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ปฏิบัติตามข้อสัญญาชำระค่าตอบแทนต่าง ๆ ตามสัญญา ชำระค่าปรับ และค่าเสียหายต่าง ๆ ตามรายละเอียดจำนวนที่ตรวจสอบได้และประสงค์จะเรียกร้องแทนรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่สำนักงานการยุติการดำเนินคดีแพ่งและอนุญาโตตุลาการ สำนักงานอัยการสูงสุด แจ้งให้ดำเนินการ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13339 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ | นร10 | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน ๕,๙๗๐ อัตรา เพื่อปฏิบัติงานรองรับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๔,๗๐๐ อัตรา และภารกิจด้านการถวายความปลอดภัย จำนวน ๑,๒๗๐ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๖/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คปร. เสนอ สำหรับการจัดสรรข้าราชการตำรวจตั้งใหม่เพื่อปฏิบัติภารกิจด้านการถวายความปลอดภัย ให้เปลี่ยนชื่อกองบังคับการ จากเดิม “กองบังคับการถวายความปลอดภัยและปฏิบัติการพิเศษ” เป็น “กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ๙๐๔” ตามนัยกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ.๒๕๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในส่วนของงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมที่จะต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการสนับสนุนงบกลางต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน โดยคำนึงถึงลำดับความจำเป็นและความเร่งด่วนในการบรรจุประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาของบุคลากรควบคู่กับการเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตำรวจดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13340 | การกำหนดวิธีการปฏิบัติราชการและการบริหารงาน การบริหารบุคคล การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงาน หน้าที่และอำนาจของส่วนงาน อัตรากำลัง และกรอบอัตรากำลังข้าราชการในระยะเริ่มแรกของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง | นร | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
.....